Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

8.0

เขียนโดย Raji

วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.00 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 17.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) Login 8 : The Twin Stars

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Login 8 : The Twin Stars

{----Story----}

====Unknown Patch 0.01275====

 โลกในยุคปัจจุบันถูกรุกรานโดยมนุษย์ต่างดาว โดยการเปลี่ยนโลกทั้งใบด้วยเน็ตเวิร์คเทคโนโลยีที่เกินกว่าจะจินตนาการจนกลายเป็นสนามรบของ ’เกมเดิมพันโลก’  ฝ่ายมนุษย์หาทางรับมือจนกระทั่งสามารถยื้อการสู้รบเอาไว้ที่น่านฟ้าของจีนโดยอาศัยจำนวนที่เหนือกว่า แต่เน็ตเวิร์คก็ได้แผ่ขยายครอบคลุมทั้งโลก โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน

 

====Unknown Patch 0.02897====

   หลังจากเน็ตเวิร์คแผ่ขยายเครือข่ายครอบคลุมโลกแล้ว ฝูงอุกกาบาตแห่งการพิพากษาได้ตกลงมาที่โลกเพื่อเผยแพร่ไวรัสที่จะคัดสรรค์มนุษยผู้เหมาะสมซึ่งจะดำเนินชีวิตต่อไปในดินแดนภายภาคหน้า ไวรัสจะมีผลกับสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์ในทางตรงกันข้ามพวกมันจะกลายเป็น 'สัตว์เทวะ' แล้วพิพากษามนุษย์

มนุษยชาติจะมีจำนวนเหลือเพียง1ใน 4

 

====After Catastrophe Patch 1.00000====

...การดิ้นรนของมนุษยชาติในยุคเกมโลกาวินาศได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...

 

====Heraldic of Celestial Patch 1.200789====

 การมาของผู้นำสารแห่งสรวงค์สวรรค์... สัตวเทวะระดับจ่าฝูงเริ่มทำการโจมตีทุกพื้นที่

Update Convenience Content

@ World Shopping Mall ร้านค้ากลางสำหรับซื้อขายโดยระบบ

@ World Auction Network ระบบประมูลส่วนกลางที่เข้าใช้งานได้จากทั่วโลกโดยไม่แสดงข้อมูลผู้ซื้อและผู้ขาย(ใช้ได้ทั้ง Alian และ Human)

@ Community System เปิดให้สร้าง Guild และ Social [ดูรายละเอียด]...

 

====Habitat and City Confounding Patch 2.578600====

 ยุคแห่งการสูญสิ้นเริ่มขึ้นแล้วรุ่งอรุณแห่งอารยธรรมใหม่...

Update Convenience Content

@ เปิดใช้ Habitat Point และ City Craft [ดูรายละเอียด]...

@ Laplace Network ระบบอินเตอร์เน็ตสำหรับใช้งานใน Community [ดูรายละเอียด]...

 

====Eden Fall Patch 3.000000====

 สวนของท่านผู้ใดเล่าจะเสมอเหมือน ได้ตกลงมายังโลกโดยสมบูรณ์...

...โอ พระเจ้าข้า ซาตานและวงแหวนแห่งไฟของมัน ได้กระทำให้ต้นของผลแห่งปัญญาต้องแปดเปื้อน

...โอ พระเจ้าข้า สวนทั้งหมดของพระองค์ก็ทรงแปดเปื้อนไปด้วย พระองค์ทรงทิ้งสวนแสงสำคัญลงบนแดนมนุษย์

...โอ พระเจ้าข้า พระองค์ทรงกระทำถูกต้องสมควรแก่เหตุผล สวนของพระองค์เติบโตบนแดนมนุษย์ ลูกหลานของผู้ล่วงละเมิดข้อห้ามที่ได้รับการเนรเทศถูกลงทัณฑ์ให้กลายเป็นดินสำหรับบำรุงสวน เหมือนที่พวกเขาทำลายสวนแห่งที่สองซึ่งพระองค์มอบให้พวกเขา

...โอ พระเจ้าข้า วัชพืชได้เติบโตและรุกล้ำสวนอันศักดิ์สิทธิ์ เครื่องทำสวนทั้งสิบสองรอเวลาที่จะได้ลงทัณฑ์และพิพากษาวัชพืชเหล่านั้นด้วยการถอนรากถอนโคน แต่พระองค์ทรงห้ามไว้ เพราะฟันเฟืองอันสำคัญได้หายไป ซาตานขโมยมันแล้วโยนลงไปในสวนบนแดนมนุษย์

............…………………

 

       หน้าจอที่เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับแพทซ์ของเกมถูกปิดลงจากนั้นหน้าจอใหม่ก็ถูกเรียกขึ้นมา

     

  Search [|................]

 

       บนหน้าจอใหม่ที่ปรากฏขึ้นนั้นมีเคอเซอร์กระพริบอยู่ในช่องค้นหา

       นิ้วมือเรียวยาวจำนวนสิบนิ้วด้วยกันเคาะลงบนหน้าจอส่วนด้านล่างที่แสดงเป็นปุ่มตัวอักษรเรียงรายกันเหมือนแป้นพิมพ์การเคาะอย่างรวดเร็วนั้นทำให้เกิดเสียงดังแต๊กขึ้นหลายครั้ง

       {แต๊ก แต๊ก แต๊ก…}

 

       Search [Demon |.............]

 

       เคอเซอร์ที่กระพริบอยู่ได้เลื่อนออกไปทางขวาและขณะเดียวกันตัวหนังสือก็เริ่มปรากฏขึ้นจากจุดที่มันผ่าน

       {แต๊ก แต๊ก แต๊ก…}

 

       Search [Demon App |..]

 

       {แต๊ก ! }

       เสียงโดดๆ เพียงเสียงเดียวดังขึ้นเมื่อนิ้วชี้ข้างขวาถูกทิ้งลงบนปุ่มที่เขียนว่า [Enter] จากนั้นนิ้วทั้งหมดก็หยุดเคาะแป้นพิมพ์หน้าจอเปลี่ยนไปอีกครั้งมีคำๆ ใหม่ปรากฏขึ้นมาแทนที่

 

       Searching...

       ....

       ....

       Error 404 Not Found ...

 

       หลังจากรอจนกระทั่งเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่งก็ปรากฏข้อความใหม่ขึ้นบนจอ

       การค้นหาเหมือนจะล้มเหลว...

       “หาไม่เจองั้นเหรอ….อย่างงี้นี่เองเพราะแพทซ์ยังอัพเดทไปไม่ถึงจุดที่มนุษย์จะใช้งานปีศาจได้...แต่ว่านายก็ทำตามที่บอกไปหมดเลยสินะ”

       เด็กหนุ่มมองดูหน้าจอแล้วพึมพำกับตัวเอง เขามีเรือนผมสีขาวและประกายตาคมกริบสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเทาหม่น

 

 

      หลังจากเหตุการณ์ห้องคิงของชุดฝึกขับไล่ผู้รุกรานถูกมนุษย์ต่างดาวเข้าโจมตี

       เวลาก็ผ่านไปได้หนึ่งวันแล้ว

      ภายในอาคารสูงสี่ชั้นที่อดีตเคยเป็นบริษัทให้เช่าและถูกทิ้งร้างหลังจากโลกล่มสลาย

       การต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวของหน่วยขับไล่ผู้รุกรานที่ออกนำโดยสิงห์เองเพิ่งจะจบลงไป

       ในล็อบบี้ต้อนรับเป็นห้องโถงกว้างมีโซฟาอยู่สี่ตัวและเคาเตอร์ติดต่อแค่นั้นที่ยังมีสภาพพอให้ใช้งานได้นอกจากนั้นที่เหลือเป็นพวกเครื่องประดับหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ผุพังไปหมดแล้ว

 

       "อ้าก!!!"

       เสียงกรีดร้องโหยหวนดังสะท้อนไปทั้งล็อบบี้

       มนุษย์ต่างดาวตนสุดท้ายพึ่งจะถูกจัดการด้วยดาบที่สิงห์เป็นคนลงเองกับมือ

       ร่างกายที่คล้ายคลึงกับมนุษย์เพศชายกำลังละลายและพุพังลงสุดท้ายก็จะเหลือแค่เพียงปรอทเหลวสีเงินที่ถูกคลุมทับด้วยเสื้อผ้าสีดำที่เป็นเครื่องแบบของพวกต่างดาว

       ในตอนนั้นเอง ก็มีกลุ่มของมนุษย์ที่ไม่มีหน้าจอแสดงพลังชีวิตประเมินคร่าวๆ ด้วยสายตาได้ 20 คนมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กลุ่มถูกล้อมโดยนายทหารของหน่วยจำนวนห้านาย จากในจำนวนนั้นผู้ที่เดินนำกลุ่มทั้งหมดมาคือ

       หญิงสาว หญิงสาววัยแรกรุ่นผู้งดงามที่มัดผมสีฟ้าครามเป็นปลายสองข้าง

      “ช่วยมนุษย์ที่ถูกทำเป็น NPC ออกมาหมดแล้วค่ะท่านสิงห์”

       หญิงสาวผู้นั้นรายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมใบหน้าของเธอเรียบนิ่งไม่ต่างกับใบหน้าของสิงห์ที่ถูกเรียกว่าไร้อารมณ์เหมือนๆ กัน

       "ตรวจสอบทุกคนหมดแล้วหรือยัง"

       “ค่ะตรวจสอบหมดแล้วไม่มีมนุษย์ต่างดาวปะปนอยู่ในกลุ่ม NPC”

       ระหว่างที่รับรายงานจากหญิงสาวที่อายุอ่อนกว่าหนึ่งปีก็มีเสียงตะโกนดังแทรกเข้ามา

       “ทางนี้ก็ตรวจเสร็จแล้วนะเว้ย!”

       น้ำเสียงห้าวหาญ ผู้ที่พูดมันออกมาคือชายผมสั้นย้อมสีทอง ข้าวหลามเพื่อนสมัยเด็กของสิงห์และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองหัวหน้ากิลด์ขับไล่ผู้รุกราน ยศในองค์กรคือพันโท

       สิงห์หยุดการสนทนากับลูกน้องแล้วหันไปถาม

       “แน่ใจนะว่าเช็คหมดทุกคนแล้วน่ะหลาม?”

       สายตาอันคมกล้าของเขามองข้ามไหล่ของเพื่อนสนิทไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นก็ไม่มีหน้าจอแสดงพลังชีวิตเช่นเดียวกับพวกที่ลูกน้องหญิงพามา

      “เออ ครบหมดน่ะแหละ”

       ข้าวหลามตอบน้ำเสียงห้วนจากนั้นก็ล้วงเอาของบางอย่าวงออกมาจากกระเป๋าเสื้อเป็นอุปกรณ์ที่คล้ายกับแว่นตาที่มีเลนข้างเดียว

       “ใช้สเคาท์ติ้งสโคป (Scouting Scope) ที่ติดตั้งข้อมูลที่ได้จากคอนแทคเลนส์ของเจ้าศรตรวจทุกซอกทุกมุมหมดแล้วงานนี้ต้อง     ขอบคุณซะหน่อยแล้วล่ะมั้งสิงห์ถ้าไม่ใช่เจ้าศรวันนั้นไม่มีใครรอดชีวิตเอาข้อมูลปลอมตัวของพวกเอเลี่ยนมาส่งถึงมือเราได้หรอกนะ”

       “ตบรางวัลงั้นเหรอ…เรื่องนั้นถึงแกไม่ต้องมาบอกชั้นก็จัดเตรียมรอเอาไว้ให้แล้ว”

       “เหรอ~”

       ข้าวหลามทำเสียงสูงเหมือนกับจะเหน็บแนมเพราะรู้อยู่แล้วว่ารางวัลที่สิงห์บอกคืออะไร

       แต่สิงห์ทำเมินใส่คำพูดนั้นแล้วกลับไปสั่งงานกับลูกน้องหญิงอีกครั้ง

       “วิเชียรมาศ พาคนที่ตรวจสอบแล้วทั้งหมดกลับไปที่ค่ายก่อนเลยเดี๋ยวชั้นกับพันโทมีธุระต้องไปทำต่อ”

       “รับทราบ!”

       ลูกน้องหญิงทำความเคารพด้วยท่าวันทยหัตถ์แล้วจึงไปดำเนินการตามที่สั่งทันที

       เธอให้ลูกน้องในหน่วยที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาพาตัวมนุษย์ NPC ทั้งหมดมารวมกลุ่มกันแล้วพากันออกไปจากอาคารที่ซึ่งด้านนอกมีรถสำหรับขนย้ายจอดรออยู่

 

       หลังจากวันที่ อิงศรต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวชั้นครูในระหว่างการฝึกนอกห้องเรียนเป็นวันแรกพวกเขาก็ได้รับรู้ว่าพวกต่างดาวพัฒนารูปแบบการรุกรานไปอีกขั้นแล้ว การปลอมตัวเป็นมนุษย์ NPC หรือที่มนุษย์ที่ถูกถอดออกจากระบบของเกมซึ่งแต่เดิมคนจำพวกนี้องค์กรเมตไตรย จะต้องการตัวทั้งหมดเพื่อเพิ่มจำนวนมนุษย์ที่ยังเหลือรอดให้มีมากเข้าไว้สำหรับการต่อต้านผู้รุกรานทั้งจากสัตว์เทวะและมนุษย์ต่างดาว

       แต่เดิมแล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมมนุษย์ต่างดาวจะต้องจับตัวมนุษย์ไปทำเป็น NPC แล้วกักขังเอาไว้ จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไขปริศนาในเรื่องนี้ไม่ออกดังนั้นการชิงตัวมนุษย์ NPC มานอกจากด้านเหตุผลการเพิ่มจำนวนประชากรแล้วก็ยังอาจจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง

       ทว่าการที่มนุษย์ต่างดาวปลอมตัวเป็น NPC ได้ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่และโชคดีที่สามารถแก้ปัญหานี้ลงได้ก่อนที่จะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตหากเกิดกรณีที่พวกต่างดาวปลอมเป็น NPC แล้วปะปนเข้าไปอยู่ค่ายขึ้นมากองกำลังของพวกเขาคงไม่พ้นต้องเผชิญการล่มสลายเหมือนกับโลกใบนี้

 

 

       ท่ามกลางความฝันที่ทุกอย่างถูกย้อมด้วยสีดำจนมืดมิด

       เบื้องหน้าอิงศรผู้เป็นเจ้าของความฝันปรากฏร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

       เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีขาว มีประกายตาคมกริบสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเทาหม่นสวมเสื้อวอร์มสีแดงกางเกงยีนส์และคาดหูฟังแบบบีฟองน้ำครอบหูเอาไว้

       เรื่องแปลกที่หนึ่งคืออิงศรไม่รู้จักเด็กหนุ่มตรงหน้า

       เรื่องแปลกที่สองคือเด็กหนุ่มกำลังลอยอยู่...

       ถึงทุกอย่างในความฝันนี้จะถูกย้อมให้มืดมิดเสียจนไม่รู้ว่ากำลังยืนหรือกำลังหล่นอยู่ก็ตามแต่สัมผัสด้วยสายตาก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในตำแหน่งที่สูงเหลื่อมกว่ากันเล็กน้อย

       “ในที่สุดก็ได้พบกันซะที...มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”

       มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก...เขาถูกเเรียกว่าอย่างนั้นโดยเด็กหนุ่มที่กำลังส่งเสียง อืม เบาๆ พลางมองอิงศรอย่างจริงจังด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม

       “นายเป็นใครแล้วที่นี่ที่คือที่ไหน”

       คำถามที่สองออกจะตลกเกินไปบ้างที่จะถามแต่ถึงรู้ว่ามันคือความฝันก็ตามแต่นี่ก็แปลกเกินไปที่จะรู้สึกตัวถึงขนาดนี้

       “ผมคือใครงั้นเหรอ….”

       เด็กหนุ่มกอดอกทำท่าใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง

       “ผู้ถูกลืมเลือน...แค่นั้นแหละไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น”

       “หา?”

       “ส่วนที่ถามว่านี่คือที่ไหน ที่นี่คือที่ๆ มนุษย์เรียกกันว่าความฝันแต่…”

       เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าผู้ถูกลืมลากเสียง อืม ยาวๆ

       “แต่ผมเองก็ไม่รู้ด้วยสิว่าความฝันมันเป็นยังไงตอนที่เข้ามาหาก็แค่เพราะว่ามันเข้ามาได้ก็เลย อืม~ยากจังแฮะ”

       แล้วก็เริ่มครุ่นคิดหนักขึ้นกว่าเดิม

       “เอ่อเรื่องนั้นช่างมันเหอะตอบแค่ว่าทำไมชั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้ก็พอ”

       “อย่างนั้นจะดีเหรอ?”

       “เอาเถอะน่า”

       “เข้าใจแล้วงั้นก็ก่อนอื่นเลยผมขอถามคำถามเธอซักข้อก็แล้วกัน”

       “ยุ่งยากชะมัดเลยนะนายเนี่ย”

       อิงศรมองผู้ถูกลืมเลือนด้วยความลำบากใจแต่อีกฝ่ายกลับยังทำหน้ายิ้มเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสายตาของเขาเลย

       “คิดยังงั้นเหรอ”

       “ก็คิดน่ะสิ”

       หางตาของอิงศรเริ่มกระตุกตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อยแต่ยังสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้เขาฝึกเรื่องนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กแล้วแค่นี้น่ะไม่…

       “ความยุ่งยากนี่คือสิ่งที่มนุษย์กำกับให้กับอะไรที่ดูซับซ้อนหรือว่าใช้กับสิ่งที่ไม่เข้าใจกันแน่ อย่างไหนกันนะเธอจะช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจมากขึ้นได้รึเปล่าล่ะมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”

       มีเสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างขาดผึง

       “เออ! ช่างมันเหอะมีอะไรก็รีบว่ามา!!”

       “งั้นเหรอ...เอาเป็นว่าไว้ค่อยถกเรื่องความยุ่งยากนี่กันคราวหน้าละกันนะ”

       อิงศรมองหน้าผู้ถูกลืมเลือน พลางคิดว่า...ยังจะมีวันหน้าที่ต้องมาเจอแกอีกเหรอ...

       ไม่ใช่แค่การพูดการจาแต่ทั้งท่าทางไปจนถึงสำนวนต่างๆ ของหมอนี่ล้วนสร้างความรำคาญใจให้อย่างน่าประหลาด

       ราวกับเขากลายเป็นคนโมโหร้ายไปเลยเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับตัวประหลาดลอยได้นี่

 

       “งั้นขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันเธอน่ะเอาแต่ทำเรื่องเกินตัวจนเกือบตายอยู่หลายต่อหลายครั้งนั่นทำไปเพื่ออะไรเหรอ”

       “เรื่องนั้น…”

       อิงศรหยุดคำพูดของตัวเองเขาไม่สามารถตอบคำถามของผู้ถูกลืมเลือนได้

       ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงพวกเขาสองคนดำเนินไปอย่างเนิ่นนานในที่สุดผู้ถูกลืมเลือนก็เป็นฝ่ายกล่าวทำลายความเงียบนี้ลง

       “หรือเป็นเพราะเธอรู้สึกผิดที่ตัวเองมีชีวิตอยู่”

       “ไม่ใช่นะ!”

       “งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นความหลงตัวเองใช่รึเปล่า”

       “อันนั้นก็ไม่ใช่”

       อิงศรปฏิเสธเสียงแข็ง

       “แปลกจังเลยนะครั้งแรกกับครั้งที่สองเธอตอบไม่ค่อยเหมือนกันเลยหรือว่าจะมีอันใดอันหนึ่งเป็นคำโกหกหรือไม่ก็ทั้งคู่อย่างไหนกันแน่นะ”

       ผู้ถูกลืมเลือนยังคงยิงคำถามต่อไม่หยุด ทันใดนั้นเขาก็ทุบมือตัวเอง

       “อ๋อ นี่สินะความหมายที่เรียกว่ายุ่งยากมันคือการเข้าใจและไม่เข้าใจไปพร้อมๆ กันนี่เองเพราะเธอช่วยมอบทางเลือกให้ผมถึงได้เข้าใจมันขอบคุณนะมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”

 

        ไม่เข้าใจเลย....

       ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเจ้านี่พูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่

       เขาพยายามวิเคราะห์ว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนแบบไหนแต่ไม่ว่าจะคิดมากขนาดไหนก็ยิ่งพบว่าคนที่ลอยอยู่ต่อหน้านี่ไม่มีทางเป็นมนุษย์ได้แน่ๆ แล้วถ้าอย่างนั้นเจ้านี่เป็นตัวอะไร มนุษย์ต่างดาว...หรือว่าสัตว์เทวะชนิดใหม่

 

       “ถ้าไม่ใช่ทั้งสองอย่างงั้นเธอก็เลือกทางต่อสู้แทนที่จะเลือกทางหนีเพราะว่าเธอเป็นคนดีสินะ”

       คำพูดของผู้ถูกลืมเลือนได้กระตุ้นให้นึกถึงตอนที่ต้องตัดสินใจระหว่างที่มนุษย์ต่างดาวบุกมาโจมตีชั้นเรียน

       ตัวเขาในตอนนั้นเลือกหนทางที่จะต่อสู้เพื่อให้ทุกคนได้หนีไป

       แต่ที่เลือกแบบนั้นไม่ใช่เพราะยึดมั่นในหลักของความดีอะไร

       “มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก”

       อิงศรกำหมัดแน่น

       “ไม่ใช่เหรอถ้างั้นแล้วมันเป็นเพราะอะไรกันล่ะ”

       “ก็มันช่วยไม่ได้นี่...ถ้าไม่ทำแบบนั้นถึงหนีรอดไปได้ชั้นก็โดนเจ้าสิงห์เอาตายกันพอดีน่ะสิ”

       เขาตอบออกไปแบบนั้นเลือกคำตอบที่จะทำให้ตัวเองไม่ดูเป็นคนดีเกินไป

       “อย่างงี้นี่เองสรุปแล้วทำไปเพราะความจำเป็นสินะแต่…ผมกลับรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่คำตอบจริงๆ ที่เหมาะสมกับเธอซักเท่าไหร่เอาเถอะก็ได้คำตอบมาแล้วงั้นผมจะขอทดสอบเธอต่อไป…”

       ผู้ถูกลืมเลือนหยุดคำพูดลงกลางคันเพราะร่างของเขาเกิดสั่นไหวขึ้น

       ความสั่นไหวนั้นขยายตัวกว้างขึ้นจนร่างของเขาเป็นเหมือนภาพในโทรทัศน์ที่กำลังเสีย

       และอิงศรก็ได้รับผลนี่เช่นเดียวกัน

       “เฮ้! นี่มันอะไรกันเนี่ย”

       อิงศรตื่นตระหนก

       “เพราะเธอกำลังจะตื่นน่ะสิเอาเป็นว่าแล้วผมจะรอดูนะว่าเธอจะผ่านบททดสอบหลังจากนี้ไปยังไงน่ะ”

       “เดี๋ยวก่อนสินี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เฮ้!”

 

 

       “เฮ้...เดี๋ยว”

       สถานที่ที่อิงศรลืมตาขึ้นมาอีกครั้งดูเหมือนจะเป็นห้องพยาบาล

       เพดานสีขาว

       ผนังสีขาว

       เขายันตัวขึ้นบนเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้องนั้น

       ชุดถูกเปลี่ยนเป็นชุดคนไข้เนื้อผ้าสีเขียวอ่อนบางเบา

       ที่ข้างเตียงซึ่งเขานอนอยู่นั้นเด็กหนุ่มรุ่นน้องเรือนผมย้อมสีน้ำตาลผมตั้งเป็นหนามในชุดนักเรียนฝึกทหารกำลังนอนคอพับอยู่ข้างตัวอิงศร

       “กวินทร์…”

       อิงศรพึมพำชื่อของรุ่นน้องแล้วเบนสายตาไปยังผนังห้องที่ซึ่งเขาได้ยินเสียงดังติ๊กๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

       ที่ผนังห้องฝั่งที่มองไปนั้นมีนาฬิกาแขวนติดอยู่เข็มสั้นชี้อยู่ที่เลขแปดถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้อยู่ดีว่านี่คือแปดโมงเช้าหรือว่าสองทุ่มกันแน่

       ภายในห้องไม่มีหน้าต่างซักบานเดียว

       บรรยากาศของห้องนั้นคุ้นๆ ว่าจะเป็นห้องพยาบาลในตึกสถานพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยที่ใช้เป็นค่ายอยู่ในขณะนี้

       “งึมงำ...”

       รุ่นน้องส่งเสียงเหมือนกับละเมอจากนั้นก็ปรือตาขึ้นเล็กน้อย

       “อ๊ะ!”

       แล้วย้ายลำตัวท่อนบนออกจากเตียง

       “พี่ศรตื่นแล้วเหรอ”

       ดวงตาของรุ่นน้องเบิกกว้างเช่นเดียวกับรอยยิ้มของเขา

       “นั่นมันคำถามของทางนี้ต่างหากตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

       อิงศรสอบถามสถานการณ์ทันที

       “อ..อ๋อ! สถานการณ์สินะครับเอ่อ...”

       รุ่นน้องลุกลี้ลุกลนเหมือนไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงดังนั้นอิงศรจึง

       “เอาเป็นว่าชั้นสลบไปนานเท่าไหร่แล้วก็พอ”

       เขาถามคำถามนำให้ ที่จริงจะเปิดดูเวลาด้วยระบบของเกมเลยมันก็ได้อยู่แต่ถามเอาเร็วกว่านั่งคำนวนเองอยู่แล้วว่าตัวเองสลบไปนานแค่ไหน

       “เอ่อ...ก็หนึ่งวันพอดีครับ”

       วันหนึ่ง.... เขาสลบไปนานขนาดนั้นก็น่าตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะระบบของเกมถ้าแถบพลังชีวิตเต็มก็จะฟื้นคืนสภาพโดยสมบูรณ์ดังนั้นก็ไม่น่าจะสลบไปนานขนาดนี้

       “แล้วก็หลังจากพี่ศรสลบไปครูฝึกข้าวหลามเป็นคนที่แบกพี่กลับมาจนถึงค่ายเองแต่ HP เต็มแล้วพี่ก็ยังไม่ฟื้นก็เขาเลยส่งตัวมารักษาที่นี่แหละครับ ผมเองพ่งก็แวะมาเฝ้าไข้หลังเลิกเรียนวันนี้เองแต่ดันหลับไปซะได้”

       กวินทร์หัวเราะแหะๆ ปิดท้ายคำพูดเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่แอบมาหลับบนเตียง

       แต่อิงศรไม่สนใจเรื่องนั้นตอนนี้เขาต้องการรู้สถานการณ์ทั้งหมดระหว่างที่สลบไป

       “แล้วคนอื่นๆ ในห้องล่ะ”

       พอถามออกไปแบบนั้นกวินทร์ก็เปลี่ยนท่าทางไปทันทีสีหน้าของรุ่นน้องดูหมองลง

       มันก็ควรเป็นอย่างนั้นเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ครูประจำชั้นต้องตายรวมไปถึงทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงจนลากนักเรียนคนอื่นๆ ไปตายตามกันอีกเป็นเบือทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นมาจากการที่กวินทร์เข้าไปช่วยเหลือ มนุษย์ต่างดาวที่ปลอมตัวเป็น NPC มาจากสัตว์เทวะ

       “คนที่ยังรอดชีวิตทุกคนได้พี่ศรช่วยเอาไว้ครับเพราะพี่ศรช่วยถ่วงเวลาไว้ให้ทีมช่วยเหลือถึงมาทันเวลาโดยที่พวกเราไม่ถูกฆ่าตายยกห้องไปซะก่อน..”

       กวินทร์ก้มหน้าลงน้ำเสียงของเขาสั่นเครือรวมถึงมือก็สั่นเทาไปด้วยความรู้สึกผิดบาปเช่นกัน

       อิงศรเข้าใจความรู้สึกของกวินทร์ในตอนนี้เป็นอย่างดี

       การที่ความหวังดีของตัวเองกลายเป็นทำให้คนรอบตัวต้องเดือดร้อนมันทุกข์ทรมานขนาดไหน

       จู่ๆ รุ่นน้องก็เงยหน้าขึ้นอย่างปุบปับ

      “แล้วก็ตอนนี้พี่ศรน่ะกลายเป็นวีระบุรุษไปแล้วนะครับ”

       แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นร่าเริง

       “หา?”

       “ยังจะมาหาอะไรอีกล่ะครับ พี่ศรน่ะเป็นผู้ช่วยเหล่านักเรียนให้รอดพ้นจากคลาสนรกมาได้ตอนนี้เขาพูดกันให้แซ่ดไปทั้งค่ายแล้วล่ะครับวันนี้ตอนไปเรียนครูยังพูดถึงพี่ศรเลยนะครับ”

       รุ่นน้องยังคงออกปากชมไม่หยุดจนอิงศรเริ่มปราม

       “กวินทร์”

       “ตอนนี้พี่ศรน่ะดังมากๆ เลยสาวกรี้ดกันให้พรึ่บ...”

       “กวินทร์!”

       อิงศรเปลี่ยนเป็นตะหวาด

       “อ…ขอโทษครับ...ดีใจมากไปหน่อยก็เลย...”

       “ไม่ใช่อย่างนั้นเรื่องของชั้นน่ะช่างมันเหอะแต่ว่าแล้วนายล่ะเป็นยังไงมั่ง”

       “เอ๋? ผมเหรอ”

       “ใช่นายนั่นแหละ”

       ท่าทีของกวินทร์มันแปลกเกินไปอย่างเห็นได้ชัดแล้วมันก็มองออกได้อย่างง่ายดายว่าพยายามซ่อนบางอย่างเอาไว้ซึ่งเรื่องนั้นก็พอจะเดาได้...

     ผม...ก็ไม่มีอะไรนี่ครับก็แข็งแรงดี”

       “โดนแกล้งมาเหรอ…”

       “เอ๋! ป..เปล่าซะหน่อยไม่ได้โดน…”

       “พูดมาเถอะน่า!”

       “.......”

       รุ่นน้องได้แต่ปิดปากเงียบห้องจึงกลับมาสงบอีกครั้ง

       ถึงไม่ต้องคาดเดาแต่เรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนภายในห้องที่การแข่งขันสูงความกดดันย่อมสูงตามและเมื่อมีคนที่ทำผิดพลาดทุกคนก็พร้อมที่จะเข้ามารุมซ้ำเติมอย่างไม่ต้องสงสัยมันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนที่โลกจะล่มสลายแล้ว สังเวียนที่มีชื่อว่า     ห้องเรียนจะยุคไหนๆ ก็ไม่ได้ต่างกันเลย

       เวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่ง อิงศรจึงเปลี่ยนคำถามใหม่

       “แล้วโดนสั่งลงโทษบ้างรึเปล่า”

       รุ่นน้องส่ายหน้าในทันทีแล้วพูดว่า

       “ไม่ครับ...ผมถูกตัดสินว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายดังนั้นจึงไม่มีโทษครับ”

       “งั้นเหรอ”

       อิงศรมองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้าและมีใบหน้าหดหู่เล็กน้อยแล้วพูดขึ้น

       “ขอโทษนะ”

       คำพูดนั้นทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ความประหลาดใจฉายอยู่ในแววตาคู่นั้น

       เหมือนกับจะถามว่า ‘ทำไม’

       แล้วอิงศรก็เผลอตอบข้อความที่เข้าใจเอาเองนั้นไปว่า

       “ถ้านายผิดที่ไปช่วยคนจนทำให้ทุกคนต้องตายชั้นที่มีส่วนร่วมในการช่วยนายก่อนที่จะถูกไอ้เข้ยักษ์นั่นเขมือบก็ผิดพอๆ กันน่ะแหละ”

       คำพูดนี้เขาหวังอยู่ว่ามันอาจจะพอเยียวยาหัวใจให้กับรุ่นน้องได้บ้างถึงเขาจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักก็ตามแต่อย่างน้อยๆ เขาก็ถูก กวินทร์ช่วยเอาไว้ก่อนจะถูกมนุษย์ต่างดาวฆ่าในตอนสุดท้ายที่แผนการพลาด

 

       “ไม่ใช่นะครับพี่ศรน่ะไม่ผิดหรอกที่ผิดน่ะคือโผะ...”

       “ถ้านายคิดว่าชั้นไม่ผิดงั้นนายก็ไม่ผิดเหมือนกันที่ผิดคือพวกเอเลี่ยนที่หลอกใช้ความรู้สึกของมนุษย์ต่างหาก”

       หลังจากพูดออกไปอย่างนั้นใบหน้าของรุ่นน้องก็ดูจะสดใสขึ้นมานิดหน่อย

       พอเห็นดังนั้นอิงศรจึงพูดในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้เพื่อจะทดสอบกวินทร์ว่าจะเป้นคนอย่างที่เขาคิดเอาไว้รึเปล่า

       “กวินทร์นายน่ะถอนตัวไปซะเถอะโลกของการต่อสู้มันไม่เหมาะกับคนใจดีแบบนายหรอก”

       “หา! เดี่ยวสิครับนั่นน่ะ…”

       กวินทร์พูดแทรกแต่อิงศรเมินคำพูดนั้น

       “นายน่ะยังถอนตัวทันนะถ้าเป็นตอนนี้”

       “ไม่เอาครับ”

       กวินทร์ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ประกายตาของเด็กหนุ่มฉายแววแห่งความมุ่งมั่นออกมา

       เป็นสายตาเดียวกับที่เห็นเมื่อตอนนั้นตอนที่ต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวนั่น

       แล้วอิงศรก็เริ่มทบทวนตัวเองอีกครั้งและพบว่าถึงจะประสบเหตุที่คล้ายคลึงกันแล้วก็ตาม

       แต่กวินทร์ก็ไม่ได้มายืนในจุดเดียวกันกับเขาเลยหากแต่นำหน้าเขาไปก้าวหนึ่งแล้ว

       ตอนนั้นเอง….

       “ตอบได้ถูกต้องแล้ว กวินทร์ วชิระ คนที่เราต้องการคือคนแบบเธอนี่ล่ะ”

       ตอนนั้นเองก็มีเสียงที่คุ้นหูเป็นอย่างดีดังมาจากด้านนอกของห้อง

       แล้วประตูห้องก็เปิดออก

       ผู้ที่เปิดมันจากด้านนอกคือสิงห์ที่พานักเรียนฝึกทหารหนุ่มสาวอย่างละคนเข้ามาด้วย

       อิงศรจำได้ว่าเป็นนักเรียนห้องเดียวกันและเป็นพวกที่รอดมาจากคลาสนรกวันนั้น

 

      คนผู้หญิงสูงประมาณ165 เซนติเมตรสวมเครื่องแบบนักเรียนฝึกทหารของผู้หญิง ผมยาวย้อมสีแดงมัดเป็นหางม้าด้วยโบว์สีดำและผูกปลายของหางม้าด้วยโบว์สีขาว

       เธอมีใบหน้าที่งดงามและดวงตาที่แฝงไปด้วยความซุกซนแค่ตอนที่ประตูห้องเปิดออก

       สายตาของเจ้าหล่อนก็กลอกกลิ้งไปมาหากว่าคุณเธอกำลังสอดส่องสำรวจห้องว่ามีกับดักหรืออะไรซ่อนอยู่ก็คงหาเจอได้เกือบทั้งหมดในทีเดียว

       แต่ภายในห้องพักผู้ป่วยแห่งนี้มีเฟอร์นิเจอร์อยู่น้อยชิ้นและไม่มีการตกแต่งอะไรเป็นพิเศษถ้างั้นเธอก็คงสำรวจร่างกายของเขากับกวินทร์จนแทบทะลุประโปร่งแล้วกระมัง

 

      ส่วนคนผู้ชายก็มีผมย้อมสีแดงเช่นเดียวกันเป็นผมสั้นหวีเกล้าผมไปทางซ้าย ส่วนสูงประมาณ 170 เซนติเมตรสวมเครื่องแบบ    นักเรียนฝึกทหารชายเหมือนๆ กัน ร่างกายค่อนข้างสมส่วนและมีมัดกล้ามบางๆ พอให้เห็นจากส่วนของแขนที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้อ และไม่เหมือนกับคนผู้หญิง เด็กหนุ่มผู้นี้ตั้งแต่เปิดประตูห้องมาก็เอาแต่เลี่ยงที่จะมองหน้าอิงศรรวมถึงเหลือบตาและส่งสายตาไม่พอใจมาที่เขาอยู่เป็นระยะ

       ทั้งคู่มีใบหน้าคล้ายกันและอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอาจเป็นฝาแฝด

       หลังจากทั้งสามคนเข้ามาข้างในแล้วก็มีอีกสองคนตามเข้ามาด้วย เป็นครูฝึกข้าวหลามกับนักเรียนชายหน้าสวยท็อปของห้องนรินทร์ที่เป็นคนปิดประตูห้องให้

 

       “คราวนี้อะไรอีกล่ะคิดจะล้างสมองพวกนักเรียนให้ถอนตัวออกไปจะได้โดนหาว่าเป็นกบฏรึไง”

       คำพูดของสิงห์ฟังเหมือนคำหยอกล้อแต่เพราะใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์จึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นแบบนั้น

       ถึงกระนั้นอิงศรก็ยังตอบคำถามด้วยท่าทีไม่สนใจอย่างที่เคยๆ

       "เออจะว่าไปมันก็มีวิธีนั้นอยู่นี่นะ"

       ทันใดนั้นความรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองตอนอยู่ในห้องเรียนก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

       แต่หนนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ อีกแล้วเพราะจำนวนคนในห้องไม่ได้มีเยอะพอจะซ่อนตัวได้เหมือนตอนอยู่ในห้องเรียน

       อิงศรหันไปทางเจ้าของสายตาซึ่งเป็นของเด็กสาวผมแดง

       ในแววตาซุกซนของหล่อนมีประกายที่เฉียบคมแฝงเอาไว้ เบื้องหลังรอยยิ้มแก่นแก้วนั่นเขากลับสัมผัสได้ถึงความลึกลับอย่างบอกไม่ถูก

       เด็กสาวจ้องตอบกลับมาดูเหมือนเธอจะรู้ตัวแล้ว

      สิงห์ยังคงดำเนินการสนทนาต่อไป

       "แต่ก็หมดสิทธิ์จะทำแบบนั้นแล้วล่ะนะเพราะผลงานในคราวนี้ชั้นถึงจะบรรจุนายเข้ากิลด์ได้โดยไม่มีข้อกังขาอีก"

       เมื่อได้ยินดังนั้นอิงศรสะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วเบี่ยงสายตาไปที่สิงห์

       "เฮ้ๆ นี่อย่าบอกนะว่านายเป็นคนสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาน่ะ"

       ทันทีที่อิงศรพูดออกไปอย่างนั้นเด็กหนุ่มและเด็กสาวผมแดงข้างหน้าสิงห์ก็ออกอาการสะดุ้งด้วยเหมือน

     เชื่อว่าเรื่องที่เขาพูดออกไปเป็นเรื่องจริง

       "จะไปทำแบบนั้นได้ยังไง ในกลุ่มนักเรียนของห้องนั้นน่ะมีน้องๆ ของชั้นรวมอยู่ด้วย"

       สิงห์ปฏิเสธคำกล่าวหาและไม่สามารถจับโกหกเขาได้เพราะใบหน้าที่เรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์รวมถึงปฏิกิริยาของร่างกายก็ไม่มีอะไรที่ผิดสังเกตเป็นคนที่อิงศรจัดให้อยู่ในประเภทไม่อาจรับมือด้วยได้หรืออีกนัยคืออย่าไปยุ่งด้วยให้มากนักจะดีที่สุด แต่พอลองทบทวนคำพูดเพื่อจะหาดูว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือขัดกับหลักเหตุผลที่จะช่วยให้ขัดขวางการจับยัดเข้ากองทัพของสิงห์ได้นั่นเองเขาก็สะดุดเข้ากับคำๆ หนึ่งที่สิงห์พูดมา

       "น้องๆ ของนาย?"

       อิงศรพูดสิ่งที่สงสัย

       สิงห์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันไปสั่งฝาแฝดหนุ่มสาวผมแดง

       "ใช่ เอ้าแนะนำตัวสิ"

       จากนั้นเด็กสาวก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

       "ถ้าถามว่าเป็นใครดิฉันก็จะขอชี้แจงแถลงไข"

       เธอเริ่มหมุนตัวแล้วพูดเป็นจังหวะทำนองเหมือนกำลังร้องเพลง

       "เธอนั้นสุดสวย เธอนั้นรวยสเน่ห์ เธอนั้นมีนามว่า"

       จากนั้นหล่อนก็หยุดหมุนแล้วทำนิ้วชี้กับนิ้วนางข้างขวาเป็นรูปตัว V วางเหนือดวงตาข้างขวาจากนั้นหลับตาซ้ายลง

       "มีนา เองค่า วิ้ง!"

       รู้สึกเหมือนกับจะมีแสงวิ้งออกมาตอนที่เธอหลับตาซ้ายแล้วพูดออกเสียงว่า 'วิ้ง!'

       แต่นั่นก็แค่คิดไปเอง ท่าแนะนำตัวของเจ้าหล่อนคล้ายๆ กับท่าของพวกดารานักร้องวงต่างประเทศที่ชอบทำตัวแบบที่เรียกว่า  ’คิกขุอาโนเนะ’ อะไรประมาณนั้นซึ่งมีให้เห็นบ่อยๆ ในโทรทัศน์ก่อนที่โลกจะล่มสลาย

       "...."

       กลับกันเด็กหนุ่มที่เป็นฝาแฝดอีกคนเอาแต่นิ่งเงียบไม่ปริปากหนำซ้ำยังไม่ยอมมองหน้าใครอีก

       "บอกให้แนะนำตัวไง"

       สิงห์ทำเสียงเหมือนตำหนิ

       เด็กหนุ่มจิกปากพลางส่งสายตาไม่พอใจขณะที่หันมาสบตากับอิงศร

       "เมษาห้องเดียวกันแค่นั้นแหละ"

       “และตั้งแต่พรุ่งนี้ไปนายจะถูกบรรจุเข้ากิลด์ขับไล่ที่ชั้นเป็นคนดูแลพร้อมกับมีนา เมษา และ กวินทร์ จะไปเป็นลูกน้องของนาย”

       สรุปว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น

       ดังนั้นสิงห์จึงพาทั้งสองคนมาที่นี่เพื่อจัดเตรียมหน่วยย่อยให้เขาพร้อมกับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกกิลด์ไปด้วย

       เมษาแทรกขึ้นมาว่า...

       “ไม่ขำเลยนะทำไมจะต้องมาเป็นลูกน้องหมอนี่ด้วยพวกเราน่ะเป็นสมาชิกกิลด์มาก่อนมีประสบการณ์ต่อสู้มาก่อนเจ้าหมอนี่อีกแล้วทำไมถึงจะต้อง...”

       “ถ้าคิดจะเห่าหอนแล้วไม่ดูตัวเองซะก่อนแกก็เป็นได้แค่หมาขี้แพ้เท่านั้น”

       วาจาของสิงห์นั้นดุดันแม้จะพูดกับคนที่น่าจะเป็นน้องชาย

      เด็กหนุ่มที่เปี่ยมด้วยท่าทีก้าวร้าวอย่างเมษาถึงกับหน้าซีดให้คำพูดนั่น พลังของสิงห์มีอำนาจข่มขวัญได้แม้ไม่ต้องใช้ความรุนแรงแค่ถูกจ้องด้วยสายตาน่าหวาดหวั่นไม่ว่าใครก็ต้องมีผงะกันบ้างแม้แต่เขาที่ถูกจ้องด้วยสายตาแบบนั้นมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็เช่นกัน

       “เอาเรื่องยุ่งยากมาให้อีกแล้วเรอะ แค่เจ้ากวินทร์นี่ก็วุ่นวายจะแย่แล้ว”

       “เอ๋?”

       กวินทร์ส่งเสียงออกมาอย่างนั้นดูจากสีหน้าแล้วคงกำลังสับสนกับสถานการณ์อยู่

       แล้วตอนนั้นเอง เมษาก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่อิงศร

       “ว่าไงนะแกนั่นมันคำพูดของทางนี้ต่างหาก!”

     แต่ศรเมินคำพูดนั่น แล้วสิงห์ก็เริ่มพูดต่อจากที่ค้างเอาไว้

        “ถือเป็นรางวัลที่ช่วยนักเรียนคนอื่นๆ มาได้แถมยังจัดการมนุษย์ต่างดาวแล้วเอาข้อมูลเรื่องการปลอมตัวของพวกมันมาให้อีกด้วยไงล่ะ”

       “รางวัลแบบนี้ไม่อยากได้เลยซักนิดแล้วที่ว่าพวกมันปลอมตัวน่ะไอเจ้าเอเลี่ยนนั่นมันยังไงกันทำไมถึงกลายเป็น NPC ได้ปกติมันไม่มีเรื่องแบบนี้นี่”

       นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่อยากจะตรวจสอบให้แน่ใจด้วยถึงจะเห็นมาเองกับตาแล้วก็ตาม

       “เรื่องนั้นเราก็กำลังตรวจสอบอยู่ตอนนี้ทำได้แค่เพิ่มข้อมูลสำหรับตรวจจับว่ามีพวกมันแฝงตัวมาบ้างรึเปล่าเราทำได้แค่นั้น”

       สิงห์ตอบคำถามให้แต่เหมือนจะเป็นคำตอบแค่ครึ่งเดียว...

       “เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่างมันเหอะแต่ว่าเหตุการณ์คลาสนรกนั่นยังไงก็เชื่อไม่ลงว่านายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

       “บอกไปแล้วนะว่าในนั้นมีพวกน้องๆ ของชั้นอยู่ด้วยน่ะ”

       “เฮอะคนอย่างนายเป็นห่วงคนอื่นนอกจากตัวเองเป็นด้วยเหรอ การที่ชั้นซึ่งเป็นคนของนายช่วยชีวิตนักเรียนเอาไว้แถมยังฆ่าเอเลี่ยนได้อีกแล้วตอนนี้ก็ดังเป็นวีระบุรุษเลยคงได้หน้าเยอะเลยสิท่า”

       อิงศรพูดจาเหน็บแนมหวังยั่วยุสิงห์ให้คายข้อมูลออกมาบ้างแต่ความพยายามดูจะไร้ผล

       เพราะสิงห์เหมือนจะไม่ใส่ใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย แล้วตอนนั้นครูฝึกข้าวหลามที่ยืนอยู่ทางด้านหลังก็ส่งเสียงมา

       “ใช่ๆ เข้าใจถูกต้องแล้วไอน้องตอนนี้นายน่ะสาวเค้ากรี้ดกันให้พรึ่บกะว่าจะดันให้เป็นดาราแล้วก็ใช้ชื่อเสียงหาคนเข้ากองทัพเพิ่มอะไรแบบนั้นอ่ะเนอะ”

       พูดอย่างนั้นแล้วชายตามองไปทางสิงห์

       “ก็ประมาณนั้น...”

       สิงห์ตอบห้วนๆ

       คำพูดกระเซ้าเหย้าแหย่ของครูฝึกข้าวหลามนั้นอิงศรไม่ได้สนใจจะฟังมันอยู่แล้วยังไงก็เป็นเรื่องไร้สาระ

       “แล้วตกลงว่าสถานการณ์นั่นนายมีเอี่ยวรึเปล่าถ้าไม่ตอบเรื่องนี้มาให้ชัดๆ ชั้นจะไม่ยอมทำตามคำสั่งนายอีก”

       ราวกับว่าเมื่อครู่เขาได้พูดสิ่งที่แปลกประหลาดออกไปเพราะสิงห์ดวงตาเบิกขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะตกใจนั่นเป็นครั้งแรกที่เห็นใบหน้าของเขาขยับนอกจากเวลาพูด

       แล้วมีนาก็พูดแทรกขึ้นมา

       “อ้าวๆ ไหนว่าเขาเป็นพวกเบื่อโลกไม่สนใจคนรอบข้างไงคะ นี่น่ะดูยังไงมันก็เจ้าหนุ่มใจดีที่เห็นชีวิตคนรอบข้างสำคัญกว่าตัวเองชัดๆ เลยนี่นาถึงขั้นตั้งเงื่อนไขกับพี่ได้เนี่ยไม่เบาเลยนะคะ”

       เด็กสาวพูดพลางส่งสายตาสอดแนมมา

       “จะว่าไปมันก็จริงแฮะปกติแล้วก็ต้อง...เข้าใจแล้วๆ จะพยายามไม่ให้ผิดหวังก็แล้วกันเพราะงั้นอย่าฆ่าผมน้า~ ต้องเป็นแบบนี้ไม่ใช่เรอะ”

      ก็น่าจะเป็นอย่างที่ครูฝึกข้าวหลามพูดวันนี้ตัวเขาแปลกไปจริงๆ นั่นแหละ

       ตั้งแต่ที่คิดจะปลอบกวินทร์แล้วพอมาคราวนี้ก็ตั้งเงื่อนไขที่เหมือนกับจะบอกกันกลายๆ ว่าเขาจะไม่ทำตามคำสั่งของคนที่เอาชีวิตคนอื่นมาเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างเด็ดขาด

       เป็นคำพูดที่ไม่สมกับเป็นตัวเขาเลยซักนิดเด็กหนุ่มคิดอย่างนั้น

       แล้วตอนนั้นเองสิงห์ก็หัวเราะขึ้นจมูกแล้วพูดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

       “หึ ก็ดีแล้วนี่ถือว่าเติบโตขึ้นมาจากเมื่อก่อนนิดหน่อย ไม่รู้ไปเจออะไรมาหรอกนะแต่ถ้าเป็นนายในตอนนี้ชั้นก็วางใจเรื่องให้เป็นหัวหน้าของเจ้าพวกนี้”

 

       “ค่าๆ มีคำถามค่า”

       มีนายกมือขึ้นโบกไปมาแล้วเริ่มถามเอาเองโดยที่ไม่รอให้ใครตอบ

       “ได้ยินมาว่าอิงศรใช้เลือดของตัวเองสาดใส่มนุษย์ต่างดาวเพื่อล่อให้สัตว์เทวะหันไปโจมตีพวกนั้นแทนทำไมถึงต้องเสี่ยงขนาดนั้นด้วยในเมื่อเอาเลือดจากศพของคนตายแถวนั้นมาใช้ก็ได้นี่นา”

       อิงศรพิจารณาคำถามนั้นแล้วเลือกคำตอบออกมาได้ในทันที

       “ไม่ทันคิดน่ะมันก็มีวิธีอย่างนั้นอยู่จริงๆ ด้วยล่ะนะรู้งี้ไม่น่ายอมเจ็บตัวเลยแฮะ”

       เหมือนจะได้ผลคนแรกที่มีปฏิกิริยากับคำตอบนี้คือเมษา

       เด็กหนุ่มผมแดงชี้นิ้วมาที่เขาแล้วพูดเสียงดัง

       “เห็นไหมหมอนี่โง่ออกจะตายขืนให้ผมกับมีนาไปเป็นลูกน้องคนแบบนี้ล่ะก็…”

       “แหมๆ ทำเป็นพูดแบบนั้นเพราะว่าอายสินะคะ ความจริงแล้วเป็นคนดีที่ไม่กล้าขนาดจะเอาศพของพวกพ้องมาหาประโยชน์เลยสินะคะ”

       คำพูดของมีนาแทรกขึ้นมาอย่างนั้นแล้วเมษาหยุดกึกไป

       “เอ๋ อย่างงั้นหรอกเหรอครับพี่ศร!”

       กวินทร์พูดอย่างยินดีราวกับถูกชมซะเอง

       อิงศรจึงรีบบอกปัดในทันที

       “เปล่าๆ แค่ไม่ทันคิดจริงๆ นะเอ้อ”

       พลางส่ายมือไปมา

       “เห็นไหมหมอนี่โง่จริงๆ ด้วย”

       เมษาย้ำอีกครั้งทันทีเมื่อเห็นว่าตัวเองพูดถูกแล้ว

       ...ช่างมองออกได้ง่ายเสียเหลือเกินสำหรับอิงศรแล้วที่เหมือนจะรับมือด้วยยากคงจะเป็น มีนา ที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่มากกว่า

       “จะว่าไปพี่มีนากับพี่เมษาใครเป็นแฝดคนพี่เหรอครับ?”

       อยู่ๆ กวินทร์ก็ถามขึ้นมา

       “ลองเดาดูไหมล่ะ”

       มีนาเสนอมาอย่างนั้นขณะที่เมษาทำเชิดหน้าเหมือนไม่สนใจแต่แอบเหล่ตามาทางนี้นิดหน่อย

       “เอ่อ งั้นก็พี่เมษาเป็นพี่ พี่มีนาเป็นน้องใช่รึเปล่า…”

       “บู่ๆ ผิดค่ะ”

       มีนาไขว้แขนกันเป็นรูปเครื่องหมายกากบาทพลางทำปากยื่น

       “อ้าวพี่มีนาเป็นพี่หรอกเหรอครับแหมเดายากจังเลยก็พี่เตี้ยออกขนาดนั้น”

       ทันทีที่กวินทร์ตอบไปอย่างไร้เดียงสา

       เมษาและครูฝึกข้าวหลามก็พากันกลั้นหัวเราะแบบปุบปับ รวมถึงนรินทร์ที่ยืนเงียบๆ อยู่ที่ประตูห้องก็พลอยอมยิ้มไปด้วย

       “คุณน้องคะความสูงมิใช่ตัวบอกอายุเสมอไปนะ”

       มีนาพยายามยิ้มสู้เหมือนเจ้าหล่อนกำลังข่มความโกรธอยู่ประมาณว่าไม่ควรถือสาหาความกับคนที่เด็กกว่าอะไรแบบนั้น

 

     อิงศรเมินบทสนทนางี่เง่าพวกนั้นแล้วถามสิงห์อีกครั้ง

       “ตกลงนายยังไม่ได้ตอบเลยเรื่องที่ว่าน่ะสรุปนายเป็นคนบงการ….”

       “ชั้นพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องส่วนเรื่องที่พวกมนุษย์ต่างดาวบุกมาโจมตีคลาสฝึกสอนชั้นเองก็ไม่ได้รู้อยู่ก่อนแล้วก็ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ด้วยจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของนาย”

       สิงห์ตอบด้วยวาจาฉะฉานเหมือนเช่นทุกครั้งก่อนจะหยิบของบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋าเครื่องแบบแล้วเดินมาส่งให้กับมือ

       อิงศรรับของสิ่งนั้นมาดูมันเป็นฮาร์โมนิก้าสีขาว

       “อะไรล่ะเนี่ย”

       “เห็นจ้องมันอยู่ที่ร้านค้าของกองทัพหลายทีแล้ว ถือซะว่าเป็นรางวัลต้อนรับเข้ากิลด์ก็แล้วกัน”

       “หา! ไม่ได้บอกว่าอยากได้เลยนะเฟ้ย!”

       “อ้าวงั้นเหรอ...งั้นชั้นคงเข้าใจผิดไปเองจะทิ้งไปก็ได้นะ”

       สิงห์พูดจากนั้นก็เรียกหน้าจอระบบขึ้นมาที่ด้านบนสุดของหน้าจอมีคำว่า ‘Guild’ เขียนเอาไว้

       หลังจากใส่ค่าบางอย่างลงไป ก็มีเสียงดังปิ๊บแล้วหน้าจอของอิงศรก็เปิดขึ้นมาแบบอัตโนมัติ

       มีรายละเอียดเขียนอยู่บนจอและปุ่มคำสั่งสองปุ่มด้วยกัน

 

       ยินดีด้วยคุณได้รับคำเชิญให้เข้า Guild

       [ตกลง] [ปฏิเสธ]

 

       “เอ้ากดรับคำเชิญซะสิ”

       อิงศรกดไปที่ปุ่ม [ตกลง] ตามที่สั่งจากนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนไปมีข้อความขึ้นมาว่า

 

       ขอแสดงความยินดีด้วยคุณได้เข้าร่วมกิลด์ Zavior

 

       อิงศรปิดหน้าจอนั้นเพราะถือว่าทำเรื่องเข้ากิลด์เรียบร้อยแล้ว

       ตอนนั้นเองนรินทร์ก็เดินออกมาจากประตูห้องพร้อมกับหอบชุดเครื่องแบบสีเขียวหญ้าเหมือนกับที่ครูฝึกข้าวหลามใส่มาด้วยกันสี่ชุดแล้วแจกให้มีนากับเมษา กวินทร์และเขาคนละตัว

       จากนั้นจึงเริ่มพูดชี้แจ้ง

       “เป็นเครื่องแบบประจำกิลด์ครับถ้าใส่แล้วมันจะปรับขนาดตัวให้พอดีเองโดยอัตโนมัติเครื่องแบบนี้สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีล่าสุดขององค์กรเมตไตรยมีคุณสมบัติเพิ่มค่าความต้านทานธาตุต่างๆ ต้านทานพิษ ต้านทานสับสน ต้านทานอัมพาต และสภาวะผิดปกติพื้นฐานอื่นๆ อีกเล็กน้อย”

       อิงศรมองดูเครื่องแบบใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์เนื้อผ้าของมันดูเบาสบายกว่าชุดของนักเรียนฝึกทหารเสียอีกถึงจะเป็นแบบแขนยาวแต่น่าจะระบายอากาศได้ดีกว่ามาก

       กวินทร์เป็นคนที่ดูจะดีใจกับเครื่องแบบใหม่มากที่สุดเทียบกับฝาแฝดผมแดงแล้วคู่นั้นแทบไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยเท่าที่ได้ยินจากบทสนทนาก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเคยเป็นสมาชิกกิลด์มาก่อนแล้วน่าจะคุ้นเคยกับเครื่องแบบมาก่อนแต่ทำไมถึงกลับมาเป็นนักเรียน....

       “งั้นวันนี้ก็หมดเท่านี้แยกย้ายได้”

       สิงห์ประกาศแต่อิงศรก็พูดขัดคำพูดนั้นทันที

       “เดี๋ยวก่อนเซ่ลืมอะไรไปรึเปล่า”

       เขาพูดอย่างนั้นแล้วเปิดหน้าจอ ‘Inventory’ หยิบเอาเศษกระดาษออกมาจากนั้นก็ปาใส่แต่สิงห์รับไว้ได้

       “นั่นเป็นรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดของระเบิดกับอุปกรณ์ที่ใช้สู้กับพวกเอเลี่ยนเมื่อวาน”

       “แค่นั้นก็เบิกเอาสิ”

       สิงห์ตอบห้วนๆ

       “เบิกกะผีอ่ะเดะแค่สตั๊นแทรปอย่างเดียวก็ปาไปสองแสนแล้วนักเรียนเบิกได้ไม่เกินห้าหมื่นเฟ้ยเดือนนี้จะติดตัวแดงอยู่แล้ว”

       “งั้นนรินทร์เอาไปทำเรื่องเบิกกับกองสวัสดิการทีสั่งเบิกในนามกิลด์ของเรา”

       แล้วนรินทร์ก็รับกระดาษที่ว่าไปจากมือของสิงห์โดยไม่มีคำคัดค้าน

       “เออใช่ แล้วเจ้านรินทร์ล่ะอย่าบอกนะว่าจะให้มาอยู่หน่วยชั้นด้วย”

       แต่สิงห์กลับหัวเราะ...หัวเราะด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งนั่น

       “อย่าโลภไปหน่อยเลยนรินทร์น่ะอยู่หน่วยของชั้นอีกอย่างไม่มีใครเขาเอาคนเลเวลสุงกว่าไปเป็นลูกน้องคนที่เลเวลต่ำกว่าหรอกนะถึงมันจะไม่ใช่เครื่องมือยืนยันฝีมือก็เถอะ”

       เพราะสิงห์พูดออกมาเขาถึงได้เริ่มสนใจที่จะมองระดับเลเวลของลูกน้องใหม่สองคน

       ถึงจะยังไม่รู้ว่าพวกนั้นยอมรับเรื่องนี้แล้วหรือไม่ก็ตามแต่จำเอาไว้ซักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

 

มีนา Lv. 40

[/////3100:3100/////]

เมษา Lv. 41

[/////4500:4500/////]

 

       “ขอถามซักเรื่องสิ”

       “ถามหยุมหยิมเหลือเกินนะวันนี้...ว่ามา!”

       “ทำไมนายถึงยัดเยียดเจ้าพวกนี้มาให้ชั้นดูแลล่ะสามปีก่อนนายก็รู้นี่นาว่าชั้นรอดชีวิตมายังไง”

       “….”

       ไม่มีคำตอบจากสิงห์ทั้งห้องจึงเงียบลง

       แล้วจู่ๆ สิงห์ก็พูดว่า

       “เลิกยึกติดกับอดีตได้แล้วในโลกที่ล่มสลายแบบนี้พวกเราได้แต่เดินไปข้างหน้าอย่างเดียวถ้าถอยหลังเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น ชั้นจะสั่งแค่ครั้งเดียวจงปกป้องทีมนี้ไม่สิ....จงปกป้องครอบครัวใหม่ของนายซะ”

       หลังจากคำพูดนั้นคนอื่นทุกคนในห้องยกเว้นอิงศรต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงไปตามๆ กัน

     ก็ใครจะคาดคิดไม่สิ...ไม่มีใครคิดว่ามันจะมีวันแบบนี้ด้วยซ้ำที่จะได้เห็นพลเอกที่ได้ฉายาว่าราชสีห์หน้าตายพูดอะไรหวานเลี่ยนแบบนั้นเป็นกับเขาด้วย อิงศรตีความว่าทุกคนคงจะคิดแบบนั้น

       “เฮอะเล่นเรียกว่าครอบครัวเลยเหรอกลัวว่าถ้าสัมพันธ์กันแค่เพื่อนร่วมงานแล้วฉันจะทำแบบขอไปทีรึไง”

       “ก็ประมาณนั้นว่าแล้วเชียวกับคนเก่งนี่มันคุยง่ายจริงๆ ถ้าเข้าใจแล้วก็ดี“

       สิงห์ตอบแล้วจึงเดินออกจากห้อง

       เสียงประตูเปิดดังขึ้นพร้อมกันกับเสียงของเมษาที่พูดไล่หลังไปว่า

       “เดี๋ยวก่อนสิพี่สิงห์เรื่องเป็นลูกน้องหมอนี่น่ะยังไงผมก็ไม่ยอมหรอกนะ”

       แต่สิงห์ไม่ได้สนใจฟังและก้าวท้าวเดินออกไปทันที

       “โธ่วึ้ย! ไปกันเหอะมีนา”

       แล้วฝาแฝดก็ตามกันออกไปโดยมีครูฝึกข้าวหลามและนรินทร์เดินออกไปเป็นคนสุดท้ายก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง

เมื่อห้องเงียบลงแล้วกวินทร์ก็พูดขึ้น

       ”มาเอะอะแล้วก็ไปกันหมดเลยนะครับเนี่ย”

       “งั้นนายเองก็ออกไปด้วยสิ”

       “หา?! ทำไมล่ะ”

       “เพราะว่าน่ารำคาญไง”

       “ง่า~ ไหงงั้นล่ะครับ อ๊ะจริงด้วยพี่ศรพึ่งฟื้นแถมพูดไปตั้งเยอะขนาดนั้นงั้นเดี๋ยวผมไปซื้อเครื่องดื่มมาให้เอาอะไรดีครับ”

       อิงศรประเมินแล้วว่าถึงปฏิเสธไปก็ป่วยการเปล่าๆ ดังนั้นเพื่อให้ห้องเงียบสงบเสียทีจึงยอมรับน้ำใจนั้นโดยไม่ปฏิเสธ

       “โคล่า”

       “ได้เลยครับ”

       แล้วรุ่นน้องก็เดินออกจากห้องไป

       ความเงียบสงบกลับคืนมาอีกครั้งเหลือแต่เสียงเดินของเข็มนาฬิกาเท่านั้น

       อิงศรปล่อยให้ความคิดหมุนแล่นสิ่งที่เขาคิดคือ

       ทำไมตัวเองในวันนี้ถึงเปลี่ยนไป

       ทำไมถึงสนใจความรู้สึกของกวินทร์

       ทำไมถึงรู้สึกเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของมีนา

       เขาพึมพำเหมือนกับเย้ยหยันตัวเอง

       “เป็นคนดี...คนดีสิเนอะ”

       แล้วก็เผลอผ่อนแรงจับที่มือโดยไม่รู้ตัว เกิดเสียงดังปึกเหมือนมีอะไรหล่นลงไปกระแทกพื้น

       อิงศรชะโงกหน้าออกจากเตียงไปดูและพบว่ามันคือฮาร์โมนิก้าที่ได้มาจากสิงห์เด็กหนุ่มเก็บมันขึ้นมา

       แล้วนึกถึงคำพูดของสิงห์ที่บอกว่าเห็นเขาจ้องมันอยู่ที่ร้านค้าหลายครั้ง

       นี่ก็เป็นอีกเรื่องเหลือเชื่อที่คนอย่างสิงห์จะใส่ใจสังเกตว่าเขาสนใจอะไรด้วยแต่พอคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วบางทีอาจเป็นการสำรวจการเติบโตทางความคิดของเครื่องมือที่มีชีวิตก็เป็นได้....ไม่สิมันน่าจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วต่างหาก

       เด็กหนุ่มมองฮาร์โมนิก้าที่เก็บขึ้นมาแล้วนึกถึง มิ่งขวัญ น้องชายที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

       พวกเขาไม่ใช่พี่น้องที่สนิทอะไรกันขนาดนั้นตัวเขาออกจะเกลียดมิ่งขวัญด้วยซ้ำไปแต่ก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกันถ้าใครคนใดคนหนึ่งต้องตายไปมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเศร้าแต่กับเขามันขมขื่นยิ่งกว่านั้น

       การที่มีชีวิตรอดด้วยชีวิตของคนในครอบครัวเรื่องนี้เท่านั้นที่ยังไงก็รับไม่ได้

       บางทีการที่เขาฝันถึงมิ่งขวัญละครอบครัวหลังโลกล่มสลายนั้นก็อาจจะเป็นเพราะยังลังเลว่าจะก้าวต่อไปได้รึเปล่า

       ในความฝันนั้นมิ่งขวัญมาแสดงความยินดี...

       นั่นแปลว่าตอนนี้ตัวเขาก้าวเดินต่อไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ...

       ที่วันนี้ตัวเขาเปลี่ยนไปก็เป็นเพราะเรื่องนั้น....

       ทุกอย่างล้วนคลุมเครือแต่ว่า....

       “จะลองพยายามดูดีไหมนะ?”

       อิงศรพึมพำกับตัวเองระหว่างนั้นก็นึกถึงภาพของกวินทร์ตอนที่ต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวเมื่อตอนนั้นขึ้นมาในหัวด้วย

       แล้วตัดสินใจอย่างแน่วแน่…

       “ชั้นไม่ควรมาหยุดอยู่ตรงนี้สินะขวัญ...”

       ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้น

       ...ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ...

       หน้าจอระบบเปิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติบนหัวของจอเขียนเอาไว้ว่า ‘Mail’

       “หืม ข้อความ...จากใครล่ะเนี่ย?”

       บนหน้าจอนั้นมีตารางรายการแสดงคอลัมน์อยู่สองช่องด้วยกัน

       ช่องแรกเป็นชื่อหัวข้อและช่องที่สองเป็นเวลาที่ได้รับเมล์

       ในตารางรายการนั้นมีรายการใหม่พึ่งเข้ามาถึงเมื่อครู่ อิงศรเคาะนิ้วที่รายการนั้นเพื่อ

       เปิดเมล์ขึ้นมาอ่าน

======================

Subject: @Clipius Death Timing Delivery

From: GM

Detail:

ตัวจับเวลาตายของเพื่อนคุณมาถึงแล้ว!

เวลาชีวิตที่เหลือของ พิพัฒน์ วัฒนากุล คือ

[37:20:19]

======================

 

       ดวงตาของอิงศรเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยหลังจากอ่านข้อความที่อยู่ในเมล์

       ชื่อของผู้ส่งเขียนไว้ว่า ‘GM’ โดยปกติคำๆ นี้น่าจะหมายถึง ‘Game Master’ ซึ่งเป็นผู้ดูแลในเกมออนไลน์

       ถึงจะบอกโลกนี้กลายเป็นเกมไปแล้วก็ตามแต่ว่ามันมี GM ด้วยงั้นหรือ ?

       ความสงสัยยังไม่หมดลงเพียงเท่านั้นเมื่ออ่านเนื้อความในเมล์แล้วกลับพบเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่า

       ใจความของเมล์ฉบับนี้กล่าวถึง พิพัฒน์ ซึ่งเป็นชื่อของเพื่อนที่เคยอยู่ห้องเดียวกันก่อนจะสอบย้ายมาอยู่ห้องคิงในเมล์มีตัวเลขระบุเป็นเวลาตั้งแต่หน่วยชั่วโมงไปถึงวินาทีและตัวเลขวินาทีก็กำลังลดลงเรื่อยๆ

       ราวกับกำลังนับถอยไปสู่อะไรซักอย่าง ตัวเลขเวลานั้นถูกครอบด้วยกรอบที่ดูเหมือนเป็นปุ่มสำหรับกด

       ด้วยความสงสัยอิงศรจึงทดลองเคาะมันหนึ่งครั้ง

       มีหน้าจอใหม่เกิดขึ้นทับหน้าจอเดิม และบนนั้นมีรูปแสดงอยู่อิงศรมองดูรูปนั้นแล้วก็ร้องออกมา

       “เหวอ!”

       ภาพที่เขาเห็นคือเพื่อนคนที่ถูกกล่าวถึงในเมลล์ตกอยู่ในสภาพที่ใบหน้าถูกไฟเผาไหม้ดำไปเสียครึ่งหน้า

       “นี่มันอะไรกัน...”

 

       ณ สถานที่แห่งหนึ่งเป็นห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทันสมัยและแปลกตา

       มีหลอดทดลองมากมายวางอยู่เต็มโต๊ะรวมไปถึงโหลขนาดใหญ่ที่ใส่ร่างของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับมนุษย์แช่อยู่ในสารละลายสีเขียวใสมีสายระโยงรยางค์ต่อเข้าไปในโหลเชื่อมร่างของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นกับเครื่องจักรที่ไม่รู้ว่ามีไว้ใช้ทำอะไร

       ที่ด้านในสุดของห้องมีมุมที่ตกแต่งไว้ดูแปลกตากว่าที่อื่นเนื่องจากมีพรมแดงปูไว้อย่างดีและเก้าอี้มีพนักขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนขั้นบันไดที่สูงสามขั้น ที่จริงแล้วมันดูเหมือนบัลลังก์เสียมากกว่า

       และบนบัลลังก์นั้นก็มีเจ้าของนั่งอยู่เป็นเด็กสาวผู้งดงามใบหน้าสวยได้รูปมีผมสีทองยาวสลวยผิวพรรณซีดขาวบ่งบอกความเป็นชนเผ่าต่างดาวชื่อบนแถบพลังชีวิตของเธอเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีฟ้า

 

Rubidium Lv. 144

[/////45230:45230/////]

 

       “กลับมาแล้วจ้า~”

       มีเสียงดังข้ามเครื่องมือในห้องมาพร้อมกับเสียงฝีเท้า

       เจ้าของบังลังก์ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบเจ้าของเสียงที่พึ่งมาถึง

       “มีเรื่องอะไรโพแทสเซียมแล้วพาริเทียมมาด้วยทำไม”

       สายตาเธอจับจ้องผู้มาเยือนด้วยความเย็นชาผ่านทางแว่นกันแดดสีดำ

       “แหมก็แค่เอารายงานของเจ้าโนเบลเลียมที่ตายไปแล้วมาส่งแค่นั้นแล”

       มนุษย์ต่างดาวผมสีเงินตอบด้วยท่าทีสนุกสนาน

       เจ้าของบังลังก์ช้อนสายตามองไปยังผู้ที่มาด้วยกันคือมนุษย์ต่างดาวผมสีแดง

       ทั้งสองคือกลุ่มที่เคยต่อสู้กับอิงศรและมิ่งขวัญเมื่อสามปีก่อน

       ไปจับตัวอิงศรและมิ่งขวัญมา....นั่นเป็นคำสั่งที่เมื่อสามปีก่อนเธอได้บอกแก่มนุษย์ต่างดาวชั้นราชครูทั้งสอง

       เธอคือราชครูลำดับที่สามรูบิเดียม

 

       “ฉันไม่สนเจ้างั่งที่เอางานประดิษฐ์ของฉันไปใช้แล้วยังแพ้ให้พวกชาวโลกหรอกนะ”

       “ก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าฉุนที่ทำเรื่องระบบปลอมตัวแตกไปถึงพวกชาวโลกน่ะแต่ log ชื่อของคนที่ทำการต่อสู้ที่ถูกส่งกลับมาด้วยนี่สิที่มีปัญหาล่ะซุงลูลู่จ๋า”

       มนุษย์ต่างดาวผมเงินกล่าวแล้วโยนส่งปึกเอกสารที่ถือมาด้วยให้รูบิเดียมไป

       เด็กสาวต่างดาวรับปึกเอกสารนั้นมาเปิดดูผ่านๆ

       “อ้อ! อย่าเปิดเลยหน้าที่สิบสองไปล่ะเพราะเซอร์ไพรส์มันอยู่ที่หน้านั้นแหละ”

       เพราะเกรงว่าเธอจะเปิดเลยไปจึงพูดออกมาอย่างนั้น

       รูบิเดียมจึงเปิดไปที่หน้าสิบสองทันทีแล้วไล่สายตาดูรายชื่อทั้งหมดที่เขียนอยู่บนกระดาษจากนั้นก็เหยียดยิ้ม

       เธอหันไปยังด้านข้างที่เบื้องล่างของบังลังก์นั้นมีมนุษย์ต่างดาวอีกตนยืนพิงกำแพงอยู่

       “เอ้านายก็เอาไปดูด้วยสิ”

       พูดออกมาอย่างนั้นแล้วโยนปึกเอกสารที่เปิดค้างหน้าสิบสองไว้ให้

       มนุษย์ต่างดาวหนุ่มรับไปดูแล้วจากนั้น....

       “ศ..ศร”

       เขาพูดออกมาทันทีที่เห็นชื่อของอิงศรจากในใบรายชื่อเหล่านั้น

 

       รูบิเดียมลุกขึ้นจากบังลังก์เธอเดินลงมาตามขั้นบันไดแล้วเริ่มพูดไปด้วย

       “เราพลาดตัวเขาไปเมื่อสามปีก่อนแถมตอนนี้ยังไปอยู่ในมือของฝ่ายโน้นอีกแต่เธอคงดีใจล่ะสิท่า...”

       เมื่อเดินมาถึงจุดที่อยู่ตรงหน้าของมนุษย์ต่างดาวหนุ่มแล้วเธอก็หันไป...

       “เนอะ..มิ่งขวัญ”

       เด็กหนุ่มเรือนผมสีดำมีรูปโฉมที่เรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงาม

       เครื่องแบบแจ็กเก็ตสีดำติดขนมินท์สีขาวทาบทับด้วยผ้าคลุมสีขาวสัญลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวชั้นครู

       ชื่อของเขาถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีฟ้าอันบ่งบอกถึงความเป็นเผ่าพันธุ์ต่างดาวในตอนนี้

 

มิ่งขวัญ Lv. 89

[/////15650:15650/////]

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา