โซ่เสน่หา

-

เขียนโดย จอมนางค์

วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.33 น.

  5 session
  0 วิจารณ์
  6,139 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 19.45 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

1

สตรีที่ก้าวเข้าสู่ช่องตรวจคนเข้าเมืองของปารีส มือเรียวสวยสีงาช้างจับจูงเด็กชายน่ารักผู้หนึ่ง หล่อนเหลียวมองรอบกายแทบจะตลอดเวลาขณะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่

“มิส...คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ต้องการอะไรไหม” เจ้าหน้าที่หญิงถาม

“ไม่ค่ะ คือ...ฉันมองหาป้ายบอกทาง ต้องการไปห้องน้ำน่ะ” หญิงสาวตอบ

“เดินไปตามทางนั้น คุณจะเห็นป้าย” เจ้าหน้าที่คนเดิมบอกอีกครั้ง หญิงสาวกล่าวขอบคุณและจูงมือน้อยพลางกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มใจดีกับเด็กชายแก้มยุ้ย

“ราฟ...มามี้จะไปห้องน้ำนะครับ” เด็กชายพยักหน้าและจับมือแม่แน่นสองร่างเดินไปตามทางที่เจ้าหน้าที่บอก บางครั้งเด็กชายเดินเตาะแตะ ช้าเสียจนคนเป็นแม่ต้องก้มลงมาอุ้ม

ในความจริงใครจะรู้ว่าหล่อนไปได้เหลียวมองหาหรือต้องการอะไร หาก...เป็นการมองอย่างระแวดระวังต่างหากว่ามี ‘ใคร’ ตามมาหรือเปล่า

 

ญามาติกามองเงาในกระจกห้องน้ำของผู้โดยสารฝั่งขาเข้า เงาของหญิงสาวที่สะท้อนในกระจกแม้จะบอกแววเหนื่อยอ่อนหากงดงามไร้ที่ติ เพื่อนเคยบอกว่าหล่อนดูเหมือนนักศึกษาทั้งๆ อายุยี่สิบแปดแล้ว ยิ่งตอนท้องเพื่อนยิ่งชมว่าดูมีน้ำมีนวลขึ้น ดวงตาที่แม่เคยบอกว่าเหมือนตากวาง ริมฝีปากเล็กหากอวบอิ่มสีแดง...แดงเหมือนเลือดนกอย่างที่สโนไวท์ในนิทานเคยถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าหญิงที่งามที่สุด และผมสลวยดุจไหมสีดำเหมือนม่านแห่งรัตติกาล แม่ที่เป็นลูกครึ่งสเปนเรียกหล่อนว่า ‘ไวท์’ ทั้งๆ ชื่อกลางของหล่อนคือไวโอเล็ตซึ่งไม่ได้สะกดด้วยตัว t เลย แต่ก็คงเรียกเพราะเห็นว่าหล่อนคล้ายกับสโนไวท์ เจ้าหญิงผู้เลอโฉมในนิทานนั่นเอง

หญิงสาวไม่เห็นว่าตัวเองจะสวยที่ตรงไหน แต่ก็นั่นแหละหลายคนบอกว่าหล่อนสวย ดูอย่างผู้ชายที่พยายามจะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับหล่อนนักนั่นไง คนเหล่านั้นมักจะมองหล่อนด้วยสายตาชื่นชมเปิดเผย หลายคนเคยชมหล่อนตรงๆ และอีกหลายคนก็ใช้วิธีมองอย่างโอ้โลม

“มามี้ จิจิ มามี้ จิจิ” มือเล็กๆ สะกิดเรียกให้หล่อนหันไปสนใจ

ลูกชายตัวน้อยของหล่อน หนูน้อย ‘ศศิระ ราฟาเอล มองตาญโญ’ ลูกชายคนเดียวของหล่อนกำลังน่ารัก แกกำลังฝึกพูด และตอนนี้ก็สามารถเรียก ‘มามี้’ และใช้คำง่ายอื่นๆ อีกเพื่อคุยกับหล่อน แกน่ารักและไร้เดียงสาเสียจนคนเป็นแม่ต้องยิ้มทุกครั้งที่มอง

“จิจิ เหรอครับ มามี้พาไปจิจินะ” หญิงสาวพาลูกน้อยเข้าไปฉี่ในห้องน้ำ จากนั้นจึงพาแกมานั่งตรงที่ล้างมือ หล่อนล้างหน้าเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง

“เธอต้องใจเย็นๆ ปั้นหยา สงบสติอารมณ์ไว้ เธอต้องหนีพ้นแน่” หญิงสาวพึมพำกับเงาในกระจก

โดยปกติชีวิตของหญิงสาวห่างไกลหลายโยชน์กับคำว่าโรแมนติก เธอไม่เคยฝันลมๆ แล้งๆ ถึงเจ้าชายเหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไป หญิงสาวเข็ดขยาดกับชีวิตคู่ซึ่งได้เห็นตัวอย่างจากบิดามารดาว่ามันช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ทั้งคู่ต่างทะเลาะกันด้วยมุมมองของตัวเองซึ่งต่างก็กล่าวโทษและชี้ความผิดของอีกฝ่ายให้เห็น แต่ไม่มีใครยอมรับความผิดของตัวเอง เหนืออื่นใด...ญามาติกาคิดว่าเป็นเพราะท่านทั้งสองต่างก็ได้มอบชีวิตครึ่งหนึ่งให้แก่กันและกัน และต่างก็เอาข้ออ้างนี้มาใช้เพื่อร้องขอให้อีกฝ่ายหนึ่งทำตามที่ตนเรียกร้อง

แม่ไม่ชอบสังคมของพ่อและขอให้พ่อให้ความสนใจกับแม่มากยิ่งขึ้น

พ่อขอให้แม่เข้าไปสู่สังคมของพ่อทั้งที่แม่ไม่ใช่คนที่จะทำแบบนั้นได้

ท้ายที่สุดทั้งสองก็ต้องแยกทางกัน

ญามาติกาอยู่กับแม่ที่บ้านสวนซึ่งพ่อทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติ และหล่อนตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นหลังจากสิ้นแม่ซึ่งเสียไปเมื่อหย่ากับพ่อเพียงสองปี...และอีกหนึ่งปีต่อมาหล่อนก็เสียพ่อ ท่านทั้งสองต่างก็ตรอมใจเพราะความรักที่มีต่อกัน พอใครคนหนึ่งจากไป...หัวใจของอีกคนหนึ่งย่อมแตกสลายตามไปด้วย หาก...ก็รู้ดีว่าตนต่างมีชีวิตแตกต่างเสียจนอยู่ร่วมกันไม่ได้

หญิงสาวเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ เมื่อจบชั้นมัธยมปลาย วางแผนไว้ว่าจะเมื่อเรียนจบแล้วจะเข้าทำงานบริษัทจนอายุยี่สิบหกจึงจะทำกิฟต์เพื่อมีลูกซักคนหนึ่งจากนั้นก็จะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านสวนกับลูกน้อยๆ ของหล่อน และใช้ชีวิตเรียบง่ายไปจนกระทั่งตาย

                ความตั้งใจแน่วแน่ของหล่อนสำเร็จดังที่วางแผนไว้ทุกอย่าง หลังจากทำงานเป็นบ้าเป็นหลังในบริษัทเพียงหกปีหล่อนก็เก็บเงินเพื่อบินไปทำกิฟต์ที่อเมริกาได้จนสำเร็จหลังจากความพยายามในครั้งที่สามของทีมแพทย์

หล่อนเลือกสเปิร์มของนักวิศวกรชาวอังกฤษคนหนึ่งในการทำกิฟต์ครั้งที่สาม และทุกอย่างเรียบร้อย ‘ตาหนู’ ของหล่อนถือกำเนิดขึ้นอย่างแข็งแรงและปลอดภัย หล่อนตั้งชื่อไทยให้เขาเป็นชื่อต้น ชื่อกลางเป็นสเปนและนามสกุลของหล่อนซึ่งได้มาจากแม่

 เพื่อนๆ ต่างก็บอกว่าหนูน้อยราฟมีใบหน้าคมเข้มจนเกินกว่าจะมีเชื่อสายอังกฤษตามพ่อซึ่งเป็นวิศวกรหนุ่มผู้ที่ทำการบริจาคสเปิร์มไว้ในคลัง เดาว่าน่าจะได้เลือดสเปนเข้มข้นของหล่อนไป เพราะหล่อนนั้นใบหน้ากระเดียดไปทางตะวันตกชัดเจนแม้จะมีเลือดสเปนแค่หนึ่งในสี่

ปัญหาอยู่ที่ตาหนูราฟไม่ได้มีใบหน้ากระเดียดมาทางหล่อนอย่างที่คนอื่นๆ สันนิษฐานกันน่ะซี! แกเหมือนพ่อของแกทุกระเบียดนิ้วชนิดไม่ต้องตรวจพิสูจน์ DNA ก็รู้ว่าเป็นลูกใครเลยต่างหาก

ก็ตาชีคอาหรับที่ขยันเป็นข่าวนักนั่นไง!

หล่อนไม่รู้ว่าทางโรงพยาบาลหรือศูนย์รับบริจาคสเปิร์มกันแน่ที่ผิดพลาด ทำให้สเปิร์มของนักวิศวะชาวอังกฤษไปสลับกับสเปิร์มของคุณชีคนั่นเข้า แต่เมื่อสองเดือนก่อนทางโรงพยาบาลก็ติดต่อมาเพื่อแจ้งข่าวนี้แก่เธอ ทั้งยังปัดความรับผิดชอบเอาดื้อๆ เมื่อฝ่ายนายชีคนั่นขู่จะฟ้องร้องหัวโต ลอยแพหล่อนรับชะตากรรมคนเดียว จนกระทั่งทนายของ             ชีค ‘อัสวาน บิลลอห์ ซาฮามาล’ โทรศัพท์มาเกลี้ยกล่อมเพื่อขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูและความเป็นผู้ปกครองโดย ชอบธรรมในตัวของลูกชายหล่อน

ลูกชายหล่อน!

ลูกชายของหล่อน!

เขาถือดียังไงมาถือสิทธิ์เหนือตัวหนูราฟ หนูน้อยเป็นลูกของหล่อนแท้ๆ หล่อนไม่มีวันยอม! ถ้าใครไม่รู้ฤทธิ์หล่อนก็จะได้รู้คราวนี้หล่อนจะสู้สุดชีวิตเลย ตานั่นจะใหญ่มาจากไหนก็เถอะ ญามาติกาจะไม่มีวันยอมยกตาหนูราฟาเอลให้เขาแน่

ใครๆ ก็รู้ว่า อัสวาน บิลลอห์ ซาฮามาล เป็นหนุ่มสังคมเนื้อหอม เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์อย่างร้าย เรือนร่างสูงใหญ่ประเปรียวมีเสน่ห์แห่งบุรุษเพศเต็มเปี่ยม คางตัดตรงบอกความทะนง ตาสีทองแดงเย้ายวน แม้แต่เธอซึ่งไม่เคยมองผู้ชายคนไหน ยังมองเห็นว่าเขามีเสน่ห์แค่ไหน เขาเป็นชีคหนุ่มมาดขรึมเข้ม เป็นสุภาพบุรุษทุกระเบียดนิ้วที่ออกข่าวสังคมแทบไม่เว้นแต่ละวันในฐานะชีคหนุ่มนักปกครองและนักธุรกิจผู้นำพา ‘ซิลวาร์’ แคว้นเล็กๆ กลางทะเลทรายของประเทศ ‘สาธารณรัฐอาหรับซาบิส’ ให้เจริญก้าวหน้าแบบที่เรียกได้ว่าก้าวกระโดด

แน่นอน...ชื่อเสียงของเขาต้องมาพร้อมกับผู้หญิงครึ่งค่อนโลกที่สนใจในตัวเขา ญามาติกาเดาว่าเพราะเหตุนี้เองเขาถึงใช้ผู้หญิงเปลืองเหมือนกระดาษสำนักงาน เดือนหนึ่งๆ มีข่าวกันผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ลำพังงานของเขากับผู้หญิงของเขาก็ล้นมือแล้ว คนแบบนี้จะดูแลตาหนูราฟของหล่อนให้ดีได้อย่างไร? ถ้าเขาคิดว่าจะพาตาหนูของหล่อนไปนั่งอยู่บนกองเงินอันไร้ซึ่งความรักความอบอุ่นละก็ อย่าหวังว่าจะได้ตาหนูไปเลย!

ญามาติกาใฝ่ฝันมาตลอดว่าจะมีลูก หลายครั้งหล่อนฝันว่าตัวเองอุ้มท้องนูนป่อง หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นที่สุด...เป็นสุขที่สุด เลือดเนื้อของหล่อนซึ่งถือกำเนิดในครรภ์ สายใยลึกลับบางอย่างถักทอร้อยรัดแน่นเหนียว หล่อนใฝ่ฝันว่าจะได้กอดร่างน้อยที่อบอุ่นเหลือเกินนั้นไว้แนบอก ได้กอบกุมมือเล็กๆ ได้เลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยให้เติบโต หล่อนตั้งชื่อลูกไว้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ

ฉะนั้น! ไม่มีวัน

ไม่! เด็ดขาดที่หล่อนจะให้ใครมาพรากลูกไป ไม่มีทาง อัสวาน บิลลอห์ ซาฮามาล เราต้องสู้กัน!

หญิงสาวคว้าร่างน้อยของลูกชายมากอดไว้แน่น

“มามี้รักราฟนะครับ เราจะหนีไปด้วยกัน ใครก็มาพรากลูกไปจากมามี้ไม่ได้ มามี้สัญญา”

 

แคว้นซิลวาร์

“หมายความว่ายังไงที่ว่าทหารหน่วยที่ดีที่สุดของแคว้นตามหาตัวผู้หญิงคนเดียวไม่พบ” อัสวาน บิลลอห์  ซาฮามาล เคาะนิ้วเบาๆ ลงบนแฟ้ม เขาไม่พอใจ ‘อย่างยิ่ง’ กับคำตอบที่หัวหน้าหน่วยลับ หน่วยที่ได้ชื่อว่าดีที่สุด...หน่วยที่ได้รับขนานนาม ‘เหยี่ยวทะเลทราย’ พังพาบไม่เป็นท่าเพราะถูกผู้หญิงคนเดียวปั่นหัว

ก่อนหน้านี้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่น่าให้อภัยขึ้น ศูนย์รับบริจากสเปิร์มที่ปลอดภัยที่สุดในสหรัฐอเมริกา ได้นำสเปิร์มที่เขาฝากให้เก็บรักษาออกมาผสมเทียมให้ผู้หญิงคนหนึ่ง โดยคิดว่าสเปิร์มที่เขาฝากให้เก็บรักษานั้นเป็นของนายโรเบิร์ต อิวจ์ วิศวกรชาวอังกฤษ เรื่องนี้เพิ่งถูกตรวจสอบและแจ้งให้เขาทราบเมื่อสองเดือนก่อนนี้เอง

ประเด็นมีว่าการผสมเทียมครั้งนั้นสำเร็จไปเมื่อเกือบสองปีก่อน และหญิงสาวผู้รับการผสมเทียมในครั้งนั้นก็ได้ให้กำเนิด ‘ลูกชายของเขา’

อัสวานได้เห็นรูปแล้ว แกเป็นเด็กชายวัยหัดพูด ตัวน้อยๆ น่ารักหนักหนา หน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะ เพียงเท่านั้น...สายใยแห่งสายเลือดและความผูกพันอันไม่อาจมองเห็นบางประการร้อยรัดเขาเอาไว้กับลูกชายตัวน้อย เขาต้องการได้ลูกของเขาคืนมา ไม่ใช่ไประหกระเหินอยู่กับผู้หญิงตัวเล็กๆ ซึ่งไม่ทราบจะดูแลลูกเขาได้ดีเท่าไร เขาให้ทางโรงพยาบาลดูแล ‘เรื่องนี้’ ให้เรียบร้อยเพื่อเป็นการแก้ตัวที่ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น แต่ทางโรงพยาบาลกลับทำให้ ‘เธอผู้นั้น’ เข้าใจผิดคิดว่าเขาจะฟ้องร้อง ดีที่เขาไหวตัวทันและส่งทนายไปเจรจากับหล่อนเสียก่อน...หาก โชคไม่ดีเอาเสียเลย หญิงสาวไม่ไว้ใจเขาและหอบลูกหนีไป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเขาให้หน่วยลับไปเฝ้าจับตาดูไว้แล้ว แต่หล่อนก็ยังหนีรอดออกไปได้โดยที่หน่วยลับ หน่วยทหารที่ดีที่สุดของซิลวาร์ไม่รู้เรื่องเลย

แสบเป็นบ้า!

ดวงตาสีทองแดงมองหัวหน้าหน่วยลับอย่างเย็นชา

“เตรียมคนมาให้ฉัน ฉันจะไปจัดการเอง ขืนปล่อยให้พวกนายมะงุมมะงาหราหากัน ลูกของฉันไม่รู้จะต้องระหกระเหินไปไหนอีก”

“ครับ”

“แล้วไปพิจารณาตัวเองเสียด้วย” เขาบอกเสียงเฉียบขาด อีกฝ่ายรู้ดีว่าตน ‘ต้อง’ ไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สอง 

ชีค อัสวาน บิลลอห์ ซาฮามาล ปกครองคนเด็ดขาดแค่ไหนใครๆ ก็รู้ ขนาดไม่ใช่คนในปกครองท่านก็เล่นงานย่อยยับไปแล้ว ดูอย่างโรงพยาบาลที่เป็นต้นเหตุของความผิดพลาดครั้งนี้ไง อัสวานสั่งทนายคำเดียวว่า

‘จัดการเสีย!’ เพียงเท่านั้น การดำเนินการตามกฎหมายเป็นไปอย่างดุดัน ฟ้องร้องกันถึงขั้นเกือบจะล้มละลาย ทีมกฎหมายจะมีช่องโหว่ไม่ได้ หาไม่แล้วทนายทั้งคณะจะถูกอัสวานสั่งให้กลับไปเรียนใหม่ ...คือสั่งปลดเสียยกทั้งทีมนั่นแหละ

ชีคอัสวานเป็นคนจริงซึ่งใครก็ ‘แหยม’ ไม่ได้

“ออกไปได้แล้ว”

“ครับ” หัวหน้าหน่วยรับคำสั่งและเดินออกไปจากห้อง ที่เดินเข้ามายืนแทนที่คือจามาลคนสนิทของชีคหนุ่มซึ่งมักยืนค้อมกายรอรับคำสั่งเงียบๆ

“ฉันจะไปตามลูกของฉันเอง นายไปกับฉันด้วย”

“ครับผม” จามาลรับคำก่อนเดินไปจัดการเรื่องส่วนตัวให้เจ้านายเงียบๆ ทิ้งให้อัสวานอยู่ลำพังเพื่อทบทวนความคิด ดวงตาสีทองแดงจ้องมองรูปหญิงสาวร่างบาง ผิวสีงาช้าง ตากลมโตเหมือนกวาง เรือนผมดำดุจรัตติกาลและริมฝีปากอิ่มสีเลือดน่าจุมพิต

ผู้หญิงที่อยากมีลูกแต่รังเกียจที่จะมีสามี

ญามาติกา ไวโอเล็ต มองตาญโญ! เราต้องสู้กัน

 

ตาหนูราฟมักวิ่งเล่นอยู่ในสวนหน้าบ้าน เพื่อนบ้านทุกคนต่างก็หลงเสน่ห์แห่งความน่ารักของแก ราฟาเอลน้อยเป็นเด็กช่างออดอ้อนและแข็งแรง

ญามาติกาใช้ชีวิตหลังจากหลบหนีมาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วในชาญเมืองนีซ เธอเลือกจะลงสนามบินที่ปารีสและนั่งรถมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองนีซเพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามจากบริษัทสายการบิน และซื้อบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งด้วยเงินเก็บที่เหลือทั้งหมดแถบชาญเมือง ซ่อนตัวเงียบเชียบ โดยคนที่นี่รู้เพียงว่าเธอคือมิสไวโอเล็ต และลูกน้อยเด็กชายราฟาเอล

                ต้องขอบใจชีวิตการทำงานเป็นบ้าเป็นหลังตลอดหกปีเต็มของเธอ ที่ช่วยให้เธอมีเงินเก็บมากพอสำหรับการหนี!

ญามาติกาใช้เวลาไปกับการนั่งเฝ้าดูลูกน้อยวิ่งเล่นในสวนหน้าบ้านและปลูกกุหลาบมากมายเพื่อให้สวนหน้าบ้านของหล่อนดูรกครึ้มตลอดเวลา หญิงสาวต้องกระเบียดกระเสียรอยู่บ้างเพื่อใช้เงินที่เหลือให้พอกับเวลาที่ต้องหลบซ่อน หล่อนวางแผนไว้ว่าหากชีคอัสวานยังตามหล่อนไม่เจอซักสามสี่เดือนก็จะเริ่มออกหางานทำบ้าง เพราะถึงตอนนั้นเงินหล่อนก็คงหมดเหมือนกัน

เสียงโทรศัพท์มือถือดังอยู่ในบ้าน หล่อนวิ่งเข้าไปทันสัญญาณสุดท้ายพอดีและพบว่าคนที่โทร.มาก็คือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของหล่อน

“ปั้นหยา! แกอยู่ไหนน่ะ” ทันทีที่รับสาย อีกฝั่งก็เสียงดังใส่

“อย่าโวยวายน่า เลดี้” หล่อนบอกอย่างเอือมระอา เป็นนิสัยส่วนตัวที่หล่อนจะรับสายเพื่อนด้วยน้ำเสียงแบบนี้โดยอีกฝ่ายไม่ถือสา และก็เป็นนิสัยส่วนตัวเหมือนกันที่ ‘เลดี้’ หรือ ‘มนตร์ปลายเดือน’ จะโวยวายใส่หล่อนโดยที่หล่อนไม่เคยรู้สึกรำคาญ

“ไม่ให้โวยวาย! แกไม่ให้ฉันโวยวายแต่ตัวเองกลับหายเงียบเข้ากลีบเมฆไปเป็นเดือนๆ โดยที่ฉันติดต่อไม่ได้เลยแถมยังไม่เปิดโทรศัพท์ ฉันนึกว่าแกถูกอีตาชีคบ้านั่นฆ่าหมกทะเลทรายไปแล้วซะอีก” มนตร์ปลายเดือนทราบทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับหล่อน ทั้งยังช่วยในบางเรื่องที่สามารถช่วยได้ อย่างเรื่องที่หล่อนหนีออกมาจากคนของนายชีคนั่นได้ก็เพราะได้ มนตร์ปลายเดือนช่วยเดินเรื่องกับสายการบินให้ ส่วนตัวหล่อนนั้นหลีกเลี่ยงที่จะออกไปไหนมาไหนเองเพื่อให้คนของอัสวานตายใจจนกระทั่งหนีออกมาได้โดยไม่มีทรัพย์สินอื่นๆ ติดมาซักชิ้น มีเพียงเงินสดในกระเป๋าสะพายใบเล็กของหล่อน และเสื้อผ้าติดตัวมาหนึ่งชุด ฉะนั้นอีกฝ่ายจึงไหวตัวไม่ทันเมื่อหล่อนหลบหนีออกมา

ญามาติกาเพียงทำเหมือนทุกวันคือพาลูกออกไปเลือกซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

“เสียใจด้วย อีตาชีคบ้าของแกยังไม่รู้ว่าฉันอยู่ไหน” หล่อนหัวเราะ และได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเล็กๆ ลอยมากับอากาศ คุณยายโรสข้างบ้านคงแวะมาเล่นกับตาหนูราฟ เสียงหัวเราะจึงดังและสดใสนัก

“ฉันละไม่เข้าใจแกเลยจริงๆ ว่าแกจะหนีเขาไปทำไม ดูเขาก็เป็นคนที่น่าจะพูดคุยกันรู้เรื่อง เป็นฉันน่ะนะ รับลูกก็รับไปแต่ขอให้เอาแม่ไปด้วยก็แล้วกัน” คนพูดหัวเราะคิก

ก่อนหน้านี้มนตร์ปลายเดือนเป็นอีกคนหนึ่งที่ติดอันดับแฟนคลับของอัสวาน หญิงสาวติดตามข่าวแทบทุกข่าวของเขา จนญามาติกาเคยค่อนว่า ‘หลงรูปจูบกระดาษ’ มาคราวนี้มนตร์ปลายเดือนจึงเชียร์ให้ญามาติกาจูบตัวจริงแทนเสียเลย

เรื่องบังเอิญแบบนี้มันหนึ่งในล้าน ไม่สิ...หนึ่งในร้อยล้านต่างหาก!

“เสียใจ ถ้าฉันต้องแต่งกับอีตาชีคบ้านั่น ฉันกลับไปคบนังเจนดีกว่า” สมัยเรียนญามาติกาเคยคบกับเพื่อนชายคนหนึ่งซึ่งเพื่อนในกลุ่มต่างก็รู้ดีว่าเป็นเกย์ และออกจะอ้อนแอ้นกว่าผู้หญิงด้วยซ้ำ หล่อนคบกับ ‘เจนภพ’ เพื่อกันท่าไม่ให้ชายหนุ่มน่ารำคาญทั้งหลายเข้ามาขายขนมจีบ และเจนภพคบกับเธอเพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริงกับพ่อแม่

“นังเจนมันกันตัวผู้ได้อย่างเดียวทำอย่างอื่นได้ที่ไหน นายชีคนั่นยังทำได้มากกว่า” มนตร์ปลายเดือนกลับว่าเสียอย่างนั้น

“ทำอะไร”

“อ้าว...เก๊าะทำอย่างที่ผู้ชายกับผู้หญิงเขาทำกันอ่ะ ทำอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น ชีวิตมันจะได้สดใสซาบซ่า สดชื่นดึ๋งดั๋ง...”

“พอเลยแก” ญามาติกาทำท่าขนพอง

“อ้าว รึไม่จริง คราวนี้อยากผลิตตาราฟน้อยอีกกี่คนก็ย่อมได้ ไม่ต้องมานั่งแย่งกัน” มนตร์ปลายเดือนหัวเราะ ใจนึกสนุกเพราะได้แกล้งเพื่อน

“หยาบคาย! แค่นึกภาพว่าฉันต้องทำอย่างนั้นกับอีตาชีคนั่นฉันก็ขนลุกจะแย่ อีกอย่างฉันว่าอีตานั่นคงไม่มีปัญญาผลิตน้องของตาราฟหรอก คงจะมั่วจนกระสุนด้านไม่มีปัญญาผลิตลูกเองแล้วแหงๆ ถึงได้ต้องถ่อเอาสเปิร์มไปพึ่งหมอ แล้วก็ยังจะมาแย่งลูกฉันไปแบบเนี้ย”

“ขอโทษนะ...แต่ผมว่าผมรู้จัก ‘อีตาชีคนั่น’ ดี และก็ขอยืนยันว่าเขายังมีปัญญาปั๊มลูกได้เป็นโหลเลย”

หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว โทรศัพท์ในมือร่วงลงพื้นเสียงดังเปรื่อง ขณะหมุนกายมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงนุ่นทุ้ม ตาสีทองแดงของเขามองหล่อนด้วยประกายวิบวับซึ่งคงเป็นประกายแห่งความโกรธ

อัสวาน บิลลอห์ ซาฮามาล!

“คุณอยากพิสูจน์ไหมว่ากระสุนผมด้านหรือเปล่า?” เขาถามพลางยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ต้อนหล่อนเข้าไปชิดกำแพงและใช้ลำแขนแข็งแกร่งพันธนาการหล่อนไว้

ญามาติกาตกตะลึงจนพูดไม่ออก

เสียงหัวเราะของตาหนูราฟแว่วมาตามลม เขาต้องเจอแกแน่ๆ!

หญิงสาวผวาผลักเขา พยายามถลาไปที่เสียงหัวเราะเล็กๆ แต่เขาก็ยึดตัวหล่อนไว้ด้วยการใช้ร่างกายใหญ่โตเบียดบังหล่อนเข้ากับผนัง ต้นขาแกร่งไปด้วยมัดกล้ามเบียดชิดเรียวขานุ่มสวย กลิ่นผิวเนื้อของบุรุษเพศลอยมากระทบโสตประสาท หัวอกหัวใจหล่อนเต้นแรงด้วยความสับสน ไม่คิดว่าเขาจะตามเจอแบบกะทันหัน เสียงมนตร์ปลายเดือนเรียกดังแว่วมาจากโทรศัพท์

“ปั้นหยา! ปั้นหยา แกเป็นอะไรน่ะ ฮัลโหลๆ”

ญามาติกายังพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี

“คุณสวยกว่าในรูป...” ตาสีทองแดงของเขามองหล่อนด้วยสายตาโลมเลียที่ไม่พยายามปกปิดเลย เป็นครั้งแรกที่ญามาติการู้สึกใจเต้นแรงกับเสน่ห์แห่งบุรุษ อัสวานที่อยู่ต่อหน้าหล่อนขณะนี้ไม่เหมือนกับที่เห็นในทีวีหรือหนังสือพิมพ์เลย เขาไม่ได้ดูสุขุมนุ่มลึกและมีมาดสุภาพบุรุษทุกระเบียดนิ้ว แต่กลับดูหยาบกระด้างและแรงร้อนชอบกล ราวกับ...สัตว์ป่าแน่ะ!

บ้าจริง! ญามาติกาเอ็ดตัวเอง ทำไมเธอจะต้องมารู้สึกอะไรเอาตอนนี้ ไม่ใช่เวลาเลย!

“อย่ามาจาบจ้วงฉัน แล้วก็ปล่อยด้วย ฉันต้องไปดูแลลูกของฉัน” เธอแข็งใจพูด แต่ก็รู้ตัวว่าเสียงสั่นไม่เป็นท่า

“ผมชมนะนี่” เขาท้วง “คุณขนลุกจริงๆ เสียด้วย แต่...เพราะความรังเกียจจริงๆ น่ะหรือ” เขาหรี่ตาสีสวย จ้องมองหล่อนแน่วนิ่ง โอยตาย...นี่เขาคงเข้ามาทันได้ยินหล่อนคุยโทรศัพท์กับมนตร์ปลายเดือนแน่ๆ

“ฉันต้องไปดูแลลูก” หญิงสาวหลุบตาต่ำ ทำให้มองเห็นหน้าอกแกร่งผ่านกระดุมเสื้อเชิ้ตที่แบะออก ผิวเนื้อเปิดเปลือยของเขาเป็นสีแทนสวย หนั่นแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อได้รูป

โอย...นี่หล่อนหลีกเลี่ยงดวงตาเป็นประกายวิบวับนั่นเพื่อจะมาเจอกับอะไรที่อันตรายพอกันอย่างนี้น่ะหรือ...ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจไม่ชวนมองบ้างหรือล่ะ?

“ลูกผมด้วยเหมือนกันที่คุณกระเตงมาถึงนี่” เขาว่า ฉุดสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงของหล่อนกลับมา

“ฉันอุ้มท้องเขามาในขณะที่คุณไม่” หล่อนโต้ด้วยแรงอารมณ์ อัสวานรู้สึกได้ถึงความเป็นอริอย่างโจ่งแจ้งจากหล่อน

“คุณไม่ใช่ต้นมอสที่มีเกสรตัวผู้กับตัวเมียไว้ในต้นเดียวกันเพื่อการผสมพันธุ์หรอกนะสาวน้อย ถ้าไม่มีผม ราฟาเอลก็ไม่เกิด”

“ผู้ชายอย่างคุณนี่เป็นเพศที่เห็นแก่ตัวและหลงตัวเองอย่างที่สุด เพียงแค่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาให้มีไอ้นั่นไว้สืบพันธุ์อันเดียวก็เที่ยวเหมาเอาว่าตัวเก่งสร้างลูกขึ้นมาได้” ยิ่งนานหล่อนยิ่งกรุ่นไปด้วยแรงอารมณ์เพราะคิดว่าเขาจะมาพาตาหนูไป

อัสวานจุ๊ปาก ประกายตาฉายแววอันตราย “สาวน้อย...ปากสวยๆ อย่างนี้ไม่ควรพูดจาหยาบคายเลย ผมไม่ได้พูดว่าเขาเป็นลูกผมคนเดียว ผมบอกว่าเขาเป็นลูกผมด้วยต่างหาก”

“แล้วจะเอายังไง” หล่อนหาทางเบี่ยงตัวออกจากพันธนาการแข็งแกร่งของเขา ชายหนุ่มไหวไหล่เล็กน้อยไม่ยี่หระต่ออาการดิ้นพล่านนั้น

“เราควรจะคุยกันนะมิสไวโอเล็ต ควรปรึกษากันเพื่อหาโอกาสที่ดีที่สุดให้แก่ตาหนู”

“ใช่! โอกาสที่ดีอย่างที่ทนายคุณบอก ยกสิทธิ์การดูแลกับตัวตาหนูให้คุณ ให้แกไปนั่งอยู่บนกองเงินกองทองของคุณ ศึกษาพฤติกรรมสำส่อนของคุณแล้วก็ให้แกเติบโตขึ้นมาแบบเดียวกับคุณ อย่าฝันว่าฉันจะยอม...เอ๊ะ?  ทำไมคุณ...ฉันพูดภาษาไทย...” ญามาติกาสับสน

“คุณย่าผมเป็นลูกครึ่งไทย แม้ท่านจะตายก่อนผมเกิดก็เถอะ แต่ท่านก็ทิ้งเลือดไทยไว้ให้ผมเสี้ยวหนึ่ง และก็เป็นแรงขับอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมศึกษาภาษาไทย” อัสวานตอบเรียบเรื่อย “นี่นะ มิสไวโอเล็ต การให้ตาหนูไปนั่งอยู่บนกองเงินกองทองอย่างที่คุณว่า ผมไม่เห็นว่ามันจะน่ารังเกียจตรงไหน ที่คุณไม่ชอบก็เพราะว่าคุณไม่มีกองเงินกองทองให้แกนั่งน่ะสิ การเลี้ยงเด็กต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม ถ้ายังไม่พร้อมก็อย่าหวังว่าจะเลี้ยงเด็กให้ดีได้ คุณเองยังต้องทำงานหาเงินงกๆ จะเลี้ยงแกให้ได้ดีได้ยังไง” เขาไม่โต้ประเด็นที่หล่อนกล่าวหาว่าเขาสำส่อน เพราะเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ

“การเลี้ยงเด็กสำคัญที่ความรักและการอบรมเอาใจใส่ คุณนั่นแหละที่จะไม่มีวันเลี้ยงแกได้ดี!” หล่อนหมุนตัวสะบัดเต็มแรง อัสวานโมโหเอาบ้างก็ปล่อยมือเสีย ให้หล่อนล้มกลิ้งไปกับพื้น

ปึก!

“โอ้ย! ไอ้บ้า คนบ้า” หล่อนด่า เหมือนสบถเพราะความเจ็บเสียมากกว่าจะด่าจริงๆ

“ระวังมารยาทของคุณหน่อย มิสไวโอเล็ต” ประกายตาคมกล้าของเขาแรงร้อนไปด้วยเพลิงโทสะ  

ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครดูหมิ่นเขาได้ถึงเพียงนี้  คนอย่างอัสวานเป็นพวกตาต่อตาฟันต่อฟัน เขาเป็นสุภาพบุรุษเสมอแต่ก็ไม่เป็นได้เท่าๆ กัน!

“มรรยาทของคุณต่างหากที่มันทราม ลอบเข้าบ้านฉัน ส่งคนคอยติดตาม ใช้กำลังทำร้ายร่างกายฉัน” หญิงสาวไม่ยอมแพ้

“คุยกันไม่รู้เรื่อง! คุณรวนผมตลอดเวลาเลย”

“ไม่รู้เรื่องก็ไปเสียซี ฉันจะไปดูลูก” หล่อนขยับจะลุกขึ้นแต่ก็สะโพกเคล็ดจากแรงปะทะตอนล้มจึงซวนเซไปมา  อัสวานเอื้อมมือมาช่วยจับแขนหล่อนแต่หล่อนก็สะบัดออกโดยแรงโดยเขาไม่ทันตั้งตัวก็เสียหลักล้มกลิ้งทั้งคู่ อัสวานโมโหจนสบถออกมาเป็นภาษาอาหรับ

“ผู้หญิงแสบ! ” เขากดไหล่เธอตรึงไว้กับพื้น ญามาติกาป่ายมือไปมาเพื่อประทุษร้ายร่างกายเขา “หยุดเดี๋ยวนี้มิสไวโอเล็ต! ผมจะเตือนเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับความร้ายกาจของคุณ” หญิงสาวไม่ฟังเสียง หล่อนสู้อย่างเลือดขึ้นหน้าเพราะเจ็บ ญามาติกาควรรู้ว่าผู้ชายอย่าง ชีคอัสวาน บิลลอห์ ซาฮามาล ไม่ใช่คนที่หล่อนจะท้าทายได้ง่ายๆ

ชีคหนุ่มคว้าแขนเล็กๆ ทั้งสองข้างของหล่อนรวบไว้ด้วยมือเดียว จากนั้นก็กระตุกเทคไทสีเทาราคาแพงระยับของตัวเองมาพันรอบข้อมือหล่อน ญามาติกาดิ้นพร่านทั้งแตะทั้งถีบ หล่อนงอตัวและดีดออกเหมือนกุ้ง อัสวานก็ไล่คว้าไว้อย่างทุลักทุเล

เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยเจอผู้หญิงที่ไหนจัดการได้ยากลำบากขนาดนี้มาก่อนเลย!

“ปล่อยฉัน! ไอ้คนป่าเถื่อน ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้! อุ๊...” เขาก้มหน้าลงมาประทับริมฝีปากกับหล่อน บดขยี้รุนแรงเพราะโมโห ขณะมือไล่คว้าข้อมือของหล่อนเพื่อจับมัด ขาแกร่งรัดท่อนขาเรียวไว้ไม่ให้แตะถีบ

“โอ้ย!” ชายหนุ่มร้อง ถอนริมฝีปากออก เลือดที่มุมปากไหลซิบๆ และเห็นรอยเขี้ยวฝังอยู่ชัดเจน

หล่อนกัดปากเขา!

โว้ย! เขาสบถในใจ ผู้หญิงอะไรร้ายกาจอย่างนี้

“กรี๊ด...” หล่อนกรีดร้องยาวเพื่อให้เพื่อนบ้านได้ยิน “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย! มีขโมยอยู่ในบ้านเรา!”           ญามาติกาตะโกน

“หยุด!” ชายหนุ่มร้องสั่ง หล่อนตอบสนองเขาด้วยการเอาศีรษะเล็กๆ ของตัวเองโขกเข้าที่เบ้าตาเขา

“โว้ย!” คราวนี้เขาร้องออกมาจริงๆ ด้วยความเดือดดาล เขาก้มลงกัดริมฝีปากหล่อนอย่างแรง

“โอ้ย!” หล่อนร้องบ้าง

“เอาสิ! ร้องอีกสิ! คุณร้องครั้งหนึ่งผมก็กัดทีหนึ่ง”เขาท้า

“ช่วยด้วย” สิ้นคำท้าของเขา หญิงสาวก็ตะโกนทันที

พระเจ้า! นี่หล่อนไม่กลัวเขาเลยใช่ไหม!

อัสวานจุ๊ปากอย่างเหลืออด เขากัดริมฝีปากหล่อนแรงๆ ครั้งหนึ่ง พอหล่อนร้องอีกเขาก็กัดอีก จนสุดท้ายชายหนุ่มต้องงับริมฝีปากสีเลือดของหล่อนให้หุบไว้ ตะโกนไม่ได้อีก ในที่สุดเขาก็มัดมือทั้งสองของหล่อนติดกันได้สำเร็จ    หญิงสาวหยุดดิ้นและแน่นิ่งไปจริงๆ หลังจากนั้นเพราะสลบ

“โอย...” ชายหนุ่มร้องพลางหอบ “พระเจ้า! ทำไมต้องส่งผู้หญิงร้ายกาจอย่างนี้มาเป็นแม่ของลูกผมด้วย” อัสวานเช็ดเลือดที่มุมปากตัวเองพลางครางเบาๆ “จะติดเชื้อบ้าไหมนี่”

ชายหนุ่มอุ้มหล่อนขึ้นพาดไว้บนบ่า พาหล่อนออกจากบ้านหลังเล็กเดินตรงไปที่สนามหญ้า เขาจำเป็นต้องพาหล่อนไปด้วยเพื่อตกลงเจรจากันเรื่องสิทธิในการเลี้ยงดูราฟาเอล และตาหนูก็อยู่กับแม่มาตลอด เด็กอายุขนาดนี้ถ้าจับพรากจากแม่แกก็คงจะขวัญเสียและสับสน

โอตาย...ราฟาเอลน้อยจะร้ายกาจเหมือนหล่อนหรือเปล่านี่?

ร่างน้อยๆ ของแกวิ่งเล่นกับจามาลและลูกน้องอีกสองสามคนของเขาอย่างสนุกสนาน พอเห็นเขาเข้าก็วิ่งตรงเข้ามาหา

“ปาปา” เด็กชายกระตุกเสื้อโค้ตของเขา จากนั้นก็ชี้มาที่ร่างของหญิงสาวซึ่งเขาพาดไว้บนบ่า “มามี้...หยับ”

“ครับ...มามี้หลับอยู่ อย่ากวนมามี้นะ เดี๋ยวปาปาจะพากลับบ้านเรา นะครับ” เด็กชายพยักหน้า อัสวานสั่งให้คนพาเด็กชายไปที่รถคันเดียวกับเขา จากนั้นก็พาร่างของหญิงสาวไปวางไว้ที่อีกเบาะหนึ่งบนรถคันเดียวกันและกลับออกมาสั่งการลูกน้องอีกเล็กน้อยเรื่องเพื่อนบ้านซึ่งอาจเห็นเหตุการณ์เข้า

“จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้มีเรื่อง ฉันขี้เกียจวุ่นวาย” คนของเขาแยกไปทำตามคำสั่ง มีเพียงจามาลเท่านั้นที่ยื่นผ้าเย็นสำหรับประคบรอยบวมมาให้พลางยิ้มเจื่อนๆ

“ขืนให้อยู่รถคนละคัน เกิดตื่นมากลางคันคงอาละวาดรถพัง” เขาพยักเพยิดไปที่หญิงสาวซึ่งหลับอยู่ในรถ มือก็ประคบถุงเย็นไปบนเบ้าตาซึ่งปวดตุบๆ และไม่ช้าก็คงจะมีรอยเขียวช้ำเป็นวงๆ ขณะที่จามาลช่วยประคบรอยบวมที่ริมฝีปากและแก้มให้

“ท่าจะร้ายน่าดูนะครับ” จามาลพูดเบาๆ เกือบหลุดขำกับใบหน้าบึ้งตึงของนาย

ก่อนเข้าไปในบ้าน นายของเขายังเนี๊ยบเป็นชีคหนุ่มเจ้าเสน่ห์ แต่ตอนกลับออกมานี่สภาพอย่างกับคนละคน     จามาลลงความเห็นว่านาย ‘ดูไม่จืด’ หน้าตามีแต่รอยข่วนกับจ้ำเล็กๆ ผมหยักศกสลวยยาวเพียงไหล่ที่มักรวบไว้ครึ่งศีรษะยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

ตอนนายเรียนต่อสู้ยังไม่เคยได้รอยเขียวช้ำซักหมัด นายเก่งเรื่องการต่อสู้จะตายไป ครูฝึกยังเคยถูกชกเสียมึนไปเลย แต่นี่ผู้หญิงเพียงคนเดียวกลับเล่นงานนายเสียมีสภาพย่ำแย่ อย่าว่าแต่หน่วยทะเลทรายที่ถูกปั่นหัวเสียย่อยยับเลย นายของเขาเป็นผู้บัญชาการกองทหารของแคว้นยังแย่ จะไม่ให้ขำไหวรึ!

“แกตลกมากไหมจามาล”

“เปล่าครับ”

อัสวานอยากจะเตะก้นคนที่บอก ‘เปล่าครับ’ แต่ไหล่ยังไหวระริกเพราะกลั้นหัวเราะ เขาไม่เคยโกรธจามาลจริงจังเสียทีเพราะต่างก็เป็นเพื่อนเล่นติดตามกันมาแต่สมัยเด็ก น่าแปลกว่าทั้งๆ ที่ตอนเรียนทั้งสองทะเลาะกันอย่างกับอะไร แต่พอโตขึ้นกลับรับหน้าที่ของตน และทำหน้าที่นั้นได้อย่างไม่มีบกพร่อง เขารับบทบาทของนายและจามาลรับบทบาทของผู้ติดตาม หากทั้งสองต่างรู้ดีอยู่แก่ใจในความเป็น ‘เพื่อน’ ซึ่งไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใดๆ และเพราะความเป็นเพื่อนนั้นเอง ทั้งคู่ต่างก็ทำหน้าที่ร่วมกันเพื่อปกป้องสิ่งที่ตนรักที่สุด...แคว้นซิลวาร์

“กลับไปถิ่นฉันเมื่อไหร่ละก็น่าดู” อัสวานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หล่อนสวยกว่าในรูปที่คนของเขาส่งมาให้มาก มากเสียจนเขาตกตะลึงเมื่อแรกพบ ชีวิตของเขาถ้าไม่ควงไฮโซก็ดารานางแบบ แต่หล่อนสวยกว่าใครทั้งหมดที่เขาเคยคบมา บางทีเลือดของหล่อนอาจผสมกลมกลืนกันได้อย่างลงตัวแทบไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มนึกเล่นๆ ตอนที่เห็นภาพหล่อนว่าเขาอาจจะเลี้ยงหล่อนไว้ดูเล่นซักพักเพราะหน้าตาก็สวยดี แล้วพอมาเห็นตัวจริงเขาก็บอกตัวเองว่าเขาอาจเลี้ยงหล่อนไว้ให้นานๆ กว่าที่เคยตั้งใจหน่อย เรื่องกลับกลายเป็นว่าเขายังไม่ทันเสนอก็ถูกหล่อนสนองอย่างรุนแรงเสียแทบหน้าหงายกลับมา

หล่อนสวยจนเขาปรารถนาจะครอบครอง...แต่ถ้าร้ายกาจขนาดนี้เขาก็ต้องห่วงสวัสดิภาพของตัวเองไว้บ้างเหมือนกัน!

 

มนตร์ปลายเดือนโยนเสื้อผ้าสองสามชุดลงกระเป๋า หล่อนหนีบโทรศัพท์ไว้ตรงซอกคอระหว่างเจรจาขอหยุดงานกับนายจ้างซึ่งก็คือแม่ของหล่อนเอง

หญิงสาวเกิดมาในครอบครัวซึ่งมีฐานะค่อนข้างพร้อม แม้ว่าจะเสียบิดาไปตั้งแต่เด็กแต่มารดาก็เลี้ยงดูหล่อนมาอย่างดีจนไม่รู้สึกว่าขาดความอบอุ่นอะไร ตรงกันข้าม บางครั้งคุณรดาผู้เป็นแม่ก็กลับทำให้หล่อนรู้สึกอุ่นจนร้อนได้ด้วยซ้ำ

ในตอนนั้นเองหล่อนกลับได้บ้านของญามาติกาเป็นที่หลบภัย...

ประเด็นมีอยู่ว่าเมื่อสิบนาทีก่อนหล่อนเพิ่งวางสายจากญามาติกาซึ่งอาจกำลังอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัยเพราะหล่อนได้ยินเสียงกระแทกดังเปรื่องมาจากปลายสายซ้ำยังมีเสียงคุกคามของชายคนหนึ่งดังแทรกเข้ามาด้วย

เขาคนนั้นน่าจะเป็น อัสวาน บิลลอห์ ซาฮามาล ชีคหนุ่มแห่งแค้นซิลวาร์ในรัฐอาหรับแห่งหนึ่ง และหากพูดตามหลักจริงๆ แล้ว เขาผู้นี้แหละที่เป็นพ่อของราฟาเอลน้อยหลานชายของหล่อน ลูกรักของญามาติกา!

เรื่องมันยาว...แต่กล่าวได้รวมๆ แล้วก็คือโรงพยาบาลอันดับต้นๆ แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาดันก่อความผิดพลาดใหญ่หลวงที่หยิบสเปิร์มของนายชีคนั่นซึ่งเขาฝากให้เก็บรักษามาทำการผสมเทียมให้แก่เพื่อนของหล่อน ก็เลยต้องมาแย่งลูกกันถึงขั้นหนีออกนอกประเทศกันอยู่นี่ แล้วตอนนี้เพื่อนรักของหล่อนก็ขาดการติดต่อกับหล่อนไปอีก ไม่ทราบว่าจะไปเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง คิดแล้วหล่อนก็อดห่วงไม่ได้ ก็คงจะต้องรีบไปดูไห้แน่แก่ใจล่ะว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่...หล่อนมีรางสังหรณ์บางอย่างว่า ญามาติกากำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน

ต้องรีบไปช่วยแล้ว!

“ทำไมอยู่ดีๆ ลูกก็จะลางานไปฝรั่งเศสแม่ไม่เข้าใจ”

“เลดี้จะไปตามหาปั้นหยาค่ะแม่ ยัยนั่นขาดการติดต่อไปเลย อาจถูกเจอตัวแล้วก็ได้” หล่อนเล่าลวกๆ

“ตายจริงยัยหนูของแม่” คุณรดาอุทาน ท่านรักญามาติกาเหมือนลูกคนหนึ่งและทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ       ญามาติกาตลอดมา “แล้วนั่นลูกจะไปกับใครน่ะ?”

“ตอนนี้น่ะไปคนเดียวค่ะ แต่แม่ช่วยส่งคนตามเลดี้ไปให้เร็วที่สุดนะคะ” หากหล่อนไปลุยเดี่ยวจะต้องอันตรายแน่ดังนั้นหญิงสาวจึงให้มารดาจ้างคนติดตามไปสมทบที่โน่นดีกว่า

“จ้ะๆ แต่อย่าวู่วามทำอะไรนะลูก ไปรออยู่ที่โน่นก่อน เดี๋ยวแม่จะให้คนตามไปสมทบ”

“ค่ะแม่”

“เลดี้ ดูแลกันดีๆ นะลูก”

“ค่ะ...เลดี้จะดูแลหยากับตาราฟให้ดีที่สุด” หญิงสาวโยนกระเป๋าขึ้นสะพายบนไหล่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา