IF

9.3

เขียนโดย Tsmit

วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.13 น.

  6 ตอน
  6 วิจารณ์
  7,073 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 19.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 3 : ภารกิจอันยิ่งใหญ่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

บทที่ 3

ภารกิจอันยิ่งใหญ่

 

 ITSARA อิสระ 


 

วันนี้เป็นวันดี

ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในโรงเรียนเขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและตัดสินใจว่าวันนี้เขาจะเป็นเพื่อนซี้กับอิงฟ้า ดังนั้นเขาจึงโดดกิจกรรมเข้าแถวตอนเช้าขึ้นไปที่ดาดฟ้าอีก รู้สึกเหมือนกับว่าที่นั่นเป็นจุดนัดพบสำหรับพวกเขาสองคน แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่บนนั้น เขาจึงปีนขึ้นไปอยู่บนขอบกั้น กางแขนรับลมเย็นขณะรอคอยเพื่อนซี้อย่างมีความสุข

แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่มาปรากฏตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงออดเข้าเรียนดังขึ้น ปลุกสติของเขาให้กลับมายังโลกปัจจุบัน ถ้าหากว่าเขาเข้าเรียนสายอีกครั้งล่ะก็ อาจารย์พงษ์ อาจารย์ประจำชั้นคงจะต้องรายงานเรื่องการเข้าเรียนสายไปให้ผู้ปกครอง... นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ย้ำเตือนนักเรียนทุกคน แต่ก็ไม่เคยมีนักเรียนคนไหนถูกเรียกพบผู้ปกครองเพราะมาสายเลยสักคน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นผู้เฝ้าชมอยู่ข้างสนาม รอดูว่าอาจารย์จะเล่นเกมแบบไหนต่อไป เพราะฉะนั้นในวันนี้เขาจะไม่ยุ่งกับอาจารย์ เพราะว่าวันนี้เขาคือเพื่อนซี้ของอิงฟ้า

และเพื่อนซี้ของอิงฟ้าจะต้องไม่ไปสาย

ชายหนุ่มรีบวิ่งโกยลงมาจากชั้นดาดฟ้าจนลงมาถึงตึกเรียนชั้นห้า แทรกตัวผ่านกลุ่มนักเรียนที่ทยอยเดินขึ้นมาจากชั้นล่าง บางคนหันมาตะโกนด่าไล่หลัง แต่ว่าอิสระไม่สนใจ เขากำลังรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ออกแรงวิ่งอย่างสุดฝีเท้า

ทันเวลา ฉิวเฉียด!

ชายหนุ่มหยุดยืนหายใจหอบตัวโยนอยู่หน้าห้องเรียนม.5/8 ใต้ป้ายแขวนทรงสี่เหลี่ยมที่ห้อยอยู่เหนือหัว เขาเงยหน้ามองป้ายนั้นด้วยความผิดหวังที่มันไม่ได้ห้อยแกว่งไปมารุนแรงเหมือนอย่างในการ์ตูนญี่ปุ่น เวลาที่ตัวละครวิ่งฝ่าฝุนตลบมายังหน้าห้องเรียน

อาจารย์พงษ์ปรากฏตัวขึ้นที่สุดปลายทางเดินและกำลังเดินมาทางห้องเรียนของเขา อิสระจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องแล้วนั่งประจำที่ของตัวเองซึ่งอยู่ริมหน้าต่างแถวสุดท้ายอย่างรวดเร็ว

มีนกสองสามตัวบินมาเกาะบนขอบปูนที่ยื่นออกไป วันนี้พวกมันคงจะปักหลักอยู่แถวนี้กันสักพัก เหมือนอย่างเขาที่จะปักหลักเป็นเพื่อนซี้กับอิงฟ้า เพราะฉะนั้นเขาจะต้องเขียนรายการการเป็นเพื่อนซี้ออกมาก่อนเพื่อที่จะเป็นแนวทางในการทำให้ได้ดีที่สุด

อาจารย์พงษ์เข้าห้องเรียนมาพูดถึงกิจกรรมในวันนี้ ช่วงเช้ามีเพื่อนบางคนขาดเรียนเพื่อไปแข่งทำพานไหว้ครู ส่วนตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็จะมีการฝึกซ้อมไหว้ครูกัน แต่อิสระไม่สนใจ เขารีบหยิบสมุดเรียนออกมาเปิดหน้าว่างที่ไม่ได้ระบายสีสัน จากนั้นก็เขียนสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเพื่อนซี้ของอิงฟ้าควรจะต้องทำลงไป

เขาจะต้องยิ้มให้ฟ้า.. แล้วก็ต้องกินข้าวกลางวันด้วยกัน..

อิสระวางดินสอลงกับโต๊ะ พลางมองไปยังที่ว่างข้างๆ ตัวขณะครุ่นคิดถึงรายการข้อต่อไป

ความจริงแล้วจะต้องมีคนนั่งข้างๆ เขา แต่เพื่อนคนนั้นกลับลากโต๊ะไปรวมกับเพื่อนแถวกลางห้องจนกลายเป็นแถวสามคนตั้งแต่เมื่อตอนเปิดเทอม ดังนั้นเขาจึงได้นั่งคนเดียว และมีพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มขึ้นอย่างน่ายินดี

“ไอ้ตัวประหลาด” เสียงหัวเราะดังมาจากเพื่อนแถวถัดไปที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่สี่ห้าคน หันมามองเขาด้วยรอยยิ้มเยาะ

คนเราเกิดมามักมีชื่อเรียกกันแค่ชื่อเดียว แต่เขากลับมีชื่อเรียกอยู่หลายชื่อที่เพื่อนๆ ตั้งให้ โดยที่บางคนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วเขาชื่ออะไร

‘ไอ้ตัวประหลาด’

‘ไอ้ตัวตลก’

‘ไอ้นอกคอก’

‘ไอ้เอ๋อ’

‘ไอ้พิลึก’

‘ไอ้ทึ่ม’

‘ไอ้บ้า’

‘ไอ้เพี้ยน’

ฯลฯ

จะว่าไปแล้วคนแรกที่ตั้งชื่อเล่นให้เขาก็คือพ่อ บางทีมันคงจะเป็นค่านิยมแบบใหม่ที่ตั้งชื่อเล่นใหม่ให้กับลูกตัวเอง

อิสระไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรแตกต่างไปจากคนอื่น แต่เขารู้เพียงแค่ว่า ‘ตัวเองไม่ปกติ’ ทั้งคำบอกเล่าจากคนรอบข้าง การปฏิบัติตัวจากคนเหล่านั้น และจากความเห็นของตัวเอง ถึงแม้เขาจะยอมรับว่าตัวเองเพี้ยน และไม่ได้โง่จนดูไม่ออกว่าตัวเองผิดปกติ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรให้เป็นปกติ ในเมื่อเขาไม่เคยได้สัมผัสหรือเข้าใจความเป็นปกติเลย

เขาต้องทำยังไงถึงจะถือว่าเป็นปกติ?

ความแตกต่างคือสิ่งที่แบ่งแยกคนเราออกจากกัน ดังนั้นคนที่แตกต่างจึงถือว่าผิดปกติ และความผิดปกติจะต้องเป็นสิ่งไม่ดี ทุกคนถึงได้แสดงปฏิกิริยารังเกียจออกมาถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเขาคือคนไม่ดีงั้นเหรอ

แต่อะไรคือเกณฑ์ตัดสินว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดีกันล่ะ

แต่ถึงจะตั้งคำถามไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตัวเขาก็ได้รับผลกระทบจากสังคมรอบด้านจนไม่ได้ชื่นชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ และตัดสินไปแล้วว่าตัวเองไม่ดีเท่าคนอื่น

ความเป็นปกติกับความผิดปกตินั้นช่างเป็นประเด็นที่ทำให้เขารู้สึกหน่วงๆ ตรงช่องท้องขึ้นมาทุกครั้งเมื่อนึกถึง หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่ความเจ็บปวดที่ตกค้างมาจากเมื่อวานเท่านั้น

คาบเรียนช่วงเช้าดำเนินไปได้อย่างน่าเบื่อ วิชาภาษาอังกฤษ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาสังคม แถมหนังสือเรียนก็มีแต่กระดาษสีขาวหรือสีกากีกับตัวหนังสือสีดำทะมึน ดังนั้นชายหนุ่มจึงหยิบปากกาไฮไลท์ออกมาเติมสีสันให้กับหนังสือเรียนเสียใหม่

“...อิสระ นายอิสระ!” เสียงตะโกนเรียกดังมาจากหน้าชั้นเรียน เรียกให้ผู้เป็นเจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นจากหนังสือระบายสีบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน

ดวงกมล อาจารย์ประจำชั้นของฟ้าและเป็นสอนวิชาสังคมผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ๊แม่สายโหดกำลังทำตาเขียวจ้องมาทางเขา บนกระดานปรากฏภาพแผนที่ประเทศไทยจากเครื่องโปรเจคเตอร์

บางทีอาจารย์อาจจะอยากให้เขาช่วยระบายสีสันลงในหนังสือของตัวเองบ้าง

“ตรงนี้คืออะไร”

นิ้วของอาจารย์กำลังชี้ไปยังจุดหนึ่งในภาคเหนือบนแผนที่ รอบๆ แผนที่มีเส้นขีดโยงไปมาเกี่ยวกับประเด็นการปกครองของแต่ละภาคในประเทศ

“เป็นปัญหาทางสังคมที่ต้องเร่งแก้ไขครับ ไม่ใช่แค่ตรงจุดนั้น แต่สังคมเรามีคนชายขอบปะปนอยู่ในกลุ่มเยอะกว่าที่คิด ผมคิดว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้เป็นเรื่องอุดมคติมาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าจะ...”

“เดี๋ยวๆๆ” อาจารย์ดวงกมลยกมือขึ้นห้าม “นี่เธอพล่ามอะไรของเธออยู่เนี่ย”

อิสระขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ อาจารย์เป็นคนชี้ไปที่ทิวเขาแดนลาวในภาคเหนือซึ่งมีจุดพักอาศัยของชาวเขาอยู่แท้ๆ พวกเขากำลังเรียนเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมไม่ใช่เหรอ อาจารย์ก็เพิ่งพูดไปเมื่อต้นชั่วโมงเองนี่ แล้วปัญหาที่ชาวเขาและคนภาคอื่นมีร่วมกันแน่ๆ ก็คือความเป็นชายขอบ

“ไม่ต้องแล้ว เธอตอบผิด” เสียงดุพูดตัดบทอย่างรำคาญ “ตรงนี้คือทิวเขาแดนลาว กั้นแดนระหว่างไทยกับพม่า”

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นไปทั่วทั้งห้อง เพื่อนคนอื่นพากันเหลือบมามองเขาแล้วหันไปพูดซุบซิบหัวเราะกันเอง

หลังจากนั้นอาจารย์ดวงกมลก็สั่งให้เขานั่งลง แล้วพูดเกี่ยวกับภาคเหนือต่ออีกยืดยาวจนกระทั่งเสียงออดบอกเวลาแห่งการเดินทางได้ดังขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นอาจารย์ก็ยังคงพูดต่อไป ไม่ยอมปล่อยให้นักเรียนไปพักแม้ว่าจะหมดเวลาแล้วก็ตาม

เขาจะต้องรีบไปหาอิงฟ้า ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจประเดิมเป็นนักรบรายแรก วิ่งฝ่าสนามรบหน้าชั้นออกไปนอกห้องโดยไม่ฟังเสียงแว้ดๆ ของอาจารย์ที่ตะโกนไล่หลังตามมา

ชายหนุ่มเพ่งสายตาไปยังเท้าทั้งสองข้างที่กำลังกระโดดข้ามแผ่นกระเบื้องบนพื้น ปรากฏตัวอักษรจำนวนมากร่ายยาวอยู่ในหัว ทั้งหมดคือระเอียดเกี่ยวกับภารกิจพิชิตความกลัวที่เขาเขียนร่างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เขาจะต้องพูดกับอิงฟ้าให้รู้เรื่อง แล้วก็จะได้มีความคืบหน้าเมื่อตกลงเวลาทำภารกิจร่วมกันได้เสียที

อิสระวิ่งไปตามระเบียงทางเดินผ่านห้อง 5/5 และ 5/4 กำลังจะวิ่งไปถึงหน้าห้อง 5/1 กลุ่มนักเรียนห้องหนึ่งพากันเดินออกมาจากห้องโดยที่ส่วนใหญ่ยังคงยืนออกันอยู่หน้าประตู

“กระโดดหลบ! หมุนตัว!” อิสระตะโกนบอกขณะที่วิ่งแทรกตัวผ่านคนเหล่านั้นไป เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังเป็นนักเต้นอยู่บนลานเสก็ต

ในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าห้องเรียนของฟ้า แต่เขารัวฝีเท้าวิ่งมาสุดแรงจึงต้องใช้มือเกาะประตูห้องยึดเอาไว้ แล้วยิ้มกว้างทันควันเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่ตัวเองเฝ้าตามหามาตั้งแต่เมื่อวานยังคงอยู่ข้างใน

“ฟ้า!” เสียงตื่นเต้นตะโกนเรียกด้วยความดีใจ “ฟ้า!”

 ทีแรกอิงฟ้าไม่ได้หันมามอง แต่มีเพื่อนคนหนึ่งสะกิดที่แขนของเธอแล้วชี้มาทางเขา เมื่ออิงฟ้าหันมาทางนี้เขาจึงกระโดดโลดเต้นพร้อมกับโบกไม้โบกมือเรียกเธอเป็นการใหญ่ แต่ใบหน้าใสๆ ของหญิงสาวกลับกลายเป็นสีซีดเผือดไปในทันที

 “เฮ้ยอิง แกมีเพื่อนเป็นตัวตลกด้วยเหรอวะ ระวังติดเชื้อนะเว่ย” นักเรียนชายคนหนึ่งหันไปพูดหยอกล้อพร้อมด้วยเสียงหัวเราะก่อนที่จะเดินผ่านเขาออกจากห้องไป

อิงฟ้าลุกขึ้นเก็บสมุดบนโต๊ะลงกระเป๋า ยืนรอจนกระทั่งเพื่อนคนอื่นๆ ออกจากห้องกันไปหมดแล้วถึงได้เดินตรงเข้ามาหา

“นายต้องการอะไร” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงเครียด

เขาสัมผัสความรู้สึกสีฟ้าหม่นที่แผ่ออกมารอบๆ ตัวเธอได้เช่นเดียวกับเมื่อวาน ดังนั้นเขาจึงยิ้มกว้างขึ้นอีก จินตนาการถึงสีเหลืองสดใสเพื่อให้มันส่งผ่านไปถึงคนตรงหน้าได้ด้วย แล้วยื่นมือออกไปให้อีกฝ่ายจับ

“เพื่อนซี้เขาต้องไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไง”

อิงฟ้าทำหน้าฉงนเล็กน้อยก่อนที่จะปฏิเสธไม่จับมือกับเขา แล้วเดินออกไปจากห้องทันที ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบวิ่งตามเธอไป

“คนไม่มีเพื่อนควรจะรวมพลังกันนะ” อิสระพยายามชี้อธิบายเหตุผลที่พวกเขาทั้งสองคนควรจะเป็นเพื่อนซี้กัน แต่ดูเหมือนว่าอิงฟ้าจะไม่ใส่ใจ เพราะว่าเธอยังคงเอาแต่ก้าวเท้าฉับๆ เดินหนีไปจากเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“งั้นเย็นนี้เลิกเรียนแล้วกลับบ้านด้วยกันนะ!” ชายหนุ่มตะโกนบอกขณะวิ่งตามเธอลงบันได “วันนี้มีซ้อมไหว้ครู!”

ได้ผล!

อิงฟ้าหยุดยืนตรงบันไดขั้นสุดท้าย หันมามองเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเหมือนอย่างเคย

“ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีกต่อไปแล้ว ช่วยเลิกมายุ่งกับฉันซะที”

ประโยคนั้นเปรียบเสมือนเป็นสายฟ้าฟาดลงกลางอกทำให้เขาต้องชะงักไป แล้วยืนนิ่งมองหญิงสาววิ่งลงบันไดต่อด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในช่องท้อง เขาคิดว่าตัวเองรู้จักความหมายของมันดีผ่านทางสีหน้าและการกระทำของคนหลายๆ คน แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินแบบชัดเจนขนาดนี้มาก่อน หรืออาจจะเคยได้ยินแต่จำไม่ได้ เพราะว่าช่วงเวลานั้นมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนเราจำอะไรไม่ได้นานนักหรอก

เวลา...

ใช่สิ ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ

อิสระกระพริบตาสองสามทีอย่างคนเพิ่งรู้สึกตัว แล้วหยิบมือถือขึ้นมากดดูเวลาบนหน้าจอ เหลืออีกสี่สิบนาทีก็จะหมดเวลาพักแล้ว แต่เขายังไม่ได้พูดเรื่องภารกิจกับอิงฟ้าเลย เพราะฉะนั้นภายในสี่สิบนาทีนี้เขาจะต้องหาจังหวะคุยกับอิงฟ้าให้ได้ บางทีเธอคงจะไปซื้อขนมปังกินเหมือนเมื่อวาน แต่ว่าวันนี้เขาเป็นเพื่อนซี้ของเธอ ยังไงเขาก็ต้องไปนั่งกินข้าวกับเธอให้ได้ตามหลักการของการเป็นเพื่อนซี้

ชายหนุ่มเก็บมือถือใส่กลับลงในกระเป๋ากางเกง แล้ววิ่งลงบันไดตามอิงฟ้าไปชั้นล่าง ในหัวเริ่มวาดภาพตัวเองวิ่งไปที่ร้านเบเกอรี่ ได้เจอกับอิงฟ้าที่กำลังเลือกซื้อขนมปังอยู่ แล้วพวกเขาสองคนก็พูดคุยเรื่องภารกิจกันอย่างออกรสราวกับว่าเป็นเพื่อนซี้กันมาสิบชาติ

ทันใดนั้นเองก็มีมือหนึ่งพุ่งเข้ามาล็อกคอจากทางด้านหลังในจังหวะที่เขากำลังจะถึงชั้นสองพอดี แขนของมันล็อกแน่นจนทำให้เขาหายใจไม่ออกแล้วลากตัวเขาไปอีกทาง อิสระพยายามจะแกะมือของอีกฝ่าย แต่ก็ถูกใครบางคนเตะที่ชายโครงอย่างแรง ซ้ำตรงบริเวณแผลเก่าเมื่อวานนี้พอดีจนทำให้เขากระอักเลือดออกมา

“ลากมันไป” เสียงของเจอโรมดังขึ้นใกล้ๆ ตัว แสดงว่ากลุ่มพวกมันสี่ตัวกำลังจะเริ่มการทักทายเขาอีกแล้ว ส่วนคนที่กำลังล็อกคอเขาอยู่ตอนนี้ก็คงจะเป็นไอ้หินเหมือนทุกที

ติ๊ก...

เสียงนาฬิกาในหัวเงียบหายไปบ่งบอกถึงการหมดเวลา

สี่สิบนาที...

สายไปแล้วล่ะ

 

 

-----50%

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา