ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  21.38K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) ศิษย์หลวงพ่อย้อย 3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

     ศิษย์หลวงพ่อย้อย 3

     ผอ.ยอดรักสร้างความประหลาดใจอีกครั้ง ด้วยมีความชำนาญในเรื่องพิธีกรรม จึงเป็นคนนำกล่าวคำบูชา คำอาราธนา คำถวายภัตตาหารให้พระสงฆ์ หรือเรียกว่ามัคนายกก็เห็นจะไม่ผิด

     “อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต ภิกขุ สังโฆ

     อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารนิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ”

     หลังทุกคนกล่าวคำถวายจบ พระสงฆ์ประนมมือขึ้นรับว่าสาธุ เฮียอ๋ากับเฮียใช้ประเคนอาหาร พระทั้ง 4 รูปล้อมวงฉันเพล สาธุชนนั่งพับเพียบสีหน้าสำรวม คำนวนแล้วมีประมาณยี่สิบกว่าคน

     หลวงพี่สายซดแกงไก่เสียงดังโฮก หลวงพี่จ่อยยิ้มให้ติ่งกับปาน หลวงน้ามหาฉันคำคุยสองคำ ผมก็เลยหันไปมองหญิง ชิดชนกกำลังทำแผลให้วนิดา ทั้งคู่เรียนห้องเดียวกันตอนม.ต้น ทั้งยังผลัดกันเป็นหัวหน้าห้อง จึงสนิทกันมากเฉกเช่นรุ่นพ่อ ลูกสาวเฮียอ๋าหันมาเจอ เธอจึงค้อนขวับเข้าให้ตามมารยาท

     “เป็นยังไงบ้างอ้อย พ่อพาไปหาหมอดีกว่าไหม”

     เฮียใช้สอบถามด้วยเป็นห่วง เขานั่งพับเพียบฝั่งขวาของหอฉัน ส่วนเฮียอ๋าแยกไปนั่งฝั่งซ้าย

     “ดีขึ้นแล้วค่ะ นกทายาพันผ้าให้แล้ว ไม่ต้องไปหาหมอหรอก” คนเจ็บอธิบาย

     “แน่ใจนะ ? ไม่ใช่เดินตกบันไดอีกรอบล่ะ”

     ฝ่ายพ่อถามซ้ำด้วยกังวล จึงโดนฝ่ายลูกทำตาเขียว ท่าทางเฮียใช้หวงลูกสาวมาก ถ้าอำนาจริอาจเล่นของสุง คงได้เจอของแข็งตีหัวแตก ว่าแต่เจ้าตัวหายไปไหนแล้ว ผมกวาดตามองทั่วบริเวณ จึงพบหมอซุ่มแอบดูหลังเสาใหญ่

     “ลูกสาวเฮียใช้น่ารักไม่เบา เห็นว่าเป็นดรัมเมเยอร์ด้วย คงมีแฟนเยอะล่ะสิ”

     เฮียอ๋าที่เคยนั่งเงียบมานาน ได้เริ่มรังควานเพื่อนอีกครั้ง ปรกติแกก็ปากดีแบบนี้แหละ

     “ผมให้อ้อยเป็นดรัมเมเยอร์ ก็เพื่อช่วยงานโรงเรียน ทำไมเฮียอ๋าถึงคิดอกุศล” เฮียใช้เริ่มการตอบโต้ “แต่จะว่าไป ลูกสาวเฮียอ๋าหน้าตาไม่เลว โตเป็นสาวแล้วเหมือนจ๋ามาก”

     “โอ๊ย ! ยายคนนี้ยังกะเปิ๊บกะป๊าบอยู่เลย เฮียใช้ก็พูดเกินไป” เฮียอ๋ารีบบอกปัด

     “จริงเหรอ…ทำไมผมได้ยินมาว่า มีไอ้หนุ่มที่ไหนไม่รู้ ซุ่มมองลูกสาวเฮียกลางดึก”

     ผมทำกระโถนหล่นพื้นดังโครม เมื่อได้ยินประโยคเด็ดจากเฮียใช้ ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว รวมทั้งสองเฮียเพื่อนรักเพื่อนแค้น เด็กวัดเซ่อซ่าเก็บกระโถนเข้าที่ เฮียอ๋าจึงเริ่มหาเรื่องต่อ

     “เฮียใช้โดนหลอกแล้ว ฟังมาจากเฮียโง้วล่ะสิ” คนพูดลอยหน้าลอยตา “ขานั้นไม่ชอบขี้หน้าผม คงใส่ไข่ไปเรื่อย ลูกสาวผมยังเด็กอยู่ ไม่มีเสน่ห์เหมือนลูกสาวเฮียใช้หรอก”

     “เด็กที่ไหนกัน น่ารักกว่าลูกสาวผมจมหู จริงไหมวะยอดรัก”

     คนหวงลูกสาวหันไปมองเพื่อน ผู้มีเคราแพะถึงกับเส้นกระตุก ผอ.ยอดรักโดนเฮียอ๋าจ้องมองด้วย

     “พวกนายเนี่ยนะ ให้มาทำบุญไม่ใช่มากัดกัน เปลี่ยนเรื่องคุยได้ไหม” มัคนายกพยายามห้าม

     “ไม่ได้ยอดรัก มันคาใจ” เฮียอ๋ามองซ้ายมองขวา ก่อนหยุดที่ผม “นายไม่บอกไม่เป็นไร ถามไอ้หนุ่มหน้ามนก็ได้ พูดมาเลยไม่ต้องเกรงใจ ลูกสาวใครน่ารักกว่ากัน”

     ผู้โชดร้ายกลืนน้ำลายอึกโต แล้วรีบหลบตาเฮียอ๋า ก็ดันมาเจอสายตาเฮียใช้ ผมต้องพูดอะไรซักอย่าง เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น วนิดาน่ารักเท่าชิดชนก พูดแบบนี้สองเฮียต้องพอใจแน่

     “วนิดาน่ารัก…” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ก็โดนเฮียอ๋าตะโกนขัด

     “นั่น ! ไอ้หนุ่มหน้ามนชอบลูกสาวเฮียใช้” คนพูดยิ้มยั่วยวนกวนโมโห

     “มันจะใช่เหรอ” เฮียใช้ปาดตามองเพื่อน “ผมเป็นคนต่างถิ่นไม่รู้จักใคร ส่วนเฮียอ๋าเป็นผู้กว้างขวาง มีลูกน้องบริวารเป็นโขยง เอาเด็กที่ไหนไม่รู้มาแกล้ง คิดว่าดีแล้วใช่ไหม”

     “เฮ้ย ! ผมบอกแล้วว่าไม่รู้จัก อยากหาเรื่องใช่ไหม” ผู้กว้างขวางทำตาขวางใส่

     “ก็เอาสิ ! อย่าคิดว่าผมมาคนเดียวแล้วจะไม่กล้า” คนต่างถิ่นท้าทายกลับ

     สองเฮียเข้าประชิดกลางวง พลางโต้เถียงใบหน้าแดงก่ำ เดือดร้อนลูกสาวต้องเข้ามาห้าม ผอ.ยอดรักต้องเข้ามากั้น แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล ผมนึกสงสารเพื่อนทั้งสอง ที่บิดาไม่รู้จักโตเสียที

     กระโถนใบหนึ่งลอยข้ามหัว กลิ้งหลุน ๆ ผ่านเฮียอ๋าและเฮียใช้ ก่อนมาจอดที่หน้าแข้งอำนาจ

     “อาตมาขอเถอะโยม วันนี้วันพระไม่ใช่วันไหว้ครู”

     ก่อนมวยวัดคู่เอกจะเริ่มชก หลวงน้ามหาได้ขอบิณฑบาต หลวงพี่จ่อยหน้าซีดเซียว ทว่าเจ้าอาวาสยังคงสำรวม คนบนวัดจ้องมองพระนักเทศน์ นอกจากพูดเก่งยังโยนแม่นต่างหาก

     บาปกรรมตามสนองเฮียอ๋า เมื่อโดนชิดชนกวีนใส่ สาวผมม้าเขย่าร่างไปมา ประหนึ่งว่าเป็นตุ๊กตาหมี เฮียใช้โดนหนักไม่แพ้กัน เพราะวนิดาหยิกเข้าให้ที่สะเอว โทษฐานที่พ่อทำตัวไม่สมเป็นพ่อ

     “ว่าแต่ท่านมหา ฉันเพลเสร็จ อย่าลืมปลงอาบัติด้วยล่ะ”

     เจ้าอาวาสเอ่ยปากเตือน เรื่องทำผิดวินัยสงฆ์ พระนักเทศน์ยกมือไหว้ขณะอมยิ้ม การฉันเพลดำเนินต่อไป แกงไก่ใส่มะเขือขายดีมาก หลวงพี่สายตักข้าวจานสอง หลวงพี่จ่อยเผ็ดหน้าแดงก่ำ ติ่งและปานจ้องมองหอยจ๊อ เค๊กบ้านสวนก็อร่อยใช่เล่น อำนาจเข้ามารวมกลุ่ม เพราะกลัวฤทธิ์เดชกระโถนบินได้

     “หลวงพี่มหาขยันมาก เห็นงานยุ่งแบบนี้ ยังแบ่งเวลาเตรียมสอบเปรียญธรรม 9 ประโยค”

     ผอ.ยอดรักเริ่มชวนคุย เพื่อให้บรรยากาศดีกว่าเดิม ภิกษุสงฆ์หัวเราะชอบใจ ก่อนวางจานข้าวตนเอง พระนักเทศน์ก็คือพระนักเทศน์วันยันค่ำ ใครคนหนึ่งได้กล่าวไว้

     “ขยันอะไรล่ะโยม อาตมาสอบรอบที่สามแล้ว” หลวงน้าจิบน้ำชาแล้วเล่าต่อ “ปีนี้ท่านสายก็สอบด้วย ตั้งใจจะเอาปรียญธรรม 5 ประโยคให้ได้ อาตมาเลยพลอยมีแรงฮึด ก็ว่าจะพาท่านจ่อยไปด้วย ยังไม่ได้ลงสนามก็ให้ไปดูไว้ก่อน ปีหน้าวัดหมูแดงส่งเข้าประกวด 3 รูป”

     “แต่ผมไม่เห็นด้วย พระจะเรียนมากไปทำไม การไปสู่นิพพานรู้แค่อริยมรรคก็พอ บางที่ผมก็อดคิดไม่ได้ ว่าที่พระเรียนมากไปนั้น เป็นเพราะเตรียมสึกหรือเปล่า”

     เฮียอ๋าผู้หมดฤทธิ์เดช บัดนี้ได้กลับมาแล้ว พร้อมความรู้ระดับนิพพาน ทำเอาพระเจ้านั่งเงียบทั้งวง

     “พระท่องแต่บทสวดมนต์ แล้วจะสอนญาติโยมอย่างไร” เฮียใช้เกริ่นนำก่อนร่ายยาว “เขาไปถึงดาวอังคารกันแล้ว พระต้องเรียนรู้ให้มาก พระพุทธเจ้า พระอัครสาวกทั้งสอง ท่านเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความรู้ ท่านจึงได้ผลในการประกาศพระพุทธศาสนา”

     ผอ.โรงเรียนเสาร์ห้าปล่อยของบ้าง เล่นถึงประกาศศาสนาเชียวหรือ ผมครุ่นคิดขณะมองวงอาหาร หลวงพี่จ่อยรวบช้อนวางจาน ด้วยว่ากดดันจนฉันไม่ลง เปิดช่องเบ้อเริ่มทันที

     “พี่แม้นคิดเหมือนผมไหม” เฮียอ๋าสะกิดคนข้างกาย “ไม่ทันไรก็อิ่มแล้ว กับข้าวคงไม่ถูกปาก อาหารเราไม่ใช่ของดี ท่านจะฉันให้เราชื่นใจทำไม ดูสิ… ฉันอย่างกับแมวดม”

     พระบวชใหม่สะดุ้งเฮือก พลอยไม่กล้าสบตาญาติโยม เจ้าอาวาสฟังจบแล้วนิ่งเฉย

     “คุณพี่เชื่อไหม” เฮียใช้บอกลุงชุดขาวบ้าง “ผมชอบไปทำบุญ ไปทีไรก็มีแต่ของอร่อย อุตส่าห์ถวายให้พระฉันก่อน แล้วค่อยกินส่วนที่เหลือ ที่ไหนได้… พระท่านฉันเรียบ ไม่รู้อดอยากมาจากไหน”

     หลวงพี่สายสะดุ้งเฮือก แล้ววางช้อนไม่กล้าตักแกงไก่ เจ้าอาวาสฟังจบแล้วนิ่งเฉย

     “เรื่องนี้อีกพี่แม้น” เฮียอ๋าไม่ยอมแพ้ จึงออกอาการกวนโอ๊ย “ผมไปทำบุญที่อยุธยา มีคนเต็มศาลายั้วเยี้ย ถึงเวลาหลวงพ่อพรมน้ำมนต์ ทีคนอื่นได้รับอย่างถ้วนหน้า ทีผมได้หยดสองหยด ก็เราไม่ใช่คุณหญิงคุณนาย ท่านจะมาสนใจใยดีทำไม ดูสิ… โดนเพียงหยดสองหยด”

     หลวงน้ามหาพลอยอิ่มไปด้วย พระนักเทศน์เปรยเบา ๆ ว่า โยมนั่งไกลหรือเปล่า น้ำมนต์เลยไปไม่ถึง

     “คุณพี่เชื่อไหม” เฮียใช้พูดบ้าง ลุงชุดขาวทำหน้าตื่นเต้น “ผมไปทำบุญที่นครนายก เจ้าอาวาสพรมน้ำมนต์จนเปียกโชก เห็นผมเป็นบ้าหรืออย่างไร อาบน้ำมนต์ให้มันเสียเลย”

     หลวงน้ามหาเกิดอาการน้ำติดคอ พระนักเทศน์เปรยเบา ๆ ว่า โยมนั่งใกล้ขันน้ำมนต์หรือเปล่า

     “เรื่องนี้เลยพี่แม้น” เฮียใช้ตีมือดังเพลี๊ยะ ทำเอาลุงแม้นตาเหลือก “ผมอัดอั้นตันใจมานาน เวลาคนวิจารณ์ว่าพระไม่ดีพระเสีย ทำไมพระไม่ออกมาตอบโต้ คนเขาก็ไม่รู้ความจริง เพราะได้ฟังความข้างเดียว ผมนี้คันปากยิกยิก ติดว่าตนเป็นฆราวาส แก้ตัวแทนพระก็ใช่ที่”

     เจ้าตัวออกลีลาเต็มร้อย เรียกเสียงเชียร์จากญาติโยมฝั่งซ้าย ผมครุ่นคิดในใจ เฮียนั่นแหละวิจารณ์พระมากที่สุด ได้สบตาชิดชนกอีกครั้ง เธอทั้งโมโหและหนักใจ ที่ผู้เป็นพ่อตกอยู่ในทิฐิ ความอวดดื้อถือดี

     “ทำแบบนั้นไม่ได้” เฮียใช้คุยกับลุงชุดขาวต่อ “ท่านเป็นพระสงฆ์องคเจ้า เป็นสมณะต้องนิ่ง ไปวุ่นวายโต้ตอบเขาไม่ได้ ปล่อยพวกผีบ้าพูดไปเถอะ เป็นสมณะต้องนิ่ง”

     พระทุกรูปรวมทั้งเด็กวัด นิ่งเป็นสมณะ !

     “พวกนายเนี่ยนะ หาเรื่องกันอยู่ได้ เราว่าพอก่อนเถอะ พระฉันข้าวไม่ลงแล้ว”

     ผอ.ยอดรักได้เข้ามาปราม มีการประกาศหยุดยิงชั่วคราว ผมจำไม่ได้ว่ารอบที่เท่าไหร่ แต่คิดว่าคงได้ไม่นาน ตราบใดที่สงครามยังไม่จบ อย่าริอาจนับศพทหารเด็ดขาด

     อาหารทั้งหมดถูกยกออกมา ถึงเวลาเค๊กบ้านสวนและผลไม้ หลวงพี่สายกับหลวงพี่จ่อยเลือกเค๊กนมสด เนียนนุ่มหอมกรุ่นโรยน้ำตาลละเอียด หลวงพ่อย้อยกับหลวงน้ามหาเลือกเค๊กฝอยทอง ฆราวาสต่างนั่งมองสมณะฉันเพล

     “ทิดมาก วานหยิบยาหม่องให้อาตมาที”

     หลวงน้ามหาเอ่ยปากกับชายคนหนึ่ง ผู้มีผมสั้นเกรียนท่าทางสำรวม เขาคนนั้นเดินไปยังท้ายศาลา อันเป็นกุฎิส่วนตัวหลวงน้ามหา เฮียอ๋ามองตามปากก็อยู่ไม่สุข

     “นั่น…หลวงพี่มากไม่ใช่หรือ เดือนก่อนยังเจอที่วัดตะขบเหนืออยู่เลย”

     “เพิ่งสึกได้ 2 อาทิตย์น่ะโยมอ๋า” หลวงน้ามหาช่วยบอกเรื่องคาใจ

     “เห็นแบบนี้แล้วผมขึ้น” คนพูดยกมือไหว้ “อย่าว่ากันเลยหลวงพี่ พระที่บวชแล้วสึก แปลว่ามีความอดทนต่ำ ยอมแพ้แก่อารมณ์ ตกเป็นทาสของอารมณ์ เป็นเครื่องหมายแห่งความพ่ายแพ้”

     “พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ทิดมากจำเป็นต้องดูแลครอบครัว” พระช่วยพูดแก้ต่าง

     “จริงครับหลวงพี่” เฮียใช้สวนขึ้นมาพลัน “ถ้าทิดมากบวชไม่สึก หมอนี่คงบอกว่า ทิดมากอาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ พระที่บวชใม่สึก เพราะหมดหนทางทำมาหากิน ใช่ไหมล่ะ”

     คำแก้ต่างของเฮียใช้ ทำพระทั้งวัดนั่งกันไม่ติด วนิดาถอนหายใจพลัน เธอหมดหนทางดึงรั้งบิดาไว้ จึงต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อน ไว้ค่อยคิดบัญชีในภายหลัง

     เฮียสองคนมีบุคลิกต่างกัน คนหนึ่งปากร้ายแบบจริงใจ อีกคนปากร้ายแบบสร้างภาพ สิ่งเดียวที่ยั่วโมโหเฮียใช้ได้ คือลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน เฮียอ๋าจะต้องเล่นงานจุดนี้แน่

     สุดท้ายเป็นจริงแบบที่คิด เฮียอ๋าใช้วนิดาจุดชนวน เฮียใช้โมโหเลือดขึ้นหน้า ลุกขึ้นมาโวยวายเสียงดัง นักเลงเจ้าถิ่นยืนประจัญหน้า มวยวัดคู่อาฆาตใกล้อุบัติขึ้น

     “หยุดก่อนท่านผู้เจริญ เราหยุดแล้ว ท่านล่ะ…หยุดหรือยัง”

     ขณะที่เฮียทั้งสองกำลังโต้เถียง พลันมีเสียงสวรรค์ดังแทรกรูหู ญาติโยมทุกคนจึงหันไปมอง พบชายไทยรูปร่างสัดทัด อายุอานามใกล้เคียง 60 ปี เขาผู้นี้สวมยูนิฟอร์มโรงงาน คล้ายว่าเป็นโฟร์แมนอาวุโส หน้าตายับเยินยู่ยี่ที่สุด ยืนขาถ่างอยู่ที่ส่วนรับรองแขก ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน

     “ครายกะได้บอกที” ผู้มาใหม่เงียบไปพักหนึ่ง “น้องจอยยยย...อยู่ที่หนาย”

     น้องจอย !! หรือว่า ลุงหมายถึงน้องจอยซู่ส์ซ่าส์บะลั่กกั๊ก หรือว่า ลุงคนนี้ก็คือ…ก็คือ

     ผมหันไปสบตาอำนาจ หมอตกใจตาโตขนหัวตั้งชัน เราสองคนตะโกนพร้อมกันว่า

     “ป๋าชิ !”

     “ช่ายยย… ป๋าชิมาหาน้องจอย แม่แตงร่มใบคนสวย เด็กฮาร์ดมาหาตะเองแล้วววว…”

     ผู้มาใหม่ทำขวดเหล้าหล่นพื้น แล้วเดินตุปัดตุแป๋เข้าใส่ ผมพยักหน้าให้อำนาจ เราสองคนวิ่งเข้าไปขวางกั้น สาธุชนต่างจ้องมองผู้มาใหม่ ด้วยความสงสัยและข้อกังขา

     “หาน้องจอย หรือว่า” เฮียอ๋ากำลังวิเคราะห์ ก่อนแหกปากเสียงดัง “ภายในวัดมีผู้หญิงซ่อนอยู่ !”

     คนพูดชี้มือไปที่กุฎิ ญาติโยมฝั่งซ้ายเริ่มไม่พอใจ ลุงแม้นเป็นต้นเสียงการโห่ฮา

    “บ้าไปใหญ่แล้ว เฮียอ๋ามีสมองหรือเปล่า ผู้หญิงที่ไหนจะอยู่ในวัด ใช่ไหมพวกเรา”

     เฮียใช้นำญาติโยมฝั่งขวาเข้าขวาง ถือเป็นเจตนาที่ดี ทว่าสร้างความวุ่นวายมากขึ้น เมื่อโดนอีกฝ่ายว่าไร้สมอง เฮียอ๋าก็เลยเลือดขึ้นหน้า เขาจะเปิดโปงให้ได้เป็นไงเป็นกัน

     เกิดการโกลาหลทั่วพื้นที่ ผมหันไปมองด้วยกังวลใจ พระทุกรูปย้ายไปยืนหน้ากุฎิ มวลชนปะทะกันหน้าหอฉัน สองสาวพยายามเข้าห้าม ทว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ชิดชนกโดนผลักล้มคะมำ

     “นายกันป๋าชิไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเรากลับมา”

     ผมรีบตัดสินใจเด็ดขาด เพราะทนนิ่งเฉยไม่ไหว ถ้าทุกคนได้ฟังความจริง คงเข้าใจและยอมเลิกลา จึงได้ปลีกตัวเดินจากมา มุ่งตรงไปยังจุดปะทะด้วยใจเด็ดเดี่ยว

     ทว่าผมตัดสินใจผิด ที่ปล่อยอำนาจไว้ลำพัง เขาเป็นคนตัวเล็กเท่าลูกหมา ไม่อาจต้านทานโฟร์แมนอาวุโส ชายขี้เมาผลักอำนาจหัวทิ่ม พลางเดินลิ่วเข้ากลางฝูงชน ป๋าชิชนเฮียอ๋าจากด้านหลัง คนโดนชนล้มทับเฮียใช้ การตะลุมบอนจึงเกิดขึ้น ลุงแม้นคว้าข้าวสวยขว้างปา ลุงชุดขาวใช้เค๊กเป็นอาวุธ ทิดมากและผอ.ยอดรักพยายามห้าม จึงโดนส้มเขียวหวานบินได้จู่โจม

     ผมได้พยายามดึงเฮียอ๋าออกมา แต่โดนเหยียบขาเข้าจังเบ้อ จึงตกใจร้องเจี๊ยกแล้วหันกลับ พลันมีหมัดลุ่น ๆ จับเข้าที่ปลายคาง คนโดนต่อยหงายเก๋งก้นจ้ำเบ้า มองเห็นดาวตอนกลางวันระยิบระยับ

     วนิดาเห็นเหตุการณ์พอดี จึงรีบตรงเข้ามาช่วยเหลือ บังเอิญลุงแม้นปะทะลุงชุดขาวอยู่ สองผู้เฒ่าเสียหลักหัวทิ่มพื้น ดรัมเมเยอร์สาวโดนลูกหลงไปด้วย เธอล้มลงบนร่างเด็กวัดจำเป็น

     วนิดาเป็นสาวเต็มตัวแล้ว… ผมสีน้ำตาลเข้มหอมรัญจวนใจ ร่างของเธออ่อนนุ่มทั้งตัว เว้นก็เพียงหัวเข่าอันแหลมคม บังเอิญว่ามันกระแทกกลางลิ้นปี่ ผมนี้จุกหายใจไม่ออก อวัยวะทั้งหมดไม่ทำงาน เว้นก็เพียงดวงตาทั้งสองข้าง ในจอเรดาร์ปรากฎลูกสาวเฮียอ๋า ยืนทำตาเขียวขมวดคิ้วกัดปากแน่น ชิดชนกโมโหควันออกหู เมื่อเห็นวนิดาอยู่ในอ้อมกอดเด็กวัด

     แม่สาวผมม้ากระทีบเท้าแล้วจากไป ผมเรียกชื่อเธอแต่ดันไม่มีเสียง ลุงแม้นกับลุงชุดขาวฟัดกันต่อ วนิดาร้องโอดโอยเจ็บแผลเก่า ผมฝืนตัวประคองเธอเดินจากมา ชิดชนกหายได้ตัวไป พร้อมความเข้าใจผิดใหญ่หลวง

     สงครามนี้มีทีท่าบานปลาย ผอ.ยอดรักและทิดมากใกล้หมดสภาพ ผมรีบหันไปมองหอระฆัง ถ้าใช้เสียงดังอาจห้ามศึกนี้ได้ จึงพยายามเดินฝ่าฝูงชน ตรงไปยังกลองยักษ์ใบนั้น แต่แล้วผมก็พลาดท่า โดนยื้อยุดฉุดกระชากล้มคว่ำ โอกาสสุดท้ายหายวับไปแล้ว ไม่มีใครหยุดการจลาจลนี้ได้

     “โครม…!!”

     ทันใดนั้นเองเกิดสิ่งไม่คาดคิด เฮียใช้และเฮียอ๋าตัวก่อเหตุ โดนน้ำเย็นสาดใส่จนเปียกโชก เหล่าญาติโยมพากันแตกฮือ พลางหันไปมองผู้กระทำ เจ้าอาวาสยืนเคียงข้างพระนักเทศน์ ท่านมีถังเหลืองในมือ

     “ก่อนพวกโยมจะตีกันต่อ อาตมาขอถามเรื่องเดียว ใครทำแว่นเด็กคนนี้หัก”

     หลวงพ่อย้อยเอ่ยปากอย่างสำรวม สีหน้าแววตานิ่งเป็นสมณะ ทุกคนจ้องมองเด็กหนุ่มผู้มีสิวประปราย เขาชูแว่นตาขึ้นสุงเหนือหัว กรอบแว่นหักสองท่อนหมดสภาพ เจ้าของแว่นเลอะแกงไก่หัวถึงเท้า ใบหน้าอำนาจโมโหอย่างที่สุด สาธุชนพากันหนีกระเจิง บ้างก็เดินอ้าวลงจากศาลา บ้างก็เข้าห้องน้ำทั้งที่ไม่ปวด สงครามครุเสดเป็นอันยุติลง

     พระอาวุโสวางถังเหลือง พร้อมก้าวย่างอย่างสำรวมจากไป ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก

     “หลวงพ่อไปไหนล่ะครับ แล้วทางนี้จะเอายังไงดี” ผอ.ยอดรักรีบถามพระอีกรูป

     “ท่านเจ้าคุณไปปลงอาบัติ เรื่องพวกนี้อาตมาไม่รู้ดอก เชิญพวกโยมว่ากันตามสะดวก”

     หลวงน้ามหาเฉลยปริศนาธรรม พลางย่างก้าวตามหลวงพ่อไป ติ่งย่องเข้ามาเก็บถังเหลือง ตาก็มองหอยจ๊อหล่นพื้น เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก เด็กน้อยหน้ามู่ทู่ด้วยเสียดาย

                   ---------------------------------------------

     พวกเราทำความสะอาดลานกว้าง ที่อดีตเคยเป็นสมรภูมิรบ ส่วนรับรองแขกมีผู้คนจำนวนหนึ่ง บ้างยืนบ้างนั่งคละเคล้ากันไป หลังการปะทะยุติลง ทุกคนทยอยเดินทางกลับ ทว่าเฮียอ๋าและเฮียใช้หนีไม่ทัน โดนผอ.ยอดรักคุมตัวไว้ ทั้งคู่นั่งหน้าเศร้าอยู่ที่พื้น ใบหูแดงเถือกเพราะโดนลูกสาวบิด บทลงโทษตามมาทันที

     “นักเรียนตัดแว่นตาจากร้านไหน” ผอ.ยอดรักสอบถามเจ้าของแว่น

     “ห้างแว่นทิดเจริญครับ” อำนาจตอบกลับขณะเช็ดแกงไก่บนหัว

     “เอาแบบนี้นะ” ผอ.ยอดรักหันมองเพื่อน ด้วยสายตาตำหนิติเตียน “พวกนายไปร้านแว่นเดี๋ยวนี้ แล้วซื้อแว่นรุ่นนี้มาคนล่ะอัน เพื่อเป็นการชดใช้ความผิด เข้าใจไหม”

     “เราไม่ว่าง เมียใช้ให้ซักผ้า กวาดบ้าน ล้างจาน หุงข้าว” เฮียอ๋าทำตัวน่าสงสาร

     “แว่นหักอันเดียว ทำไมต้องซื้อสองอันด้วย ให้เฮียอ๋าซื้อสิ” เฮียใช้โยนขี้ให้เพื่อน

     “อ้าว ไหงงี้ล่ะเฮียใช้ คุณหาเรื่องผมก่อนนะ” เฮียอ๋าจึงโวยวายกลับ

     “ไม่ต้องเถียง ! เราบอกแบบไหนก็แบบนั้น เข้าใจก็ไปได้แล้ว ภายในเย็นนี้ของต้องถึงวัด”

     ผู้สวมเสื้อลายสก๊อตทำเสียงดุ เพื่อนทั้งสองหน้าจ๋อยเดินจากไป คนทำผิดได้รับการลงโทษ ผมบ่นพรึมพรำด้วยโล่งอก ขณะทำงานของตัวเอง เมื่อมีคนสะกิดแขนจากด้านหลัง ลูกสาวคนสวยของเฮียใช้นั่นเอง

     “เราขอโทษแทนพ่อด้วย กลับบ้านโดนแม่จัดหนักแน่” ใบหน้าวนิดาเศร้าตามกัน

     “ไม่เป็นไร อำนาจโดนหนักกว่าเราอีก ว่าแต่…ลงบันไดไหวนะ” ผมมองข้อเท้าขวา

     “สบายมาก อีกสองวันวิ่งปร๋อได้แล้ว เรากลับก่อนนะ แล้วเจอกันในเฟส”

     อดีตดาวโรงเรียนส่งยิ้มหวาน อย่างน้อยเธอก็ยังยิ้มได้ ผมเดินไปส่งวนิดาที่บันได เฮียใช้ยืนหน้าบึ้งจ้องมองอยู่ รถเก๋งสีดำขับตามรถกระบะสีเขียว เจ้าของรถกระบะก็คือเฮียอ๋า ว่าแต่ลูกสาวเฮียหายไปไหนแล้ว มัวแต่วุ่นวายจนไม่ทันสังเกตุ

     ทั่วทั้งวัดเหลือแค่พระกับลูกศิษย์ ผมมองซ้ายแลขวาค้นหาหญิง หันกลับมาเจอมัคนายกเข้า เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ใช้สองมือไขว้หลังอันเป็นเอกลักษณ์

     “ไม่คิดเลยว่าจะวุ่นวายแบบนี้ เอาเป็นว่า…อาจารย์ขอโทษแทนเพื่อน นี่แน่นักเรียน”

     คนพูดยื่นของในมือให้ มันคือโทรศัพท์หน้าจอ 4.5 นิ้ว ราคาประมาณสามพันกว่าบาท

     “อาจารย์เพิ่งเปลี่ยนมือถือใหม่ แล้วเขาแถมเครื่องเล็กให้”

     เจ้าตัวพูดจบก็ยิ้มแป้น ทำผมประหลาดใจยิ่งขึ้น หมายความเขายกโทรศัพท์ให้ เครื่องใหม่เอี่ยมเลยเนี่ยนะ เขาจะยกให้ผมทำไมกัน ในเมื่อวันก่อนยังแขวะใส่อยู่เลย

     “ขอบคุณครับ อาจารย์ไม่ใช้เป็นเครื่องสำรองล่ะครับ” ผมยกมือไหว้แต่ละล้าละลัง

     “เครื่องเก่ายังดีอยู่เลย ที่ซื้อใหม่เพราะโดนบังคับ” ผอ.ยอดรักได้เผยความลับ พลางจ้องมองมาด้วยแววตาโอบอ้อมอารีย์ “นักเรียนรับไปเถอะ จะได้อัพเดทพูดคุยกับเพื่อน”

     “ก็ดีอยู่นะ แต่…มันจะดีนะครับ” ผมยังคงลังเลใจไม่เลิก

     “ดีสิ” เจ้าตัวยืนยันหนักแน่น “ถ้าอาม่าบ่นเรื่องนี้ เดี๋ยวอาจารย์ไปอธิบายให้ฟัง”

     ว่าแล้วคนพูดก็ยิ้มต่อ ก่อนขอตัวไปลาเจ้าอาวาส ผอ.ยอดรักก้าวเท้าลงบันได ตรงไปที่รถกระบะฟอร์ดเรนเจอร์สีส้ม คาวบอยหนวดแพะจากเท็กซัส ลากป๋าชิขี้เมาติดรถไปด้วย

     “หวานคอแร้ง แหล่มเป็ด รุ่นนี้เพิ่งออกใหม่เลยนะ” อำนาจลูบคลำโทรศัพท์

     “นายคงไม่ว่า ที่เราได้คนเดียว” ผมรีบสอบถามด้วยเกรงใจ

     “เฮ้ย ! เรามีมือถือตั้งสองเครื่อง” คนพูดโชว์ไอโฟนในมือ แล้วพูดถึงเรื่องของตน “เรานี่โคตรโชดดีเลย ได้แว่นใหม่ตั้งสองอันเชียวนะ ไม่งั้นเย็นนี้โดนแม่ด่าเปิง”

     อำนาจหัวเราะชอบใจ แว่นที่สวมติดกาวตราช้างแน่นหนา เจ้าตัวเริ่มโม้เรื่องอื่น พอเบื่อก็หันไปหาติ่งและปาน ใครบางคนเดินเข้ามาสมทบ ชิดชนกลูกสาวเฮียอ๋ากลับมาแล้ว

     “กินก๋วยเตี๋ยวได้แล้วครับ ปล่อยพวกบ้าพลังอดข้าวไปเถอะ”

     ชิดชนกได้กล่าวเชื้อเชิญ ติ่งและปานจึงกระโดดเข้าใส่ เธอซื้อก๋วยเตี๋ยวมาตั้งหลายถุง จัดใส่จานยกมาเสิร์ฟถึงที่ ผมถึงรู้ตัวกับเขาบ้าง ว่ายังไม่ได้กินข้าวกลางวัน นี่ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสอง พยาธิในท้องส่งเสียงระงม คิดได้ดังนั้นจึงเดินเข้าใส่ แต่ยังช้ากว่าอำนาจถึงสองก้าว

     “เจ็บแผลหรือเปล่า เห็นโดนทั้งหมัดทั้งเข่า เราช่วยดูให้เอาไหม”

     ระหว่างซดน้ำก๋วยเตี๋ยวอยู่นั้น เจ้าภาพได้เอ่ยปากทัก ผมจึงหันหน้าไปมอง ชิดชนกยักคิ้วข้างเดียวให้ ทว่าลูกชิ้นหมูนั้นติดคออยู่ จึงส่ายหน้าเป็นการบอกกล่าว ผู้ชายมักปากแข็งเหมือนกันทุกคน

     “ตามใจ” สาวน้อยงอนเล็กน้อย “ทำไมตอนบิณฑบาต ไม่เห็นผ่านหน้าบ้านเราเลย”

     “หลวงพ่อเดินสายตลาดสด สุดที่โรงสีเก่าแล้ววนกลับ”

     ผมตอบหลังกลืนลูกชิ้นสำเร็จ คู่สนทนาจึงร้องว่าอ้อ สาวน้อยตากลมนั่งมองอย่างเดียว ด้วยไม่อยากแกล้งคนหิว กระทั่งพวกเราจัดการธุระเสร็จ เธอจึงลุกขึ้นยืนพลางสบตา

     “โทรศัพท์ใช้ได้แล้ว ไลน์บอกเราด้วย แค่นี้นะ”

     แล้วชิดชนกก็เดินจากไปเหมือนเช่นเคย คราวนี้ไม่มีค้อนวงโตนะครับ สาวน้อยซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์วิน ผมมองตามขณะยิ้มให้ตัวเอง อำนาจก็มองตามแต่ยิ้มไม่ออก

     “ทำไมยายหูกางให้นายไลน์บอก โทรศัพท์ใช้ได้แล้วยังไง” คนพูดทำหน้าสงสัย

     “ไม่รู้สิ เราไม่ทันได้ถาม”

     ผมตอบกลับใบหน้าเลื่อนลอย พลางจ้องมองประตูวัดหมูแดง อำนาจเริ่มประชดตามหน้าที่ เขาอิ่มแปร้เพราะซัดไปเต็มคราบ ติ่งและปานก็อิ่มเช่นกัน จึงเริ่มซุกซนตามประสาเด็ก รถกระบะคันหนึ่งแล่นตรงเข้ามา สัปเหร่อเท่งเปิดประตูคนขับ เขามาพร้อมกับหญิงสุงวัยสวมชุดดำ

     รถเก๋งสีบอร์นเงินคันหนึ่ง เลี้ยวตามเข้ามาจอดคู่กัน ทรงเดชเปิดประตูผู้โดยสาร นักบาสร่างโตโบกมือหยอย ๆ แล้ววิ่งขึ้นบันไดมาหาเพื่อน เขามีผ้าปิดจมูกเนื่องจากเป็นหวัด

     “โว้ย ! ใจร้ายชะมัด ไม่โทรมาชวนซักแอะ” คนมาใหม่โวยวายเสียงดัง

     “เฮ้ย ! เราไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าแต่นายเป็นหวัดไม่ใช่เหรอ” อำนาจแย้งและถามต่อ

     “หายแล้วน่า” คนพูดชี้ไปที่เป้สะพายหลัง “คืนนี้เรานอนด้วยนะ ขอแม่เรียบร้อยแล้ว”

     “แปลกคนแท้ อยากนอนค้างก็ตามใจ แต่ว่า…” ผมหันไปมองด้านล่าง ในใจก็ยังลังเล สุดท้ายจึงพูดต่อ “อยากให้นายช่วยงานด้วย เรากับอำนาจหมดแรงแล้ว”

     “สบายมาก ให้ทำอะไรบอกมาเลย ไม่คณามือนักบาสโรงเรียนหร๊อก”

     ทรงเดชรับคำเสียงแหลม พลางหักข้อมือโชว์ความเข้มแข็ง ผมและอำนาจต่างซ่อนรอยยิ้ม ขณะเดินนำทุกคนลงไป สัปเหร่อเท่งยืนอยู่ที่ท้ายรถ รอรับน้องใหม่ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

     “พร้อมแล้วนะ นายตัวโย่งอยู่หน้าสุด ที่เหลือสองคนคอยประคองท้าย”

     สัปเหร่อคนเก่งจัดตำแหน่งยืน ก่อนกระโดดเข้าไปในตัวรถ ทรงเดชเดินเข้ามามอง แล้วก็ต้องตกใจฉี่แทบราด ท้ายกระบะมีลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง นอนนิ่งไม่หายใจอยู่ในผ้าดิบ

     “เย้ยยย...!” เจ้าตัวใช้มือปิดจมูก ทั้งที่ใส่ผ้าปิดจมูกอยู่แล้ว “นายอย่าบอกนะว่า ว่า..”

     “ใช่อย่างที่คิดเพื่อน เราจะนำลุงดำมาใส่โลง เพื่อจัดงานศพเย็นนี้”

     ผมตอบคำถามด้วยความสุขุม พลางช่วยจับปลายขาผู้วายชนม์ ทรงเดชตาเหลือกด้วยแปลกใจ ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หมอนี่กลัวผีที่สุดในสามโลก แล้วทำไมถึงกล้าทำขนาดนี้ ด้วยศักดิ์ศรีนักบาสโรงเรียน เขาจำเป็นต้องทำหน้าที่ต่อ ทั้งที่กลัวจนมือไม้อ่อนขาสั่นพับ ๆ

     สิ่งที่ทรงเดชรู้สึกสงสัย คงให้คำตอบชัดเจนไม่ได้ ผมเป็นคนกลัวผีอย่างออกหน้า ส่วนทรงเดชกลัวผีอย่างหลบซ่อน แต่ว่าวันนี้ผมไม่รู้สึกกลัว ไม่เลยซักนิดเดียว

     ป้าปราณีอายุมากแล้ว เธอตัวคนเดียวไร้ญาติขาดที่พึ่ง ถ้าผมและเพื่อนไม่ช่วยเหลือ ป้าคงลำบากอย่างถึงที่สุด ตอนที่ผมอายุ 4 ขวบ พ่อต้องจากไปด้วยอุบัติเหตุ ตอนนั้นพวกเราอยู่ที่กรุงเทพ แม่จัดการทุกอย่างเพียงลำพัง ถ้าไม่ได้พระที่วัดช่วยเหลือ งานศพพ่อคงล่มกลางคันแน่ คิดได้ดังนั้นผมจึงไม่กลัวลุงดำ

     นาทีนี้ผมสบายใจขึ้น แม้ยังไม่บรรลุธรรมซักข้อ ผมจะมาช่วยงานศพทุกวัน ไม่ว่าเพื่อนจะมาหรือไม่มา บางทีผมอาจตัดสินคนผิด โดยเฉพาะผอ.ยอดรักผู้มีเคราแพะ ผมจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่คิดวอกแว่กเรื่องโน้นเรื่องนี้อีก ท้ายสุดที่คิดได้ก็คือ จะหาทางปลีกตัวจากเพื่อนทั้งสอง เพื่อกลับไปเอาซิมโทรศัพท์ คอยพี่ก่อนนะจ๊ะ แม่สาวขี้งอนผมม้าตาโต

                     ---------------------------------------------

หมายเหตุ : ได้รับแรงบันดาลใจจากบทสนทนาธรรมเรื่อง “สากัจฉา” สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา