XENON LIFER อมนุษย์พันธุ์ทมิฬ

8.3

เขียนโดย TwentySIX

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.59 น.

  13 chapter
  1 วิจารณ์
  12.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) You No Change

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      เพราะเชื่อมั่นมากเกินไป...

      เวลาผิดหวังถึงได้รู้สึกเจ็บปวด

      เพราะไม่อยากจะรู้สึกเจ็บปวด...

      ฉันถึงได้หลอกให้ตัวเองเชื่อมั่นต่อไป

 

      ถึงแม้ว่าท้ายสุดแล้ว...

      ฉันจะเป็นคนเดียวที่โง่เง่า

      แต่ฉันก็เคยคิดอยู่เหมือนกันนะว่า...

      ผู้ที่เชื่อมั่น และผู้ที่ถูกเชื่อมั่น

      เวลาที่พวกเขาเหล่านั้นต้องผิดหวัง...

.

.

 .  

     ก็คงจะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน

 

..................................................................

 

 

 

     กึก!!

 

     คมเคียวหยุดชะงักไว้ข้างลำคอขาว มัสแตงซึ่งลืมตาอยู่ทุกขณะ ถึงกับต้องส่งสายตาไม่เข้าใจ ว่าชายปริศนาจะหยุดเคียวไปทำไมกัน เขาคือเรดพาลาดิน ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของผู้ร่วงหล่นเชียวนะ

     "ทำไมล่ะ...ทำไมอาจารย์ถึงต้องฆ่าท่านพ่อด้วย!"

     มัสแตงถามอย่างต้องการความจริง ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเคียดแค้นชายปริศนามากแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงเถิดทูนคนๆนี้ เป็นอาจารย์ที่เคยสอนเพลงดาบให้แก่เขา

     ชายปริศนาถอนเคียวกระดูกอสูร ก่อนจะหันหลังให้ แล้วตอบกลับไปว่า

     "ฉันมีหน้าที่ของฉัน.."

 

     "นายโหดดด!!!"

 

      สองหนุ่มเสมองไปยังต้นเสียงพร้อมกัน เห็นร่างโปร่งแสงของหญิงสาวมาจากไหนก็ไม่รู้ พุ่งเข้ามาขวางหน้าชายปริศนา เธอกางมือสองข้างออก คล้ายกับต้องการป้องกันไม่ให้ชายปริศนาได้ฆ่ามัสแตง

     "นายห้ามฆ่าคนดีนะ เดี๋ยวตายไปก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์หรอก!" จิลต่อว่าเสียงใส 

     "...เธอนี่มันน่ารำคาญชะมัด" ชายปริศนาบ่นพึมพำ ก่อนจะสลายเคียวในมือให้กลับมาอยู่ในรูปของกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยม เขาเหลือบมองมัสแตงชั่วครู่ แล้วค่อยเดินหายลับไปอีกที่หนึ่ง เมื่อจิลเห็นเช่นนั้นจึงลอยตามชายหนุ่มไปแบบติดๆ 

     ส่วนมัสแตงยังคงปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ ความเคลือบแคลงใจที่มีต่อชายปริศนาเริ่มไม่แน่นอน ก่อนเขาจะเริ่มทำการอะไรต่อ ชายหนุ่มผมทองก็หยิบปืนยิงพลุสัญญาณ พร้อมยิงพลุสีแดงขึ้นฟ้า แสดงตำแหน่งให้กับพวกที่หลบซ่อนอยู่ในที่ไกลๆได้รู้ว่า

     ภารกิจนี้...ล้มเหลว...

 

 

     เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ที่จิลในร่างจิตโผล่ออกมาบินวนรอบๆตัวชายปริศนา เขาลองสังเกตที่ลำคอขาวระหงส์ของหญิงสาว ซึ่งมีสร้อยคอรูปปีกนกสีขาว 

     ชายปริศนารู้จักสร้อยคอชิ้นนี้ดี แต่เขากลับคาดไม่ถึง ว่าคนที่จะมาเป็นคู่หูของเขา ดันกลายเป็นยัยผู้หญิงที่น่ารำคาญเสียได้

     "ทอชให้เธอมาสินะ...สร้อยคอถอดจิตนั่นน่ะ"

     เขาถามโดยไม่หันไปมอง ขาทั้งสองยังควบฝีเท้าต่อไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวที่ไม่นึกเลยว่า ชายปริศนาจะเป็นฝ่ายมาชวนคุยก่อน เธอจึงตอบไปตามตรง

     "อื้ม คุณทอชเขาให้ฉันมาน่ะ"

       จิลเตะสร้อยคอรูปปีกสีขาวเพียงข้างเดียว ซึ่งสิ่งนี้คือสร้อยถอดจิต ที่สามารถทำให้ร่างจิต หรือกายละเอียดของผู้สวมใส่ ย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้

      ตอนแรกจิลเองก็ไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งเธอได้ลองถอดจิตด้วยตัวเอง แถมทัศนวิสัยตอนเธออยู่ในร่างจิต มันช่างดูแปลกประหลาดเสียเหลือเกิน 

     อย่างเช่น ดวงวิญญาณคนตายจะมีสีฟ้าคราม และเธอสามารถมองเห็นและจับต้องมันได้ กับสายลมเป็นริ้วๆสีดำ ส่วนสิ่งมีชีวิตไหนที่ยังมีลมหายใจอยู่ หรือต้นไม้ ก็จะมีรูปลักษณ์ขาดๆหายๆเหมือนควันไฟ

     "...งี่เง่าชะมัด"

     ชายปริศนาบ่นพึมพำแบบไม่ให้จิลได้ยิน แต่น่าเสียดายที่เธอนั้นเป็นคนหูไว หญิงสาวจึงลอยมาอยู่ข้างหน้าชายปริศนา เส้นผมยาวสลวยของเธอพริ้วไสวไปตามแรงลม ร่างโปร่งแสงนั้นใสจนสามารถมองไปเห็นทิวทัศน์ด้านหลังได้ ดังนั้นการกระทำแต่ละอย่างของเธอ จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่ชายปริศนาแต่อย่างใด

     "นี่ๆนายโหด ทำไมนายถึงกลายมาเป็นผู้ร่วงหล่นไปได้ล่ะ"

     จิลถามถึงเรื่องที่ค้างคาใจมานาน ทว่าชายปริศนากลับปฏิเสธ ที่จะพูดถึงสาเหตุการกลายมาเป็นผู้ร่วงหล่นของตนเอง

     "รู้ไปแล้วจะได้อะไร..."

    เขาพูดลอยๆขึ้นมา แล้วค่อยใช้มือคว้านปากแผลตรงกลางอก จิลซึ่งแอบมองดูอยู่ก็เบือนหน้าไปทิศทางอื่นอย่างนึกหวาดเสียว ชายปริศนาเหล่มองเธอด้วยหางตา ก่อนจะควักหัวกระสุนออกมาจากกลางอกหนึ่งนัด

     มัสแตง...

     ชายปริศนาส่ายหน้า พลางเคาะอกสองที ก่อนแหวกผ้าปิดปากออกเป็นช่องเล็กๆ เพื่อที่จะได้ถ่มลูกกระสุนเกือบสิบนัดออกมากองบนฝ่ามือ  ชายปริศนาหรี่ตามองลูกตะกั่วเปื้อนคราบเลือดสีดำ ก่อนจะคว่ำมือเทหัวกระสุนทั้งหมดทิ้ง

     "...อดีตของฉัน...มันไม่น่าสนใจหรอก"

     ถึงแม้จะบอกอย่างงั้น แต่สิ่งที่จิลระคาใจมากที่สุดไม่ใช่อดีตของชายปริศนา เธอรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับการที่ร่างของเขามีสีฟ้าคราม และควันไฟผสมปนเปกันเสียมากกว่า

    มันหมายความว่ายังไงกัน?

    ชายปริศนาไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และคนตายเหรอ?

     ถ้างั้น...เขาเป็นตัวอะไรกันแน่ล่ะ?

 

 

     เวลาเที่ยงตรงของวันที่สอง ชายปริศนาเหลือบมองดวงอาทิตย์เบื้องบน ก่อนก้มลงมาดูแผนที่ตรงจุดวงกลมเล็กๆสีแดง ซึ่งมีลูกศรชี้ว่า Lost Land เขาพยายามเพ่งสายตาอย่างหนัก ถึงแม้ว่าดวงตาจะมองอะไรไม่ค่อยเห็น แต่เขาก็มั่นใจว่า ตัวเองน่าจะเดินมาจนถึงเมืองลอสท์แล้วแน่ๆ 

     เขาขยี้เท้าสัมผัสเสียงหนักแน่น คาดว่าอาจเป็นของแข็ง อย่างพื้นศิลา

 

     เดินตามทางไปเรื่อยๆ น่าจะถึง

 

     ชายปริศนาเดินสะเปะสะปะ ด้วยอาการคล้ายกับคนสายตาสั้น แล้วดันลืมใส่แว่นตา แสงสว่างเบื้องหน้าแยงตาเขาจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น ชายหนุ่มชูมือเข้ามาใกล้ดวงตา ซึ่งยังคงมองเห็นเพียงแต่สีขาวโพลน 

     ถ้ามีคนช่วยบ้างนำทางก็คงจะดี...

     "ทำอะไรของนายน่ะ?"

     เสียงก้องกังวานดังมาจากหญิงสาวที่อยู่ในร่างจิต ส่วนคนที่กำลังอยากได้ความช่วยเหลือ ก็แอบแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมา 

     แต่ต้องไม่ใช่ยัยนี่...

     ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาเดินเชิดหน้าต่อไป โดยทำเป็นเมินเฉยต่อหญิงสาว

     "นี่ นายโหด"

     ยัยตัวน่ารำคาญ... ชายปริศนาบ่นอุบอิบ สำหรับเขาแล้ว ผู้นำทางช่างจ้อเป็นน้ำไหลไฟดับเช่นนี้เท่านั้น ที่เขาไม่เคยคิดอยากจะได้

     "ตรงนั้นมันคลองน้ำไม่ใช่เหรอ?"

 

     จ๋อม...

 

     ยังพูดไม่ทันขาดคำ ขาของชายหนุ่มก็จมลงไปในคลองน้ำเกือบถึงหัวเข่า เขาถอนหายใจก่อนจะดึงขา ซึ่งเปียกเฉอะแฉะขึ้นมาอย่างคนเสียฟอร์ม ก่อนเดินไปอีกทางหนึ่ง อย่างไม่สนใจว่าจิลจะตามมารังควานอีกหรือไม่

     "ทางนั้น มันทางเข้าไปในป่านะ?"

     จิลป้องปากตะโกนบอกด้วยความหวังดี ชายปริศนารู้สึกว่าความอดทนของตัวเองเริ่มถึงขีดสุด เขามองข้ามไหล่แล้วใช้หางตาจ้องไปที่เธอด้วยความไม่พอใจนัก

     "หนวกหูน่า เธอนี่มันน่ารำคาญชะมัด!"

     เขาขึ้นเสียงอย่างเหลือทน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่ชายปริศนาจะโชว์อาการน็อตหลุด 

     "อีกอย่าง ฉันจะไปทางไหนไปทำอะไร มันก็เป็นเรื่องของฉัน" 

     ชายปริศนาหันตัวไปหาจิล ถึงเขาจะมองไม่เห็น แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าหญิงสาวยังลอยอยู่แถวๆนั้น

     "อย่าดื้อดีกว่าน่า นายตาบอดแบบนี้ จะไปทำอะไรกินได้" 

     จิลแอบขำในใจ ภาพชายปริศนาผู้เอาจริงเอาจังที่เดินตกคลองน้ำ ยังจำติดตาได้เป็นอย่างดี ตอนเช้านายคนนี้ดูน่ารักกว่าตอนกลางคืนเสียอีก จิลคลี่ยิ้มอย่างทะเล้น

 

     "ไม่-ได้-บอด"

 

     เขาเน้นแบบชัดถ่อยชัดคำ

     "เหรอ? งั้นตอนนี้ฉันชูกี่นิ้วล่ะ"

     จิลแกล้งชูสี่นิ้ว อย่างต้องการแหย่นายโหดเล่น ทว่ารายนั้นกลับไม่รับมุกด้วย ก่อนชายปริศนาจะหันกลับไปกระทืบพื้น เพื่อหาตำแหน่งทางเดินเสียใหม่ สำหรับเขาแล้วการไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ถือเป็นเรื่องที่ดี 

     แต่ในส่วนของข้อเสีย มันกลับทำให้เขากลายเป็นคนตายซากเหมือนซอมบี้  ซึ่งเริ่มจากประสาทสัมผัสไม่ทำงาน ไม่อาจรับรู้อุณหภูมิต่างๆ ไม่มีความรู้สึกเหนื่อยเมื่อยล้า และก็ไม่สามารถนอนหลับได้

      โดยตลอดระยะเวลา ที่กลายมาเป็นผู้ร่วงหล่น เขาจึงพยายามใช้หูแยกแยะสิ่งต่างๆจากเสียงที่ได้ยิน จากการทรงตัว จากการกระทบ และอื่นๆ

     "ถ้ามันลำบากขนาดนั้น ฉันช่วยจุงมือให้เอามั้ย?"

     ชายปริศนาก้มหน้าปลง ถ้าเขาไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากจิล เขาก็มีทางเลือกแค่มานั่งรอเวลาค่ำมืดเท่านั้น  ถึงชายหนุ่มจะดำเนินการอะไรต่อได้ด้วยตัวของเขาเอง

     ขณะที่ชายปริศนายืนนิ่งใช้ความคิด จิลก็แอบลอบมองกระเป๋าของชายหนุ่ม เธอรู้สึกไม่ดีเลย ที่ได้มาเห็นละอองสีดำตามกระเป๋าใบนั้น แถมละอองสีดำนั้นยังไต่ตอมรอบตัวชายปริศนาเหมือนแมลงหวี่ มิหน่ำซ้ำมันยังชอนไชแทรกเข้าไปในตัวของเขาด้วย

 

     น่าขนลุก...

 

     หญิงสาวสรุปสั้นๆในใจ โดยนั่นเป็นเวลาเดียวกับที่ชายปริศนา หยิบยื่นม้วนแผนที่ส่งไปให้เธอ จิลแบมือรับก่อนจะขยับรอยยิ้มอย่างน่ารักออกมา

     "นี่จะเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย..." ชายปริศนาพูดเสียงเข้ม

     "แล้วจะรอดู" หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง

     จิลคิดว่าการเดินทางครั้งนี้คงจะอีกยาวไกล แต่พอลองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบวงกลมสีแดงบนแผนที่ จึงรู้ว่าอีกเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ก็จะถึงที่ทำภารกิจของชายปริศนา ระหว่างทางเธอคอยถามนู้นถามนี้กับเขาเป็นการฆ่าเวลา

     "นายชื่ออะไรเหรอ?"

     "ไม่บอก..."

     "นายอายุเท่าไหร่?"

     "ขี้เกียจนับ..."

     "นายเกิดที่เมืองไหนล่ะ?"

     "ลืมไปแล้ว..."

 

     แล้วจะเป็นคู่หูกันรอดมั้ยเนี่ย?...

 

     "หืมมม..อ้าว ถึงแล้วนี่"

     จิลมองตรงไปข้างหน้า เดินไปคุยไปแปปเดียว รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่ซะแล้ว ชายปริศนาได้ยินว่าถึงแล้ว ก็หมายความว่าเมืองลอสท์คงจะอยู่ข้างหน้า เขาจึงสืบเท้าล่วงหน้าไปก่อน โดยบอกกำชับให้จิลอยู่เฉยๆ 

     แต่ไม่ว่าเขาจะเดินไปไกลสักแค่ไหน มันก็ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่ายัยนั่นแกล้งหลอกเขาเล่นเหรอ?

     คิดได้ดังนั้น จึงเดินย้อนกลับมาหาจิล ก่อนจะทันต่อว่าอะไร หญิงสาวก็ชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงอันเหลือเชื่อ

     "นายทำได้ยังไงน่ะ?"

     "...ฉันทำอะไร"

     "ก็เมื่อกี้นี้ นายเล่นเดินทะลุกำแพงเลยไม่ใช่เหรอ"

 

     กำแพงเมือง...

 

     แปลกมาก...เขาไม่เห็นจะสัมผัสกับอะไรได้เลย แถมไม่รู้สึกว่าเดินทะลุ หรือเดินชนสิ่งกีดขวางอะไรด้วย ชายปริศนาลูบคางใช้ความคิด ก่อนจะบอกให้จิลช่วยทดสอบอะไรเล็กๆน้อยๆให้เขาหน่อย

     "ไหนเธอลองขว้างก้อนหินสิ..."

     "ขว้างไปทางไหนล่ะ"

     "กำแพงเมืองลอสท์..."

     จิลทำตามคำขอโดยไม่ขัดข้อง หญิงสาวหยิบก้อนหินขึ้นมา ก่อนจะขว้างออกไปข้างหน้า เสียงหล่นตุ๊บดังเบาๆ ชายปริศนาเอียงคอถามคำถามอีกครั้ง

     "เป็นยังไง..."

     เขาได้ยินเสียงอ้ำๆอึ่งๆจากผู้ร่วมทาง เธอเม้มริมฝีปาก ก่อนให้คำตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่

     "มันไม่กระดอนกลับมาน่ะ จู่ๆมันก็...ตกลงพื้นเฉยๆ"

     "...เขตอาคมสินะ"

     ชายปริศนาสรุปความ เขาสลายกระเป๋าให้เป็นละอองสีดำ เพื่อทำการกลั่นตัวเป็นอาวุธอุปกรณ์ โดยในสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มต้องการสิ่งของที่สามารถช่วยพาเขา เข้าไปข้างในเมืองลอสท์ได้

      แต่ดันมีคนเข้าใจยาก ยืนงงตึบอยูาข้างๆตัวเขาเนี่ยสิ

     "อาคมอะไรนะ?" จิลส่งสายตาไร้เดียงสาไปหาชายหนุ่ม

 

     หล่อนนี่มัน...

 

     ไม่รู้จริงๆ ว่าควรสรรหาคำพูดไหน มาจำกัดความยัยผู้หญิงจอมจุ้นคนนี้ดี ระหว่างรอให้กระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมบีบอัดตัวอย่างช้าๆ ชายปริศนาจึงยอมให้เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ เพื่อเป็นการประดับความรู้ให้แก่หญิงสาว

     "ถ้าเธอเกิดก่อนหน้านี้สักสามร้อยปี เธอจะรู้ว่าเมืองลอสท์ ถูกสร้างขึ้นโดยซาตานตนหนึ่ง และมันได้ร่ายเขตอาคม ที่จะดูดกลืนทุกชีวิตเข้าไปติดอยู่ภายในเมืองนี้ อย่างไม่มีทางหนีออกไปได้"

     "ฟังดูแล้วน่ากลัวจัง"

     "ที่น่ากลัวกว่าก็คือ ผู้ร่วงหล่นเข้าไปไม่ได้..."

     ชายปริศนาปรายตาสีขาวขุ่นไปทางจิล แววตานั้นดูเศร้าๆอย่างบอกไม่ถูก

     "...และเธอก็กำลังเดินทางอยู่กับปีศาจ"

     เขาพูดเป็นเชิงบอกใบ้ แต่จิลกลับแย้งเสียงใส

     "ไม่หรอก นายเป็นมนุษย์ต่างหาก"

     "...ยัยมหาโง่เอ๊ย" ถึงปากจะว่าไปอย่างงั้น แต่เขากำลังขยับรอยยิ้มใต้ผ้าปิดปาก ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว คำว่ามนุษย์ที่เขาเคยทิ้งขว้างไปในอดีต

     ผู้ร่วงหล่นไม่ใช่แค่จะถูกพระเจ้ารังเกียจ แต่เขายังถูกซาตานสาปดวงวิญญาณ ดังนั้นการจะเข้าไปในเขตอาคมของซาตานไม่ได้ จึงถือว่ามันเป็นเรื่องปกติ...แต่ถึงกระนั้นแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า จะฝ่าเข้าไปไม่ได้เสียทีเดียว

     ละอองสีดำรวมตัวกัน จนกลายเป็นโซ่เหล็กติดกรงเล็บสี่เขี้ยว โดยกรงเล็บนั้นจัดวางในตำแหน่งอันเหมาะสม ที่สามารถใช้สำหรับการหนีบหรือฉุดกระชากได้ 

     จิลขยับตัวถอยห่าง ไม่ใช่ว่าเธอกลัวจะโดนลูกหลง แต่เธอกลัวละอองสีดำ ที่ฟุ้งกระจายอยู่บนอาวุธชิ้นนั้นมากกว่า 

     ชายปริศนาจับโซ่แล้วหมุนควงกรงเล็บหลายๆรอบ เศษขี้ดินปลิวว่อนจากพื้นตามแรงลม หากในมุมมองของคนธรรมดา คงจะไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่สำหรับผู้อยู่ในร่างจิต จะเห็นละอองสีดำผุดขึ้นมาจากข้างใต้พื้นดิน แล้วหลอมรวมกับกรงเล็บมากขึ้นเรื่อยๆ

     พอรวบรวมแรงหมุนได้ที่ ชายปริศนาจึงซัดกรงเล็บออกไปยังอากาศว่างเปล่า เขั้ยวทั้งสี่กางออก ก่อนจะจมเข้าไปในเขตอาคมที่มองไม่เห็น ก่อให้เกิดรอยละลอกคลื่นไหวบนอากาศ

 

     จับได้แล้ว...

 

     เขาออกแรงฉุดกระชาก เสียงคล้ายกระจกแตกดังลั่น ส่งผลให้เกิดรูโหว่บนอากาศ ภายในรูนั้นมีสีดำทมิฬ สายลมเป็นริ้วๆสีดำกระโชกพัดจากภายใน ก่อนมันจะดูดร่างชายปริศนาและจิลเข้าไป 

     หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง ร่างจิตนั้นหมุนคว้างราวกับอยู่ในกระแสพายุ และทันใดนั้นเอง ความนึกคิดจำนวนมาก ก็พุ่งซัดเข้าสู่โสตประสาทของเธอ

 

     เจ็บเหลือเกิน...

 

     หิว...ข้าหิว...

 

     ใครก็ได้ช่วยด้วย...

 

     พระเจ้า...

 

     ข้ายังไม่อยากตาย!...

 

     ไม่เอาแล้ว!!...

 

     อ้ากกกกก!!!....

 

     หญิงสาวกุมขมับไว้แน่นแล้วหลับตาปี๋ ไม่เอานะ..ฉันไม่อยากได้ยินมันอีกแล้ว! น่ากลัวเหลือเกิน...หยุดพูดสักทีเถอะ!!

 

     หยุดพูดสักที!!!

 

     ร่างหญิงสาวสลายหายไปอย่างฉับพลัน จิตของเธอถูกส่งกลับเข้าสู่ร่างเนื้อ ชายปริศนาเหลือบมองผู้ร่วมทางที่หายไป ก่อนจะหันกลับมาสนใจ ว่าตัวเองจะตกลงไปด้านล่างด้วยสภาพเช่นใด 

     สาเหตุก็เพราะว่าเขี้ยวกระชากมิติ ทำการบังคับเปิดช่องโหว่ของเขตอาคมโดยตรง เลยส่งผลให้เขาต้องมาลอยกลางฟ้า เพื่อรอเวลาดิ่งลงสู่พสุธา

     ดวงเนตรสีขาวขุ่น เริ่มย้อมกลับเป็นสีแดงฉาน เขากลอกตามองทัศนียภาพที่ไม่คุ้นเคย ท้องฟ้าอันดำมืดที่เต็มไปด้วยมวลหมู่เมฆสีหม่น และยังมีแสงสีแดงจากพระจันทร์สีเลือด ซึ่งลอยค้างฟ้าอย่างเดียวดาย

     ชายปริศนามองย้อนกลับลงมา พบว่าบ้านเรือนที่ตั้งเรียงแบบไม่มีระเบียบ กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เสียจนเห็นก้อนกรวดเม็ดเล็กๆบนพื้นดิน

 

     ที่นี่น่ะหรือ...เมืองลอสท์

 

     กร๊อบ!!! เปาะ!! เปาะ!!

 

     แผละ!!!!......

 

 

     

     "เฮือก!!!"

     จิลสะดุ้งตื่น เธอหอบหายใจ ก่อนวิ่งไปอ้วกที่ห้องน้ำหลังเกิดอาการพะอืดพะอม หญิงสาวสำรอกอาหารมื้อเย็นออกมาจนเกือบหมด น้ำหูน้ำตาไหลเป็นทาง เสื้อผ้าตัวบางๆชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้ในขณะนี้ เธอก็ยังได้ยินเสียงร้องโหยหวน ดังแว่วๆมาแต่ไกล

 

     เมืองลอสท์...

 

     อาณาจักรต้องสาป...

 

     อาณาจักรที่วิปริตผิดเพี้ยน!!!...

 

     จิลทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง สองมือกุมขมับ พลางก้มหน้าแนบหัวเข่า งานของชายปริศนาคืออะไรกัน แล้วทำไมเขาถึงต้องยอมลงทุน เข้าไปเสี่ยงตายในที่แบบนั้น อีกอย่างเขาเป็นผู้ร่วงหล่นไม่ใช่เหรอ ถึงจะไม่รับงาน และไปหาที่อยู่แบบหลบๆซ่อนๆก็ได้นี่

     หญิงสาวเงยหน้า ความรู้ขัดแย้งอัดแน่นเต็มอก ตอนนี้เธอคงต้องพักสติ ก่อนจะไปถอดจิตใหม่อีกครั้ง  จิลคิดว่าเรื่องนี้น่าจะถามหาความจริงกับชายปริศนาไม่ได้แน่ๆ

     ดังนั้นเธอต้องไปถามใครสักคน

     ใครสักคนที่น่าจะให้คำตอบแก่เธอได้

     และคนๆนั้นก็คือ ทอช!

     หญิงสาวดีดตัวลุกขึ้นยืน ก่อนรีบเปิดประตูบ้านแล้ววิ่งออกไป โดยไม่สนใจว่าขณะนี้ เธอกำลังใส่ชุดนอนตัวบางๆ ที่แทบจะมองทะลุเข้าไปเห็นสัดส่วนโค้งเว้าของเธอ

 

 

..................................................................

     

"เพียงแค่ได้อยู่ข้างๆเจ้า

ข้าก็รู้สึกมีความสุข"

 

"ใช่! ความสุขบนซากศพของพวกพ้อง

แกมันก็เป็นได้แค่นี้แหละ ไอ้เจ้ามนุษย์โสโครก!!"

 

"อยากได้พลังมั้ยล่ะ..."

 

"เพียงแค่เจ้าเอ่ยขึ้นมาแค่คำเดียว"

 

"ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล..."

 

..................................................................

 

 

 

     อีกด้านหนึ่งของเมืองลอสท์ ชายปริศนาซึ่งมีสภาพเละเทะ กำลังนอนนิ่งไม่ไหวติ่ง ลำตัวเขาฉีกขาดออกจากกัน กระดูกแตกหักทิ่มทะลุผิวหนัง เลือดสีดำไหลเจิงนองบนพื้น

     แต่สักพักลำตัวเขาก็เชื่อมต่อติดกันใหม่ กระดูกแตกๆดันกลับเข้าที่เดิม ชายหนุ่มจับลำไส้อ้วนๆของตน ก่อนยัดเข้าไปในช่วงท้อง จากนั้นจึงเดินตามหากระเป๋าทรงสี่เหลี่ยท ที่ตกหล่นไม่ห่างไม่ไกล

     ชายปริศนากวาดสายตามองรอบตัว บ้านไม้หลังเก่าโทรมๆใกล้จะพังแหล่ มิพังแหล่ หน้าต่างมีรอยแตกร้าว และบานประตูก็ถูกไม้ตอกปิดตาย เขาสรุปในใจว่า 

 

     ที่แห่งนี้ ไร้ซึ่งผู้คน...

 

     เขาสืบเท้าไปยังน้ำพุอันแห้งเหือด รูปปั้นเทวดาไร้ศีรษะ และส่วนแขนขวาที่ถือพิณ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ชายหนุ่มสังเกตป้ายปิดประกาศด้านหน้ารูปปั้น พร้อมๆกับใช้มือปัดฝุ่นหนาๆนั้น เพื่ออ่านข้อความ

 

     'หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ปลอดภัย รีบหนีไปซะ'

 

     ชายหนุ่มปาดเศษขี้ฝุ่นตามขอบไม้ ก่อนมองลงพื้นดิน ที่เต็มไปด้วยรอยเท้ามากมาย ที่แห่งนี้เคยมีคนอยู่ เขาลองจินตนาการ ว่าหน้าน้ำพุแห่งนี้อาจเคยมีคนมายืนคุยเรื่องสัพเพเหระ เหล่าเด็กน้อยวิ่งเล่นกันอย่างไม่สนใจต่อสิ่งใดๆ แต่พอทุกสิ่งหวนกลับคืนสู่ความจริง ก็หลงเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า

 

     หมู่บ้านในเมืองลอสท์...

 

     คนที่สร้างสถานที่แห่งนี้ คงจะเป็นชาวบ้านที่โดนเขตอาคมดูดเข้ามา ชายปริศนาลองสำรวจบ้านหลังใหญ่สุด ตราสัญลักษณ์รูปดาวเด่นหลาหน้าบ้าน จากที่ดูแล้วอาจเป็นบ้านของนายอำเภอแห่งหมู่บ้านนี้ ชายหนุ่มกระชากแผ่ยไม้ซึ่งตอกปิดประตูออก ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน

     ข้าวของจำนวนไม่น้อยตกเกลื่อนพื้น แก้วน้ำแตกละเอียดวางไว้บนโต๊ะไม้ หนังสือเอกสารร่วงจากชั้นหนังสือ หยากไย่แมงมุมติดตามมุมฝาพนัง คนพวกนี้คงอพยพกันไปนานมากพอสมควร

     แต่ชายหนุ่มต้องเบิกตากว้าง เมื่อดวงเนตรสีแดงไปจับยังโครงกระดูก ซึ่งนั่งอยู่ตรงท้ายบ้าน กระโหลกศีรษะกับแขนซ้ายไม่อยู่ ส่วนมือขวาถือมีดเล่มสั้นๆ แสดงให้เห็นว่าเขา พยายามตะเกียงตะกายเพื่ออะไรบางอย่างสุดชีวิต

     ชายปริศนาสังเกตรอบกรงเล็บสามรอย ซึ่งติดอยู่ด้านหลังโครงกระดูก นั่นไม่ใช่รอยเล็บของสัตว์ แต่เป็นรอยเล็บของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่

 

     โครม!!!

 

     กรงเล็บพุ่งทะลุจากตำแหน่งเดิม หวังตะคลุบร่างเขา ชายปริศนาตีลังกากลับหลังหลบได้ทัน เขายืนดูสิ่งที่กำลังออกมาจากกำแพง

     แขนสองข้างยาวเรียดพื้น กรงเล็บคมกริบดุจใบมีด ใบหน้าเฉกเช่นสัตว์ร้ายกำลังแยกเขี้ยวจนเห็นฟันแหลมคม ขนสีดำปกคลุมทั่วทั้งตัว และด้วยความสูงมากกว่าสามเมตร ทำให้มันต้องยืมค่อมตัวในบ้านหลังนี้

     ชายปริศนารู้จักเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ดี

     "มนุษย์หมาป่า...ไม่สิ ไลแคนท์?..."

     เจ้าสัตว์ประหลาดแผดเสียงคำราม ก่อนกระโจนใส่อีกครั้ง ชายปริศนาทิ้งกระเป๋าลงข้างลำตัว แล้วตั้งแขนรับการโจมตี จับนั้นจึงจับมันทุ่มออกไปนอกบ้าน ประตูกับกำแพงกลายเป็นรูโหว่ตามขนาดตัวของมัน

     ปกติไลแคนท์จะอยู่กับสังคมมนุษย์ได้ และมันจะไม่โจมตีมนุษย์ด้วยซ้ำ ที่สำคัญก็คือขนาดตัวใหญ่ผิดปกติ กับสีขนสีดำแทนที่จะมีสีขาวหรือสีเงิน

 

     เป็นเพราะผลกระทบ จากอาคมเมืองลอสท์หรือเปล่า...

 

     ชายปริศนาหยิบกระเป๋าเดินออกไป และพบว่ายังมีไลแคนท์อีกเก้าตัว ยืนตามหลังคาบ้านเรือน พวกมันจ้องมองมาทางเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ แต่พอได้มาเห็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยม ที่แปลสภาพเป็นละอองดำ พวกมันจึงยอมยืนนิ่งไม่กล้าเข้าใกล้

     กระเป๋าปีศาจ แพนโดร่า และอีกหลายชื่อที่เอาไว้เรียกขานกระเป๋าใบนี้ แต่มันมีชื่อที่แท้จริงว่า กล่องมารกลั่นวิญญาณ สิ่งนี้เป็นเหมือนกับอาวุธไปในตัว และมันสามารถดูดกลืนวิญญาณอันชั่วร้าย เพื่อนำมากลั่นกลายเป็นอาวุธได้

     ทว่า...เวลาต้องการใช้งาน กลับสุ้มอาวุธให้มาหนึ่งชิ้น จากทั้งหมดหลายพันอย่าง แต่อย่างน้อยอาวุธทุกชิ้นที่สุ้มมา ก็มักจะใช้ในสถานการณ์นั้นได้ดี

     "แฮ่!!!"

     ดูเหมือนว่าบางตัวจะไม่เสียเวลารออีกต่อไป ไลแคนท์ตัวหนึ่งกระโจนใส่ กรงเล็บแหลมคมฟาดลงมาดังโครม บ้านของนายอำเภอพังทลายลงมา ฝุ่นควันจากความเสียหายฟุ้งกระจาย เจ้าไลแคนท์ยืนควานหาชายปริศนา ท่ามกลางกลุ่มควัน

 

     วิ้ง...

 

     แสงสีขาวสว่างวาบรอบตัวไลแคนท์ ราวกับว่ามันต้องมนตร์สะกด ร่างสูงกว่าสามเมตรนิ่งค้าง ก่อนชายปริศนาที่มีสภาพโชกเลือดสีดำจะปรากฏตัว บาดแผลเหวอะหวะตามหัวไหล่ซ้าย กำลังฟื้นฟูอย่างช้าๆ เขาเดินเข้าประชิดไลแคนท์ตัวเดิม จากนั้นจึงใช้นิ้วชี้ดีดหน้าผากมัน

 

     แผละ!!

 

     ร่างนั้นถูกตัดเป็นชิ้นๆแบบสี่เหลี่ยมลูกเต๋า เขายกขาเดินเหยียบกองเลือดนั้นไป สักครู่ฝุ่นควันจึงซาลง เผยอาวุธร้ายในมือซ้ายของชายหนุ่ม

     ดาบคาตานะที่มีฝักดาบสีแดง สลักลวดลายภาษาโบราณ ออร่าแห่งความตาย ที่แผ่ออกมาจากดาบเล่มนี้รุนแรงมาก หากให้คนทั่วไปมาใช้งาน ก็คงจะกลายเป็นบ้า เพราะถูกดาบปีศาจเล่มนี้ครอบงำจิตใจ

     ชายปริศนายืนสงบนิ่ง นัยน์ตาสีแดงมองเหล่าไลแคนท์อย่างต้องการประเมิน เสื้อโค้ทสีดำซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงของไลแคนท์ ผสมปนกับคราบเลือดแห้งกรังสีดำของเขา กำลังมีหยาดเลือดสีดำปนแดง หยดลงมา...

 

     ติ๋ง...

 

     สิ้นเสียงหยดเลือด ไลแคนท์อีกสามตัวก็กู่ร้องอย่างคลุ้มคลั่ง พวกมันกระโดดขึ้นฟ้า แรงส่งตัวมากพอที่จะบดขยี้กระเบื้องหลังคา ให้แตกละเอียด กรงเล็บยาวเฟื้อยเงื่อเตรียมตะปบ

     ชายปริศนาใช้นิ้วโป้งดันกั่นดาบขึ้น  ก่อนกระโดดเข้าหาพวกไลแคนท์ ใบดาบเรียวยาวสลักอักษรทมิฬ ชักออกจากฝัก แล้วสะบั่นศีรษะไลแคนท์หนึ่งตัว จากนั้นจึงหมุนตัวเตะหัวที่หลุดจากบ่า ไปอัดโดนใบหน้าไลแคนท์อีกตัวหนึ่ง ส่งผลให้มันเสียหลักกลางอากาศ

     ชายหนุ่มกลับลงมาตั้งตัวบนพื้น แต่มีไลแคนท์ตัวหนึ่งกระโจนมาจากด้านหลัง มันอ้าปากค้างเตรียมขย้ำอมนุษย์ผู้นี้ 

 

     กร๊วบ!!

 

     หัวของชายปริศนาถูกมันเขมือบ กระดูกต้นคอสีขาวๆของเขาเผยออกมาให้เห็นอย่างน่าหวาดเสียว แต่ชายหนุ่มยังหันหลังกลับมาบีบคอไลแคนท์ พร้อมกับแทงดาบคาตานะใส่เบ้าตาจนทะลุหัวกะโหลก  ชายปริศนาวาดดาบฟันลำคอมันอีกครั้ง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปหยิบศีรษะตนเองออกมา เพื่อนำมันมาประกอบเข้ากับลำคอ

     ถุงมือหนังหงายฝ่ามือขึ้น เขาเห็นคราบน้ำลายของเจ้าไลแคนท์ ซึ่งติดปนมากับศีรษะของเขา 

 

     ฉัวะ!!

 

     กรงเล็บแกร่งตะปบไหล่ซ้ายเขาอีกที ชายปริศนาซวนเซยืนไม่ตรง เปิดโอกาสให้ไลแคนท์ตัวอื่น พุ่งเข้ามาขย้ำลำตัวเขา มันหมุนสะบัดหัวซ้ายขวา ก่อนเหวี่ยงชายปริศนา ไปอัดกระแทกรูปปั้นที่น้ำพุจนกระจุย บริเวณท้องชายหนุ่มมีแผลสดน่ากลัว ทว่าเขายังยืนขึ้นมาได้แบบไม่รู้สึกรู้สา

     ดาบคาตานะเก็บเข้าฝักดาบ ชายหนุ่มย่อเข่าลง มองดูไลแคนท์สามตัว ที่กระโดดเรียงแถวเป็นหน้ากระดาน เขาก้มหน้าสูดลมหายใจ ก่อนจะหมุนตัวสะบัดผ้าคลุมเพื่อรวบรวมแรงเหวี่ยง

 

     ครื๊ดดดด!!!!

 

     ประกายไฟแลบแปลบตรงฝักดาบ ก่อนตัวฝักจะถูกผ่าออกเป็นสองซีก คมดาบคาตานะวาดฟันจนสุดวงแขน พร้อมๆกับส่งเสียงกรีดร้องออกมา อักษรโบราณที่ใบดาบเรืองแสง แล้วจึงค่อยระเบิดเส้นสายพลังสีขาว ออกไปฉีกร่างไลแคนท์ทั้งสามตัว โดยลำตัวท่อนบนนั้นกระเด็นขึ้นฟ้า ส่วนท่อนล่างตกลงมากลิ้งบนพื้น เลือดสีแดงฉานสาดกระจาย ย้อมให้เศษซากน้ำพุกลายมาเป็นสีแดงก่ำ

     เมื่อชายปริศนาเหยียดตัวตรง ก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะไลแคนท์จากทางไหนก็ไม่รู้ พุ่งเข้ามากัดแขนข้างที่ถือดาบของชายหนุ่มจนขาด และดูเหมือนว่ามันจะฉลาดมาก มันถึงได้ถุยแขนขวาเขาออกไปไกล

 

     ไอ้พวกหน้าขน...

 

     ชายปริศนากระตุกแขนซ้าย เรียกใบมีดออกจากสนับแขนกล ก่อนจะเสือกแทงมีด เข้ากลางระหว่างคิ้วมัน จากนั้นจึงเหวี่ยงร่างไร้วิญญาณออกไป พร้อมกับยืนดูแขนที่กำลังงอกออกมาใหม่

     มีดคูครีถูกดึงออกจากกลางแผ่นหลัง ศัตรูเหลืออีกเพียงแค่สามตัว ชายหนุ่มจึงวิ่งเข้าไปลุยกลางวงล้อม คมมีดจัดการตัดกรงเล็บทั้งหมดออก ก่อนจะควงมีดแล้วจ้วงแทงเจ้าไลแคนท์ที่อยู่ข้างหลัง

     ทว่ามีดดันไปติดกับกระดูกซี่โครง ชายหนุ่มยังไม่ทันดึงออก ก็โดนไลแคนท์ตัวข้างๆ ถีบร่างเขาไปฝังติดกับกำแพงบ้านตรงข้าม ระหว่างที่เขาล้มนอน มือว่างเปล่าจัดการดึงปืนลูกซองออก พร้อมล้วงหากระสุนซึ่งเก็บเอาไว้ตามชายเสื้อโค้ท

 

     "กรรรร!!!"

 

     แต่ยังไม่ทันได้บรรจุกระสุน ฝ่าเท้าไลแคนท์ก็กระทืบลงมาอย่างหนักหน่วง เสียงกระดูกต้นคอแตกหักดังลั่น แต่ไลแคนท์ตัวนั้นยังไม่ยอมหยุด ชายปริศนาที่มีสภาพไม่สวยนัก พยายามเหล่มองแขนขวาที่จับปืนลูกซอง กำลังห้อยตกลงมาอย่างหมดแรง

     แต่มือซ้ายยังพอขยับได้ ชายหนุ่มจึงล้วงปืนปากกาออกมา และเหนี่ยวไกทันที ส่งหัวกระสุนสีเงินเข้าไปฝังกลางอกเจ้าไลแคนท์ มันกุมผาดแผลเอาไว้ สีหน้าแสดงอาการเดือดดาลอย่างถึงที่สุด แต่พอมองกลับมาอีกที ปากกระบอกปืนลูกซองก็จ่อหน้าผากมันเสียแล้ว

 

     ปัง!!!

 

     ลูกตาทั้งสอง ปลิวหลุดออกจากเบ้า ภาพสุดท้ายที่ดวงตาสัตว์ร้ายสะท้อนเห็น คือร่างสูงใหญ่ที่ไร้ศีรษะของตัวมัน กำลังทรุดลงอย่างเชื่องช้า

 

     มัจจุราช!!!

 

     ไลแคนท์ตัวสุดท้าย มันแทบอยากจะกล่าวคำๆนี้ออกมา ก่อนมันจะควบฝีเท้าวิ่งหนี เพียงชั่วครู่ก็หนีออกไปได้ไกลหลายร้อยเมตร ภาพการสังหารโหดยังติดตามันอย่างชัดเจน มันคิดในใจสั้นๆว่า รอดแล้ว!

 

     โผละ!!!

 

     น้ำพุสีแดงเลือด ที่ยังมีเศษซากรูปปั้นเทวดาหลงเหลือ ถูกยกขึ้นแล้วขว้างออกไปทับหัวของไลแคนท์ผู้ประมาทว่าตนเองรอดตาย เลือดสีแดงเถือกไหลเป็นทาง ร่างกายหยุดนิ่งไม่ไหวติ่ง พร้อมๆกับมีสายตาสีแดงหนึ่งคู่ ซึ่งจ้องมองมาทางมันจากข้างในหมู่บ้าน

    นัยน์ตาของชายปริศนา คล้ายจะบอกกับทุกชีวิตที่ล้มตายไปเมื่อสักครู่ว่า...

     ไม่มีใคร...จะหนีรอดพ้นไปจากเงื้อมือของเขาได้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา