เกมวิวาห์เจ้าสาวมาเฟีย
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.33 น.
แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559 11.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) เกมวิวาห์เจ้าสาวมาเฟีย ตอนที่ 7 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนีลวางแผงแล้วนะคะ หาซื้อได้ตามร้านนายอินทร์ ร้านซีเอ็ด ร้านบีทูเอส สั่งซื้อที่หน้าเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์โรแมนติคมีส่วนลด 20% แถมได้หนังสือไวมากๆ
หรือข้อความมาสั่งซื้อกับศิริพาราได้ตลอดเวลาค่า วันนี้มีรีวิวจากนักอ่านที่รักมาแปะให้ประกอบการตัดสินใจด้วยค่า
*************
- คุณอัจฉรา 27 ตุลาคม 2559 เวลา 19.35 น.
อ่านจบแล้วค่าาา สนุกมากๆจนวางมะลงเลยค่ะชอบพระเอกนีลของเราจังมีทั้งความอ่อย โหด หื่น ครบเครี่อง
นางเอกพราวก็ไช่จะยอมง่ายๆนะค่ะชอบตอนที่นางเอกประกาศว่า ฉันเป็นผู้หญิงของเขา
ลองคิดดูก็แล้วกันถ้าแกทำร้ายผู้หญิงของดอนเวนโตล่า แกจะได้รู้ซึ้งกับคำว่าตายทั้งเป็นแน่
น่ารักดีค่ะ พูดต่อหน้าพระเอกโดยที่มะรุ้ว่าพระเอกคือคนที่อ้างถึง
ชอบตอนที่ส่งไลน์คุยกันด้วยค่ะ น่ารัก ฟรุ้งฟริ้งดี อิอิ
-----------------------------------
ราวชั่วโมงต่อมาพราวพุธและโคโน่ก็เดินทางมาถึงอพาร์ตเมนต์ โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดจึงไม่ต้องคิดเรื่องขาดงาน อีกทั้งกาบี้ยังทำงานกะเช้าในทุกๆ วันหยุดอีกด้วย นั่นจึงเป็นเรื่องดีเพราะถ้าหากว่ากาบี้ได้เห็นดวงตาแดงก่ำอย่างคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักของพราวพุธคงต้องซักไซ้ไล่เลียงอยู่เป็นนาน
โคโน่เข้าใจดีว่าไม่มีคำพูดใดที่จะปลอบใจแล้วทำให้ความเสียใจจางหายไปอย่างรวดเร็ว จึงได้แต่กล่าวคำขอโทษแทนผู้เป็นน้า และตำหนิตัวเองที่ไม่ได้อยู่ช่วยเหลือยามเมื่อเพื่อนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น
พราวพุธถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง “เธอขอโทษฉันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว พอเถอะโคโน่... ฉันรู้ว่าไม่มีใครอยากให้เรื่องร้ายๆ แบบนี้เกิดขึ้นหรอก อีกอย่างฉันก็ไม่รู้ว่าจะโทษใครนอกเสียจากโทษตัวเอง”
“ฉันเข้าใจนะที่เธอบอกว่าอยากลาออกจากคลับ เป็นฉันก็คงไม่อยากกลับไปเห็นที่นั่นอีกเหมือนกัน” โคโน่บอกและอาสาจะเป็นธุระบอกเรื่องนี้ให้กับมิกิได้รู้ “แล้วคิดจะไปสมัครงานที่ไหนอีกรึเปล่า”
แม้รู้อยู่แก่ใจว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดคุยเรื่องงาน ไม่ได้ตั้งใจจะเร่งรัดแต่เพียงแค่อยากชวนคุย ชักจูงเพื่อนให้ออกมาจากโลกของความเศร้าสร้อยเท่านั้นเอง
“ไม่รู้สิ ฉันยังคิดอะไรไม่ออก”
“หิวไหม” โคโน่ถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น กวาดสายตาหาวัตถุดิบในการทำอาหาร “วันนี้ฉันอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ทั้งวันนะ อยากกินอะไรบอกมาได้เลย”
พราวพุธยิ้มเศร้าๆ เข้าใจว่าเพื่อนกำลังปลอบโยน หากิจกรรมต่างๆ ให้ทำเพื่อจะดึงความคิดออกมาจากเรื่องที่ตนไม่สบายใจจึงตอบรับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “อะไรก็ได้ เอาที่ทำง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยาก”
ทว่าโคโน่กลับต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในขณะที่ปิดตู้เย็น “คงต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วล่ะ ของในตู้เย็นแทบไม่มีอะไรเหลือเลย ไปด้วยกันนะพราว”
“ฉันอยู่ได้ ไม่คิดสั้นแน่ สาบานเลย”
ถึงจะเป็นยิ้มที่ไร้ซึ่งความสดใสร่าเริงแต่ระยะเวลาที่คบกันมาก็มั่นใจว่าพราวพุธจะไม่คิดสั้นด้วยเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด บางครั้งการปล่อยให้ได้อยู่คนเดียวอาจจะทำให้ไม่อึดอัดใจก็เป็นได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงออกจากอพาร์ตเมนต์ไปยังซูเปอร์มาร์เก็ต
เมื่อได้อยู่เพียงลำพังความคิดจึงไปจดจ่ออยู่กับสร้อยข้อมือซึ่งมีลูกกุญแจความยาวสักหนึ่งนิ้วครึ่งห้อยเอาไว้ เธอรู้ตัวว่ามันสวมอยู่บนข้อมือในตอนที่แต่งตัวกำลังจะออกมาจากคอนโดมิเนียม โคโน่เองก็ยืนยันว่าไม่รู้ที่ไปที่มาของสร้อยข้อมือนี้ เธอจึงมั่นใจว่ามันเป็นของผู้ชายคนนั้นแน่ๆ
เธอและโคโน่พยายามถอดมันออกมาตลอดระยะเวลาที่นั่งอยู่ในซับเวย์แต่ดูเหมือนว่าสร้อยเส้นนี้จะมีวิธีสวมหรือถอดแบบเฉพาะตัว สังเกตได้จากดีไซน์ของกุญแจซึ่งเป็นทองคำขาวมีพลอยสีดำเม็ดเล็กๆ ฝังอยู่ทั่วทั้งลูกกุญแจติดอยู่กับสี่เหลี่ยมลักษณะแบนคาดตามแนวขวางของสร้อยซึ่งน่าจะเป็นตัวเลื่อนความสั้นยาวตามข้อมือ ส่วนตัวสร้อยนั้นก็เป็นลายโซ่ปกติที่ทำจากทองคำขาว
กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเบี่ยงเบนความสนใจจากสร้อยข้อมือแล้วลุกขึ้นจากข้างเตียงเพื่อเดินไปควานหาอุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋าสะพาย
“สวัสดีค่ะ” เบอร์โทรที่ไม่คุ้นตาทำให้ต้องเอ่ยรับสายอย่างเป็นทางการกว่าปกติ ทว่าคนที่อยู่ปลายสายกลับยิ้มกว้างเมื่อจดจำน้ำเสียงของเธอได้เป็นอย่างดี
“สบายดีรึเปล่าฟอร์จูน่า...”
“เอ่อ...”
น้ำเสียงตะกุกตะกักของเธอทำให้ผู้สูงวัยต้องรีบเอ่ยทบทวนความทรงจำ “หวังว่าคงไม่ได้ลืมตาแก่ที่เธอเคยบอกว่าชอบคุยด้วยเร็วขนาดนี้หรอกนะ”
ไม่ใช่การลืมง่ายแต่เธอกำลังอยู่ในภาวะที่จิตใจไม่เป็นปกตินักต่างหาก เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วพราวพุธจึงครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะได้คุยกับผู้สูงวัยอีกครั้งหนึ่ง “โอ... ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะคะ ดอนดิโน่”
“ถ้าเรียกดิโน่จะทำให้ฉันอายุยืนขึ้นอีกหลายปี ที่สำคัญรื่นหูกว่าเยอะ”
พราวพุธหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เรียกคุณก็แล้วกันนะคะ อย่างน้อยฉันก็สบายใจกว่าจะเรียกแค่ชื่อ”
แม้จะได้ยินเสียงหัวเราะแต่ดิโน่กลับสัมผัสได้ว่ากระแสเสียงนั้นแตกต่างจากที่เคยได้ยินนัก ขนาดว่าในครั้งแรกที่เจอกันนั้นเธอจะมีความตื่นตระหนก หวาดกลัวจนสัมผัสได้ชัด เสียงหัวเราะยังดูร่าเริงกว่านี้
“เป็นอะไรรึเปล่าฟอร์จูน่า ทำไมเสียงเธอถึงได้เศร้าจนน่าใจหายแบบนี้” ดิโน่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งทำให้คนฟังนั้นไพล่คิดถึงพ่อบังเกิดเกล้าซึ่งตอนนี้เป็นคนที่เธออยากร้องไห้อยู่แนบอก อยากได้อ้อมกอดปลอบประโลมใจ ที่สำคัญอยากสารภาพความหัวรั้น ไม่เชื่อในคำเตือนจนต้องมานั่งเสียใจอยู่เช่นนี้
“เปล่านี่คะ ฉันก็สบายดี แค่...รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับคำว่าฟอร์จูน่าเท่านั้นเอง คุณเรียกฉันว่าพราวเหมือนคนอื่นๆ ดีกว่านะคะ”
“พราวเหรอ”
“ค่ะ พราวพุธ”
เป็นนิสัยของคนเกือบค่อนโลกกระมังที่มักบอกว่าไม่มีอะไรในตอนที่จิตใจกำลังย่ำแย่ ดิโน่คิดเพราะหนึ่งในนั้นก็คือตนเอง “เอาล่ะ ถ้าเธอสบายดีก็ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม ฉันอยากเลี้ยงขอบคุณเธอสักครั้ง”
“เรื่องเล็กน้อยค่ะ อย่าถือเป็นบุญคุณอะไรเลย ฉันยินดีและดีใจที่ได้พูดคุยกับคุณจริงๆ นะคะ” พราวพุธตอบเพราะตอนนี้เธอยังไม่พร้อมที่จะพบเจอใครทั้งนั้น
“ถ้าเธออยากเลี้ยงขอบคุณใครสักคน แต่คนคนนั้นกลับบอกว่าไม่เป็นไร เธอจะเข้าใจว่าเขาคนนั้นรังเกียจเธอรึเปล่า”
เข้าใจตั้งคำถามและเธอก็ไร้ซึ่งเหตุผลที่จะบ่ายเบี่ยง “โอ... ฉันปฏิเสธคุณไม่ได้ใช่ไหมคะ”
ดิโน่ยิ้มกว้างอย่างสมใจ “ให้เธอเป็นคนเลือกร้าน น่าจะสะดวกกว่า”
“อืม ตรง... จะมีร้านคอฟฟี่ช็อปอยู่ตรงหัวมุมค่ะ” พราวพุธบอกตำแหน่งของร้านกาแฟห่างจากอพาร์ตเมนต์ไปอีกสองบล็อก ซึ่งเป็นร้านที่สะดวกที่สุดสำหรับตน
“ได้... งั้นอีกสองชั่วโมงเจอกัน” เพียงเท่านั้นดิโน่ก็วางสายโทรศัพท์แล้วจัดการต่อสายถึงลูกชายในทันที
พราวพุธเดินมาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ที่รับปากไปเช่นนั้นเพราะรู้สึกว่าการพูดคุยกับดิโน่ทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปได้มากโข อาจจะเป็นเพราะลักษณะการพูดจา ท่วงทำนองในน้ำเสียงคล้ายๆ กับผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นคนที่เธอคิดถึงมากที่สุดในตอนนี้
ความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนอาจจะแตกต่างกันอยู่มาก ถ้าเทียบกันแล้วพราวพุธนั้นถือว่าเติบโตมาอย่างเรียบง่าย ตามแบบฉบับของคนปกติทั่วไป ยิ่งเรื่องความพึงพอใจในเพศตรงกันข้ามแล้วยิ่งเป็นคนละวัฒนธรรมและแบบแผน คนละความเชื่อและความคิด
สำหรับคอนเนลิโอที่รู้สึกผิดอย่างมากมายเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่านางโชว์ในคลับเช่นนี้จะยังมีสาวบริสุทธิ์ให้เชยชม เขาไม่ได้ใส่ใจจนกระทั่งพบความจริงด้วยตัวเอง ความเจ็บปวดที่เธอแสดงออกมาน่าสงสารเกินกว่าที่เขาจะไม่สนใจแล้วตั้งหน้าตั้งตาปลดปล่อยอารมณ์ตามแรงปรารถนาของตน
ยอมรับอย่างไม่อายว่าเธอเป็นสาวบริสุทธิ์คนแรกของเขา ในชีวิตและสังคมของเขานั้น สาวบริสุทธิ์อาจมีอยู่กลาดเกลื่อนแต่นั่นหมายถึงเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีกระมัง ห่อเหี่ยวแบบที่ไม่ต้องหาวิธีมาปลุกเร้าหากคิดว่าจะให้ลากเด็กสาวที่ยังโตไม่เต็มตัวขึ้นเตียงเพียงเพราะอยากสัมผัสกับความสดใหม่ กระชับรัดรึง แต่จะมีส่วนเว้าส่วนโค้งตรงไหนให้ได้กอดรัดฟัดเหวี่ยง แค่คิดก็หมดอารมณ์เข้าขั้นอยากลาโลก
หลังจากที่ขับรถไล่ล่าจนศัตรูพลาดท่าหมดสติไปเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาไม่นานนักเลโอก็ขับรถแวนคันสีดำสนิทตามมาจัดการลากมันขึ้นรถแล้วพาตัวมายังห้องใต้ดินในเวนโตล่าแมนชั่น แรกเริ่มคอนเนลิโอก็คิดว่าจะจัดการให้จบเรื่องแต่ดูท่าว่าสภาพร่างกายของมันคงจะอ่อนแอเต็มที มันถึงได้เพ้อเพราะพิษจากบาดแผลและมีไข้สูงเช่นนี้
‘พวกมันต้องชดใช้ ผมสัญญาครับแม่’
เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงสั่งการให้คนสนิทไปรับคุณหมอมารักษาอาการ แม้คำสั่งนั้นจะไม่ใช่วิสัยของเขาและดูเหมือนเป็นพวกมีมนุษยธรรมสูงส่งจนคู่แฝดคนสนิทมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่เหตุผลหลักคือคำพูดที่หลุดออกมานั้นต่างหาก
เมื่อเกี่ยวกับ ‘แม่’ นั่นก็แปลว่า... มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งต้องมีอายุมากกว่าหกสิบปีได้รับผลกระทบในการกระทำบางอย่างจากคนในตระกูลเวนโตล่า คำพูดนั้นต้องมีต้นสายปลายเหตุซึ่งเขาจะต้องได้ยินจากปากของมันในตอนที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนจึงจะพิจารณาได้ว่าจริงเท็จสักแค่ไหน
ก๊อก... ก๊อก...
“ดอนครับ สายด่วนจากซิซิลีครับ” เสียงของจอร์โจ้ดังขึ้นอยู่อีกด้านหนึ่งของประตู ทำให้เจ้าของห้องเดินมาเปิดประตูห้องในขณะที่กำลังสวมเสื้อเชิ้ต
“รู้แล้วเหรอว่ามันเป็นใคร” ที่ถามออกไปเช่นนั้นเพราะเป็นคนสั่งให้ส่งรูปถ่ายของศัตรูไปให้กับทีมบอดี้การ์ดในซิซิลี
“น่าจะรู้แล้วครับ แต่ว่าที่รออยู่ในสายคือดอนดิโน่” จอร์โจ้ตอบเพียงเท่านั้นแล้วถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง ปล่อยให้เจ้านายทั้งสองได้สนทนากัน
“ครับ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของลูกชาย ดิโน่ก็สั่งด้วยน้ำเสียงขึงขังในทันที “คนที่แกจับมาได้น่ะ เอาตัวมาให้ฉันที่นี่”
“อะไรนะ” ถามอย่างไม่อยากเชื่อหู
“ห้ามทำอันตรายเขาเด็ดขาด ถ้าแกทำอะไรเขาแม้แต่ปลายก้อย ได้ชนกับฉันแน่”
“เขางั้นเหรอ” คอนเนลิโอทวนคำอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปเรียกคนที่หมายเอาชีวิตอย่างสุภาพเช่นนั้น “ไม่มีเหตุผลเลย”
“ฉันคือเหตุผล” โต้กลับทันควันและปลายสายก็รู้ได้ว่านี่คือการตอบแบบต่อคำ หลีกเลี่ยงที่จะอธิบายเหตุผลที่แท้จริง
“ผมคือดอนเวนโตล่า” ตอกย้ำในฐานะที่ต้องยอมลงให้ในทุกครั้ง เพราะมันเป็นกฎอันเคร่งครัดของกลุ่มเวนโตล่า
“ตอนนี้ไม่ได้พูดกับแกในฐานะที่ปรึกษา ฉันคือพ่อบังเกิดเกล้า ถ้าแกคิดอยากจะขัดคำสั่งก็ลองดู”
คอนเนลิโอหัวเราะพรืดออกมาเมื่อได้ยินปลายสายยื่นคำขาด “ก็ต้องไม่กล้าอยู่แล้ว”
คนเป็นพ่อเงียบไปชั่วครู่เพราะเกิดความพึงพอใจเมื่อลูกชายต้องปฏิบัติตามอย่างเสียไม่ได้ แล้วมีหรือที่คนเป็นลูกจะคาดเดาสีหน้าของพ่อไม่ได้
“ต้องจัดห้องแล้วเชิญให้มันขึ้นมานอนข้างบนด้วยไหมล่ะ”
“ก็ห้องว่างอยู่หลายห้องไม่ใช่เรอะ”
“เป่าหัวมันทิ้งง่ายกว่ามั้ง” ก็แค่ประชดเพราะรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม ไม่มีเหตุผลเลยสักนิดที่ต้องรับประกันความปลอดภัยให้คนที่หมายเอาชีวิตของผู้เป็นพ่อทั้งเขายังต้องเสียเวลาไปหลายชั่วโมงเพื่อเล่นตามเกมของมัน กว่าจะลากคอมันมาได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ
“อ้อ... แล้วเรื่องที่รับปากว่าจะเอาของขวัญไปให้เทพีนำโชคของฉันน่ะ ทำรึยัง” ดิโน่ทวงถามและความเงียบไปครู่หนึ่งของปลายสายทำให้เกิดความหงุดหงิดใจ ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ลูกชายกำลังลดโทรศัพท์ลงแล้วถามคนสนิทถึงของขวัญที่เมื่อวานให้ไปเลือกซื้อมา “ว่ายังไง ถ้าไม่ทำฉันจะได้บินกลับไปจัดการเสียเอง”
“โอย... จะใจร้อนอะไรขนาดนี้” คอนเนลิโอครางยาวทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เป็นพ่อถึงได้ติดใจเธอถึงเพียงนี้ “ของขวัญก็ได้มาแล้ว กำลังแต่งตัวจะออกไปหาเธอเนี่ย”
“แล้วแกรู้เหรอว่านัดที่ไหน นัดกี่โมง”
“ก็พ่อจะโทรมาบอกเรื่องนี้ไม่ใช่เรอะ”
จะมีลูกบ้านไหนที่รู้ทันความคิดพ่อแบบลูกชายของเขาบ้างไหมนะ รู้อกรู้ใจจนบ่อยครั้งต้องแสดงออกไปให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ได้คิดในแบบเดียวกัน เวลาพูดคุยอะไรกันเลยเสียงดังเหมือนกับมีปากเสียงกันอยู่ตลอดเวลา นี่สินะคือปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อลูก ดิโน่คิดในใจแล้วรีบบอกสถานที่นัดหมายพร้อมเวลาให้ลูกชายได้รับรู้ ก่อนจะวางสายยังต้องทำเสียงแข็งกำชับในฐานะพ่อบังเกิดเกล้าอีกครั้ง
“อย่าลืมทำตามที่ฉันสั่งให้ครบถ้วน และขอย้ำว่าคนที่อยู่ในห้องใต้ดินน่ะ ต้องพามาหาฉันให้ครบอาการสามสิบสอง”
“มันเป็นใครวะ จู่ๆ ฉันถึงต้องกลายมาเป็นบอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัยแล้วส่งมันให้ถึงมือพ่อ” ถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อแล้วเลื่อนมือมาติดกระดุมให้เรียบร้อย
“รูปที่ผมส่งไปให้ทีมเทียบใบหน้าคงจะได้ข้อมูลเบื้องต้นมาแล้ว แต่ทางทีมก็ยืนยันว่าดอนดิโน่สั่งห้ามเปิดเผยเรื่องนี้เด็ดขาด” จอร์โจ้รายงานในขณะที่เลโอนั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมยื่นบิลให้เจ้านาย
“ของขวัญอยู่บนรถดอนเรียบร้อย ส่วนนี่เป็นบิลเรียกเก็บเงินครับ” เลโอบอก
คอนเนลิโอหรี่ตามองคนสนิทด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ เขารู้ล่ะว่าสัญลักษณ์ของแบรนด์เนมที่อยู่ในบิลนั้นราคาสินค้าแต่ละชิ้นนั้นแพงและมันแพงขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัวเพราะไม่ใช่แค่เดินเข้าไปในแฟล็กชิปสโตร์แต่ละแห่งแล้วจะได้มาครอบครอง แต่ที่ได้กระเป๋าใบนี้มาเพราะมันไปเคาะราคาจากเว็บกลางของแบรนด์หรูซึ่งเจ้าของกระเป๋าประกาศขายมากกว่า
“ไม่ยักรู้ว่าเลือกของให้ผู้หญิงเป็นด้วย” คอนเนลิโอบอกพร้อมยืดตัวยืนเต็มความสูง
คำชมที่ได้ยินไม่บ่อยนักทำให้เลโอยิ้มกริ่มโดยไม่รู้ตัวว่านั่นคือคำประชดจนเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้านายที่ดังขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง ทั้งที่ยังไม่จรดปากกาเซ็นชื่อลงในบิลเรียกเก็บค่าของขวัญนั้นเลย
“ไปเก็บที่ดอนดิโน่โน่น”
การเดินจากไปของเจ้านายสร้างความหนักใจให้คู่แฝดยิ่งนักเพราะนั่นหมายความว่าต้องรีบแจ้งเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้ดอนดิโน่รู้ แน่นอนว่าเงินในบัญชีของสองพี่น้องรวมกันก็ยังมีไม่พอกับกระเป๋าใบที่อยู่ในรถยนต์ของเจ้านาย!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ