โซ่รักไฟปรารถนา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 22.01 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  10.36K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 22.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ยามวิกาลที่ทุกคนหลับลึกแต่เชเชนนอฟกลับตื่นเต็มตา หลังจากได้นอนไปราวสี่ชั่วโมง ความจริงแล้วการพักผ่อนเพียงเท่านั้นไม่น่าจะเพียงพอต่อการโหมงานหนักมากว่าสี่สิบชั่วโมง แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนหลับยากและรู้สึกตัวง่ายมาก การพักผ่อนไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละวันจึงเพียงพอและหากยังนอนข่มตา สั่งตัวเองให้หลับคงเป็นเรื่องที่ทรมานเอามากๆ

ทว่าคืนนี้พ่อค้าอาวุธสงครามหนุ่มกลับต้องสวมชุดดำเพื่ออำพรางตัวเองเพราะต้องหาเบาะแสเกี่ยวกับรหัสอาวุธสงครามที่รับปากกับรัฐมนตรีกลาโหมแห่งแอลเมเรียเอาไว้

ห้องทำงานของผู้เป็นพ่อนั้นคือจุดหมายเพราะเป็นเพียงห้องเดียวที่จะเก็บเรื่องราวสำคัญเอาไว้ รองลงมาจากห้องนอน แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาต้องกวาดสายตาสำรวจกล้องวงจรปิดที่ติดเอาไว้ในแต่ละจุดเรียบร้อยแล้ว ระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านถือว่าดีเยี่ยม ซึ่งเป็นปกติที่ตอนกลางคืนจะลดความเข้มงวดในตัวบ้านให้เหลือเพียงกล้องวงจรปิดให้ทำหน้าที่ตามปกติ แต่จะไปเน้นเวรยามรักษาความปลอดภัยรอบๆ บริเวณบ้านแทน

นั่นยิ่งทำให้การทำงานของเชเชนนอฟสะดวกขึ้น เพราะคันโยกที่มีล็อกแบบในตัวโดยไม่ต้องใส่รหัสผ่านนั้นแทบจะไม่ได้สร้างปัญหาในการสะเดาะกลอนของเขาเลย ทว่าอีกใจหนึ่งกลับฉุกคิดขึ้นว่า พ่ออาจไม่ได้เก็บเรื่องสำคัญไว้ในห้องทำงานนี้ก็เป็นได้ แต่อีกใจหนึ่งกลับแย้งขึ้นมาว่าถ้าที่ที่เราใช้พักผ่อน หลับตาลงได้อย่างสนิทใจทุกครั้งไม่ปลอดภัยแล้ว นั่นก็ไม่ควรเรียกว่าบ้าน

คิดพร้อมทั้งปิดประตูห้องอย่างเบามือแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะทำงานซึ่งมีคอมพิวเตอร์วางไว้อยู่เครื่องหนึ่ง เขาจึงรีบเปิดสวิตช์ให้คอมพิวเตอร์ทำงานในทันที ไม่นานนักก็ต้องส่ายหน้าให้กับตัวเองเพราะระบบแสดงแถบให้ใส่รหัสผ่านเสียก่อน

ถ้าหากว่าเขาใส่รหัสนั้นผิดเกินสามครั้ง พ่อและทีมบอดีการ์ดคงแห่กันเข้ามาจับเขาในห้องนี้ ซึ่งความจริงแล้วเชเชนนอฟไม่ได้แคร์หากจะมีใครจับได้เพราะรู้ว่าด้วยสัมพันธ์ของพ่อลูก คงไม่เอาเขาไปฆ่าทิ้งแต่ถ้าให้จับได้ว่าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตมันก็เสียเหลี่ยม เสียเชิงซีอีโอบริษัทผลิตอาวุธสงคราม บางครั้งอีโก้ของคนก็มากล้นจนเกินกว่าจะยอมให้ใครมาหยามหน้ากันได้ง่ายๆ

ความน่าจะเป็นในการตั้งพาสเวิร์ด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเชเชนนอฟเป็นคนที่จิตใจแน่วแน่ มีสมาธิ นิ่งพอที่จะใช้เวลาขบคิดถึงสิ่งที่จะลงมือทำ พ่อค้าอาวุธสงครามเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงานราวกับว่ามีเวลาให้ขบคิดอย่างไม่จำกัด

ความน่าจะเป็นถ้ามองแบบเบย์ ก็ต้องมองความเชื่อมั่นส่วนบุคคลเป็นหลัก ถ้าพ่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธเหล่านั้นก็เป็นไปได้สูงที่จะตั้งพาสเวิร์ดเกี่ยวกับอาวุธ แต่ถ้ามองในเชิงความถี่นั่นก็ซับซ้อนเกินไปสำหรับคนอารมณ์ร้อนแบบพ่อ

ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ผ่านเขาจะล้มเลิกความตั้งใจเสีย

รหัสต้นของอาวุธสงครามที่ได้มาจากรัฐมนตรีหนุ่มยังอยู่ในหัวทุกตัวแต่จะมีเพียงหกตัวเท่านั้นที่เขาต้องเลือกใช้

รอยยิ้มที่มุมปากเกิดขึ้นในทันทีเมื่อสามารถเข้าใช้งานในคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ได้ เชเชนนอฟมีคำตอบแรกให้กับรัฐมนตรีหนุ่มแล้วว่าพ่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามซึ่งซื้อขายกันในตลาดมืด แต่ยังต้องหาให้ได้ว่าฐานการผลิตนั้นอยู่ที่ไหน

ข้อมูลในไดรฟ์นั้นมีมากจนเกินไป ซึ่งเขาไม่มีเวลามากมายที่จะเข้าไปไล่เลียงทีละโฟลเดอร์เพื่อดูรายละเอียด ทรัมไดรฟ์ที่อยู่ในกระเป๋าจึงถูกหยิบออกมาใช้เพื่อถ่ายโอนข้อมูลในทันที

ผ่านไปราวสองนาทีและเหลืออีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์กว่าที่จะถ่ายโอนไฟล์อย่างสมบูรณ์ ทว่าเสียงกึกตรงคันโยกของประตูก็ดังขึ้น นั่นทำให้เขาใจหายวาบเตรียมถอดทรัมไดรฟ์และดึงปลั๊กของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นการปิดการทำงานของมันอย่างเร็วที่สุด แต่เสียงตะกุกตะกักนั้นกลับเงียบไป

ราวครึ่งนาทีต่อมาทุกอย่างก็เรียบร้อยและทรัฟไดรฟ์ดังกล่าวก็ถูกหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อเช่นเดิม เชเชนนอฟเดินไปหยุดตรงประตูที่แง้มออกเพียงเล็กน้อย เพราะได้ยินเสียงสนทนาดังลอดเข้ามาในห้อง

“ชานเมืองฝั่งตะวันออกอย่างนั้นเหรอ” อิกอร์ทวนคำ

เชเชนนอฟไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่ผู้เป็นพ่อกำลังสนทนาด้วยนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะช่องว่างที่สามารถมองออกไปนั้นเห็นเพียงแผ่นหลังของพ่อ ซึ่งยืนในทิศทางที่บดบังทั้งรูปร่างและหน้าตา

อิกอร์กำลังคิดตามในคำพูดของคนสนิทที่รายงานถึงความผิดปกติบางอย่างให้ได้รับรู้ ปกติถ้าสั่งการด้วยตัวเองแล้วจะไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง นั่นแสดงว่ามันต้องมีสักคนที่ไม่ได้ทำตามเงื่อนไข การจะหาคำตอบในเรื่องนี้คงทำอะไรอื่นใดไปไม่ได้นอกเสียจากเอาตัวคนรับคำสั่งมาไขข้อข้องใจที่เกิดขึ้น

“จับตามันไว้ สบโอกาสค่อยลากตัวมันมาหาฉัน” อิกอร์สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

จบคำพูดนั้นเชเชนนอฟก็รีบก้าวออกมาให้ห่างจากประตูห้องด้วยฝีเท้าอันเงียบกริบ พ่อค้าอาวุธสงครามหนุ่มออกจากห้องทำงานนั้นทางหน้าต่างริมระเบียง เพราะคงเป็นการสุ่มเสี่ยงเกินไปหากจะย้อนออกไปใช้เส้นทางเดิม ทว่าคำสั่งของพ่อนั้นยังก้องอยู่ในหัว

แม้ไม่รู้ว่าคนที่กล่าวถึงนั้นจะเป็นใครแต่น้ำเสียงเฉียบขาดแฝงไว้ด้วยความอำมหิตก็ทำให้รู้ว่าคนที่พ่อต้องการตัวคงจะมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกไม่นานนัก

 

ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์ซียานอฟในเช้าวันรุ่งขึ้นนั้นทำให้เชเชนนอฟประหลาดใจไม่น้อย เมื่อคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารไม่ได้มีเพียงผู้เป็นพ่อ แต่กลับมีสาวแอลเมเรียสวยจัดคนหนึ่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วย

เชเชนนอฟชะงักการก้าวเดินเล็กน้อยเมื่อก้าวเข้ามาในห้องอาหารพลางยกข้อมือมองเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าตนนั้นไม่ได้เสียมารยาท มาช้าเกินกว่าเวลาอาหารเช้า ท่าทางดังกล่าวนั้นทำให้อิกอร์หันไปหัวเราะร่วนกับสาวสวยคนดังกล่าว

“ดูสิ ลูกชายฉันมารยาทดีสักแค่ไหน” อิกอร์กระเซ้าราวกับว่าเป็นพ่อลูกที่รักใคร่ผูกพันกันเหลือเกิน

“รู้สึกผิดจังที่การพบกันครั้งแรกทำให้คุณรู้สึกไม่ดี”

สาวสวยลุกขึ้นยืนและเป็นฝ่ายยื่นมือไปข้างหน้า เปิดความสัมพันธ์อันดี ซึ่งพ่อค้าอาวุธสงครามหนุ่มก็ก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไปสัมผัสกับสาวสวย

“ผมควรต้องรู้สึกผิดมากกว่า เพราะการได้รู้จักกับผู้หญิงสวยในตอนเช้านับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดตั้งแต่มาแอลเมเรียได้สองวัน” ฝ่ามือทั้งสองยังสัมผัสกันตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

คนสวยยิ้มอย่างโปรยเสน่ห์ ไม่มากไป ไม่น้อยไปเพราะรู้วิธีสร้างแรงดึงดูดใจต่อเพศตรงข้ามในการพบหน้ากันครั้งแรก “วลาด้าค่ะ”

“วลาด้า” พ่อค้าอาวุธสงครามหนุ่มทวนชื่อแล้วแนะนำตัวเอง “เชเชนนอฟ”

อิกอร์ยิ้มกว้างมองทั้งสองด้วยความมาดหมาย ท่าทางที่ลูกชายไม่คิดต่อต้านยิ่งทำให้อารมณ์ดีมากขึ้นจึงเป็นฝ่ายผายมือออกให้ทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ “เอาล่ะๆ รู้จักกันแล้วก็มาเริ่มมื้อเช้ากันดีกว่า”

วลาด้าทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนตามท่าทีของพ่อค้าอาวุธสงครามหนุ่ม และเมื่อเขานั่งลงแล้วจึงเป็นฝ่ายชวนคุยเปิดสัมพันธ์อันดี “หวังว่าคงไม่รังเกียจให้ผู้หญิงที่คุณรู้จักแค่ชื่อมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยนะคะ”

“อา... ผมไม่ค่อยมีปัญหากับการคุยไปกินไป และไม่ถือว่าการสนทนาบนโต๊ะอาหารถือเป็นการเสียมารยาท” อ่อยมาก็อ่อยกลับ เพราะเขาเองก็รู้ในจุดประสงค์ของพ่ออยู่แล้ว เล่นตามเกมสักหน่อยเผื่อว่าเวลาอีกสองวันที่เหลือในแอลเมเรียจะทำให้เขารู้เรื่องดีๆ บางอย่างมากขึ้น

“ดีใจที่เรามีความคิดในเรื่องนั้นตรงกันค่ะ เชเชน”

โอ้! เรียกซะสนิทสนม นี่เธอคงไม่ได้รับคำสั่งจากพ่อให้ฟัดเขาหลังจากมื้อเช้าหรอกนะ หลังจากที่เมื่อคืนปฏิเสธสาวทรงโตที่ยัดซิลิโคนมาเสียเยอะจนกดไม่ลง นั่นทำให้ความหวังดีของพ่อเป็นหมัน เชเชนนอฟคิดในใจแต่ท่าทางที่แสดงออกไปกลับสวนทางโดยสิ้นเชิง

“สวย หุ่นดี เฟรนด์ลี่แบบนี้เดาว่า... คุณคงเป็นนางแบบ” ถามออกไปตรงๆ แบไต๋ให้เธอได้รู้ว่าถ้าอยากฟัดเขา เรื่องมันจะจบลงที่เตียงและลีลาของเธอจะเป็นตัวชี้วัดว่ามีครั้งต่อไปหรือไม่ ทว่าความจริงแล้วผู้หญิงที่เข้าหาเขาด้วยการโปรยเสน่ห์อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับไร้ซึ่งแรงดึงดูดใจ

เชเชนนอฟเลิกคิดไปนานแล้วว่าการที่ผู้หญิงสักคนจะเกิดความสนใจในตัวเขานั้นไม่มีเรื่องเงินและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง โลกมันเปลี่ยนไปมาก รักแท้และความจริงใจหายากยิ่งพอๆ กับทำให้รัสเซียไว้ใจอเมริกาเสียอีก

“จะบอกความลับให้...” วลาด้าหยุดคำพูดเพียงเท่านั้นเพื่อเรียกความสนใจ และเมื่อพ่อค้าอาวุธสงครามหนุ่มเหลือบสายตามองอย่างรอคอย เธอก็เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้อีกนิดแล้วตอบจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ “สามปีที่แล้วฉันเกลียดการเดินบนรองเท้าส้นสูงมาก เพราะฉะนั้นคุณเดาผิด”

เชเชนนอฟหัวเราะร่วน เบ้ปากพร้อมโคลงศีรษะ “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรอฟังสิ่งที่คุณชอบอย่างใจจดใจจ่อ”

การหยั่งเชิงเกิดขึ้นแต่คนที่ใจร้อนอยากให้ต่างคนต่างรู้โปรไฟล์ของกันและกันนั้น อดรนทนไม่ได้ อิกอร์จึงเป็นฝ่ายเล่าประวัติคร่าวๆ ของวลาด้าขึ้นมาเสียเอง

“ฉันคงลืมไปว่าเชเชนถนัดแต่เรื่องเจรจาซื้อขายอาวุธ แต่เรื่องเดาความคิดผู้หญิงเข้าขั้นแย่มาก” อิกอร์เปรยขึ้น

“ครับ...” ลากเสียงยาวรับคำในทันที “งั้นคงต้องให้ผู้เชี่ยวชาญชี้ทาง”

อิกอร์หรี่ตามองลูกชายด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ “วลาด้าเป็นบอร์ดบริหารระดับสูงของ VPI เพิ่งได้รับรางวัลผู้บริหารองค์กรยอดเยี่ยมของปีเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา”

Valadi Phamaceutical Industry หรือ VPI บริษัทผลิตยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในแอลเมเรียและได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรปเหนือ

“พ่อรู้จักกับครอบครัวของวลาด้าหลายปีแล้ว พูดได้ว่าเห็นวลาด้ามาตั้งแต่ตอนที่เข้ามาทำงานใน VPI ใหม่ๆ ตอนนั้นยังคิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะรับงานหนักไหวรึเปล่า แต่มาถึงตอนนี้ต้องชื่นชมและยอมรับในความสามารถจริงๆ”

“ว้าว... ผมมองผิดไปมากจริงๆ” เชเชนนอฟยอมรับราวกับคนไร้ทางต่อสู้ หากใจจริงแล้วกลับคิดว่าผู้เป็นพ่อต้องมีจุดมุ่งหมายบางอย่างที่สูงมากๆ ถึงได้คิดดึงองค์กรที่กุมคุณภาพชีวิตของคนค่อนโลกเข้ามาในวงโคจรเช่นนี้

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็... อยากจะมองคุณผิดไปจากที่ได้ยินได้ฟังมาบ้าง” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าพูดจาอย่างตรงไปตรงมา จึงโล่งอกไม่น้อยเพราะเธอเองก็ไม่ชอบคนที่ซ่อนบางอย่างไว้ในคำพูดอยู่แล้ว

เชเชนนอฟเลิกคิ้วราวกับไม่เข้าใจในความหมาย ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเธอคงจะคิดว่าเขามีรสนิยมทางเพศแบบพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน “เช่นว่า”

“เราคงได้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือ...”

“เดาอีกครั้งว่าคุณคงรู้จักกับตาเนีย” เชเชนนอฟยิ้มและมองสาวสวยอย่างกรุ้มกริ่มเมื่อได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับ “บางทีผู้หญิงที่เอาแต่ใช้เงินก็ไม่มีเวลาลับคมความคิด”

คำตอบนั้นทำให้วลาด้ายิ้มอย่างพอใจ หากอิกอร์กลับทำเสียงจิ๊กจ๊ะในลำคออย่างขัดใจ

ความจริงแล้วอยากจะปรามไม่ให้พูดถึงน้องแบบเสียหาย แต่ก็ทำได้เพียงแค่ชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “อ่อ... แล้ววันนี้แกมีนัดที่ไหนหรือเปล่า”

“มีครับ” คำตอบที่โพล่งออกมาอย่างรวดเร็วนั้นทำให้แววตาของอิกอร์ลุกวาว ส่วนวลาด้าก็รู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก หากไม่ได้ฟังประโยคต่อมา “ก็ผมยังต้องทำความรู้จักกับวลาด้าอีกมาก นอกเสียจากว่าเธอจะเป็นฝ่ายที่ติดธุระ”

วลาด้ายิ้มน้อยๆ และเริ่มรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้อ่านใจง่ายอย่างที่เขาแสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็น “คุณทำฉันใจเสียไปเกือบวินาทีนะคะ เชเชน”

“ผมยินดีรับผิดชอบครับ”

“ถ้าอย่างนั้นมื้อค่ำก็เจอกันที่ทำเนียบฯนะ เพราะวันนี้พ่อคงต้องพาลุคกับตาเนียเอาการ์ดไปเชิญแขกคนสำคัญด้วยตัวเอง สักทุ่มตรงค่อยเจอกัน แกจะได้ทำความรู้จักกับท่านประธานาธิบดีกับลุคด้วย” แม้รู้ว่าลาโคลอฟและเชเชนนอฟเคยรู้จักกันแล้ว แต่ความสัมพันธ์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ คือความสัมพันธ์ของครอบครัวซึ่งการพูดคุยก็จะสามารถเปิดเผยเรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าปกติ

วงสนทนาเงียบลงเมื่อร่างของแม่บ้านเดินเข้ามารายงาน “ท่านคะ รถของคุณตาทาเนียมาจอดรอที่ด้านหน้าแล้วค่ะ”

“ไปบอกว่าให้รอก่อน ฉันจะไปหยิบกระเป๋าแล้วจะตามไป” อิกอร์บอกพลางลุกขึ้นยืน

“ดิฉันจะไปหยิบมาให้นะคะ”

“ไม่ต้อง” ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงห้วนจัดจนคนที่ได้ยินแปลกใจ จากนั้นจึงปรับเสียงให้เป็นปกติแล้วหันกลับมาพูดกับวลาด้า “เที่ยวให้สนุกนะ คืนนี้เจอกัน”

“ค่ะ”

เมื่อร่างท้วมของผู้เป็นพ่อเดินออกไปจากห้องอาหาร เชเชนนอฟจึงหันมาพูดกับวลาด้า “ขอตัวไปทักทายว่าที่น้องเขยสักครู่ ก่อนที่ผมจะกลายเป็นคนไม่มีมารยาท”

วลาด้ายิ้มแล้วผายมือตอบ ไม่ขัดข้องต่อคำพูดของเขา เพียงเท่านั้นเชเชนนอฟก็เดินออกไปจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว ประตูคาดิลแลคที่เปิดกว้างรออยู่ด้านหน้าคฤหาสน์นั้นทำให้เห็นคนที่นั่งอยู่ด้านใน

ตาทาเนียยังแต่งเติมความงามบนใบหน้า ปรายตามองพี่ชายที่เดินเข้ามาใกล้และหยุดอยู่ตรงบันได แสยะยิ้มแล้วหันกลับมาสนใจใบหน้าของตนเองต่อ เธอไม่รู้หรอกว่าพี่ชายและว่าที่เจ้าบ่าวที่นั่งอยู่ข้างกายนั้นส่งสัญญาณบางอย่างต่อกัน

ไม่ถึงนาทีเชเชนนอฟก็เดินกลับเข้ามาในห้องอาหารโดยที่ไม่มีใครสงสัยแต่อย่างใด เวลานับจากนี้เขาคงจะไปที่อื่นไม่ได้นอกเสียจากให้เธอพาชมโรงงานผลิตยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งมันก็คงจะเหมือนๆ กับโรงงานผลิตยาทั่วไป ห้องแล็บและคลังสินค้าใหญ่โตมโหฬาร

ทว่าสิ่งหนึ่งที่เขาประหลาดใจคือวลาด้าไม่ใช่ผู้หญิงที่จะลากเขาขึ้นเตียงเพียงเพราะการพูดคุยที่ถูกคอ แม้ทอดสะพานให้อย่างเปิดเผย ให้ท่าหลายต่อหลายครั้งแต่สุดท้ายแล้วยังสงวนท่าที สิ่งเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้เชเชนนอฟรู้ทันความคิดได้ว่าผู้หญิงคนนี้มีบางอย่างที่ต้องการจากเขา

 

ก่อนเวลาอาหารเย็นสองชั่วโมง เชเชนนอฟได้รับการติดต่อจากคนสนิทของผู้เป็นพ่อว่าขอยกเลิกมื้อค่ำที่ทำเนียบฯ ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ของวลาด้าก็ดังขึ้น ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากวางสายเธอก็ชิ่งจากไปง่ายๆ กับเหตุผลที่เขาต้องยอมเป็นคนโง่ทำได้เพียงยิ้มรับกับคำว่า ‘ฉันรู้สึกปวดหัว ขอโทษนะคะ’

ก็โอเค้... ถึงจะรู้สึกเป็นเหมือนหมาหัวเน่าไปสักหน่อย

“เอ่อ... ท่านจะไปไหนต่อครับ” ความเงียบงันเข้าครอบคลุมรถยนต์คันหรูซึ่งจอดอยู่ข้างถนนเพราะมิเตียยังไม่รู้ว่าจุดหมายต่อไปนั้นคือสถานที่ใด

ทว่าคำถามแรกที่ผุดขึ้นในสมองของเขานั่นคือเหตุผลในการยกเลิกอาหารมื้อค่ำร่วมกับท่านประธานาธิบดี

การยกเลิกนัดกับคนสำคัญระดับผู้นำของประเทศ ซึ่งมีแผนกำหนดการในแต่ละวันอย่างชัดเจน แน่นอน และไม่ควรต้องยกเลิกอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนี้ คำถามนั้นก่อกวนใจเขาเป็นอย่างมากแล้วมันคงจะเป็นข้อกังขาไปอีกหลายวันหากไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน

“ทำไมหมายกำหนดการของท่านประธานาธิบดีถึงได้ยกเลิกง่ายๆ พวกนายสองคนข้องใจเหมือนฉันไหม”

เพียงแค่ได้ยินเสียงของเจ้านายเปรยขึ้น ปาเวลก็รู้หน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี ก่อนเปิดประตูรถยังรับคำเจ้านายอย่างขันแข็ง “ผมจะกลับมาพร้อมกับคำตอบครับ”

มิเตียก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะยกมือให้คู่หูและรีบควานมือหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเมื่อเสียงเรียกเข้านั้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักมิเตียก็รายงานในสิ่งที่เพิ่งรับรู้มาให้เจ้านายฟังโดยละเอียด

“ท่านครับ ทีมของเรายังหาฐานการผลิตอาวุธจากซีเรียลนัมเบอร์ที่ส่งไปให้ไม่ได้ แต่สืบรู้มาว่ากาสิโนที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของชานเมืองแอลเมเรียน่าจะเป็นของคุณอิกอร์” มิเตียเงียบและสังเกตสีหน้าเจ้านายผ่านทางกระจกมองหลัง

หึ! ขยันจริงๆ นะ ขยันทำเรื่องปวดหัวจริงๆ เรื่องผลิตอาวุธเถื่อนให้กองกำลังลับซึ่งยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นฝ่ายใดยังไม่กระจ่าง กาสิโนยังเป็นอีกหนึ่งเรื่องใหม่ที่เพิ่งรู้

“งั้นก็รู้สินะว่าจะไปไหนต่อ” เชเชนนอฟตอบสั้นๆ

ความจริงถ้าจะมีใครสักคนทำธุรกิจเกี่ยวกับกาสิโนคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนัก แต่นี่คืออิกอร์ ซียานอฟ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของรัฐบาลแอลเมเรีย ถือหุ้นในบริษัทผลิตอาวุธสงครามกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพิ่งแนะนำให้เขารู้จักกับบอร์ดบริหารระดับสูงของบริษัทผลิตยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์

เหมือนกับว่ากำลังจะพ่วงเอาธุรกิจสีเทาและสีขาวมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน นั่นอาจจะด่วนสรุปเร็วไปเสียหน่อยถ้าจะเหมารวมว่าแผนการของพ่อไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ที่แน่ๆ เขาควรจะไปดูให้เห็นกับตาว่ากาสิโนของผู้เป็นพ่อนั้นได้ซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง

หวังว่าห้องใต้ดินที่ต้องมีอยู่ในทุกๆ กาสิโน จะเก็บแค่เพียงเงินสดไว้เป็นทุนหมุนเวียนเท่านั้น เขาคงไม่ได้เห็นว่ามันมีทั้งเงินและอาวุธสงคราม เชเชนนอฟคิดในใจ

 

ในขณะที่เชเชนนอฟกำลังค้นพบความลับบางอย่างแล้วต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างใจ นราวิกาและพีด้าก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ แม้ว่าวันนี้ทุกคนในละแวกที่อยู่อาศัยจะรอคอยความคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใจจดใจจ่อแต่ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของเด็กที่หายไปกว่าสองวันแล้ว

ความร้อนใจและน้ำตาของพ่อแม่เด็กที่หายตัวไปนั้นช่างบีบหัวใจของคนที่พบเห็นนัก นราวิกากอดลูกสาวที่นั่งอยู่บนตักเอาไว้แน่น ไม่อยากคิดเลยว่าหากเจ้าหญิงตัวน้อยๆ ที่เธอเฝ้าฟูมฟักมาด้วยทั้งหมดของชีวิตนี้หายสาบสูญไปแล้วจะทำเช่นไร

วันหยุดนี้ยังโชคดีที่มีอันเดรคอยดูแลพีด้าให้ เธอถึงได้ทำงานของตัวเองอย่างสบายใจแต่อันเดรก็ไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลา ยังไงเสียวันนี้เขาก็ต้องเดินทางกลับวียบอร์ก2 ความจริงแล้วอันเดรมาเยี่ยมเธออยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่าอาทิตย์เว้นอาทิตย์ บางครั้งถ้ามีวันหยุดติดต่อกันหลายวันเขาก็มาขลุกอยู่ที่นี่เสมอ ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องที่มีเด็กหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนี้ถึงได้ทำให้เธอวิตกใจนัก

เมื่อเห็นว่าเพื่อนบ้านหลายครอบครัวที่จับกลุ่มคุยกันยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับข่าวใดๆ อีกทั้งจวนจะถึงเวลาที่อันเดรต้องเดินทางกลับแล้ว นราวิกาจึงเอื้อมมือไปแตะยังต้นแขนแม่ของเด็กที่หายตัวไป

“ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ ได้ข่าวยังไงอย่าลืมบอกด้วย ฉันเชื่อว่าลูกชายคุณต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”

แม่ของเด็กชายที่หายตัวไปยิ้มเศร้าสร้อยแล้วพยักหน้ารับ ยิ่งได้เห็นเด็กวัยไล่เลี่ยยิ่งทำให้คิดถึงลูกชายมากขึ้นเท่านั้น

“แม่คะ โจรจับเด็กเนี่ย เขาจับแค่เด็กผู้ชายหรือเปล่า” พีด้าแหงนหน้าถามแม่ในขณะที่เดินจากสนามกีฬาส่วนรวมกลับมายังบ้านของตน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อันเดรเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมออกมาจากบ้านเช่นกัน

“ไม่จ้ะ แล้วแต่ว่าจะสบโอกาส จะผู้หญิงหรือผู้ชายโจรมันก็ไม่เลือกหรอกลูก” ก้มลงตอบแล้วเงยหน้าขึ้นเมื่อร่างสูงของอันเดรเดินมาสมทบพอดี “จะกลับแล้วใช่ไหม”

“ใช่ สีหน้าคุณดูไม่ดีเลยนะแนซ”

นราวิกาไหวหัวไหล่ ยอมรับอย่างไม่ปิดบัง “ฉันรู้สึกแย่เอามากๆ ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย ข่าวเด็กคนนั้นหายตัวไปทำให้ฉันจิตใจห่อเหี่ยว”

“ไม่เอาน่า... พีด้าเป็นเด็กฉลาด อีกอย่างคุณก็ดูแลลูกตลอดเวลาอยู่แล้ว ช่วงนี้ก็ห้ามออกไปเล่นนอกบ้านสักพัก ป้องกันเข้มงวดแบบนี้ผมว่าไม่น่าจะเป็นไร” บอกแล้วทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้าข้างหนึ่งของตัวเอง “พีด้า หนูเห็นไหมว่าแม่กลุ้มใจมากๆ”

“อื้ม... หนูพยายามปลอบแม่แล้ว” สาวน้อยบอกราวกับจะฟ้องว่า ทำอย่างไรแม่ก็ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม

อันเดรยิ้มและยกมือขึ้นบีบแก้มนุ่มด้วยความมันเขี้ยว “แค่ปลอบใจไม่พอจริงๆ แต่หนูต้องเชื่อฟังคำสั่งแม่ จำที่ลุงสอนได้ทุกข้อไหม”

“ท่องจำได้แล้วค่ะ” ปั้นหน้าเมื่อยตอบ นั่นยิ่งทำให้คนมองต้องกลั้นยิ้มแทบตาย

เด็กคนนี้ฉลาดจนบางครั้งทำให้โมโห รู้มากจนบางทีก็นึกอัศจรรย์ใจว่าไปเอาคำพูดคำจามาจากไหน นั่นคือสิ่งที่อันเดรสัมผัสได้ตลอดเวลา “ถ้าอยู่ที่โรงเรียนแล้วเจออะไรไม่ชอบมาพากลต้อง...”

“รีบบอกคุณครูทันที” พีด้าตอบเพราะถูกย้ำมาตลอดทั้งวัน

“อาฮะ แล้วถ้าเจอคนแปลกหน้ามาด้อมๆ มองๆ ล่ะ” อันเดรถามต่อ

“ให้บอกแม่แล้วห้ามอยู่ห่างจากแม่เด็ดขาด” จบคำพูดพีด้าก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมาเสียเอง เพราะตลอดทั้งวันถูกลุงถามเช่นนี้แล้วพอตอบถูกก็จะชมว่าเยี่ยมทุกครั้งไป “เยี่ยมไปเลย ใช่ไหมคะ”

คำพูดนั้นทำให้อันเดรแหงนหน้าขึ้นไปสบสายตากับนราวิกาซึ่งยืนกอดอกมองอยู่ข้างๆ แต่เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นอีกก็ทำให้อับจนหนทางต่อกร

“ลุงรีบกลับบ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปทำงานสาย เจออะไรไม่ชอบมาพากลก็ต้องแจ้งตำรวจนะคะ” บอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าหลุดคำพูดเกินเด็กออกมา

อันเดรถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ คำรามในลำคออย่างหักห้ามใจก่อนจะดึงร่างของสาวน้อยมาหอมแก้มสองฟอด “ไปก็ได้ ไม่ต้องไล่หรอก เดี๋ยวคราวหลังจะไม่ซื้อชุดมาเปลี่ยนให้เอลซ่านะ”

“มีเยอะแยะแล้วค่ะ ลุงเก็บตังค์หยอดกระปุกไว้สิคะ แม่สอนว่าเราต้องรู้จักประหยัด” พีด้ามองลุงและแม่ที่หัวเราะออกมาโดยไม่เข้าใจว่าคำพูดของตนนั้นตลกตรงไหน “พูดจริงก็ขำ พีด้าไม่เข้าใจลุงจริงๆ”

อันเดรส่ายหน้า แบมือข้างหนึ่งขึ้นเป็นเชิงยกธงขาวขอเป็นฝ่ายยอมแพ้ “จริงอย่างคุณว่านะแนซ บางครั้งผมก็อยากจะจับบางคนมาหักแข้งหักขาแล้วกลืนลงท้องเสียให้จบเรื่อง”

“ก็ฉันบอกแล้ว ทีนี้เข้าใจคำว่าหัวปั่นแล้วใช่ไหม”

อันเดรรีบพยักหน้ารับจากนั้นจึงเอื้อมมือไปวางบนหัวไหล่บอบบาง “อย่าเครียดกับเรื่องที่มันอยู่ไกลตัวนักนะ ร่างกายคุณเองที่จะรับมันไม่ไหว”

นราวิกายิ้มรับ ใช่ว่าจะคิดไม่ได้แต่ทุกครั้งที่คิดว่าลูกจะหายไป เธอก็หดหู่ใจเป็นที่สุด “อืม... รีบกลับเถอะ แล้วว่างๆ จะโทรหา”

“มีอะไรก็โทรมาได้ตลอด ไม่แน่ว่ากลางสัปดาห์ถ้าผมเคลียร์งานเสร็จแล้วอาจจะขอลาเพิ่มสักสองวัน ถ้าเรื่องแก๊งลักพาตัวเด็กนี่ยังไม่ซาลง”

จบคำพูดของคุณลุง พีด้าก็โบกไม้โบกมืออำลา “บ๊ายบายค่ะอันเดร”

คนถูกไล่ตรงๆ ระเบิดเสียงหัวเราะแล้ววางมือขยี้ผมนุ่มอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินจากสองแม่ลูกออกมายังถนนด้านหน้า ถึงอย่างนั้นแม่สาวน้อยเจ้าปัญหายังตะโกนตามหลังมา

“อันเดร... ชุดเอลซ่าเยอะแล้วน้า... แต่อันนาเพิ่งมีสองชุดเอง”

นราวิกายิ้มสดใสเมื่อเห็นเพื่อนเดินห่างออกไปทั้งยังยกมือโบกไปมาเป็นเชิงว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่พีด้าพูด เมื่อร่างของอันเดรลับตาจึงก้มลงมองลูกสาวอย่างคาดโทษ

“เพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าแม่สอนให้ประหยัด แล้วไปสั่งอันเดรซื้อชุดให้อันนาได้ไง”

“อ้าว... ก็หนูรู้ว่าลุงต้องซื้อมาให้อยู่แล้ว ห้ามไม่เคยเชื่อนี่คะ ก็เลยต้องบอกให้ซื้อที่ยังมีไม่เยอะ” บอกตามประสาความคิดของเด็กในขณะที่เดินจับมือแม่ “หนูคิดผิดเหรอแม่”

นราวิกายิ้มอย่างจนใจ ก็ไม่ได้ผิดแต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว แต่ก็ตอบได้แค่ในใจเพราะถ้าตอบเช่นนั้นออกไปจริงๆ เธอคงต้องขยายความให้เข้าใจกันอยู่ร่วมชั่วโมง

“แม่ว่าป่านนี้คุณยายคงรอนานแล้ว เรารีบพาคุณยายเข้านอนกันดีกว่า”

“ค่า...” ลาเสียงยาวรับคำแล้วปล่อยมือแม่ วิ่งนำเข้าบ้านไปหาคุณยายก่อน เป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้วที่ต้องช่วยแม่เข็นเตียงคุณยายซึ่งเป็นเตียงผู้ป่วยแบบมีล้อเลื่อนออกมาจากห้องในตอนเช้า และเข็นเข้าไปในห้องนอนในตอนเย็นของทุกวัน

ทว่าอันเดรยังไม่ได้เดินทางกลับไปวียบอร์กในทันที แต่เขาต้องมุ่งหน้าไปยังกาสิโนเพื่อเสี่ยงดวง หาเงินพิเศษกลับไปใช้จ่ายซึ่งทำเช่นนี้มาตลอดเวลา และจะเดินทางกลับตอนเช้ามืดด้วยรถไฟความเร็วสูง ใช้เวลาราวสองชั่วโมงก็ถึงวียบอร์กซึ่งเป็นเมืองชายแดน คนอยู่อาศัยไม่มากนัก

ชีวิตเขาอาจจะไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากนัก ยังไงเสียก็เกิดมามีแค่หนึ่งชีวิตก็ขอใช้ให้มันคุ้มค่า ทำในสิ่งที่รักที่ชอบและปฏิญาณต่อตัวเองว่าจะไม่เบียดเบียนให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะตนเองอีกแล้ว

 

รูปเล่มสามารถข้อความมาสั่งกับศิริพาราได้ตลอดเวลานะครัช

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา