The Witch stories

8.0

เขียนโดย weirdwitch

วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.33 น.

  3 ตอน
  1 วิจารณ์
  4,540 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 23.41 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) หนี!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 3 หนี!

ประตูรั้วเหล็กสูงลวดลายบิดดัดเป็นรูปเถาไม้มีหนามงดงาม แซมด้วยดอกกุหลาบป่าบานใหญ่สลับกันไป หากมองเป็นเวลานาน จะคลายดั่งต้องสะกด จักต้องยืนมองชื่นชมอยู่เช่นนั้นทุกเมื่อชั่วคืนตราบจนกว่าจะมีผู้มาดึงพาสติกลับเข้าตัว

            หลังจากก้าวพ้นประตูเหล็กบานใหญ่เข้ามา บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน แสงแดดอันเร่าร้อนในช่วงกลางวันเมื่อครู่นั้นกลับกลายแสงจันทร์อันยะเยือกยามกลางคืนในเพียงเสี้ยววินาที ความรู้สึกหนักอึ้งเข้าปะทะภายในใจของทุกคนรวมถึงเพื่อนด้วยเช่นกัน เขาขมวดคิ้วหนาเข้าด้วยกัน กำมือชื้นเหงื่อแน่น ใบหน้าหวานกลับเคร่งเครียดโดยไม่รู้ตัว เด็กปีหนึ่งทุกคนรอบ ๆ ตัวเขาก็มีอาการไม่ต่างกันนัก พร้าวเองก็สังเกตเห็นอาการของเพื่อน แต่เขาทำได้เพียงแตะบ่าให้กำลังใจเบา ๆ เพียงเท่านั้นเพราะหลังจากนี้เป็นจุดที่เขาไม่อาจเข้าไปยุ่งได้อีก แล้วเขาก็ค่อยๆเดินถอยหลังหายไปเงียบๆ

            เบื้องหน้าคือป่า... ป่าของจริง  มันไม่ใช่ป่าแบบเมื่อสมัยก่อนอีกแล้ว เมื่อมนุษย์เองก็ได้รับของขวัญ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลกก็ได้รับเช่นกัน... ป่าที่มีลมหายใจ สัตว์ป่า คืออสูรน่ากลัว มีพลัง อยู่ด้วยสัญชาติญาณดั้งเดิม สัตว์นักล่าเหมือนติดปีก และสัตว์ผู้ถูกล่าก็เหมือนติดเกราะเช่นกัน

และมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ล่าอีกต่อไปแล้ว...

ภายในความมืดในป่าที่มีเพียงแสงจันทร์คอยส่องทาง หากเพ่งมองให้ดีจะพบว่าคนสองกลุ่มกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา กลุ่มหนึ่งใส่ชุดคลุมหลากสีสัน แต่อีกฝั่งกลับใส่เพียงชุดคลุมสีเทาหม่นพร้อมอุปกรณ์แปลกตา ชั่วอึดใจกลุ่มคนทั้งสองก็มาประจันหน้าทุกคน ก่อนจะเริ่มกล่าวอะไรบางอย่าง

“สวัสดี” หนึ่งในกลุ่มคนหลากสีกล่าวขึ้น

‘ของจริงเริ่มแล้ว นี่สินะที่แม่บอกไว้” เมื่อกลุ่มคนเริ่มพูด เพื่อนเริ่มมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมากกว่าเดิม พอหันไปมองพร้าวที่อยู่ข้าง ๆ กลับพบว่าเขานั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย พนักงานคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน

“ใครรู้ตัวว่าเป็นพวกพละ เชิญไปหาพวกของคุณทางด้านนั้นและจงอยู่ในจุดที่ควรอยู่!” ชายในกลุ่มหลากสีกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรียวกราดพร้อมผายมือไปทางด้านกลุ่มคนสีเทา

ในเมื่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้มอบโอกาสให้ทั้งเหล่าวิวัฒน์และพวกพละสามารถเข้าศึกษาได้โดยไม่จำกัด มันจึงต้องมีการยื่นมือช่วยเหลือบางอย่างเพื่อความเท่าเทียมเช่นกัน

“เหล่าวิวัฒน์พวกคุณจะต้องผ่านหุบเขานี้ไปยังส่วนในให้ได้ ส่วนพวกพละก็อย่าริกล้ามาในเส้นของพวกเรา จำไว้ว่าที่นี่ไม่ใช่มหาลัย มันคือสมรภูมิ! ขอให้โชคเมตตา”  เมื่อกล่าวจบคนทั้งกลุ่มพลันพร้อมใจกันวิ่งเลือนหายไป หลังจากนั้นกลุ่มคนส่วนหนึ่งก็เดินแยกไปยังพวกสีเทาที่ยังคงยืนนิ่งไม่ได้พูดจาใดใด เมื่อไร้คนเดินเข้ามารวมกลุ่มแล้ว คนสีเทาก็เริ่มออกเดินทางไปอีกเส้นทางโดยทันที

“รู้สึกจะแบ่งแยกชนชั้นกันนิด ๆ สินะ” เพื่อนเผลอพลั้งปากพูดความคิดในใจออกมา แต่คนรอบข้างกลับพยักหน้าให้เห็นด้วยกับเขา

ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบ บรรยากาศอันหนักอึ้งค่อย ๆ กดทับใจของทุกคนอีกครา ไร้ซึ่งเสียงสิ่งมีชีวิตใด มีเพียงเสียงสายลมหวีดหวิวเป็นระยะกล่อมบรรยากาศให้น่ากลัวมากขึ้นไปอีก

เบื้องหน้าของเพื่อนเป็นป่ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นสลับกันไป ยิ่งความมืดภายในป่าทำให้ยิ่งน่าขนลุก ชวนพาให้จินตนาการไปมากมาย

‘ป่าคือเพื่อนของเรา ท่องไว้สิป่าคือเพื่อนของเรา อย่ากลัว อย่า กะ..กลัว’ เพื่อนพยายามเรียกสติตัวเองกลับมาและเตือนตนเองไว้เสมอว่าสำหรับ ‘พวกเขา’ คนน่ากลัวกว่าป่าเสียอีก

“เอาวะ สู้สักตั้งเพื่อแม่ เพื่อครอบครัวของเรา” เมื่อเพื่อนเรียกกำลังใจขึ้นได้ เขาก็ออกตัววิ่งเข้าป่าทันที ท่ามกลางสายตาคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจว่าเขานั้นพูดกับผู้ใด แต่ทุกคนไม่อาจสนใจเรื่องคนอื่นได้นานนัก พวกเขาเองก็จำเป็นต้องเอาตนเองให้รอดไปจากจุดนี้ให้ได้เช่นกัน

เมื่อคนหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหว มวลหมู่คนต่างก็เคลื่อนตามกัน บางคนใช้พลังดึงแสงจันทร์ให้แปรสภาพเป็นแท่งมอบแสงสว่างสีนวลเข้มข้น ส่องเส้นทางได้ยาวไกล บางคนกอบดินเบื้องหน้าขึ้นในอุ้งมือแล้วโปรยฟุ้งไปรอบตัวบังเกิดเป็นหิ่งห้อยดาดาษล่องลอยแต่มากซึ่งแสง จากนั้นพวกมันก็นำทางผู้สร้างไป แต่ละคนก็มีวิถีอันแตกต่างกันไป ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบเชียบเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่ควรปลุก ‘ป่า’ ให้ตื่น...และเพียงไม่นานพื้นที่นั้นก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คนดังเดิม...

...

“รู้สึกว่าต้องตรงไปสินะ...ถ้าเดินไปเฉข้าง ๆ จะเจอคนงั้นเหรอ ต้องตรงไปแหละ” เพื่อนพยายามเดินเลี่ยงผู้คนออกไป เขาไม่อยากเสวนากับใครมากนัก มากคนมากความ เกะกะไม้มือ เป็นหนึ่งในสิ่งที่มารดาเขาสอนมา

ด้วยความกว้างใหญ่ของป่านั้นเมื่อเพื่อนเดินตามเส้นทางไปสักพัก กลับเริ่มเจอความสันสนด้วนหนทางที่คดเคี้ยวสลับไปมา พรสวรรค์ของเขาเริ่มใช้การไม่ได้ เขาจึงต้องหยุดเพื่อหาที่พักนั่งใช้ความคิดสักครู่

“เอาวะ คงไม่มีใครมาเห็นหรอกมั้ง เสี่ยงหน่อยแต่ดีกว่าเดินวนไปมา” เพื่อนนั่งทบทวนความคิดเพียงครู่ก็ตัดสินใจที่จะทำบางอย่าง...บางอย่างที่ไม่อาจให้ผู้ใดเห็นได้

“ตรงนี้ละกัน แสงจันทร์ตกกระทบพอดี พวกต้นไม้และพุ่มไม้จะได้ช่วยบังสายตาคนด้วย” เมื่อเดินสอดส่องสายตาไปสักพัก เพื่อนก็เจอทำเลอันเหมาะสมอันเป็นลานหญ้ากว้างพอควรแลรายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่สลับพุ่มไม้กอหญ้าราวสวนที่ถูกจัดวางไว้

“ดีนะที่คาดเป้เล็กมาด้วย” เพื่อนนั่งลงตรงพื้นหญ้าด้วยเท้าเปลือยเปล่า จากนั้นเริ่มหยิบสิ่งของ ออกมาจากกระเป๋าคาดใบเล็กและจัดแจงวางลงบนพื้นหญ้าเบื้องหน้า

เพื่อนค่อย ๆ คลี่แผนที่ของมหาลัยที่แจกตอนเข้ามาและกางมันออกบนพื้น นำหินขนาดพอมือวางไว้ตรงสี่มุมของแผนที่เพื่อตรึงเอาไว้ จากนั้นเพื่อนนำโซ่ปลายลูกตุ้มสีเงินออกมา สะท้อนแสงวิบวับแข่งกับดวงจันทร์ในยามค่ำคืน เขานำมันมาพันเอาไว้กับมือด้านซ้าย เมื่อทุกสิ่งลงตัว เพื่อนค่อย ๆ หลับตาทั้งสองลง ผ่อนลงหายใจลง หายใจเข้า ออกอย่างเชื่องช้าและมีสติ สรรพสิ่งรอบตัวเขาก็เงียบลงอย่างฉับพลันราวกับผืนป่าไม่ต้องการสร้างความรบกวนแก่เขา เพื่อนยกมือนิ้วชี้ไปข้างตัวแล้ววาดเป็นวงกลมอย่างลื่นไหล บังเกิดเป็นเหมือนคลื่นลมแผ่วเบาตามนิ้วที่วาดผ่านไป เพื่อนนั่งสงบนิ่งทำสมาธิอีกครั้ง ให้ภาพวงกลมสว่างนวลปรากฏชัดในห้วงจิตพร้อมกับจุดเทียนที่ตั้งไว้เบื้องหน้า เปลวไฟลุกโชติช่วงมอบแสงสว่างแก่สถานที่

เพื่อนผายสองมือยื่นไปด้านหน้าตนในลักษณะแบหงายสันมือชิดและประกบฝ่ามือเข้าหากัน เขาสัมผัสถึงพลังงานอ่อน ๆ เริ่มกอบกุมไหลเวียนครองมือทั้งสองข้างอย่างช้า ๆ ทั้งเบาบางดั่งเมฆหมอก พร้อมเอื้อนเอ่ยสวดภาษาโลกเก่าเป็นท่วงทำนองขลัง

“Spiritus Tribum de Silva Lux autem est Semita et Solvo” 

เพื่อนเปล่งเสียงอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่นชัดเจนเต็มด้วยพลัง พอบทสวดสิ้นสุด เพื่อนกระดกมือที่ประกบพนมขึ้นเล็กน้อยแลประสานนิ้วชี้ทั้งสองข้างไขว้ ส่วนนิ้วโป้งนั้นให้แนบชิด จากนั้นก็กระดกมือแบลงโดยที่นิ้วทั้งสองยังคงประสานกันลงมาเหนือแผนที่ ปล่อยให้ปลายตุ้มเงินลอยแกว่งเอาไว้ เพียงครู่เพื่อนเริ่มรู้สึกถึงแรงดึงบางอย่างเกี่ยวดึงไป เส้นทางและจุดหมายที่ตามหา ปรากฏภาพแจ่มชัดภายในหัวของเขาขึ้นทันที

เพื่อนค่อยๆลืมตาขึ้นมองไปยังเบื้องหน้า คลี่ยิ้มบาง ถอนหายใจ นั่งสงบนิ่งครู่นึงแล้วยกนิ้วเช่นเดิมวาดย้อนรอบตัวจากในตอนแรกทั้งเป่าดับเปลวเทียน รอบข้างกลับมามืดมิดอย่างฉับพลัน

“ขอบคุณครับ”  พุ่มรอบข้างสั่นไหวเล็กน้อยราวกับตอบรับ...แต่มันสั่นเกินไป

‘สงสัยลมจะแรง’ สิ้นเสียงความคิด  

“นายทำอะไรน่ะ!”  เสียงตะโกนของหญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของเพื่อนพร้อมเจ้าตัวที่โผล่ออกจากพุ่มไม้ในสภาพครึ่งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง

“ว้ากกก” เพื่อนตกใจสุดขีด ร้องเสียงหลง มือคว้าหินปาไปทันที หินก้อนนั้นพุ่งไปที่กลางหน้าผากของหญิงสาวอย่างแม่นยำ

โป้ก!!! เสียงหินกระทบศีรษะดังสนั่นหวั่นไหวในกะโหลกของเธอ

“อ้ากก” ร่างหญิงสาวทรุดลงกลับไปนอนกองในพุ่มไม้ที่พึ่งโผล่ออกมาไม่ไหวติง

“คนเหรอ คนเหรอเนี่ย!”เพื่อนรีบลุกวิ่งไปดูหญิงสาว

“ตายซะละมั้ง” เพื่อนก้มมองหญิงสาวที่สลบอยู่ในพุ่มไม้ สภาพของเธอดูไม่ได้ นอนอ้าแขนอ้าขา แลบลิ้น ไม่งามเอาเสียเลย

            เพื่อนเช็คดูหญิงสาวด้วยการสังเกตที่กระบังลม พบว่ายังหายใจอยู่ ก็รู้สึกค่อยยังชั่วที่ตนรอดจากการเป็นฆาตกรโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ละกัน ให้พวกสัตว์นักล่ามาลากไปกินเอา ช่วยไม่ได้นะเธอมายุ่งเรื่องของฉัน ขอให้เธอตายอย่างไม่ทรมานนะ...” เพื่อนส่ายหัว มองหญิงสาวด้วยความเวทนาครู่นึงแล้วสาวเท้ารีบก้าวเดินออกไปทันที

อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเราเป็นอะไร...’ เสียงของลลนายังคงก้องอยู่ในหัววนไปเรื่อย ๆ ...

‘นี่ก็คือชีวิตของฉันเหมือนกัน ฉันจะให้เธอมาทำลายมันไม่ได้’ เพื่อนคิดและหันกลับไปมองจุดที่ร่างหญิงสาวอยู่เล็กน้อยหลังจากเดินห่างออกมาได้สักระยะ ทุกอย่างก็ดูปกติดี...

“เฮ้ย!” เพื่อนตกใจสุดขีดอีกครั้งเมื่อร่างที่ควรนอนอยู่ที่พุ่มไม้กลับมายืนอยู่ข้างหน้าเขาราวกับภูติผี

“นายนี่มันแย่มากเลยนะ ปาหินใส่ไม่พอจะทิ้งให้ฉันโดนสัตว์ป่ากินอีก!” หญิงสาวตรงหน้ากอดออก พูดอย่างหัวเสีย พลางลูบบริเวณหน้าผากที่โดนหินกระแทก

“เอ่อ...” เพื่อนไม่โต้ตอบ แล้วกลับออกตัววิ่งไปอีกด้านทันที เขาพยายามหนีสุดชีวิตโดยอาศัยความมืดปิดบังตัวและใบหน้าเขา

แต่ว่าเพื่อนไม่ทันได้วิ่งไปไกลนัก ตัวเขากลับลอยขึ้นเหนือพื้นและไม่สามารถขยับตัวได้

“คิดว่าจะลอยนวลไปได้เหรอ?” พริบตา หญิงสาวปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา ใบหน้าคม ยิ้มเยาะเย้ย และพยายามเพ่งมองใบหน้าเพื่อนในความมืด ดวงตากลมโตมองเพื่อนอย่างจับผิด ดุดันราวกับราชสีห์

“...” เพื่อนยังคงนิ่งเงียบ พยายามใช้แขนปิดใบหน้า

“นี่! ทำไมถามแล้วไม่ตอบ” หญิงสาวเริ่มขึ้นเสียง เธอสะบัดนิ้วเล็กน้อย ตรึงแขนทั้งสองข้างของเพื่อนไว้เหนือศีรษะของเขา

“นึกว่าจะแน่” เธอยังคงพูดจาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

“...Phesmatos cruciabundusincisumet vos!” เพื่อนตะคอกโผล่งและจ้องเขม่งไปที่เธอ แววตาของเขายามนี้น่ากลัวยิ่งนัก

“หือ นี่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง...” หญิงสาวงุงงง คิดว่าเพื่อนคงกลัวจนเสียสติไปแล้ว

“นี่!...โอ้ย โอ๊ยย นี่นาย โอ้ย ทำอะไร โอ้ยย” ฉับพลัน เธอมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงราวกับจะฉีกเป็นชิ้นๆ เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ เธอทรุดลงกับพื้น กุมหัวอย่างเจ็บปวด ไม่ว่าจะกรีดร้องเท่าไหร่ความเจ็บปวดก็ไม่หายไป แต่กลับมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเธอหลุดสมาธิ พลังที่จับตัวเพื่อนอยู่จงคลายลง เพื่อนเป็นอิสระอีกครั้ง

“Phesmatos cruciabundusincisumet vos. Phesmatos cruciabundusincisumet vos. Phesmatos cruciabundusincisumet vos. Phesmatos cruciabundusincisumet vos. Phesmatos cruciabundusincisumet vos!!!” เพื่อนพูดซ้ำ ๆ ยิ่งซ้ำมากเท่าไหร่ความเจ็บปวดยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“กรี้ดด” หญิงสาวเริ่มทุรนทุราย ล้มไปนอนกองกับพื้น ชักดิ้นไปมา เลือดเริ่มไหลออกจากจมูกและดวงตาของเธอ

ยิ่งหญิงสาวกรีดร้องมากเท่าไหร่เพื่อนยิ่งพูดซ้ำ ๆ ดังมากขึ้น แววตาของเพื่อนตอนนี้ราวกับว่าเป็นคนอื่นไปเสียแล้ว...

‘พอเถอะ...คัลธาร์...’ เสียงปริศนาผุดขึ้นในหัวเพื่อน แต่เหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ เมื่อเพื่อนยังคงพูดซ้ำ ๆ ต่อไป

“อ๊ากกก” เสียงร้องสุดท้ายของหญิงสาว ก่อนที่เธอจะหมดสติไป

“แค่นี้ไม่ตายหรอก!” เพื่อนตอบโต้กับเสียงปริศนาในหัว แต่เสียงของเขากลับแปลกไป เป็นเสียงซ้อนราวกับมีเสียงผู้หญิงพูดพร้อมกัน อีกทั้งแววตาประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้

 

เพื่อนออกเดินตามเส้นทางจากภาพในนิมิตต่อไปอย่างเงียบเชียบ จนมาถึงทางเข้าที่แท้จริงของมหาลัยในเวลารุ่งสางอย่างพอดิบพอดี ปรากฎภาพตรงหน้าเขาเป็นอาคารมากมายที่แทรกสลับกับป่าไม้อย่างลงตัวพลุกพล่านไปด้วยเด็กปีหนึ่งเฉกเช่นเขา แต่มาถึงก่อนเขาสักพักแล้วเพราะเขามัวแต่เสียเวลาอยู่ระหว่างทาง... ทางเดินและบริเวณทั้งหมดของมหาลัยปูด้วยหินบล็อกสีเทาตลอดเส้นทางประกอบกับน้ำพุขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเป็นอนุสรณ์รูปปั้นของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้

“สวยงามจริง ๆ...ที่นี่แหละจะเป็นซาเลมแห่งใหม่ของพวกเรา หึหึหึ” สิ้นเสียงหัวเราะ แววตาของเพื่อนกลับมาปกติ เสียงที่ซ้อนกลืนหายไปเป็นเสียงปกติ

“เฮ้อ...ถึงสักที” เมื่อเขาก้าวย่างเข้าส่วนของมหาลัย พลันเกิดเสียงฟ้าร้องขึ้นกลางแดดจ้าโดยไม่มีสาเหตุ ราวกับต้อนรับการมาของเขา...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา