รักหมดใจ...เจ้าชายกระดาษ (Re-Write)

8.0

เขียนโดย ภรณ์นิชา

วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 12.19 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,752 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 11.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) 7 | ภีม (110%)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รักหมดใจ...เจ้าชายกระดาษ

7 | ภีม (110%)

เว็บขีดเขียน

'มันไม่มีอะไรหรอก เชื่อใจภีมนะ’ - ภีม

 

     ไม่ใช่แค่แม่ ปริ๊นซ์และซาร่าที่มองไม่เห็นรายละเอียดบนกระดาษ ยังมีน้ำค้าง พ่อและเหยื่อทดลองอีก 4-5 คนที่มองไม่เห็นเช่นกัน

     ซึ่งก็หมายความว่าฉันไม่สามารถเอาอีกระดาษแผ่นนี้ไปพิสูจน์อะไรได้เลย!

     รู้ว่าเป็นกระดาษวิเศษ แต่ไม่ต้องลึกลับขนาดนี้ก็ได้ม้าง กระดาษผี!

     ฉันเบ้ปากใส่กรอบรูปที่ตอนนี้ย้ายกลับไปอยู่บนผนังห้องนอนรวมกับรูปอื่นๆ เหมือนอย่างตอนแรก ก่อนจะมองตัวเลขที่มุมล่างซ้ายที่ตอนนี้กลายเป็น 93 วันแล้วเรียบร้อย ซึ่งตัวเลขนี้จะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเริ่มเข้าวันใหม่ มันจะค่อยๆ เลือนแล้วเปลี่ยนเป็นจำนวนที่น้อยลง ตามแต่ละวันที่วันที่ผ่านไป

     เป็นความรู้สึกที่หวั่นใจแปลกๆ เหมือนนั่งมองระเบิดเวลาที่ไม่รู้ว่าถ้าลดไปจนถึง 0 จะเกิดอะไรขึ้น

     กระดาษทำลายตัวเอง?

     ปีศาจมาเยือน?

     หรือ…

     คนในรูปจะหายไป?

     ติ๊ง!

     ฉันสลัดความรู้สึกโหวงๆ ในอกออก แล้วก้มมองโทรศัพท์ที่ส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าใหม่

     PRINCE : ออกมาได้แล้วแว่น สายจังวะ

     ฉันเบ้ปากอย่างหมั่นไส้อีกรอบ แค่อ่านก็นึกสีหน้าเจ้าของข้อความออก หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของป้าแว่นและเจ้าชายเวอร์ชั่นปีศาจนี้ค่อนข้างดีขึ้นตามลำดับ ถึงจะห้วนๆ กวนๆ ไปบ้าง แต่ขอแค่ไม่เอ่ยปากถึงเรื่องประหลาดที่ฉันยังหาคำตอบไม่ได้ก็เป็นอันสงบสุข

     ก็…เกือบๆ เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนได้แล้วมั้ง

     ‘เพื่อน’ พอคำนี้เกิดขึ้นมา อยู่ๆ การพิสูจน์หาคำตอบใดๆ ก็เริ่มไม่จำเป็นซะงั้น ไม่รู้สิ ฉันแค่รู้สึกว่ามันคงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความจริงอะไรแล้ว ถ้าในเมื่อตอนนี้เขายังอยู่ข้างฉัน

     จะว่าขี้ขลาดก็ได้ แต่ในเมื่อปาฏิหาริย์หรืออะไรก็แล้วแต่มันได้เกิดขึ้นแล้ว ฉันก็ไม่ควรทำลายมันด้วยความยึดมั่นแบบโง่ๆ ฉันควรรักษามันไว้ให้ดีที่สุดสิ!

     PRINCE : อ่านแล้วรีบออกมาโว้ย

     เอาเถอะ กวนไปบ้างแต่ก็ดีกว่าไม่มีล่ะกัน

     ฉันถอนหายใจแต่ปากกลับอมยิ้มน้อยๆ แล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า พร้อมออกเดินทางไปหาคนขี้บ่นที่ป้ายรถประจำทางอีกวัน

 

 

 

     หลังเลิกเรียน น้ำค้าง ผู้เป็นรองคณะกรรมการสภานักเรียนก็แจ้งให้ปริ๊นซ์และมิ้มเข้าร่วมประชุมตัวแทนประกวดดาวเดือน รวมถึงซาร่าที่เป็นตัวแทนของอีกห้องก็ต้องไปด้วย ฉันที่ว่างไร้ภารกิจใดๆ เลยขอติดสอยห้อยตามมานั่งรออยู่บนม้าหินอ่อนแถวห้องสภาระหว่างรอเพื่อนๆ 

     “เมื่อไหร่คนจะมาครบวะ เสียเวลาชิบ” เสียงบ่นแบบไม่เบานักจากปริ๊นซ์ ทำให้มิ้มที่นั่งรออยู่ด้วยได้แต่ยิ้มแบบแห้งๆ

     โธ่ นางฟ้าของต้นข้าว คงไม่เคยเจอปีศาจมาก่อนสินะ

     “น้ำค้างบอกว่าต้องรอเพื่อนห้องวิทย์-คณิตที่เลิกเลทอีกแป๊บนึง มายปริ๊นซ์อย่าหงุดหงิดเลยน้า” ซาร่าอธิบายพร้อมเอาสมุดพัดให้คนขี้หงุดหงิดอย่างเอาใจ

     ติ๊ง!

     ฉันละสายตาจากฉากหวานแหววดอกไม้ร่วงตรงหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะ

     PEEM : ไม่หนีกันแบบนี้ได้ไหม

     PEEM : ให้โอกาสให้เราอธิบายนะต้นข้าว

     ฉันมองแจ้งเตือนบนหน้าจอโทรศัพท์นิ่ง ก่อนจะปล่อยให้หน้าจอดับไปเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แม้รู้สึกปวดหนึบๆ ในอก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อตอนเที่ยง

     ‘ต้นข้าว’

     หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วเตรียมตัวกลับห้องเรียน เสียงแผ่วอันคุ้นเคยก็ทำให้ฉันชะงักรอยยิ้มที่กำลังส่งให้น้ำค้าง ก่อนจะหันไปหาต้นเสียงด้วยใจสั่นระรัว

     ภีมยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าเขาดูตกใจแกมดีใจนิดๆ ที่ได้เจอฉันในรอบอาทิตย์

     จะดีใจทำบ้าอะไร!

     ทั้งๆ ที่หลบหน้าได้เป็นอาทิตย์แล้ว คำนวณเวลาเรียนเวลาเลิกเป๊ะๆ แต่นี่มันยังไม่ใช่เวลาพักของพวกห้องวิทย์-คณิตนี่!

     ฉันเม้มริมฝีปากมองคนตรงหน้าครู่เดียวก่อนจะเบี่ยงตัวหลบ รีบสาวเท้าเดินออกห่าง ไม่สนใจเสียงแหวของน้ำค้างที่กำลังต่อว่าภีม รวมถึงเสียงเรียกแบบงงๆ ของปริ๊นซ์และซาร่า

     ฉันยังไม่อยากคุยกับเขา

     PEEM : ขอโทษ…

     ฉันก้มลงมองแจ้งเตือนอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจยาว

     คำขอโทษถึงแม้จะจริงใจแค่ไหน แต่ถ้ามันถูกส่งออกมาจากคนขี้โกหก ความน่าเชื่อถือใดๆ ก็เท่ากับศูนย์

     คำขอโทษที่มาจากภีมก็เช่นเดียวกัน

     ภีมเป็นหนุ่มหล่อพ่วงด้วยตำแหน่งนักบาสประจำโรงเรียน ไม่แปลกที่จะมีทั้งสาวแท้และสาวเทียมรุมล้อม ถ้าให้พูดตามความจริง ตอนนั้นฉันก็รู้สึกภูมิใจเหมือนกันนะ ที่สาวแว่นออกจะเฉิ่มๆ ยุ่งแต่กับงานฝ่ายศิลป์อย่างฉัน จะได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับไอดอลประจำโรงเรียนในงานกีฬาสี แล้วสุดท้ายก็พัฒนาความสัมพันธ์ถึงขั้นกลายเป็น ‘แฟน’

     ก็แฮปปี้อยู่ได้หน่อยเดียวแหละ หลังจากนั้นก็ทุกข์ยาว

     เพราะพอข่าวของฉันกับภีมแพร่กระจายออกไป บรรยากาศในโรงเรียนตอนนั้นก็เหมือนกับสงครามประสาท เดินไปไหนก็ได้ยินคำนินทาลอยมาตามสายลม ผู้หญิงมากหน้าหลายตาเริ่มวนเข้ามาก่อกวนชีวิตอันแสนสงบของฉัน ตั้งแต่เล็กน้อยอย่างแกล้งเดินชนไปจนถึงใหญ่ๆ อย่างทำอาหารหกใส่

     ‘ภีมจะจัดการให้ ภีมสัญญา’

     นี่คือคำสัญญายอดนิยมอันดับต้นๆ ของเขาเลยล่ะ ดูจริงจังทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักครั้ง

     ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นสมองทำงานผิดปกติตรงไหนเหมือนกัน ฉันถึงได้เชื่อคำหวานและสัญญาลอยลมแบบนั้น

     ผ่านไปสามเดือน จากคำนินทาถึงความไม่เหมาะสม ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นคำก่นด่าหรือคำเยาะเย้ย ประเภทว่า ‘ถูกสวมเขาแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ยัยโง่’ ลอยมากระทบหูให้ได้ยินบ่อยๆ

     ‘มันไม่มีอะไรหรอก เชื่อใจภีมนะ’

     นี่ก็ประโยคยอดฮิตของเขาเหมือนกัน

     โอ้ย คิดว่าฉันจะทำไง?

     ก็เชื่อนะซี้! ไม่เชื่อแฟนเราจะเชื่อใคร๊ เชื่อแล้วก็เขางอกวนลูปไปมา ดูอัศจรรย์ดีออก

     จนในที่สุด ความอดทนก็เดินทางมาจนถึงขีดจำกัด

     เมื่อในเย็นวันศุกร์ที่คนแสนจะพลุกพล่าน ยัยผู้หญิงนมโตจากโรงเรียนหญิงล้วนละแวกนั้นก็โผล่มาที่หน้าประตูโรงเรียน แล้วจัดการตบฉันแว่นแทบแตกแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงเลยสักนิด!

     ‘นี่คือคำเตือนของการแย่งแฟนคนอื่น!’

     ไม่ต้องประมวลผลให้ยากว่า ‘แฟนคนอื่น’ ที่ว่าคือใคร

     ไอ้บ้านั่น มันหลอกฉันอีกแล้ว!

     เหมือนจะยังไม่หนำใจ นรกเลยตัดสินใจส่งภีมมาโผล่ในฉากช็อกโลกนั้นอีกคน

     การยืนเป็นหมาแว่นฟังคำต่อล้อต่อเถียงเรื่องความสัมพันธ์ของภีมและผู้หญิงคนนั้น เป็นข้อยืนยันถึงเรื่องราวทั้งหมดได้ดี

     โง่รอบที่ร้อย โง่ไร้ที่ติ

     หลังจากที่หันหลังเดินออกมาโดยไม่มีคำพูดเพื่อรั้งใดๆ จากภีม นั่นก็คือครั้งสุดท้ายที่ฉันจะยอมเชื่อใจ

     พอแล้วกับคนนี้ ฉันบอกกับตัวเองด้วยคำนี้ตลอดทางที่เดินกลับบ้านสี่ป้ายรถเมล์

     ความเสียใจทั้งหมดที่เจอมา ทำให้ฉันอดคิดถึงปริ๊นซ์ไม่ได้ เขาเป็นเหมือนเพื่อนที่แสนดี เป็นความผูกพันที่แสนอบอุ่นใจ ในวันเสาร์นั้นหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ฉันจึงตัดสินใจทำตามคำพูดประหลาดของชายลึกลับคนนั้น

     เพื่อนในความฝันคนนี้น่าจะพาฉันก้าวผ่านเวลาแย่ๆ ไปได้

     …หรือเปล่านะ?

     “ไอ้แว่น โทรศัพท์สั่นเตือนอย่างกับผีเข้า ไม่อยากเปิดดูก็ปิดแจ้งเตือนไว้สิวะ”

     ปริ๊นซ์ที่ไม่รู้ว่าละสายตาจากซาร่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เอื้อมมือมาดึงหางม้าฉันไปมาพร้อมพูดอย่างหงุดหงิด

     จะมารำคาญอะไรด้วยเนี่ย! ฉันเหล่ตาไปมองเขา ด้วยอารมณ์ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง จึงกดปิดสั่นแล้วคว่ำหน้าจอลง

     “ไม่สั่นและไม่เห็น โอเคยัง?”

     ฉันปัดมือที่ดึงหางม้าออกก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะม้าหินอ่อน ไม่สนทนาใดๆ ต่อ จนปริ๊นซ์จิ๊จ๊ะแล้วหันกลับไปคุยซาร่าอีกครั้ง

     “โอ๊ะ นั่นตัวแทนห้องวิทย์-คณิตมาแล้วล่ะ” เสียงหวานของมิ้มเรียกความสนใจจากกลุ่มตัวแทนคนอื่นๆ ที่กำลังนั่งรอ รวมถึงฉันที่กำลังเอาหัวฝังเข้ากับโต๊ะด้วย

     จะอารมณ์ไหน ใครๆ ก็ยังอยากเห็นตัวแทนประกวดดาวเดือนของแต่ละห้องอยู่ดีแหละ แหะๆ

     ด้วยความสายตาสั้นสามร้อยนิดๆ ฉันจึงต้องหยีตามองผู้มาใหม่อยู่นาน เมื่อปรับโฟกัสได้ก็พบว่าฉันไม่ควรเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะเลยจริงๆ

     “ภีมกับไอรีนนี่เอง”

     มิ้มพึมพำออกมาเบาๆ และนั่นก็ช่วยย้ำให้ฉันแน่ใจได้ว่าที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ตาฝาด มันมีภีมไม่กี่ภีมหรอกโรงเรียนนี้

     ไม่อยากอยู่แล้ว

     ไวเท่าความคิด ฉันรีบหลบสายตาของภีมที่มองมาแล้วรีบลุกพรวด พึมพำบอกคนในโต๊ะว่าขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกมาจากตรงนั้นให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้

     ฉันไม่อยากยุ่งกับคนที่ทำให้ฉันเป็นตัวตลกของทุกคนในโรงเรียนอีกแล้ว!

     “ต้นข้าว!”

     เสียงเรียกของภีมไม่ได้ทำให้ฉันหยุด หากแต่ยิ่งทำให้ฉันรีบสาวเท้าให้ไวขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง

     อย่าตามมานะ!

     “ภีม! ทุกคนรอนายมานานแล้ว ไปประชุมเดี๋ยวนี้!”

     เสียงแว้ดของน้ำค้างลอยมาแต่ไกล ฉันจึงหันกลับไปมองทั้งที่ไม่ได้หยุดวิ่ง จึงเห็นน้ำค้างกระชากแขนของภีมแล้วจับไว้แน่น ตอนแรกเขาดูอิดออด แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าของตัวแทนแต่ละคน เขาจึงตัดสินใจล่าถอยกลับไป

     ฉันวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ ยืนมองแผ่นหลังกว้างนั้นสักพัก ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง

     ฉันคิดว่าฉันโอเคแล้ว …แต่ไม่เลย

     ฉันไม่ได้เข้มแข็งเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

 

     “มาสิงอะไรอยู่นี่ฮะ?”

     เสียงทุ้มปลายเสียงติดห้วน ทำให้ฉันที่ยังฟุบหน้าลงกับเข่าเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนหลุบตากลับมามองพื้นอีกครั้งแล้วเอ่ยปากถาม

     “เลิกแล้วเหรอ”

     “ใช่ น้ำค้างฝากให้ฉันมาหาเธอ”

     “อืม” ฉันขานรับเบาๆ แต่ก็ยังนั่งอยู่เฉย

     “ไม่กลับรึไง” ปริ๊นซ์ที่ยืนรออยู่นานเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ

     “คือ…” ฉันจึงเงยหน้ามองคนตรงหน้าแล้วเม้มปากน้อยๆ ไม่แน่ใจว่าควรถามเขาดีไหม

     “อะไรแว่น”

     “ผู้ชายคนนั้น…” ฉันกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอแล้วว่าต่อ “ไปหรือยัง”

     ปริ๊นซ์ไม่ตอบ แต่กลับมองหน้าฉันนิ่งๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

     “หมอนั่นเป็นใคร”

     ฉันเงียบไปนาน ไม่รู้ว่าจำเป็นต้องบอกไหม จนกระทั่งมือใหญ่เอื้อมมากระตุกหางม้ายิกๆ ฉันจึงถอนหายใจพรืดตอบออกไป

     “แฟนเก่า”

     “หน้าแบบนี้ก็มีแฟนหรือวะ” เสียงพึมพำไม่เบานักทำเอาฉันแหวหนัก

     “ได้ยินนะยะ!”

     “เออ ก็เปล่าพูดอะไร” ปริ๊นซ์อ้อมแอ้มแล้วว่าต่อ “แล้วทำไมต้องหนี”

     “ไม่อยากเจอ”

     “แค่เนี้ย?”

     “ก็แค่นั้นแหละ”

     ปริ๊นซ์ทำเสียงรับรู้ในลำคอ แล้วชันเข่าหันหน้ามามองฉันด้วยท่าทางจริงจังมากขึ้น

     “หมอนั่นดูอยากคุยกับเธอมาก”

     “แต่ฉันไม่อยากคุย”

     “ก็เลยจะหนีไปเรื่อยๆ เนี่ยนะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะจนฉันต้องหันไปค้อน

     “ฉันแค่ไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว อยากให้เขาเลิกยุ่ง ไม่ได้บอกว่าจะหนีไปเรื่อยๆ”

     “นี่แว่น การหนีปัญหามันช่วยอะไรฮะ? สุดท้ายไอ้หมอนั่นก็ไม่ได้หายไปจากชีวิตเธอสักหน่อย”

     ฉันเม้มปากมองคนที่ตั้งท่าเทศนา เขาเพิ่งย้ายมาเขาจะไปรู้อะไร จะมารู้ได้ยังไงว่าฉันรู้สึกแย่กับเหตุการณ์นั้นแค่ไหน!

     “นายจะไปรู้อะไ…”

     “ฉันไม่รู้อะไรแล้วยังไง ตอนนี้ฉันแค่อยากให้เธอหยุดหนีแล้วกล้าเผชิญหน้า บอกในสิ่งที่ตัวเองต้องการไปสิต้นข้าว”  

     ยังไม่ทันพูดจบ ปริ๊นซ์ก็สวนกลับขึ้นมายาวเหยียด คำพูดเขาทำเอาฉันนิ่งไป ไม่ใช่แค่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกฉันด้วยชื่อไม่ใช่ฉายา หากแต่มันยังจริงจัง จนกรีดเอาความจริงที่ฉันพยายามซุกซ่อนไว้ให้ลึกที่สุดออกมาด้วย

     “จะตัดใครสักคนออกไปจากชีวิต เธอต้องเข้มแข็งดิวะ”

     “…ฉันกลัว” ฉันพูดความรู้สึกที่ถูกกดลึกในใจด้วยเสียงอันแผ่วเบา ก่อนจะก้มหน้าซ่อนม่านน้ำตาที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ

     เหตุการณ์ที่หน้าโรงเรียนวันนั้น มันตามหลอกหลอนฉันตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่รู้มีกี่สายตาที่มองมา ไม่รู้ว่ามีโทรศัพท์อีกเท่าไหร่ที่ตั้งใจถ่ายเหตุการณ์นั้นไว้เหมือนเป็นเรื่องสนุก

     สนุกตรงไหน? ฉันอยากเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาๆ ที่มีความสุขในชีวิตเงียบๆ ไม่ได้อยากมาถูกตบประจานแบบนี้

     แค่คิดว่าถ้าฉันยอมคุยกับเขา แล้วเหตุการณ์นั้นอาจซ้ำรอยอีกครั้ง ฉันก็รับไม่ไหวแล้ว

     “จริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าหรอกว่ารักเขามากไหม แต่…ที่รู้คือฉันเจ็บ ฉันเสียใจ ที่ความเชื่อใจของฉันมันกลายเป็นของไม่มีค่าสำหรับเขา” เมื่อได้พูดความรู้สึกที่เก็บไว้ ฉันก็เริ่มสะอื้นออกมาเสียงดัง

     “ขะ เขามองรอยยิ้มโง่ๆ ของฉัน แล้วกล้าหลอกฉันต่อไปได้ยังไง ฮึก มันตลกมากเลยใช่ไหม”

     “เฮ้ย อยะ…อย่าร้อง” ร่างสูงอุทานออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาอย่างอยู่ไม่สุข “มะ ไม่ร้องนะแว่น”

     มือใหญ่ที่ตบลงบนหัวเบาๆ ยิ่งทำให้ฉันบ่อน้ำตาทะลักแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างห้ามไม่ได้

     “ฮือออ”

     “เอ้า ร้องไปใหญ่” เขาถอนหายใจ มองฉันที่กำลังร้องห่มร้องไห้ขี้มูกโป่ง ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ

     “ก็ได้ๆ รู้แล้ว อยากร้องก็ร้องไปเลย แต่เสร็จแล้วต้องเข้มแข็งขึ้นนะ เข้าใจมั้ยแว่น” ปลายประโยคนั้นดูอ่อนลง จนรู้สึกเหมือนกระแสน้ำอุ่นที่ไหลอาบเข้าในใจอันหนาวเหน็บอย่างช้าๆ

     ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังนั่งเท้าคางรอนิ่งๆ ส่วนมืออีกข้างก็วางไว้บนหัวฉัน คล้ายแทนคำปลอบใจและไม่ได้เดินจากไปไหน

      “อยากสู้ก็ต้องกล้าหันหน้าเข้าหา เลิกวิ่งหนีได้แล้ว” เจ้าของเสียงทุ้มว่า ก่อนจะใช้มือนั้นเขย่าหัวฉันเบาๆ

     “…กลัว” ฉันย้ำอีกครั้งด้วยเสียงอู้อี้ เขาจึงหัวเราะแล้วว่า

     “ช่างแม่งความกลัว เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนเอง”

     รอยยิ้มบางๆ ของเขา ทำให้ภาพตรงหน้ากับในฝันซ้อนทับกันอย่างห้ามไม่อยู่

     แต่ถึงเขาอาจจะไม่ใช่ ‘ปริ๊นซ์’ ที่อยู่ในฝัน แต่ก็ขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เขาอยู่กับฉันในเวลาแบบนี้

     ขอบคุณนะ… ขอบคุณ

 

 

 

     หลังจากที่ฉันร้องไห้จนตาตุ่ย ทั้งน้ำค้างและซาร่าที่เพิ่งเดินตามมาเจอ ก็เข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว และผลัดกันกอดปลอบโอ่เอ๊ฉันยกใหญ่

     “ฉันด่าตานั่นไปชุดใหญ่ ยังมีหน้ามาทำท่าหัวเสียใส่อีกนะ!” น้ำค้างเท้าเอวก่อนพูดอย่างโกรธๆ ซาร่าพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเสริม

     “ถ้าเป็นซาร่าจะเตะผ่าหมากไปทีนึง เอาให้หน้าเขียวตายไปเลย”

     ฉันมองเพื่อนทั้งสองที่ดูหัวฟัดหัวเหวี่ยงสุดๆ แล้วหัวเราะออกมา

     “เออ หัวเราะสักที” ปริ๊นซ์ว่าก่อนจะเอื้อมมือมากระตุกหางม้าเบาๆ “พอมองผ่านแว่น ตาเธอยิ่งบวมขึ้นเป็นสองเท่า น่ากลัวชิบ”

     ฉันบุ้ยปากก่อนจะลุกขึ้นปัดกระโปรงแล้วว่า

     “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

     “แน่ใจนะ” น้ำค้างยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ เพื่อความชัวร์อีกรอบ ฉันจึงสูดน้ำมูกแล้วพยักหน้ายืนยัน

     “ไม่เป็นไรหรอกน่า หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว…” ฉันสบตาเข้ากับน้ำค้าง เธอจึงยื่นมือมาจับมือฉันไว้แน่น

     “งั้นเดี๋ยววันหลังพาไปเลี้ยงขนมปลอบใจนะจ๊ะสาวน้อย วันนี้ถูกแม่เรียกด่วนอีกล่ะ” เธอจิ๊จ๊ะแล้วหันไปทางปริ๊นซ์ “ยังไงปริ๊นซ์ก็กลับบ้านทางเดียวกัน เราฝากดูต้นข้าวด้วยนะ อย่าให้เดินเหม่อจนตกท่อล่ะ”

     ปริ๊นซ์พยักหน้ารับ น้ำค้างจึงโบกมือลาแล้ววิ่งฉิวไปทันที เหลือแต่ปริ๊นซ์และซาร่าที่ยังยืนอยู่

     “เอ่อ นายไปส่งซาร่าเลยก็ได้”

     “ไปด้วยกันดิ” ปริ๊นซ์ว่าก่อนจะพยักหน้าให้เดินตาม

     “เอ่อ…” ฉันเหลือบตามองซาร่าอย่างเกรงใจ ก็เวลาช่วงเย็นมันเป็นเวลาส่วนตัวของเขาสองคนนี่นา จะให้ฉันไปเดินปั้นจิ้มปั้นเจ๋อด้วยทำไมเล่า

     “มาเถอะ” ซาร่าว่าขึ้นเหมือนรู้ความคิด ก่อนจะเดินมาจูงแขนฉันให้เดินไปด้วยกัน “มายปริ๊นซ์คงไม่อยากปล่อยเธอไว้คนเดียวหรอก”

     ฉันเงยหน้ามองร่างสูง เขาที่มองมาอยู่แล้วจึงยักคิ้วกวนๆ ให้หนึ่งที

     “ยังไงน้ำค้างฝากให้ฉันดูแลเธอแล้วนี่”

     เหตุผลแบบขอไปทีนั้น นอกจากไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกน้อยใจ ยังกลับสร้างรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากได้เสียอย่างนั้น

     “ขอบคุณนะ”

 

---------------- (110%)

 

มายาวเป็นพิเศษ ชดเชยที่ติดภารกิจหายไปนานนะคะ

กลับมาเรื่องนิยาย 555 

เริ่มเห็นคนปากร้ายแต่ใจดีกันหรือยังคะ มีความจริงจังเรียกชื่อเขาด้วยนะ /อั่นแน๊ะะะ  

ต้นข้าวเป็นแค่เด็กแว่นใช้ชีวิตแบบนักเรียนทั่วไป คงรู้สึกแย่มากๆ กับการเป็นหัวข้อซุบซิบในทางลบ

แต่ไม่ต้องไปสงสาร มีคนอาสาจะอยู่เป็นเพื่อนแล้วนี่! /อิจฉาแรง

เป็นกำลังใจให้แว่นและเจ้าชายด้วยนะจ๊ะ

 

รัก

ภรณ์นิชา

 

กดติดตาม/คอมเม้นต์ เป็นกำลังใจให้นักเขียนตัวเล็กๆ คนนี้ด้วยนะคะ เลิฟฟ

เว็บขีดเขียน

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา