❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly

-

เขียนโดย Watt

วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 07.30 น.

  2 chapter
  0 วิจารณ์
  3,775 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558 07.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly

บทนำ ✢ การกลับมาของพี่แฟรงค์



ถนนสุวินทวงศ์...

ถ้าไม่ใช่เพราะป้ายบอกทางต่างๆ หรือหลักเขตที่บอกว่าที่นี่ยังเป็นกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์อยู่ ผมก็คงนึกว่าตัวเองหลงเข้ามาในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยไปแล้ว สภาพบ้านเรือนและถนนหนทางในแถบนี้ยังคงดูคล้ายต่างจังหวัดอยู่มากทีเดียว ตึกรามบ้านช่องยังอยู่ห่างๆ กัน ไม่มีตึกสูงโผล่ขึ้นมาให้เห็นให้เสียทัศนียภาพ จะว่าไปมันก็ช่วยย้ำเตือนความจำผมได้ดีทีเดียวว่าฟ้านั้นอยู่สูงกว่าที่คิด

เขตหนองจอก...

ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพ เรียนหนังสือและทำงานอยู่ที่นี่หลายปี ผมก็ไม่เคยมาที่เขตนี้เลย ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ากรุงเทพมีพื้นที่สำหรับการเกษตรและชุมชนต่างจังหวัดอย่างนี้อยู่ด้วย ถ้าถ่ายรูปกับทุ่งนาแถวๆ นี้แล้วเอาไปให้เพื่อนๆ ฝรั่งของผมดู พวกมันต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่านี่คือกรุงเทพ ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำ

"เป็นไงแถวบ้านกู"

"ดีว่ะ เหมือนต่างจังหวัดเลย กูชอบ"

"แต่ยังไงๆ ก็ยังไม่สวยเท่าบ้านมึงหรอก กูชอบบรรยากาศแถวบ้านมึงมากกว่า"

"ก็แหงดิ บ้านกูเป็นจังหวัดท่องเที่ยวนี่หว่า ก็ต้องสวยอยู่แล้ว แต่กูว่าที่นี่ก็ดีนะเว้ย อากาศดี วิวก็สวย ไม่แออัด ไม่วุ่นวายดี"

"แล้วถ้าจะให้มึงมาอยู่มึงจะมามั้ย"

"ไม่ดีกว่า" หัวเราะแหะๆ แล้วก็พูดต่อ

"สงสัยกูคงจะหลงแสงสีเสียงแบบกรุงเทพไปแล้ว อยู่ที่นี่กูคงอึดอัดตายเลย มึงอยู่ได้ไงวะไอ้ปอนด์"

"ไอ้นี่...มึงก็พูดเกินไป หนองจอกไม่ได้ล้าหลังขนาดนั้นนะเว้ย อยากจะเข้าไปในเมืองหาแสงสีเสียงก็ไม่ได้ยากซะหน่อย ใกล้แค่นี้เอง"

เพื่อนผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ผมกับไอ้ปอนด์ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้วล่ะ ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป เพื่อนอีกหลายๆ คนของเราก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนแถวบ้านที่วิ่งเล่นด้วยกันสมัยเด็กๆ เพื่อนสมัยประถม มัธยม มหาลัย เพื่อนตอนทำงานหรือเพื่อนตอนไหนๆ ก็แล้วแต่ เราต่างก็เจอกันแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายต่างคนก็ต่างมีทางของตัวเอง วันหนึ่งเส้นทางโคจรของเราก็จะแยกห่างกันไป หวังเพียงว่าสักวันหนึ่งจะได้กลับมาเจอกันที่ใดที่หนึ่งอีกสักครั้ง

"มึงนี่ก็แปลกนะไอ้นัท ทำงานบริษัทใหญ่ๆ โตๆ อยู่ดีๆ ก็ลาออกซะงั้น เงินเดือนก็ตั้งเยอะ ไม่เสียดายเหรอวะ"

ผมยักไหล่อย่างไม่แยแส

"มึงก็ลองไปทำดูสิ แม่งเครียดฉิบหายเลย ทำงานก็ดึกๆ ดื่นๆ ทุกวัน วันๆ ก็อยู่แต่ในออฟฟิศ แถมยังต้องฝ่ารถติดไปทำงานทุกวันอีก กูเบื่อว่ะ แล้วเจ้านายก็โคตรเห็นแก่ตัวเลย กูทำงานหนักแทบตาย แม่ง...คนได้หน้ากลับเป็นเจ้านายซะงั้น"

"แล้วมึงคิดหรือไงว่าทำงานกับผู้ประกอบการเล็กๆ มึงจะไม่เจอปัญหาเหมือนที่มึงเคยเจอ ทำไมมึงไม่กลับบ้านไปช่วยแม่มึงขายขนมจีนวะนัท กูว่ามันดีกว่าที่มึงจะมาเป็นลูกจ้างเขานะเว้ย"

ขายขนมจีนที่ว่านั้นไม่ใช่ขายธรรมดานะครับ เพราะแม่ผมมีร้านขายขนมจีนน้ำยาหลากชนิดบนถนนหมายเลขสิบสองที่เป็นทางผ่านของนักท่องเที่ยว ขายดีจนส่งผมเรียนจบปริญญาโทแถมยังมีคอนโดดีๆ ให้อยู่ใจกลางกรุงเทพอีกด้วย

"กูกลับไปแน่ไอ้ปอนด์ มึงไม่ต้องห่วงหรอก แต่ว่าตอนนี้กูอยากหาประสบการณ์ทำงานอีกซักสองสามปีก่อน กูก็คุยๆ กับแม่ไว้อยู่ว่าอยากจะเปิดรีสอร์ทหรือไม่ก็ทำไร่สตรอเบอรี่ที่ภูทับเบิก"

"ดีแล้วๆ กูยังอิจฉามึงเลยที่มึงมีบ้านมีที่อยู่ต่างจังหวัด ทำอะไรเป็นของตัวเองน่ะมันดีที่สุดแล้ว กูยังอยากมีธุรกิจสักอย่างเป็นของตัวเองเลย"

"มึงก็ค่อยๆ เก็บตังค์ไปก่อนดิ ค่อยๆ หาลู่ทางไป ถ้าเจอแล้วค่อยลาออกมาทำก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะ"

นั่นคงจะเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดเท่าที่ผมพอจะมีให้เพื่อนได้ เพราะผมก็ได้ฟังแบบนี้มาจากคนอื่นๆ อีกทีนั่นแหละ อันที่จริงผมก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำธุรกิจของตัวเองหรอก ก็เลยยังบอกไม่ได้ว่าจะต้องทำยังไงบ้าง ที่แนะนำเพื่อนไปก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคำแนะนำที่ถูกต้องจริงหรือเปล่า

เรือนแพรีสอร์ท...

"เฮ้ยๆ จอดตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูจะลงตรงนี้เลย"

ผมบอกเพื่อนเกือบจะทันที่ที่รถกำลังจะวิ่งเข้าไปในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ไอ้ปอนด์มันบอกว่าที่นี่กำลังประกาศรับสมัครผู้จัดการแทนคนเก่าที่เพิ่งลาออกไปอยู่ ตอนแรกผมว่าจะส่งใบสมัครทางอีเมล์ แต่ก็อยากจะแวะมาเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าที่อยู่แถวๆ นี้เสียหน่อย ก็เลยถือโอกาสถ่อสังขารมาที่นี่เสียเอง จะได้มาดูให้เห็นกับตาด้วยว่ามันน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน

"มึงจะเดินเข้าไปเหรอวะ ไกลนะเว้ยกว่าจะถึงตัวรีสอร์ท"

ไอ้ปอนด์มันรีบเตือน ผมส่ายหัวเบาๆ แล้วก็หัวเราะหึๆ ถึงผมจะทำงานออฟฟิศไม่ค่อยตากแดดตากลม แต่ผมก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้นหรอก

"ไม่เป็นไรหรอก กูว่ากูจะขอเดินดูซะหน่อย จะได้รู้ไงว่ามันน่าสนใจหรือเปล่า"

ไอ้ปอนด์เงียบไปเหมือนกำลังคิดตาม

"เออๆ งั้นกูส่งมึงแค่นี้ละกันนะเว้ย ขอให้มึงได้งานใหม่เร็วๆ แล้วถ้ามีอะไรมึงก็โทรหากูได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ"

"ขอบใจเพื่อน"

ผมหันไปยิ้มให้เพื่อนก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูรถเก๋งคันเก่าๆ ของเพื่อนออก พอก้าวขาออกมาจากตัวรถแล้วก็ต้องหยีตาเล็กน้อยเพราะแดดค่อนข้างแรง ช่วงปลายฝนหลังๆ มานี้แทบไม่มีฝนเลย มีแต่แดดเปรี้ยงๆ และร้อนจนตับแทบไหม้

"เดี๋ยวได้ผลยังไงกูจะโทรหามึง ถ้ากูได้งานที่นี่เดี๋ยวกูพามึงไปเลี้ยง"

ผมหันไปบอกเพื่อนก่อนที่จะร่ำลากัน คำว่า "เลี้ยง" ของผมนั้นพวกเพื่อนๆ ก็คงรู้กันดีว่าเลี้ยงอะไร

"เออๆ กูไปก่อนนะเว้ย โชคดีเพื่อน"

ผมปิดประตูรถให้ไอ้ปอนด์แล้วยกมือขึ้นบ๊ายบาย พอรถของมันแล่นหายลับตาไปแล้วผมจึงหันกลับไปมองรีสอร์ทข้างหน้าอีกครั้ง ทิวต้นสนตัดกับฟ้าสีครามใสดูสวยเหลือเกิน ผมไม่ได้เห็นธรรมชาติสวยๆ อย่างนี้มานานแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ากรุงเทพจะมีแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

วิวสวยๆ ของรีสอร์ทแห่งนี้ทำให้ผมแทบลืมไปเลยว่าอากาศร้อน แถมทางเดินเข้าไปที่ตัวรีสอร์ทก็ยังไกลอีก ดอกไม้สวยๆ หลากสีที่ปลูกไว้โดยรอบนั้นทำให้ที่นี่ดูมีเสน่ห์สดใสมากทีเดียว ใครกันนะช่างทำรีสอร์ทได้สวยและน่ามาพักผ่อนหย่อนใจได้ถึงขนาดนี้

รีสอร์ทนี้มีกิจกรรมทางน้ำให้คนที่มาพักและคนทั่วไปได้เข้ามาเล่นที่ทะเลสาบด้วย ไกลออกไปผมมองเห็นอาคารหลังหนึ่งยื่นเข้าไปในน้ำคล้ายๆ กับบ้านแพ มีทางเดินยื่นล้ำเข้าไปจนถึงเกือบกลางทะเลสาบ ผู้คนที่มาพักที่นี่หลายคนกำลังเดินเล่นไปตามทางเดินนั้น บางคนก็กำลังพายเรือเล่น บางคนก็กำลังตกปลา

จะว่าไปที่นี่ก็ดูไม่เลวเหมือนกัน ท่าทางเจ้าของจะรวยมากทีเดียวที่สามารถมีที่ขนาดใหญ่นับร้อยๆ ไร่ในกรุงเทพได้ ต่อให้เป็นชานเมืองก็เถอะ ขึ้นชื่อว่ากรุงเทพแล้วที่ดินตรงไหนก็แพงอยู่ดี

ผมเดินชมวิวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงอาคารที่น่าจะเป็นอาคารต้อนรับแขกและเช็คอินผู้เข้าพัก มีลักษณะเป็นบ้านคอนกรีตผสมกับไม้ตามรูปแบบรีสอร์ททั่วไป ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เพราะใช้เป็นจุดรับแขกและเช็คอินเท่านั้น ข้างๆ กันนั้นมีร้านกาแฟเล็กๆ สำหรับลูกค้าที่มาพักด้วย มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะขนาดนี้แสดงว่าต้องใช้คนดูแลหลายคนพอสมควร

"ผมมาสมัครงานตำแหน่งผู้จัดการครับ"

ผมบอกความต้องการไปกับพนักงานสาวคนหนึ่งที่ยืนประจำอยู่ตรงฟรอนท์ ตอนนี้เกือบบ่ายแล้ว ไม่ค่อยมีแขกเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้เท่าไหร่

"อ๋อ...สงสัยต้องรอก่อนนะคะ หัวหน้ายังไม่เข้ามาเลย คงอีกซักชั่วโมง จะรอก่อนไหมคะ"

หญิงสาวในชุดลำลองแบบไทยๆ สีสันสดใสบอกพร้อมกับรอยยิ้มเกรงใจ

"ได้ครับ" ผมตอบแล้วก็ส่งยิ้มกลับไปเช่นกัน

"อืม...ถ้างั้น ผมขอไปเดินเล่นชมรอบๆ ที่นี่หน่อยได้ไหมครับ"

ความจริงผมก็เดินดูไปหลายจุดแล้ว เพิ่งจะมาขออนุญาตเอาตอนนี้

"อ๋อได้ค่ะ เชิญตามสบายเลยค่ะ"

"งั้น...ผมฝากเอกสารไว้ที่นี่ได้ไหมครับ"

ผมบอกแล้วก็ยื่นซองสีน้ำตาลที่มีใบสมัครและเอกสารประกอบต่างๆ ให้กับพนักงานสาวสวยคนนั้นรับไป

"ได้ค่ะ"

ผมส่งยิ้มรอบสุดท้ายให้กับแม่สาวตาคมแล้วก็เดินออกมาข้างนอก จุดมุ่งหมายของผมก็คือทางเดินรอบๆ ริมทะเลสาบอีกด้านที่ผมยังไม่ได้เดินไปดู อากาศที่นี่สดชื่นดีเหลือเกินจนผมอดที่จะสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดไม่ได้ ถ้าได้มาทำงานที่นี่ก็คงจะดีไม่น้อย สุขภาพปอดผมคงดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ที่นี่มีลมเย็นๆ โชยพัดมาตลอดเวลา ทิวต้นสนไหวโอนเอนไปมาตามแรงลมดูโรแมนติกดีเหลือเกิน สีเขียวของมันที่ตัดกับขอบฟ้าสีครามชวนให้ผมคิดถึงบ้านเกิดของตัวเอง บรรยากาศและวิวทิวทัศน์แบบนี้ผมเห็นมาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่พอมาเรียนมหาลัยที่กรุงเทพ ผมก็ได้กลับบ้านแค่ปีละครั้งสองครั้งเอง กลับทีก็อยู่แค่ไม่กี่วัน ยิ่งช่วงทำงานนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง ได้กลับบ้านปีละหนก็นับว่าบุญแล้ว ผมจึงจำใจต้องตัดขาดจากธรรมชาติ แต่อยู่ไปอยู่มาก็ชักจะชอบชีวิตของคนเมืองหลวงไปซะแล้ว

ปิ๊นๆ ปิ๊นๆ

เสียงบีบแตรรถทำให้ผมต้องหยุดเดินและหันไปมองตามเสียง รถเบนซ์สีดำคันหนึ่งวิ่งตามหลังผมมาอย่างช้าๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เจ้าของรถลดกระจกลงแล้วก็ส่งรอยยิ้มมาทักทายก่อนเป็นอันดับแรก

"ชอบไหมครับ"

ชายหนุ่มรูปหล่อที่เป็นเจ้าของรถคันงามเอ่ยถาม ดูจากหน้าตาแล้วก็น่าจะวัยไล่เลี่ยกับผมนี่แหละ

"อ๋อ...ชอบครับ"

ผมตอบไปอย่างงงๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร เสื้อยีนส์สีน้ำเงินแขนยาวที่สวมทับอยู่บนเสื้อกล้ามสีขาวนั้น ช่วยขับให้ใบหน้าของเจ้าของรถดูสดใสมีออร่าน่ามองมากทีเดียว ผมไม่ได้ชอบผู้ชายหรอก แต่ผู้ชายคนนี้ก็ดูดีเสียจนผู้ชายด้วยกันยังต้องเหลียวมองด้วยความอิจฉา

"มาคนเดียวเหรอครับ"

แน่ะ ไม่รู้จักกันแล้วยังจะมาชวนคุยอีก ผมว่าจะเดินเล่นคนเดียวให้สบายใจซะหน่อย

"ครับ"

"เดินเที่ยวให้สนุกนะครับ ถ้าต้องการอะไรก็บอกได้เลย"

ว่าแล้วชายหนุ่มรูปหล่อหน้าใสคนนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนกระจกรถขึ้น ก่อนจะค่อยๆ แล่นจากไปอย่างช้าๆ มุ่งตรงไปทางรีสอร์ทที่ผมเพิ่งเดินออกมา

"ใครวะ"

ผมแอบสงสัยในใจ แต่แล้วก็รู้สึกสะดุดใจกับบางสิ่งบางอย่าง แม้จะเห็นเพียงแวบเดียวผมกลับรู้สึกเหมือนเคยเจอชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ที่ไหนสักแห่งมาก่อน แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

"ทำไมหน้าคุ้นๆ"

ผมถามตัวเองเบาๆ ใช้ความคิดอย่างหนักว่าเคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหน หรือจะเป็นใครสักคนที่ผมเคยรู้จักนานมาแล้วหรือเปล่า พอคิดมาถึงตรงนี้แล้วผมก็เบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า แต่ผมก็อยากให้ใช่เหลือเกิน คนนี้นี่แหละที่ผมตามหามานานหลายปี ถามใครๆ แถวบ้านก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าไปอยู่แห่งหนใด รู้แค่ว่าอยู่กรุงเทพเท่านั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะตามหากันเจอจากข้อมูลน้อยนิดแค่นี้ ผมจึงได้แต่หวังว่าโลกของเราจะกลมมากพอที่จะนำพาใครคนนั้นกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นแม้เพียงครั้งเดียวในชีวิตได้หรือเปล่า

ผมรีบหันหลังกลับแล้วสาวเท้าเดินจนเกือบจะเป็นวิ่งตามรถคันนั้นที่หายลับตาไปแล้ว

สาธุ!!! ขอให้เป็นคนที่ผมอยากเจอมามากกว่าสิบปีด้วยเถอะ ในช่วงหลายปีมานี้ผมลืมคิดถึงคนๆ นี้ไปแล้วเพราะคิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีก แต่ผมไม่เคยลืมความทรงจำดีๆ กับคนๆ นี้เลย

ผมวิ่งมาเกือบๆ ถึงร้านกาแฟเล็กๆ ข้างอาคารต้อนรับแขกที่ผมเพิ่งเข้าไปเมื่อไม่ถึงยี่สิบนาทีที่แล้ว แล้วผมก็เห็นชายหนุ่มคนนั้นเดินลงมาตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นซีเมนต์เรียงห่างๆ กันอย่างรีบเร่ง ถ้าผมเดาไม่ผิด เขาน่าจะกำลังเดินมาหาผมนี่แหละเพราะสายตาคู่นั้นจับจ้องมาที่ผมอย่างไม่วางตา แถมยังขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอีกด้วย

ผมรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเดินไปหาชายหนุ่มคนนั้นอย่างตื่นเต้น รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงและเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างกายด้วยจังหวะที่ถี่ขึ้นกว่าปกติ จนกระทั่งเราสองคนมาหยุดยืนประจันหน้ากันที่หน้าร้านกาแฟพอดิบพอดี

"พี่แฟรงค์!!!"

ผมร้องเรียกชื่อนั้นออกมาอย่างดีใจ ริมฝีปากสั่นระริกจากความตื่นเต้นจนควบคุมไม่ได้ ใครได้เห็นสีหน้าของผมตอนนี้คงจะรู้ว่าผมดีใจมากแค่ไหน ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นจึงยิ้มกว้างด้วยอาการดีใจไม่แพ้กัน

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ให้เรียกพี่ จำไม่ได้เหรอ"

น้ำตาผมแทบจะร่วงเสียให้ได้ ใช่พี่แฟรงค์จริงๆ ด้วย สมัยเรียนประถมผมชอบเรียกแฟรงค์ว่าพี่เพราะเราเรียนกันคนละชั้น แฟรงค์เกิดเดือนสิงหาคมปี 2533 ส่วนผมเกิดเดือนมกราคมปี 2534 อายุเราจึงห่างกันไม่กี่เดือน แต่พอเกิดคนละปีก็เลยไม่ได้เรียนชั้นเดียวกัน ผมก็เลยมักจะติดเรียกแฟรงค์ว่าพี่บ่อยๆ แม้ว่าแฟรงค์จะคอยเตือนว่าไม่ให้เรียกพี่ก็ตาม

คนที่จะพูดประโยคนี้กับผมมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ใช่แล้วล่ะ...นี่แหละคนที่ผมตามหาและอยากเจอมานานแสนนาน

"พี่แฟรงค์!"

"นัท!"

 


ถ้าถามผมว่าเจอพี่แฟรงค์ครั้งแรกตอนไหนผมคงตอบไม่ได้ แม้ว่าวัยเด็กจะเป็นวัยที่เรามีความสุขมากที่สุด แต่เรื่องราวเหล่านั้นก็มักจะถูกลบลืมไปจนแทบจำไม่ได้ ผมรู้แต่ว่าเราเรียนโรงเรียนประถมที่ตัวอำเภอเขาค้อเหมือนกัน ก็น่าจะเจอกันตอนปอหนึ่งปอสองนั่นแหละ เพียงแต่เราไม่เคยคุยกัน แต่ผมก็พอจะจำเหตุการณ์ที่ทำให้ผมกับพี่แฟรงค์เริ่มสนิทกันได้ดี

ตอนนั้นผมอยู่ปอสาม วันหนึ่งผมขออนุญาตครูออกไปปัสสาวะที่ห้องน้ำหลังโรงเรียนในระหว่างที่เรียนอยู่ คงจะเป็นคราวซวยของผม จู่ๆ ก็โดนหมาตัวหนึ่งงับที่น่องซ้ายเข้าให้โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันมาจากทางไหน ผมร้องไห้เสียงดังด้วยความเจ็บปวดระคนตกใจ พี่แฟรงค์บังเอิญอยู่แถวนั้นพอดีจึงวิ่งมาช่วย ก็ได้พี่แฟรงค์นี่แหละที่ช่วยไล่หมาตัวนั้นไป แล้วก็ช่วยไปตามครูประจำชั้นมาพาผมไปหาหมอ

ผมขาบวมอยู่หลายวันเพราะมันกัดเข้าไปลึกมาก ลึกจนเป็นแผลเป็นที่น่องอยู่จนถึงทุกวันนี้ ผมไปฉีดยากันพิษสุนัขบ้าหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้ไปเรียนตั้งหลายวัน วันแรกที่ผมกลับไปเรียน พี่แฟรงค์มาหาผมแล้วก็ถามอาการใหญ่เลยว่าเป็นไงบ้าง นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพของ "พี่ชายแฟรงค์ปอสี่" กับ "น้องชายนัทปอสาม"

วันนั้นผมไปโรงเรียนกับพี่สาว แม่ไม่อยากให้ผมปั่นจักรยานเองเพราะกลัวขาบวมขึ้นมาอีก ขาไปตอนเช้าก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนขากลับพี่นิวดันลืมผมซะงั้น โชคดีที่ผมได้เจอพี่แฟรงค์ซะก่อน ผมก็เลยได้ซ้อนท้ายจักรยานพี่แฟรงค์กลับบ้านแทน

พี่แฟรงค์ส่งผมที่บ้านแล้วก็ขี่จักรยานต่อไปอีกราวๆ หนึ่งกิโลเพื่อกลับบ้านของตัวเอง เนื่องจากบ้านผมเป็นทางผ่านไปกลับโรงเรียนของพี่แฟรงค์อยู่แล้ว ตอนเช้าพี่แฟรงค์ก็เลยมารับผมไปโรงเรียนด้วย ตอนเย็นก็มาส่งถึงบ้าน แม้ว่าผมหายดีแล้วและขี่จักรยานเองได้ พี่แฟรงค์ก็ยังขี่จักรยานกลับบ้านกับผมและมาส่งผมที่บ้านก่อนกลับบ้านตัวเองเสมอๆ ผมยังพอจำบรรยากาศที่มีแต่เสียงหัวเราะสนุกสนานของเราสองคนได้แม้ว่าภาพจะลางเลือนก็ตามที อ้อ...บางวันพี่แฟรงค์ก็มากับน้องสาวชื่อเฟิร์นด้วย เฟิร์นอายุเท่าๆ กับผมนั่นแหละ เราเรียนชั้นเดียวกันแต่คนละห้อง

ผมกับพี่แฟรงค์สนิทกันเร็วมาก คุยกันตามประสาเด็กผู้ชายได้ทุกเรื่อง อาจจะเป็นเพราะเราสองคนมีพี่น้องเป็นผู้หญิงทั้งคู่ก็เลยอยากมีพี่น้องที่เป็นผู้ชายบ้าง วันเสาร์อาทิตย์หรือปิดเทอมพี่แฟรงค์ก็จะแวะมาเล่นกับผมและเพื่อนๆ แถวบ้านบ่อยๆ ผมก็เคยไปบ้านพี่แฟรงค์บ่อยครั้งจนรู้จักกับพ่อแม่ของพี่แฟรงค์และคนในครอบครัวหมดทุกคน บ้านพี่แฟรงค์ดูจะมีฐานะดีพอสมควรเพราะมีรีสอร์ทที่เขาค้อด้วย ตอนนั้นเราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จนใครๆ ก็คิดว่าเราเป็นพี่น้องกันไปแล้ว นึกถึงช่วงเวลานั้นทีไรก็มีความสุขทุกครั้ง

แม่ผมทำขนมจีนเส้นสดอร่อยมาก เวลาพี่แฟรงค์มาส่งผมแม่ก็มักจะฝากขนมจีนห่อใส่ถุงให้พี่แฟรงค์เอากลับไปที่บ้านด้วย ที่บ้านพี่แฟรงค์ติดใจขนมจีนฝีมือแม่ผมมากถึงขนาดเคยตามมาขอซื้อถึงบ้าน แต่แม่ผมก็ไม่ขาย บ้านพี่แฟรงค์ก็เลยได้กินขนมจีนฝีมือแม่ผมโดยไม่ต้องเสียเงินจนกระทั่งพี่แฟรงค์เรียนจบปอหก

ผมมีความทรงจำดีๆ ตามประสาเด็กๆ หลายอย่างกับพี่แฟรงค์ แต่น่าเสียดายที่ผมก็จำเรื่องราวเก่าๆ ไม่ค่อยได้แล้วเมื่อโตขึ้น แม้ว่าจะจำรายละเอียดไม่ได้ แต่ผมก็ไม่เคยลืมความรู้สึกอบอุ่นใจที่ผมได้รับจากพี่ชายคนนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรู้สึกที่เรามีต่อคนๆ หนึ่งก็จะยังคงอยู่กับเราตลอดไป

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมยังจำได้ดีเสมอก็คือเรื่องที่พี่แฟรงค์ชอบดุผมเวลาผมเรียกพี่นี่แหละ อายุของเราห่างกันแค่สี่เดือนเศษๆ พี่แฟรงค์ก็เลยไม่อยากให้เรียกพี่เท่าไหร่ คอยห้ามผมไม่ให้เรียกพี่อยู่บ่อยๆ ผมก็เลยเรียกแฟรงค์บ้าง พี่แฟรงค์บ้าง สลับกันไปมาจนบางทีผมเองก็ยังงงๆ

วันสุดท้ายที่ผมได้เจอพี่แฟรงค์ก็คือวันสุดท้ายก่อนปิดเทอม พี่แฟรงค์ขี่จักรยานมาส่งผมที่บ้านอย่างที่เคยทำมาตลอด ผมส่งการ์ดที่เขียนเองกับมือให้พี่แฟรงค์รับไป ในนั้นมีข้อความสั้นๆ เขียนไว้ว่า

"ขอบคุณครับพี่ชาย ผมจะไม่ลืมพี่แฟรงค์นะครับ"

ผมกอดพี่แฟรงค์แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นใหญ่เลยจนแม่ต้องมาช่วยปลอบอีกคน รู้สึกหดหู่ใจและเสียใจมากที่ต้องพลัดพรากจากคนที่ผมผูกพันด้วย พี่แฟรงค์เองก็ร้องไห้เหมือนกัน

ก่อนกลับ แม่ผมส่งถุงขนมจีนให้พี่แฟรงค์เอากลับไปฝากที่บ้านเหมือนเช่นเคย คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่พี่แฟรงค์จะได้กินขนมจีนฝีมือแม่ผม พอถึงเวลากลับ พี่แฟรงค์ก็เดินเข้ามากอดไหล่ผมไว้แล้วก็สัญญากับผมว่า

"ปิดเทอมหน้าพี่จะมาหานัทนะ"

พี่แฟรงค์ไม่เคยเรียกแทนตัวเองว่าพี่เลย ปกติจะเรียกตัวเองว่าแฟรงค์ตลอด มีวันนั้นแค่วันเดียวที่พี่แฟรงค์เรียกแทนตัวเองต่างไป ผมโบกมือลาให้พี่ชายต่างพ่อต่างแม่ที่ขี่จักรยานคู่ใจไกลออกไปด้วยความใจหายและอาลัยอาวรณ์ พี่แฟรงค์คอยหันกลับมามองผมเป็นระยะๆ จนกระทั่งค่อยๆ หายลับไปจากสายตาของผม ผมได้แต่ยืนนิ่งและงุนงงว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่แฟรงค์จากน้องชายคนนี้ไปแล้วทั้งๆ ที่เมื่อวานเรายังเพิ่งวิ่งเล่นด้วยกัน

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยเจอพี่แฟรงค์อีกเลย...

หลังจากวันนั้น ผมก็ขี่จักรยานไปกลับโรงเรียนคนเดียวเหงาๆ ผมเจอเฟิร์นที่โรงเรียนบ้าง แต่เจอแค่เทอมเดียวแล้วเฟิร์นก็หายไปอีกคน ครอบครัวพี่แฟรงค์ย้ายไปอยู่กรุงเทพกันหมดแล้ว ผมก็ยิ่งใจหายหนักกว่าเก่าเพราะเริ่มสังหรณ์ใจว่าคงไม่ได้เจอกันอีก แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย

ผมมีรูปถ่ายใบหนึ่งของผมกับพี่แฟรงค์เก็บไว้ในอัลบั้มรูปเก่าๆ รูปนั้นถ่ายตอนที่เราไปเข้าค่ายลูกเสือด้วยกันที่อนุสรณ์สถานบนเขาค้อ ตอนนั้นผมอยู่ปอห้า พี่แฟรงค์อยู่ปอหก ครูคนหนึ่งช่วยถ่ายรูปของเราไว้แล้วก็อัดรูปนั้นให้เราคนละใบ  แม้ว่านานๆ ครั้งจะได้หยิบมาดู แต่รูปใบนั้นก็ช่วยทำให้ผมไม่เคยลืมหน้าของพี่แฟรงค์เลย ผมไม่รู้หรอกว่าพี่แฟรงค์ยังเก็บรูปนี้ไว้อยู่หรือเปล่า รวมถึงการ์ดใบนั้นที่ผมเขียนให้ด้วย

ผมมักจะขี่จักรยานไปที่บ้านเก่าของพี่แฟรงค์ด้วยความคิดถึงอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นมีครอบครัวใหม่มาอยู่แทนแล้ว เห็นบ้านพี่แฟรงค์ทีไรผมก็ใจหายทุกที คิดถึงแต่ก็ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน ผมกลายเป็นคนเงียบเหงาเศร้าซึมอยู่อย่างนั้นนานเป็นปีๆ เลย

วันสุดท้ายที่ผมไปที่นั่นก็คือตอนที่ผมเริ่มเรียนมอหนึ่ง บ้านเก่าของพี่แฟรงค์ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผมมองดูอย่างเศร้าๆ แล้วก็เกิดความคิดในใจขึ้นมาว่าผมควรจะเลิกมาที่นี่เสียที ยังไงๆ พี่แฟรงค์ก็คงไม่กลับมา ผมค่อยๆ ละสายตาจากบ้านหลังนั้นแล้วก็ขี่จักรยานจากไป แล้วก็ไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น

พี่แฟรงค์ ผมคิดถึงพี่มากนะ พี่เป็นฮีโร่ในดวงใจของผม ผมจะไม่ลืมพี่เลย...

วันเวลาผ่านไปหลายปีแล้ว ความคิดถึงก็ค่อยๆ เจือจางไปและไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผมอีก ชีวิตของผมก็ยังเดินต่อไปตามประสาเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง วัยเด็กอย่างเรานั้นลืมง่ายจะตายไป พอเจอเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ความทรงจำเก่าๆ ก็ค่อยๆ ลบเลือนซีดจาง แต่ทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้านที่เขาค้อ ผมมักจะถามหาพี่แฟรงค์จากเพื่อนเก่าๆ ของพี่แฟรงค์บางคนที่ยังอยู่ที่นั่นเสมอๆ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าพี่แฟรงค์อยู่ที่ไหนนอกจาก "กรุงเทพ" เป็นข้อมูลที่แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับผม

แม้ดูเหมือนว่าผมจะลืมวันคืนเก่าๆ ไปหมดแล้ว แต่ในใจของผมก็ไม่เคยลืมพี่ชายใจดีคนนี้หรอก ผมยังคงหวังอยู่เสมอๆ ว่าสักวันหนึ่งผมจะได้เจอพี่แฟรงค์อีกสักครั้งเพื่อกล่าวคำขอบคุณ ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นพี่น้องที่ผูกพันกัน มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน

ที่สำคัญ ผมยังคงรอคอยคำสัญญานั้นของพี่แฟรงค์เสมอ...

สิบสามปีแล้วที่เราจากกัน นานจนผมแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าผมเคยอยากเจอใครและตั้งใจไว้ยังไง จนกระทั่งวันนี้และตอนนี้ คนที่ผมเฝ้ารอคอยมานานหลายปีก็มายืนอยู่ตรงหน้าราวปาฏิหาริย์

พี่แฟรงค์ พี่ชายใจดีของผม ผมดีใจเหลือเกินที่เราได้กลับมาเจอกัน แม้ว่าเรื่องราววันนั้นจะผ่านไปนานมากแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนพี่แฟรงค์ก็ยังคงเป็นพี่ชายที่แสนดีของผมเสมอ วันนี้แหละ...ที่ผมจะได้ขอบคุณพี่อย่างที่ผมตั้งใจไว้

ที่น่าดีใจไปกว่านั้น คำสัญญาที่พี่แฟรงค์ให้ไว้กับผมก็จะเป็นจริงเสียที...


 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา