Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ
เขียนโดย Raji
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.00 น.
แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 17.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) Login 2 : จ่าฝูงสัตว์เทวะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความLogin 2 : จ่าฝูงสัตว์เทวะ
เช้าวันต่อมา อิงศรลืมตาตื่นแล้วแหงนมองหน้าจอเกมที่ตั้งปลุกเอาไว้กำลังลอยอยู่เหนือหัวตัวเลขบอกเวลา ตีห้าครึ่ง อีกครึ่งชั่วโมงนาฬิกาถึงจะเริ่มปลุก โดยพื้นฐานแล้วเขามักจะตื่นเวลานี้ก่อนเสมอตั้งแต่ก่อนที่โลกจะล่มสลาย อิงศรเอื้อมมือไปแตะปุ่มยกเลิกการตั้งปลุก หน้าจอนั้นหายไป
เด็กชายลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามทีข้างนอกนั้นท้องฟ้ายังมืดสลัวอยู่ทำให้ในห้องแทบจะมืดสนิท จนกระทั่งสายตาเริ่มชินกับความมืด เขาจึงเบนสายตาไปที่ข้างตัวซึ่งปกติมิ่งขวัญจะนอนอยู่ตรงนั้นแต่วันนี้กลับไม่ใช่
“ตื่นก่อนได้จริงๆเหรอเนี่ย…”
อิงศรรู้สึกทึ่งไม่น้อยกับความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจเอาดื้อ ๆ พลางเปรยกับตัวเองว่า
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรอกนะ”
แดดแรกยามเช้าแย้มลงมาสาดส่องพื้นโลก จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงสายที่แดดเริ่มแรง
เวลาแปดโมงครึ่ง อิงศรเดินสำรวจรอบอาคารห้างสรรพสินค้าเสร็จแล้วจนวนออกมาที่ถนนเลียบตามแนวรางรถไฟฟ้าซึ่งตั้ง ตระหง่านอยู่หน้าห้าง จากการสำรวจพบว่ามีความแปลกประหลาดเกิดขึ้น ภายในอาคารที่ปกติแล้วจะมีสัตว์เทวะวิ่งเพ่นพ่านไปมาให้เห็นอยู่เป็นประจำแต่วันนี้กลับไม่มี แล้วเขาก็หาตัวมิ่งขวัญไม่เจอด้วย
“แชทไปก็ไม่รับอีกเจ้าน้องบ้านั่นจะถือทิฐิไปถึงไหนกัน”
อิงศรบ่นพึมพำ พลางกดปุ่มเรียกสายติดต่อมิ่งขวัญบนหน้าจอระบบ สิ่งนี้ก็เหมือนกับการพูดคุยระยะไกลกับเพื่อนในเกมเรียกว่า ‘Chatting’ การทำงานก็คล้ายกับโทรศัพท์มือถือแบบที่ไม่ต้องอาศัยสัญญาณแต่ต้องอยู่ในรัศมีที่กำหนดและบันทึกเป็นเพื่อนกันเอาไว้ก่อน
อิงศรลองกดเรียกสายติดต่ออีกครั้งแต่คำตอบที่ได้ก็คือความเงียบ ดังนั้นจึงตัดใจปิดหน้าจอ
"ช่างเถอะเดี๋ยวก็กลับมาเอง"
แล้วบ่นพึมพำด้วยใบหน้ารำคาญ
อิงศรเดินไปตามเส้นทางที่เคยสำรวจไว้ เป็นถนนมุ่งลงทิศตะวันตกที่มีสัตวเทวะระดับต่ำอยู่เยอะและเป็นระดับที่พวกเขาสามารถล่าได้ด้วยตัวคนเดียว เด็กชายเดินจนกระทั่งมาถึงใต้สะพานรถวิ่ง
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงคำรามและเสียงสิ่งของพังทลายตามมา เด็กชายหันไปยังต้นเสียงที่นั่นแลเห็นควันฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมาจากแนวอาคารซึ่งไกลออกไปจากใต้ทางด่วนประมาณหนึ่งกิโลเมตร
อิงศรถีบตัวกระโดดขึ้นไปไต่เสาค้ำสะพานแล้วปีนต่อจนถึงยอด เขาวิ่งไปยังอีกฟากจากนั้นเพ่งสายตามองไปยังจุดที่เกิดฝุ่นควันตลบ ที่ตรงนั้นมีสัตว์เทวะสองตัว สูงประมาณ ห้าเมตรครึ่งตัวหนึ่งมีหัวเป็นม้าลำตัวเป็นคนแต่มีลำตัวช่วงล่างลงไปเป็นม้าคล้ายกับเซ็นทอร์ แขนสองข้างของมันถือคันศรกับลูกธนู ส่วนอีกตัวสรีระคล้ายกันแต่มีหัวเป็นวัวและถือดาบเล่มใหญ่แทน ทั้งสองตัวกำลังมุ่งหน้ามาที่สะพานทางด่วน
“สัตว์เทวะนั่น…เมื่อปีที่แล้วนี่”
อิงศรพึมพำกับตัวเองแล้วเรียกหน้าจอระบบขึ้นมาจากนั้นก็เปิดเมนูที่เขียนว่า ‘Event’
หน้าจอใหม่ปรากฏขึ้นพร้อมกับรายการบางอย่างเรียงรายเต็มหน้าจอทุกรายการจะมีวันที่กำกับเอาไว้
อิงศรแตะนิ้วไปที่รายการบนสุดของหน้าจอซึ่งมีวันที่กำกับเป็นวันนี้ มีหน้าจอใหม่ปรากฏขึ้นอีก บนหน้าจอมีรูปภาพของสัตว์เทวะสองตัวนี้ และรายละเอียดต่างๆ อิงศรเริ่มอ่านมัน
“ เรดบอส(Raid Boss) ระดับเฉลี่ยเลเวลสิบ ‘ผู้รับใช้แห่งจักรราศี’ จ่าฝูงสัตว์เทวะ ‘โซดิแอกซาจิทาเรียสคีปเปอร์’ กับ ‘โซดิแอกเทารัสคีปเปอร์’ สัตว์เทวะระดับจ่าฝูงผู้รับใช้ของดวงดาวแห่งจักรราศีธนูกับวัวจะบุกเข้าโจมตี”
อิงศรเลื่อนหน้าจอลงไว ๆ เพื่อจะดูตารางการออกอาละวาดของสัตว์เทวะที่ว่า
“แปดโมงเช้าพิกัดเป็นเขตที่อยู่ติดๆกันนี่เอง”
โดยปกติแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ‘เรดบอส’ นั้นคือ อีเวนท์หรือเหตุการณ์พิเศษที่จะสุ่มเกิดขึ้นในแต่ละวันเหตุการณ์จะเกิดขึ้นทั่วโลก และ เมื่อระดับ จ่าฝูงสัตว์เทวะ ออกมาสัตว์เทวะชั้นธรรมดาจะพากันหายไปจนกว่า จ่าฝูงจะถูกกำจัดหรือย้ายไปอาละวาดในเขตอื่นจนกระทั่งหมดวัน ปีที่แล้วก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตอนนั้นเขากับมิ่งขวัญได้แต่หลบตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่บนชั้นหกของห้างรอจนกว่ามันจะผ่านไป สัตว์เทวะที่มาอาละวาดในคราวนี้ก็เป็นชุดเดิมกับเมื่อปีก่อน พวกเขาพึ่งมารู้เอาภายหลังว่าพวกมันมาที่นี่เพราะเกิดเหตุการณืที่เรียกว่า ‘เรดบอส’ ขึ้น
อิงศรเริ่มประเมินถึงคุณค่าและความคุ้มค่าหากต้องล่า จ่าฝูงสัตว์เทวะ ด้วยประสบการณ์ในการเล่นเกมก่อนที่โลกจะล่มสลายซึ่งมันก็ใช้ได้จริงในหลาย ๆ เรื่องและจากประสบการณ์บอกเขาว่า สัตว์เทวะระดับจ่าฝูง เทียบเท่ากับ บอสในเกม ศัตรูจำพวกนี้มักจะดรอปไอเทมหายากเสมอแลกกับความยุ่งยากในการฆ่า ศัตรูประเภทนี้จะเก่งกว่าอย่างมากที่ระดับเลเวลเท่ากัน ถ้าจะฆ่าพวกมันได้ก็จำเป็นต้องมีเลเวลสูงกว่าและยังต้องร่วมมือกันหลายคน แต่ระดับของ ‘เรดบอส’ ที่มาบุกวันนี้คือสิบซึ่งเลเวลของเขาคือสิบห้า สูงกว่าห้าระดับความเป็นไปได้ที่จะล่าด้วยตัวคนเดียวก็พอจะมีอยู่บ้าง
“จะล่าได้รึเปล่านะ….”
อิงศรพึมพำเบา ๆ พลางเปิดหน้าจอ ‘Inventory’ ขึ้นมาเช็คสต็อกระเบิดที่เหลืออยู่
“ยี่สิบลูก…”
จะล้มพวกมันได้รึเปล่า…
ถ้าเกิดว่าพลาดขึ้นมาอย่างมากที่สุดก็แค่เสียระเบิดทั้งหมดที่อุตส่าห์ทำขึ้นมาอย่างยากลำบากเรื่องมันก็เท่านั้น ยังไงเขาก็ไม่คิดเข้าไปสู้กับพวกมันอย่างตรงไปตรงมาอยู่แล้ว เมื่อพิจารณาว่ามีโอกาสที่จะมีไอเทมดี ๆ ที่ช่วยให้เขาเล็งยิงได้ดีขึ้นดรอปมาด้วยมันก็คุ้มที่จะเสี่ยง แล้วอิงศรก็หวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน รู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองมีพลังไม่พอจนทำอะไรไม่ได้ในสถานการณ์แบบนั้นหากว่าในอนาคตเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกล่ะก็....
”ลองดูดีกว่า…”
ว่าแล้วก็หยิบเอาระเบิดออกจากหน้าจอ แล้วกระโดดลงไปจากสะพานทางด่วนที่สูงกว่าหกเมตรอย่างง่ายดาย แล้วโปรยระเบิดเอาไว้ใต้สะพานจนทั่ว ทันทีที่กับระเบิดตกถึงพื้นก็จะจมดินหายไปเองและจะทำงานเมื่อเขาสั่งการด้วยรีโมทที่มีอยู่กับตัว
จากนั้นก็เรียกธนูออกมาจาก ‘Inventory’ แล้วออกวิ่งเพื่อไปล่อ จ่าฝูงสัตว์เทวะมาติดกับดักที่วางเอาไว้
"..."
มิ่งขวัญหาวออกมาหวอดใหญ่ไม่ใช่ครั้งเดียวแต่ทำถึงสองครั้งด้วยกัน
เด็กชายกำลังเดินอยู่บนถนนเลียบตามแนวรางรถไฟฟ้าที่เต็มไปด้วยซากรถยนต์ล้มระเนระนาด ในวันที่โลกล่มสลายถนนเส้นนี้คราคร่ำไปด้วยรถยนต์สัญจรผ่านไปมา หลังจากที่ไวรัสฆ่าคนทั้งหมดแล้วพวกสัตวเทวะก็ออกอาละวาดจนถนนมีสภาพเป็นอย่างในปัจจุบัน พื้นถนนบางตอนก็ยุบตัวลงไปเพราะมีสัตว์เทวะขนาดใหญ่เป็นวัวกับม้าวิ่งผ่านมาเมื่อปีก่อน ในซากรถหลาย ๆ คันมีศพที่แห้งจนเหลือแต่กระดูกหากผ่านมาเส้นทางนี้ในตอนกลางคืนคงจะน่าหวาดหวั่นไม่ต่างไปจากสุสาน มนุษย์ที่ตายลงไม่ได้ร่างกายสลายไปแบบในเกม ไม่เหมือนกับพวกสัตว์เทวะด้วย เพราะมีศพให้เห็นกันแบบชัดเจทฤษฎีการไปกลับไปเกิดใหม่ที่จุดเซฟก็เลยล้มทิ้งไปได้เลย
เพื่อที่จะได้ออกมาล่าคนเดียวเขายอมอดหลับอดนอนจนเช้าแล้วออกมาก่อนที่อิงศรจะตื่นและเลือกที่จะไปล่าในที่ ๆ ไม่เคยไปมาก่อนแต่ก็พบกับความผิดหวังเพราะเส้นทางที่ไปมีแต่พวก สัตว์เทวะไก่ยักษ์เหมือน ๆ กับรอบที่พักของพวกเขาและไม่มีตัวอะไรที่ต่างออกไปเป็นพิเศษ ดังนั้นไอเทมที่ดรอปมาได้ในวันนี้จึงเป็นของแบบเดิมทั้งหมดแต่กลับต้องเหนื่อยเดินไกลกว่าหลายสิบกิโลเมตร
มิ่งขวัญเดินอย่างเซ็ง ๆ ไปตามเส้นทางถนนจนมาถึงหน้าห้างสรรพสินค้าของพวกเด็กรีดไถ ระหว่างที่กำลังเพ่งสายตามองเข้าไปในอาคารห้างเพื่อดูว่าตัวพวกรีดไถอยู่หรือไม่ก็มีเสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง
"เฮ้ยทำอะไรอยู่"
มิ่งขวัญเบี่ยงลำตัวหันกลับทันควัน แล้วก็เจอเข้ากับแก๊งรีดไถทั้งสองคน เช่นเดียวกับเมื่อวานเด็กผมสั้นสีดำเป็นคนเข้ามาพูดคุยด้วยก่อนโดยมีเด็กผมสีทองคอยสังเกตุจากทางด้านหลัง
"อ้าว.."
เด็กผมสีดำทำหน้าแปลกใจ
"วันนี้มาคนเดียวเหรอแล้วพี่นายล่ะ"
แล้วถามคำถาม
ด้วยความโกรธที่ค้างคามาตั้งแต่เมื่อวานมิ่งขวัญเลยตั้งใจจะยั่วโมโหอีกฝ่าย
"ไอ้คนขี้ขลาดแบบนั้นชั้นไม่รู้เรื่องหรอก"
"ว่าไงนะ!"
อีกฝ่ายขึ้นเสียง พอเห็นแบบนั้นเข้าก็รู้สึกหยุดไม่ได้จนต้องรีบสาธยายน้ำไหลไฟดับ
"ถ้าอยากได้ก็ไปล่าเองเดะชั้นน่ะนะเลิกยุ่งกับไอ้คนอ่อนแอนั่นแล้วต่อไปนี้พวกนายไม่ได้อาหารไปง่าย ๆ แน่ถ้าอยากแย่งก็ลองเข้ามาสิ ขอบอกก่อนว่าชั้นไม่หมูนะเฟ้ย"
พูดออกไปแบบนั้นแล้วถึงค่อยตรองคำพูดตัวเองว่าที่พูดไปนั้นเหมือนจะด่าอิงศรมากกว่าเสียอีกจึงคิดจะพูดแก้ซะใหม่
"เอ่อ เมื่อกี้ที่พูดไป..."
แต่คอเสื้อของเขากลับถูกดึงเข้าไปใกล้
เด็กผมสีดำตะหวาดใส่หน้ามิ่งขวัญ
"ไอ้ชั้นน่ะไม่ได้เกลียดคนที่ทำปากดีอวดเก่งหรอก เพราะนายมันก็เก่งกว่าพวกชั้นจริง ๆ แต่ไอ้ที่รับไม่ได้ที่สุดก็คือการไม่เคารพคนในครอบครัวแล้วยังดูถูกอีก คนแบบแกชั้นเกลียดที่สุดเลย"
จากนั้นก็ปล่อยหมัดใส่มิ่งขวัญจนใบหน้าหันไปตามแรงชก
"มันเจ็บนะเฟ่ยอยู่ ๆ มาต่อยเอาแบบนี้แกอยากจะมีเรื่องนักใช่มะ"
มิ่งขวัญกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายคืนบ้าง
"เออเด้! อยากจะเอาก็เข้ามาเลยอาหารแกน่ะชั้นไม่อยากได้หรอกแต่ขออัดคนปากหมาให้หนำใจก่อนเหอะ"
"ว่าใครปากหมานะไอ้คนปากแมว"
"ปากแมวแล้วจะทำไมฟระ!"
แล้วก็เริ่มชกตีกันจนเรื่องบานปลาย เด็กผมสีทองที่เป็นเพื่อนพยายามจะห้ามปรามให้หยุดทะเลาะกัน
"ไม่เอาน่าฟูอย่าไปทะเลาะ..."
"เฮ้ยมิกซ์แกก็มาช่วยกันหน่อยเด้!"
จากนั้นก็ถูกลากเข้าวงทะเลาะไปอีกคน
"เอาเด้! จะรุมก็เข้ามาเลยไอ้หัวฝอยทอง"
มิ่งขวัญท้าโดยไม่มีความเกรงกลัวว่าจะถูกรุมแล้วสู้ไม่ได้
"ว่าไงนะ! อย่ามาเรียกว่าฝอยทองนะ"
มิกซ์ตะหวาด
แล้วการต่อยตีก็ยิ่งชุลมุนวุ่นวายขึ้นกว่าเดิม แต่การทะเลาะดำเนินไปได้ไม่นานเท่าไหร่ทั้งสองก็ถูกมิ่งขวัญอัดจนลงไปกองกับพื้น แถบพลังชีวิตไม่ได้ลดลงไปเยอะมากเพราะมันไม่ใช่ความเสียหายที่ถึงขั้นเลือดตกยางออก
"เอาจริงดิไหงง่ายเงี้ย"
มิ่งขวัญแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าจะล้มอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ แต่นั่นเป็นเพราะสเตตัสของเขาที่เพิ่มขีดสมรรถนะร่างกายจนเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปต่างหาก
"บ้าที่สุดสู้มันไม่ได้เลย"
ฟูสบถพลางทุบกำปั้นลงกับพื้นระบายความเจ็บใจออกมา
"ทำไมถึงได้เก่งเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้ล่ะเนี่ยนี่มันไม่ใช่ระดับที่เด็ก...ไม่สิเกินกว่าคนจะทำได้แล้วด้วยซ้ำ"
มิกซ์พูดออกมาอย่างนั้นแล้วก็จ้องมิ่งขวัญอย่างพินิจพิเคราะห์ไม่วางตา เหมือนจะหาให้ได้ว่าเขามีอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์งอกออกมาจากตัวรึเปล่า
"ก็นะพวกนายเลเวลแค่หนึ่งเองนี่หว่าถ้าไปเก็บเลเวลเพิ่มเดี๋ยวก็เก่งเองนั่นแหละ อ๊ะแต่ว่ายังไงก็ยังเทียบชั้นไม่ติดหรอกนา"
มิ่งขวัญพูด
"แล้วไอ้การเก็บเลเวลเนี่ยมันคืออะไรกันเล่าปัดโธ่โว้ยไม่เห็นจะเข้าใจซักนิด"
พอฟูโวยกลับมาแบบนั้นเขาก็เหงื่อตกไปต่อไม่ถูกจนเผลออุทานออกมา
"เฮ้ยเอาจริงดิ..นี่พวกนายไม่เคยเล่นเกมมาก่อน..."
ในตอนนั้นเองก็มี เด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเข้ามาจับขาเขาไว้ อายุน่าจะซักประมาณสี่ถึงห้าขวบ
"อย่ารังแกพี่มิกซ์กับพี่ฟูนะ"
เด็กชายกล่าวพลางกอดรัดขาของมิ่งขวัญเอาไว้แน่นชนิดที่ดูแล้วคงไม่ยอมปล่อยออกกันง่าย ๆ
"หา?...นี่ใครกันล่ะเนี่ย"
มิ่งขวัญพยายามแกะแขนของเด็กชายออกแต่มันแน่นกว่าที่คิด ตอนนั้นเองก็มีเด็กหญิงที่อายุน่าจะไล่กันกับเขาโผล่เข้ามาแยกเด็กชายออกไป
"เน็กซ์ปล่อยได้แล้วพี่เขาไม่ใช่คนไม่ดีนะ"
เธอพูดกล่อมแล้ว เด็กชายที่ชื่อว่าเน็กซ์ก็ปล่อยแขนออกจากขาของเขา
พวกเด็กรีดไถเหมือนจะรู้จักกับเด็กสาวและเน็กซ์รวมไปถึงเด็กหญิงอีกคนที่วิ่งตามออกมาด้วยเธอตัวเล็กที่สุดในกลุ่มน่าจะอายุเท่ากับเน็กซ์ไม่ก็อ่อนกว่าปีหนึ่ง
"พลอย พาพวกน้อง ๆ ออกมาทำไม"
ฟูถาม เด็กหญิงที่ช่วยกล่อมเน็กซ์ให้เธอโตที่สุดในกลุ่มสามคนที่มาใหม่
"ก็ไม่งั้นฟูกับมิกซ์ก็ไม่เลิกทะเลาะกับขวัญเค้าซักทีน่ะสิ"
พลอยตอบคำถามของฟูแต่กลับทำให้มิ่งขวัญกลายเป็นฝ่ายสงสัยขึ้นมาแทน
"ไหงเธอรู้จักชื่อชั้นได้ล่ะ"
"พี่ศรเค้าบอกมาน่ะ"
"หา? เจ้าศรอ่ะนะ"
มิ่งขวัญทำหน้าอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
"นี่เธอรู้จักเจ้าพวกนี้ด้วยเหรอ"
ฟูซักถามต่อ
"อื้มก็ประมาณเดือนที่แล้วน่ะตอนที่ฟูกับมิกไม่อยู่ มีไก่ยักษ์บินเข้ามาที่ชั้นสอง"
พลอยชี้ทางไปหน้าต่างบนชั้นสองของอาคารห้างมีบานใหญ่บานหนึ่งที่แตกอยู่
"มันพังหน้าต่างเข้ามาแล้วก็ไล่กวดพวกเราแต่ก็ได้พี่ศรมาช่วยไว้เขาบอกว่ามองเห็นมาจากห้างข้าง ๆ พอดี"
"แล้วเธอโดนเจ้านั่นมันรังแกอะไรรึเปล่า"
ฟูถามอย่าวเป็นห่วงแต่นั่นทำให้ มิ่งขวัญพูดแทรกทันทีว่า
"ศรไม่ทำเรื่องชั่ว ๆ แบบนั้นหรอกน่า"
พลอยส่ายหน้าให้กับคำถามของฟูแล้วเริ่มอธิบาย
"กลับกันต่างหากพี่ศรบอกว่าจะหาอาหารมาให้แล้วจะฝากผ่านทางฟูกับมิกซ์มา พอถามไปว่าถ้าอย่างนั้นก็ไปบอกกับทั้งสองคนตรง ๆ เลยดีกว่าเขาก็ตอบมาว่า 'พี่ชายทุกคนต้องรักษาศักดิ์ศรีต่อหน้าน้อง ๆ น่ะ' ...ก็นะฉันเป็นผู้หญิงเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่"
ได้ยินดังนั้นมิ่งขวัญก็เริ่มคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาเคยคิดว่าอิงศรเกลียดเขาเลยชอบทำเป็นเย็นชา ชอบมองว่าเขาเป็นเด็กก็เลยเก็บเรื่องบางอย่างไว้คนเดียวไม่บอกกันบ้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าอิงศรคิดอะไรอยู่ เด็กชายจึงถามเด็กสาวว่า
"ศรพูดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ"
พลอยพยักหน้าให้แทนคำพูด แล้วฟูก็บ่นออกมาว่า
"ให้ตายเถอะพี่ชายแกเท่ออกซะขนาดนั้นอยู่กับแกเสียของชะมัด"
"ว่าไงนะนั้นพี่ชั้นนะเฟ้ยไม่ยกให้หรอก"
"ใครบอกว่าอยากได้กันฟระแค่พูดว่าพี่แกดีกว่าแกแค่นั้นแหละ"
"ว่าไงน้า---"
ทั้งสองคนทำท่าเหมือนจะมีเรื่องกันอีกจนมิกซ์ต้องเข้ามาแทรกกลางแล้วแยกทั้งคู่ออกจากกัน
"เฮ้อ ฟูนายเองก็เลิกพูดจาหาเรื่องเขาซักทีเหอะผมตามเช็ดตามเก็บไม่ไหวหรอกนะ"
มิ่งขวัญทำท่าเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้เขาหันไปถามมิกซ์
"เอ้อ จริงด้วยเจ้าฝรั่งหัวทอง"
"ผมชื่อมิกซ์เรียกกันดี ๆ หน่อยเหอะ ขอร้องล่ะนายเป็นฟูหมายเลขสองหรือไง"
"เฮ้ยมิก มาบอกว่าไอ้หมอนี่เป็นตัวชั้นหมายเลขสองนี่มันหมายความว่าไงกันห๊ะ!"
"ไอ้เรื่องหมายเลขสองอะไรนั่นช่างมันก่อน"
"ช่างมันก่อนงั้นเหรอ!?"
ฟูโวยวายแต่มิ่งขวัญไม่ได้สนใจแล้วหันไปถามมิกถึงเรื่องที่เขาสงสัย
"มิกซ์นายท่าทางหัวดีที่สุดลองบอกมาหน่อยเด๊ะว่าทำไมพวกนายถึงไม่ยอมเก็บเลเวลเอาแต่ดักดานอยู่ที่เลเวลหนึ่งเนี่ย พวกนายไม่เคยเล่นเกมกันหรือไง"
"ไม่เคยหรอกก็พวกเราเป็นเด็กกำพร้านี่ ที่สถานเลี้ยงเด็กที่พวกเราเคยอยู่น่ะไม่มีพวกเกมอะไรที่นายว่าหรอก เลเวลคืออะไรพวกชั้นยังไม่รู้เลย"
คำตอบของมิกซ์ ทำให้เขารู้สึกจุกขึ้นมาในลำคอจนพูดได้ไม่ค่อยคล่อง
"งั้นเองเหรอ...ชั้นก็เคยได้ยินมาว่าเด็กกำพร้าคือเด็กที่ไม่มีพ่อกับแม่ พวกนายคงลำบากแย่เลยสิยิ่งโลกกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วด้วย"
"ไม่ต้องมาสงสารพวกชั้นเลยถึงมีกันแค่นี้แต่พวกเราก็คือครอบครัวเดียวกันเพราะงั้นไม่ต้องการพ่อแม่หรอก..."
ฟูแทรกเข้ามาพูดแต่แล้วก็เบรกคำพูดตัวเองเมื่อเห็นว่ามิ่งขวัญกำลังสะอื้นแถมยกแขนปาดคราบน้ำตาออกจากเบ้า
"แล้วนายร้องไห้ทำไมเนี่ย"
"อึก...ฮึก...ชั้นลองนึกว่าถ้าตัวเองเป็นแบบพวกนายดูแล้วมันก็....เศร้าจนน้ำตาเล็ดออกมาเนี่ย"
คำตอบของมิ่งขวัญทำเอา ฟูเบ้ปาก
"มันจะอ่อนไหวเกินไปหน่อยอ้ะป่าวไม่เข้ากับหน้าเลยเฟ้ยแบบนี้ก็เหมือนพวกฉันรุมรังแกนายกันพอดีอะเด้ หยุดร้องซะทีเหอะ"
มิกซ์ที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มมองมิ่งขวัญด้วยสายตาที่เป็นมิตรมากขึ้นแล้วพูดว่า
"เป็นคนอ่อนโยนกว่าที่คิดนะ...เอ่อ"
"มิ่งขวัญ ชื่อชั้นเองแหละแต่เรียกขวัญก็ได้ศรเองก็เรียกแบบนั้น"
"อื้อ งั้นเรามาเป็นเพื่อนกันนะขวัญ เอ้าฟูก็ด้วย"
มิกซ์จับมือฟูมาร่วมวงด้วย แต่เจ้าตัวพยายามจะขัดขืน เด็กชายหน้าเป็นสีแดงอ่อนพลางพูดว่า
"ท...ทำไมเล่าไม่เห็นอยากจะ เหวอ..."
มิกซ์ไม่สนข้ออ้างที่ฟูจะพูดแล้วดึงมือเพื่อนเข้ามาจับมือกับมิ่งขวัญ แล้วทุกคนโดยรอบก็พร้อมใจกันปรบมือแสดงความยินดี จนทั้งสองใบหน้าแดงจัดด้วยความเขินอายบรรยากาศดำเนินไปแบบนั้น....
จู่ ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมาแผ่นดินก็สั่นสะเทือน จนอาคารทั้งหลังถึงกับสั่นขึ้นลงให้เห็น
"ก...เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?"
ฟูโวยวายพวกเด็ก ๆ ที่เป็นน้องพากันเข้ามากอดเขากับมิกซ์ เหมือนกับเป็นที่พึ่งสุดท้าย
ทันทีที่แผ่นดินไหวสงบลงตอนนั้นเองก็มีหน้าจอเตือนขึ้นมา ตรงหน้ามิ่งขวัญ เป็นหน้าจอรายละเอียดข้อมูลคนใน ปาร์ตี้(Party) หรือก็คือกลุ่มที่สร้างขึ้นจากการจับคู่ระหว่างเขากับอิงศร โดยเมื่อตั้งปาร์ตี้แล้วก็จะมีระบบอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มหลาย ๆ อย่าง หน้าจอเตือนอันนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น จากหน้าจอบอกรายละเอียดค่าพลังชีวิตและสถานะของอิงศร มิ่งขวัญรู้สึกตกใจหลังจากดูสิ่งที่หน้าจอบอกแก่เขา
อิงศร Lv.15 (พิษ)
[/////413:800/....]
แถบพลังชีวิตของอิงศรลดลงไปเกือบครึ่งแถมยังจะมีวงเล็บเปิดปิดต่อท้ายชื่อซึ่งภายในวงเล็บนั้นบอกสถานะของอิงศรว่ากำลังติดพิษอยู่
"นี่พวกนายเห็นศรกันบ้างรึเปล่า"
มิ่งขวัญถาม แต่ทุกคนพากันส่ายหน้าไม่มีใครเห็นอิงศรเลยวันนี้ ยกเว้นเด็กหญิงที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเธอยกมือแล้วพูดว่า
"เมื่อเช้าหนูเห็นพี่เขาเดินไปทางนั้น"
จากนั้นก็ชี้ไปยังถนนเลียบตามแนวรางรถไฟฟ้าที่จะนำไปยังสะพานรถวิ่งทางทิศตะวันตก
"ตรงกับที่เกิดระเบิดงั้นเหรอ"
มิ่งขวัญพึมพำพลางกดเปิดหน้าจอ 'Inventory' แล้วดึงถุงใส่เสบียงที่ล่าได้ในวันนี้ออกมา
"ขอบใจที่บอกเรื่องศรให้ฟังนะส่วนไอ้นี่ชั้นยกให้"
แล้วก็โยนถุงไปให้ฟูรับ
"ไว้พาศรกลับมาได้จะสอนพวกนายเล่นเกมให้เป็นเองแล้วไว้มาล่าด้วยกันนะ"
พูดอย่างนั้นแล้วก็วิ่งออกไปยังทิศที่อิงศรกำลังต่อสู้อยู่ด้วยใจกระวนกระวาย แต่ใบหน้ากลับเปื้อนยิ้มเพราะในที่สุดเขาก็รู้ซักทีว่าอิงศรคิดอะไรอยู่
ที่สะพานรถวิ่งทางทิศตะวันตก อิงศรได้ล่อจ่าฝูงสัตว์เทวะ ทั้งสองตัวมาที่กับดักใต้สะพานเป็นผลสำเร็จแต่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
เนื่องจากความเร็วในการเคลื่อนที่ของจ่าฝูงทั้งสองตัวไม่เท่ากันจังหวะเหยียบกับระเบิดเลยคลาดเคลื่อนกันไป ส่งผลให้มีแต่จ่าฝูงสัตว์เทวะหัวม้าที่ตายเพราะกับระเบิดส่วน อีกตัวที่มีหัวเป็นวัวโดนลูกหลงระเบิดไปจนแถบพลังชีวิตลดลงเกินครึ่งหลอด
Heraldic Beast Deity: Zodiac Sagitarius Keeper Lv.10
[........0:2500.....]
Heraldic Beast Deity: Zodiac Taurus Keeper Lv.11
[///..317:3000.....]
"บ้าจริงเจ้าม้ามันวิ่งเข้ากับดักเร็วไปหน่อยเจ้าวัวนี่เลยไม่โดนเต็ม ๆ"
อิงศรสบถขณะที่จูงมือพี่สาวที่อายุมากกว่าราวสองปีหรือก็คืออายุสิบหก สูงประมาณ160 มีผมยาวสีบลอนดวงตาสีน้ำข้าวแบบชาวต่างชาติ
เพราะฝุ่นควันจากระเบิดตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณช่วยบดบังทัศนวิสัยให้เขาใช้ซ่อนตัวจากได้ซักระยะ ซึ่งนานพอที่จะพาเด็กสาวที่มาด้วยกันไปหาที่หลบภัยก่อน
อิงศรไปบังเอิญเจอพี่สาวกำลังวิ่งหนีจ่าฝูงสัตว์เทวะตอนที่เขาออกไปล่อพวกมันมาที่กับดักเข้าพอดี และหากว่าปล่อยให้เธอหนีไปทั้งอย่างก็จะพลอยตกกับระเบิดของเขาไปด้วยเมื่อไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจช่วยเธอหนีมาด้วยกัน
ตัวพี่สาวยังมีเรื่องน่าแปลกใจอยู่อีกอย่างคือเธอไม่มีแถบพลังชีวิตลอยอยู่บนหัวไม่มีกระทั่งหน้าจอบอกชื่อหรือเลเวล
อิงศรพาเธอเข้าไปหลบในมุมตึกแห่งหนึ่ง
"พี่สาวไปหลบก่อนเดี๋ยวผมจะล่อมันไปอีกทาง"
แล้วพูดกำชับก่อนจะวิ่งออกไปดึงความสนใจของจ่าฝูงสัตว์เทวะ
"ทางนี้ไอ้หน้าวัว"
ท่ามกลางฝุ่นควันที่เริ่มจางหาย อิงศรยิงธนูเข้าเป้าที่ตาขวาของมันพอดีเนื่องจากเป้าหมายตัวใหญ่และอยู่ในระยะใกล้ แถมยังเคลื่อนไหวช้าลงเพราะทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ เป็นการยิงโดนเพราะสถานการณ์เอื้ออำนวยให้ เท่านี้ก็จะเกิดมุมอับของการเคลื่อนไหวจากการสูญเสียตาขวาแล้ว
อิงศรตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากตรงนั้นหลบเข้ามุมอับที่ว่าแล้วโจมตีไปจนกว่าฆ่ามันได้ ทว่าสิ่งเขาคิดกลับไม่เป็นไปตามที่คาด
จ่าฝูงสัตว์เทวะไม่ได้เคลื่อนไหวแย่ลงในมุมอับเลยแม้แต่นิดเดียวมันยังคงเหวี่ยงดาบใส่จุดควรจะมองไม่เห็นได้อย่างแม่นยำราวกับไม่ได้ใช้ตามองทางเลยด้วยซ้ำ อิงศรจึงต้องเคลื่อนไหวเพื่อหลบการโจมตีออกมาได้แบบหวุดหวิด ส่วนดาบที่โจมตีพลาดก็หวดลงบนพื้นถนนจนยุบแตก
หลังจากนั้นเขาก็ยังคงเคลื่อนไหวหลบการโจมตีอย่างเดียวโดยไม่ตอบโต้ และกำลังจำรูปแบบการโจมตีของมัน ถึงจะเป็นระดับจ่าฝูงแต่สัตว์เทวะก็ยังคงเป็นสัตว์เทวะ พวกมันเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับศัตรูในเกม หากอ่านทางได้ทั้งหมดก็สามารถหาช่องของการโจมตีเพื่อสวนกลับได้
ในระหว่างที่หลบไปพลางจำไปพลางนั้นเองดาบของจ่าฝูงสัตว์เทวะที่จู่โจมพลาดก็หวดไปโดนตึกถล่มลงมาบ้าง ทุบบ้านทั้งหลังถล่มไปบ้าง บริเวณโดยรอบพินาศเสียหายราวกับมีคนเอาระเบิดมาโยนเล่นในเมือง
หลังจากอ่านทางอยู่ได้พักใหญ่ ๆ ในที่สุดอิงศรก็จำรูปแบบการโจมตีได้ทั้งหมดแล้วจึงเริ่มเปิดฉากโจมตีบ้าง โดยรอการโจมตีของจ่าฝูงสัตว์เทวะ ที่จะง้างดาบขึ้นสุดแขนแล้วฟาดลงมาตอนนั้นจะมีช่วงหยุดชะงักอยู่ประมาณหนึ่งวินาที ก่อนจะงัดดาบขึ้นฟาดใส่เป้าหมายที่หลบดาบแรกได้ อิงศรเล็งจังหวะหนึ่งวิทานีที่ว่านั่นอยู่
เมื่อดาบที่ง้างไว้ฟาดลงมา อิงศรอ่านทางดาบแล้วกระโดดหลบออกไปทางด้านข้าง อาศัยกลิ้งตัวเพิ่มอีกหน่อยเพื่อให้พ้นจากระยะดาบไปพอสมควร เมื่อเป้าหมายชะงักการเคลื่อนไหวตามที่กะไว้ก็ตั้งคันศรแล้วยิงธนูออกไปสามครั้งด้วยกันมีแค่สองดอกที่เข้าเป้าส่วนอีกดอกพลาดไปโดนตึกข้างหลังแทน เลือดสีแดงสดของจ่าฝูงสัตว์เทวะไหลอาบร่าง แต่มันก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดหรือการตอบสนองต่อบาดแผล หรืออาจจะไม่มีความรู้สึกเพราะการโจมตีก่อนหน้ารวมถึงระเบิดที่โดนเข้าไปก็ไม่ได้ทำให้มันมีปฏิกิริยาเลย
การที่ไม่เจ็บไม่ปวดทำให้จังหวะโจมตีไม่มีการสะดุด นั่นเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับการจัดการจ่าฝูงสัตว์เทวะอิงศรประเมินเช่นนั้น ยังไงซะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่สู้กับระดับจ่าฝูงอาจจะยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกมาก ดังนั้นจึงพร่ำบอกกับตัวเองว่าอย่าประมาท เส้นประสาททุกเส้นเข้าสู่สภาวะตึงเครียดเพื่อให้รับมือได้กับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ถึงกระนั้นแล้วเรื่องไม่คาดคิดก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี เมื่อจ่าฝูงสัตว์เทวะ เปลี่ยนรูปแบบการโจมตีอย่างกะทันหัน มันดึงดาบกลับมาหงายปลายลงจ่อกับพื้นแล้วตะโกนออกมาเป็นภาษาพูด
"กราวน์เชค(Ground Shake)"
จากนั้นก็แทงดาบลงไปบนพื้น กว่าจะเข้าใจได้ว่ามันคือการใช้สกิล ก็สายเกินกว่าที่จะหลบหรือยับยั้งมันแล้ว ทั้งที่พร่ำบอกตัวเองให้เตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์แต่เมื่อครู่นี้ตัวเขาก็ตกใจไปกับการที่สัตวเทวะพูดภาษาคนออกมา
อิงศรนึกโทษตัวเองพลางจิกปาก
"บ้าเอ้ย!"
แล้วเริ่มตั้งสมาธิอ่านทางว่าสกิลนั้นเป็นการโจมตีแบบไหน หลังจากปักดาบลงไปบนพื้นเวลาก็ผ่านมาได้หนึ่งวินาทีแล้ว ทันใดนั้นเองพื้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงตึกรามบ้านช่องโดยรอบเต้นขึ้นลงราวกับถูกจับเขย่าบางหลังก็ถล่มลงมาพินาศวอดวายกันไปทั่ว
ท่ามกลางการสั่นไหวอันบ้าคลั่งนี้อิงศรไม่อาจทรงตัวให้ยืนอยู่ได้และล้มลง หากมีซากอาคารบ้านเรือนถล่มลงมาตรงที่เขานั่งอยู่ตอนนี้ก็คงจะโดนทับเพราะไม่สามารถเคลื่อนหลบไปไหนได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าคือพี่สาวที่เขาพาไปซ่อนตัวอยู่ใต้ตึกก่อนหน้านี้
อิงศรเบนสายตาไปทางตึกที่ว่า โชคดีที่ตึกหลังนั้นยังมีสภาพสมบูรณ์ดีอยู่มันจึงไม่ถล่มลงมาเหมือนกับหลังอื่น แต่ยังเร็วไปที่จะวางใจเพราะระหว่างที่พื้นยังคงสั่นสะเทือนอยู่
จ่าฝูงสัตว์เทวะได้ถอนดาบออกมาจากพื้นแล้วตรงรี่เข้ามาหมายจะฆ่าเขาให้ตาย
อิงศรจ้องมองไปยังดาบเล่มเขื่องที่ถูกเงื้อขึ้นแล้วพิจารณาว่ามันสามารถทำให้เขาตายในการโจมตีครั้งเดียวหรือไม่ ตั้งแต่เริ่มสู้กันมาพลังชีวิตของเขายังมีอยู่เต็ม แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ว่าทั้งหมดที่มีจะรับการโจมตีที่ดูน่าเกรงขามนี่ได้
"ต้องวัดดวงแล้วสินะ"
เขาคำรามอย่างเจ็บใจที่ได้แต่รอให้ดาบนั่นฟันลงมาที่ร่างโดยที่ตอบโต้หรือหนีก็ไม่ได้
จ่าฝูงสัตว์เทวะหวดดาบเฉียงลงมาทางด้านข้างถ้ารับตรง ๆ ร่างกายต้องขาดสองท่อนเป็นแน่ ในตอนนั้นเอง
"...เดี๋ยวสิ!"
อิงศรโพล่งออกมาเมื่อสายตาไปสะดุดเข้ากับคันธนูที่อยู่ในมือ ก็พลันเกิดความคิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีที่ดาบหวดเข้ามาก็ย้าย คันศรไปรับดาบเอาไว้ ถ้าเป็นตามปกติคงจะไม่มีคนสติดีที่ไหนเอาธนูที่ทำจากแท่งไม้บางเฉียบไปรับดาบเล่มมหึมา
เพราะมันคงจะโดนฟันขาดไปพร้อมกับเจ้าของ แต่ทว่าคันธนูไม้กลับรับคมดาบเอาไว้ได้โดยที่ไม่หักไปซะก่อน มันเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะว่าธนูนี่พิเศษ แต่เป็นเพราะโลกใบนี้ต่างหากที่แตกต่างออกไป
กระนั้นแรงอัดที่ปะทะเข้ามาก็ยังหวดอิงศรจนร่างลอยละลิ่ว ก่อนจะกระแทกเข้ากับกองซากอาคารและจมอยู่ในคอนกรีต
"อั้ก.."
อิงศรสำรอกเลือดออกมากองใหญ่ ก่อนจะแหงนหน้าดูแถบพลังชีวิตของตัวเอง ความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้มันลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมดแถมยัง....
อิงศร Lv.15 (พิษ)
[/////413:800/....]
"ชิ...ดาบเมื่อกี้อาบพิษไว้เรอะอุตส่าห์บล็อกติดแท้ ๆ"
อิงศรคำราม ....การป้องกันด้วยอาวุธเมื่อครู่คือการบล็อกทำให้ความเสียหายที่ได้รับลดลงกึ่งหนึ่งแลกกับความทนทานของ อาวุธจะลดลงและหากค่าความทนทานลดลงเหลือศูนย์อาวุธชิ้นนั้นก็จะพังทันที... อยู่ ๆ ก็เข้าใจขึ้นมาเอง นี่เหมือนกับตอนที่โลกล่มสลายแล้วอยู่ ๆ ก็รู้จักสัตว์เทวะขึ้นมาซะเฉย เหมือนกับความรู้ที่ไม่เคยมีมาก่อนถูกยัดลงในสมองโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ดีตอนนี้มีปัญหาใหม่เกิดขึ้น ตัวเขาติดพิษจากการโจมตีเมื่อครู่ ถึงแผ่นดินจะหยุดไหวไปแล้วแต่โลกในสายตาของอิงศรกลับยังส่ายไปมา ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงของพี่สาวที่เขาช่วยเอาไว้ก็ดังแว่วมา
"คุณน้องชาย! "
"อย่าออกมานะ!!"
อิงศรตะหวาดกลับไปทันที แต่เขามองไม่เห็นเธอและไม่รู้ด้วยว่าเธอเดินออกมาจากตึกจริงรึเปล่า เพราะตอนนี้ภาพรอบตัวนั้นพร่ามัวไปหมด โลกทั้งใบเริ่มหมุนเคว้งไปมาอาการปวดหัววิงเวียนศีรษะเริ่มเข้าจู่โจมและยิ่งทวีความหนักข้อขึ้น นี่คืออาการของพิษถ้าหากว่านี่เป็นเกมธรรมดา ๆ แล้วเกิดตัวละครที่เขาควบคุมติดพิษขึ้นมาอย่างมากก็แค่พลังชีวิตทยอยลดลงทีละน้อยแล้วตัวเขาที่ควบคุมอยู่ก็แค่กดใช้ยาแก้พิษหรือไม่ก็รอจนกว่าพิษหมดฤทธิ์ไปเอง แต่นี่คือความเป็นจริงสถานะไม่ใช่แค่ส่งผลต่อพลังชีวิต แต่มันยังส่งผลกับร่างกายและจิตใจด้วย
โดยปกติแล้วเขาจะมียาถอนพิษติดตัวอยู่เสมอเผื่อเวลาเจอสัตว์เทวะที่ใช้พิษได้ แต่มันหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ยาถอนพิษนั้นหาได้จากพวกสัตว์เทวะไก่ยักษ์แต่วันนี้พวกมันหนีหายไปหมดเพราะการมาของเรดบอส
ในช่วงที่ยังประคองสติไว้ได้นี้ อิงศรได้ยินเสียงฝีเท้าของจ่าฝูงสัตว์เทวะดังแว่วมา มันคงเตรียมมาปิดบัญชีกับเขาแล้ว
"อึก...จบแค่นี้เหรอ"
อิงศรสบถพร้อมกับรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อลุกขึ้นยืนและในที่สุดก็ถอนร่างขึ้นมาจากซากคอนกรีตได้ ทันทีที่ยืนขึ้นก็รู้สึกเหมือนโลกเหวี่ยงไปมา จนทรงตัวไม่อยู่แล้วก็ล้มลงไปอีก อิงศรไม่ยอมแพ้ 'ยังไงก็ต้องรอดไปให้ได้' เขาบอกกับตัวเองแบบนั้นต่อให้จะต้องล้มลุกคลุกคลานแค่ไหนก็ตาม ตอนนั้นเองที่รู้สึกว่ามีเงาทอดลงมาที่ตัวเขา เพราะสายตายังพร่ามัวอยู่จึงมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็คาดการณ์เอาไว้ว่านั่นคือร่างของจ่าฝูงสัตว์เทวะ
"ซุสนัคเคิล!!!"
เสียงตะโกนดังกังวาล... เสียงที่คุ้นหูเป็นอย่างมาก... อิงศรรู้สึกได้จากแรงลมที่เข้ามาปะทะว่ามีอะไรบางอย่างถูกเป่ากระเด็นออกไป เมื่อรวมเข้ากับเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่
"ขวัญ!"
อิงศรพูด
"ศรกินนี่เร็ว"
ขวัญพูดอย่างนั้นแล้วก็บรรจงยัดอะไรซักอย่างใส่มือเขามา จากสายตาที่พร่ามัวบอกไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ทำได้ก็แค่เชื่อใจขวัญแล้วกลืนสิ่งนั้นลงคอไป มันเป็นของที่มีลักษณะเหมือนกับเม็ดยามีรสขมฝาดคอเล็กน้อย... รสขาตินี้เขาจำมันได้
"ยาถอนพิษ"
อิงศรโพล่งออกมาก่อนแล้วจึงถามคำถาม
"ไปเอามาจากไหน..."
ระหว่างนั้นอาการวิงเวียนศีรษะก็พลันหายไป สายตาไม่พร่ามัวอีกแล้วรวมถึงอาการต่าง ๆ ก็ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อสายตากลับมารัยภาพได้ชัดเจนอีกครั้งถึงได้เห็นว่า จ่าฝูงสัตว์เทวะถอยไปอยู่ไกลจากเขาหลายก้าวทีเดียวรวมถึงมีอาการเคลื่อนไหวช้าลงเหมือนกับเป็นเหน็บชา ซึ่งน่าจะเกิดจากสกิลของมิ่งขวัญ 'ซุสนัคเคิล' ที่เคยใช้กับปลาไหลยักษ์เมื่อวานเป็นการโจมตีโดยรวบรวมกระแสไฟฟ้าไว้ที่หมัดแล้วชกออกไป ไฟฟ้าจะถ่ายเทจากหมัดไปยังร่างของศัตรูและทำให้เป็นอัมพาตชั่วขณะ
"ไปล่าไก่ฝั่งโน้นมาแล้วมันดรอปพอดีน่ะ"
มิ่งขวัญตอบคำถามของเขาแล้วยื่นมือมาช่วยดึงให้ลุกขึ้นยืน
"นี่นาย...ไม่อยากเจอชั้นจนถึงกับออกนอกเขตสำรวจเลยเหรอ จะงอนก็หัดมีขอบเขตหน่อยสิไอ้น้องบ้า"
อิงศรตะหวาดใส่ แต่มิ่งขวัญกลับยิ้มพลางกล่าวว่า
"รู้แล้วน่า ขวัญรู้สาเหตุที่ศรหาอาหารไปเผื่อเจ้าพวกนั้นแล้วนะ"
"หา--?!"
อิงศรจ้องหน้าน้องชายแบบงง ๆ
"เมื่อกี้คุยกันมาแล้วเดี๋ยวจัดการเจ้านี่เสร็จแล้วเรากลับไปสอนเจ้าพวกนั้นเก็บเลเวลกันเถอะ"
"..."
หลังจากฟังอธิบายเพิ่มเติมอิงศรก็พอจะกระจ่างขึ้นมาบ้างว่ามิ่งขวัญหมายถึงพวกเด็กที่มารีดไถอาหาร
"แล้วก็นะคราวหลัง..."
มิ่งขวัญพูด แต่อิงศรกลับดึงตัวน้องชายไปหลบด้านหลังจากนั้นก็ตั้งคันธนูขึ้นเล็งพร้อมกับกล่าวถ้อยคำที่เหมือนกับการร่ายคาถา
"จงสถิตในคันศรของข้า..."
แล้วดึงสายดีดออก มีลูกธนูที่เหมือนกับไฟปรากฎขึ้น อิงศรเล็งธนูไปข้างหน้าซึ่งจ่าฝูงสัตว์เทวะที่ฟื้นจากการโจมตีของมิ่งขวัญกำลังวิ่งเข้ามา
"บัฟแอโร่ว(Buff-Arrow) !!"
ทันทีที่ปล่อยมือแผลงศร ลูกธนูเพลิงก็ระเบิดพร้อมกับลอยออกไป เปลวเพลิงจากลูกธนูก่อร่างเป็นมหิงสาแล้วพุ่งชนจ่าฝูงสัตว์เทวะจนถอยไถลไปไกล แถบพลังชีวิตลดลงจากการถูกมหิงสาเพลิงขวิดใส่แต่ไม่ได้เป็นความเสียหายหรือบาดแผลที่ฉกาจฉกรรจ์ซักเท่าไหร่
Heraldic Beast Deity: Zodiac Taurus Keeper Lv.11
[//....265:3000.....]
อย่างไรเสียความตั้งใจเดิมของอิงศรก็คือการยื้อเวลาออกไปและสร้างระยะทางเพื่อการต่อสู้ สกิลนี้มีไว้เพื่อการนั้นแต่เงื่อนไขที่ต้องใช้เวลาในการกล่าวร่ายบทคาถาอย่างน้อยหนึ่งวินาทีตามที่สกิลกำหนดมาทำให้หาโอกาสใช้งานได้น้อย
"พูดมากจริงนี่อยู่ระหว่างสู้นะ สรุปแล้วอยากจะพูดอะไรกันแน่"
อิงศรพูดขึ้นมาหลังจากประเมินสถานการณ์จนแน่ใจแล้วว่ามีเวลาให้พูดคุย
"เปล่า...ก็แค่คราวหน้ามีอะไรก็บอกกันบ้างอย่าเก็บไว้คนเดียวอีกล่ะ"
มิ่งขวัญกล่าวต่อจากที่ค้างไว้
"เชอะ.. ทำมาพูดดีชั้นน่ะพูดให้ฟังอยู่ตลอดแหละแล้วแกเคยตั้งใจฟังมั่งไหมเล่า"
อิงศรตอบคล้ายจะประชดที่ทำเป็นอวดดีมาเข้าอกเข้าใจเขาเอาตอนนี้
"เอ่อ..."
มิ่งขวัญเถียงคำพูดนั้นไม่ออก
"ช่างเหอะเรื่องพูดเอาไว้ทีหลังเจ้านี่ระดับจ่าฝูงเชียวนะอย่าประมาทล่ะ"
"อื้อ แล้วจะจัดการมันยังไงดีล่ะ"
มิ่งขวัญพยักหน้าแล้วถามขึ้นมาแบบนั้น ถ้าเป็นปกติคงจะวิ่งออกไปลุยเดี่ยวไม่รอฟังคำเขาแล้ว มิ่งขวัญเหมือนจะเติบโตขึ้นมาบ้าง อิงศรจึงเผยรอยยิ้มบาง ๆ แล้วพูดว่า
"เดี๋ยวจะทำให้มันติดสถานะสายล่อฟ้า เตรียมใช้อิเล็คทริกเบลดด้วยล่ะ"
"รับทราบ!"
มิ่งขวัญทำท่าตะเบ๊ะแล้วเริ่มเตรียมดาบ เมื่อพร้อมแล้วอิงศรก็ให้สัญญาณ
"ไปเลย!!"
มิ่งขวัญพุ่งตัวออกไปเป็นแนวหน้า โดยมีอิงศรคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง การดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น...
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้เพื่อให้เอาชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลายไปแล้ว
….และนับจากตรงนี้ไป
เรื่องราวความเป็นจริงของเหล่าเมล็ดพันธุ์ซึ่งถูกทิ้งลงบนแปลงสวนที่เรียกว่า ‘โลก’
เมล็ดพันธุ์ที่มีชื่อว่า ‘มนุษย์’ จะงอกเงยออกมาเป็นพืชพันธุ์แบบใดกัน
จะกระเสือกกระสนอยู่ในสวนศักดิ์สิทธ์ได้อย่างน่ารังเกียจขนาดไหน
จนกว่าจะถึง วันเดือนและปี ที่เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์จะเดินเครื่องและพิพากษาโลกใบนี้…
หมอชิต อดีตเคยเป็นสถานีปลายทางของรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท และยังอยู่ใกล้สถานีขนส่งซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่สำคัญทางทิศเหนือของเมืองหลวง
ทิศเหนือของสถานีเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วย อนุสรณ์สถานที่สำคัญเกี่ยวกับประวัติของสวน หอนาฬิกา และ ประติมากรรมที่สำคัญอีกมาก
ในเวลาช่วงเย็นของวันสถานที่แห่งนี้จะคาคั่งไปด้วยผู้คนและรถสัญจรเต็มท้องถนน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวก็ล่มสลายไปแล้วพร้อมกับโลกที่ถูกเปลี่ยนเป็นเกม
บริเวณประตูทางเข้าสวนสาธารณะจะอยู่ติดถนนเลียบตามแนวรางรถไฟฟ้าพอดี และที่แห่งนี้เองก็ถูกคุกคามจากสัตว์เทวะ รวมถึงวันนี้ ‘เรดบอส ‘ ก็เกิดขึ้นที่นี่ด้วยเช่นกัน จ่าฝูงสัตว์เทวะหัวม้าและหัววัว ออกอาละวาดไปตามท้องถนนและหวิดจะทำลายรางรถไฟฟ้า แต่ก็มีกลุ่มของคนในชุดเครื่องแบบสีเขียวคล้ายกับทหารเข้ามายับยั้งเอาไว้
“อย่าให้มันเข้าใกล้รางรถไฟ ลากมันไปที่สวนสาธารณะ!”
“กระจายกันออกไปล้อมมันไว้”
“ถ่วงเวลาเอาไว้จนกว่าซัมมอนเนอร์จะมาถึง”
“ซัมมอนเนอร์ในหน่วยของพวกเรามีแต่หัวหน้าสิงห์ไม่ใช่เรอะ”
เสียงตะโกนของคนเหล่านั้นดังก้องไปทั่วท้องถนน พวกเขาใช้สกิลและอาวุธเข้าต่อสู้อย่างชำนาญการ จนควบคุมสถานการณ์ได้และลากตัวจ่าฝูงสัตว์เทวะให้ออกห่างจากรางรถไฟฟ้า แต่ก็เพียงเท่านั้น พวกเขาทำได้แค่ลากมันเข้าไปในสวนสาธารณะแล้วรอจนกว่าคนที่สามารถกำจัดพวกมันได้จะมาถึง
ในตอนนั้นเองจ่าฝูงสัตว์เทวะที่มีศีรษะเป็นวัว ก็เปลี่ยนท่าที มันหันคมดาบลงแล้วตั้งท่าจะปักดาบลงบนพื้น
“มันจะใช้สกิลแล้ว!!”
“รีบหยุดมันซะไม่งั้นรางรถไฟได้ถล่มลงมาแน่”
“ไม่ทันแล้ว!!!”
ท่ามกลางความแตกตื่นโกลาหลนั้น มีชายคนหนึ่งที่แตกต่างจากคนอื่น เขาไม่ตกใจ ไม่กระวนกระวาย เหมือนที่คนอื่นกำลังทำ สิ่งที่เขาทำก็เพียงแค่เดินเข้ามาในสวนอย่างเงียบสงบ เงียบเชียบเสียจนไม่มีใครรู้ว่าเขาได้เข้ามาอยู่ต่อหน้าจ่าฝูงสัตว์เทวะแล้ว… ชายผู้นั้นวางมือลงบนดาบที่ห้อยอยู่ตรงเอว
“โพสเซสชั่นสเตท (Possession State) ขยี้มันซะ นรสิงห์!!!”
เขาตะหวาดแล้วชักดาบออกจากฝัก พริบตาต่อมาจ่าฝูงสัตว์เทวะทั้งสองตนก็ถูกจัดการจนแถบพลังชีวิตกลายเป็นว่างเปล่า โดยที่ไม่มีใครทันมองเห็นว่าเขาทำได้อย่างไร ทุกคนต่างพากันอึ้งกับการกระทำนั้น มีอยู่คนหนึ่งในกลุ่มที่พูดขึ้นมา
“ห…หัวหน้าสิงห์…”
แต่เขาก็ทำเมินต่อปฏิกิริยาเช่นนั้นของลูกน้องพลางเสียบดาบกลับเข้าฝัก ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกจากสวนไปพลางพึมพำด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“จะเดือนหนึ่งแล้วนะ ทำไมเซเวียของพวกเราถึงยังไม่มาอีก”
สิงห์ Lv.90
[/////13000:13000/////]
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ