แสบนักไม่ให้รักยังไงไหว

-

เขียนโดย ป้านิล

วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 15.02 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,176 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ตอนที่ 2 เนี่ยนะนางเอก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

สวัสดีค่ะนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน

                      นักเขียนหน้าใหม่นามนิลลจันทร์ ขอฝากเนื้อฝากตัว และฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะค่ะ หากใครชื่นชอบนิยายเรื่องนี้เข้าไปทวงถามตามจี้ตอนต่อไปที่ https://web.facebook.com/นิยาย-นิลลจันทร์-นิลดารา-ป้านิล-397085033792182/?ref=hl และที่นี้ https://web.facebook.com/neenlajun ได้เลยค่ะ

นิลลจันทร์

 

ตอนที่ 2

เนี่ยนะนางเอก

          “ไอ้ลูกหนู นั่งหน้าบูดเป็นตูดลิงเลยนะแก” ธีรภพหนุ่มโย่งแซวเพื่อนตัวน้อยแสนสวยแต่สุดแสบของเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

          “แกเคยเห็นมันหน้าตาดีๆ กับเขาบ้างหรือเปล่าวะไอ้ภพ” ธงชาติหันมากัดเพื่อนอีกคน

          “พวกแกก็พูดไปไอ้ลูกหนูน่ะมันสวยจะตาย เสียอย่างเดียวปากหมาว่ะ” พานุงับติดๆ เป็นคนที่สาม

          “หน็อยแน่! ไอ้พวกปากหมาทั้งหลาย ก็ฉันมีเพื่อนเป็นหมานี่หว่าจะให้เหมือนคนได้ไงวะ ขืนทำแบบนั้นก็คบพวกแกไม่ได้กันพอดี” ธารใสว่าเพื่อนเข้าบ้าง ซึ่งสามหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา หญิงสาวกับเพื่อนทั้งสามเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แม่ของเธอเป็นแม่ค้าขายของอยู่ในตลาดคลองเตย ทำให้ธารใสที่ไปช่วยแม่ขายของเป็นประจำได้ปากตลาดอย่างที่ทุกคนชอบชมมาจากแม่ด้วย แถมพวกเพื่อนๆ ของเธออีกสามคนที่คบกันมาตั้งแต่อนุบาลยันจบมัธยมปลาย ก็ดันมาเจอกันได้ทุกครั้งแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนห้องกี่ครั้งก็ตาม สามหนุ่มเองก็ใช่ย่อยปากคอเลาะร้ายพอกัน เพราะแม่ของทั้งสามก็ขายของในตลาดเดียวกับแม่ของเธอนั่นแหละ

          “พวกแกนี่น้า ตอนขึ้นมอหนึ่งใหม่ๆ ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นกรรมที่ทำให้ฉันจับฉลากได้มาเรียนห้องเดียวกับพวกแก เหม็นเบื่อหน้าเป็นบ้า เจอหน้ากันตั้งแต่อนุบาลยันจบมอสาม แต่ฉันก็นึกไม่ถึงเลยว่าพอตอนมอสี่ จับฉลากอีกที พวกแกก็ยังเสร่อมาอยู่ห้องเดียวกับฉันได้ แบบนี้เขาเรียกว่ากรรมซ้ำกรรมซ้อนชัดๆ น่าเบื่อตาย”

          “นี่ไอ้ลูกหนู พวกฉันมันผู้ชายนะโว้ย จะปากร้ายมันก็ไม่เท่าไร แต่แกนี่สิปากแบบนี้สงสัยจะหาผัวไม่ได้”

ธีรภพหนุ่มหน้าตาดีที่สุดในบรรดาคนทั้งสามเอ่ยขึ้น

          “หาไม่ได้ฉันก็จะเอาพวกแกคนใดคนหนึ่งนี่แหละว่ะทำผัว” หญิงสาวจีบปากจีบคอหยอกเพื่อน เพราะตั้งแต่เกิดมาจนโตเป็นสาวก็เห็นแต่หน้าของพวกมัน ขืนเอามาทำผัวคงกระเดือกไม่ลง เพราะไม่ใช่สเปกอย่างที่ไอ้ลูกหนูหวัง

          “เฮ้ย! แกอย่าพูดอะไรทุเรศแบบนั้นสิวะ ไอ้ลูกหนู ฉันไม่มีวันเอาแกทำเมียแน่ๆ” พานุโวยวายด้วยดวงตาเหลือกลาน เหมือนกับเพื่อนกำลังพูดเรื่องคอขาดบาดตายอย่างไรอย่างนั้น

          “ทำไม ฉันมันไม่ดีตรงไหน” ธารใสถามทำหน้ายียวน

          “ก็ไม่ดีตรงปากกับนิสัยแกนี่แหล่ะว่ะ ฉันว่านะแทนที่ฉันจะได้เมีย กลับจะได้แม่ซะมากกว่า แค่คิดก็สยอง” ธงชาติหนุ่มตัวเล็กแต่ขี้เล่นทำท่าสยดสยองประกอบคำพูด

          “หรือแกอยากจะเป็นผัวมันวะ ไอ้ภพ” พานุถามขึ้นมาบ้าง

          “เฮ้ย! ไอ้พวกนี้นี่ โยนมันมาให้ฉันได้ไงวะ ทีพวกแกยังไม่เอา แล้วฉันจะเอามันมาทำซากอะไร ฉันแต่งงานก็เพราะอยากมีเมีย ไม่ได้อยากมีแม่นี่หว่า” ธีรภพปฏิเสธลั่น

          “แหม! พวกแกนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว เวลาฉันไปทำงาน มีพวกหนุ่มๆ มาจีบเยอะแยะ พูดแล้วจะหาว่าคุย” ธารใสยืดอกทำหน้าภูมิใจ แล้วเบ้ปากให้เพื่อนเหมือนจะเหยียดหยามที่ไม่รู้จักมองข้อดีของเธอบ้าง

          “เพราะไอ้พวกนั้นมันยังไม่เห็นธาตุแท้ของแกนะสิวะ ผู้หญิงอะไรน่ากลัวฉิบ” พานุหนุ่มหน้าตาดีแต่ผิวคล้ำนิ่วหน้า

          “แต่วันนี้พวกมันคงจะเห็นกันแล้วว่ะ เพราะฉันต่อยเมียมันปากแตก โทษฐานที่บังอาจมาว่าคนอย่างไอ้ลูกหนูไปแย่งผัวมัน น้ำหน้าอย่างฉันน่ะเหรอจะแย่งผัวใคร สวยเลือกได้ขนาดนี้”

          “เฮ้ย! จริงหรือวะไอ้ลูกหนู” สามหนุ่มถามขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง

          “ก็จริงน่ะสิวะ แล้วฉันก็เลยโดนไล่ออกจากงานแล้วเรียบร้อย ข้อหาก่อความวุ่นวายเพราะความสวยเป็นเหตุ ฉลองวันเกิดครบยี่สิบเอ็ดปีของตัวเองเลยว่ะ เซ็งชะมัด” ธารใสไม่ได้พูดเกินจริง เพราะตั้งแต่วันแรกที่เธอเหยียบย่างเข้าไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งย่านรังสิต ก็มีหนุ่มๆ มากหน้าหลายตาเข้ามากะลิ้มกะเหลี่ย แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมเล่นด้วย เพราะหนุ่มในฝันของเธอที่เจ้าตัวใฝ่ฝันไว้ ต้องหล่อโคตรๆ แบบโดนใจเท่านั้น ประเภทว่าเห็นครั้งเดียวแล้วอึ้ง เธอถึงจะยอมรับ ซึ่งเธอก็ไม่สามารถหาคำจำกัดความได้ว่าไอ้หล่อโคตรๆ นี่มันต้องมีหน้าตาแบบไหน เพราะพระเอกหนังที่เห็นมาไม่ว่าจะไทยหรือเทศ ไม่เห็นมีใครหล่อโคตรแบบโดนใจซักคน

แล้ววันแรกในการทำงานของเธอ ก็ต้องถูกบรรดาสาวๆ ในโรงงานต่อต้าน เพราะว่าธารใสกวาดชายหนุ่มที่ทำงานในนั้นไปกินจนเรียบ ทั้งที่ไม่ได้อยากกวาดเลยแม้แต่นิดให้ตายเหอะ ก็พวกนั้นเล่นมานั่งเฝ้าเธอทั้งเช้าทั้งเย็นก่อนทำงานและหลังเลิกงาน จะพูดอย่างไรด่าแบบไหนก็ไม่มีใครสะเทือน จนเกิดเรื่องราวกันหลายครั้งหลายหนกับความหึงหวงของบรรดาสาวๆ และในวันนี้ก็เป็นครั้งที่เท่าไรเธอเองก็ลืมนับ หัวหน้างานเลยเชิญเธอไปหาแล้วยื่นซองขาวให้ แล้วเชิญเธอออกจากที่ทำงานโดยบอกเหตุผลว่าเธอสวยเกินไปจนทำให้มีแต่เรื่อง

          “มันมีแบบนี้ด้วยหรือวะไอ้ลูกหนู ข้อหาบ้าบออะไรกัน” พานุพูดพร้อมกับจ้องหน้าสวยของเพื่อนเขม็ง จำไม่ได้แล้วว่าครั้งที่เท่าไร ที่ความสวยแสบของมันเป็นเหตุทำให้ต้องเกิดเรื่องราวหลายต่อหลายครั้ง และพวกเขาก็ต้องคอยตามแก้ให้ทุกที

          “ก็มีสิวะ ฉันเคยโกหกพวกแกหรือไง”

          “ถือว่าเป็นความซวยก็แล้วกันว่ะ ที่อยากเกิดมาสวยแล้วเสือกแสบอีก แล้วทีนี้แกจะทำยังไงต่อวะ” ธงชาติยักไหล่อย่างไม่รู้จะทำอะไรให้มันดีกว่านั้น

          “ไม่รู้ดิ หางานทำใหม่มั้ง”

          “หางานทำใหม่ พูดง่ายนะแกน่ะ งานสมัยนี้มันไม่ได้หาง่ายๆ นะโว้ย แล้วตัวแกก็กะเปี๊ยกเดียว สูงแค่ร้อยห้าสิบสี่ จะห้าก็ไม่เสือกห้า หางานยากจะตาย” ธงชาติบ่นแบบไม่จริงจัง แต่ก็แฝงด้วยความเป็นห่วง เพราะโรงงานแต่ละแห่งจะรับพนักงานผู้หญิงที่สูงร้อยห้าสิบห้าขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีกฎเกณฑ์บ้าบออะไรแบบนั้นด้วย แต่บังเอิญตอนธารใสเข้าไปทำงานที่โรงงานที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตที่ทำงานไปแล้วนั้น คนกำลังขาดเขาก็เลยจำใจต้องรับไว้

          “หาไม่ได้ก็ต้องหาว่ะ” หญิงสาวยักไหล่

          “ทำไมแกไม่กลับไปช่วยแม่ขายของวะ” ธีรภพถาม

          “แกจะให้ฉันกลับไปให้แม่จับฉันประเคนให้ไอ้บ้าตาตี่นั่นหรือไง” พอพูดถึงเรื่องนี้สาวสวยก็มีอารมณ์เดือด เธอกำพร้าพ่อมาตั้งแต่อายุสิบเจ็ด อาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นแม่ค้ามาสองคนเท่านั้น ร้านค้าของแม่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก วันหนึ่งๆ หักต้นทุนแล้วก็เหลือกำไรสี่ห้าร้อย แต่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง ค่าเช่าแผงในตลาด และค่าอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะจนไม่มีเงินเก็บ ทำให้เธอและเพื่อนๆ ต้องเรียนจบกันเพียงแค่มัธยมปลายเท่านั้น และผู้ชายที่เธอพูดถึงมีชื่อว่าสุพจน์เป็นลูกชายของเจ้าของร้านขายของชำขนาดกลางภายในตลาด ที่ตามจีบเธอมาตั้งแต่มัธยมต้นจนถึงเดี๋ยวนี้ แต่หญิงสาวก็ไม่เคยเล่นด้วย อีกอย่างอีตาสุพจน์อะไรนี่มักจะเอาของต่างๆ มากำนัลแม่เธอเสมอ จนแม่ถึงกับออกปากยกเธอให้เขา เมื่อชายหนุ่มพูดขอเพราะอยากให้ลูกได้มีอนาคตที่ดี ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการได้สามีรวยมันจะทำให้มีอนาคตดีตรงไหน ถ้าหากผู้ชายคนนั้นเธอไม่ได้มีความรักให้และนิสัยเข้ากันไม่ได้

          “ทำไมแกไม่ชอบวะ ฉันว่าพี่พจน์เขาหล่อดีนะ หน้าเหมือนพระเอกเกาหลีเลย” ธงชาติพูดตามความเป็นจริง เพราะสุพจน์หน้าตาค่อนข้างดี สูงเพรียวและมีผิวขาวแถมยังสุภาพเรียบร้อยอีกด้วย แต่ไม่รู้ตาตี่ๆ นั่นไปมองเพื่อนสาวของเขาที่สวยแต่แสนแสบอีท่าไหน ถึงได้เห็นความน่ารักน่าทะนุถนอมจนยอมหลุดมาดคนเรียบร้อยตามจีบเพื่อนของเขานานหลายปี โดยที่ไม่เคยหันมองผู้หญิงคนไหนเลย น่าสงสารจะตายไอ้ผู้ชายโง่ๆ แอบนินทามันซะเลย

          “บังเอิญฉันไม่ค่อยชอบว่ะ ฉันมันพวกอนุรักษ์นิยม ฉันก็เลยชอบพวกหล่อแบบไทยที่สุด หล่อแบบอื่นไอ้ลูกหนูไม่เอา” หญิงสาวคิดแบบนั้นจริงๆ เธอเบื่อพวกผู้หญิงสมัยนี้ ที่ส่วนมากเอาแต่กรี๊ดกร๊าดพวกดาราเกาหลีญี่ปุ่น ที่ตัวผอมสูง ผิวก็ขาวจนหาความเป็นผู้ชายไม่เจอ แถมตาก็เล็กตี่ซะจนบางทีเธอก็นึกสงสัยว่ากลางคืนพวกนี้จะมองถนนหนทางเห็นหรือเปล่า มันต้องหนุ่มไทยที่ตัวสูงใหญ่แข็งแรง หล่อบาดใจ คิ้วเข้มตาดุ ผิวคมเข้มแบบนั้นแหละน่าซบอกเป็นที่สุด

          “ฉันเห็นแกพูดแบบนี้มาตั้งแต่มอหนึ่งจนถึงมอหกแล้วนะ แกก็ไม่เห็นสนใจใครซักคน ทั้งที่คนที่แกพูดถึงก็มาจีบแกเยอะแยะ” พานุแย้งเพื่อนคนสวย

          “มันก็ใช่แบบที่ฉันพูดก็จริง แต่มันหล่อไม่โดนใจฉันนี่หว่า เออ! พวกแกเงียบเถอะ เอาไว้ฉันหาผัวแบบนั้นได้เมื่อไรฉันจะพามาอวดพวกแกทันที”

          “แล้วที่แกมาหาพวกฉันนี่มีอะไรวะ” พานุถามเพราะตอนนี้มันก็สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว หลังจากที่พวกเขากลับจากการทำงานที่วันนี้พ่วงโอทีด้วย กลับมาที่ห้องพักก็พบเพื่อนสาวคนสวยนั่งรออยู่ในห้องพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง เพราะพวกเขาเอากุญแจสำรองไว้ให้เพื่อนถือพวงหนึ่ง สามหนุ่มทำงานที่โรงงานเดียวกันตั้งแต่จบมัธยมปลายใหม่ๆ จนตอนนี้ครบสามปีแล้ว แต่หญิงสาวต้องอยู่ช่วยแม่ขายของที่ตลาด จนกระทั่งเมื่อครึ่งปีที่แล้ว มันก็วิ่งแจ้นมาหาพวกเขาที่นี่บอกให้ช่วยฝากงานให้หน่อย เพราะแม่บังคับให้แต่งงานกับสุพจน์ซึ่งมันก็อ้างไปแบบนั้นแหละ น่ากลัวจะขี้เกียจฟังน้าสายธารบ่นมากกว่า คนอย่างมันนะหรือใครจะไปบังคับได้ มีปากและนิสัยเป็นอาวุธซะขนาดนั้น  แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าสามหนุ่มจะอ้อนวอนหัวหน้างานอย่างไร เขาก็ไม่ยอมรับ เพราะส่วนสูงไม่ถึงมาตรฐาน ธารใสเลยต้องไปหางานทำอีกที่หนึ่งแทน     

          “มาทำไม ถามได้นะไอ้นุ ก็หมาตัวไหนวะ โทร.สั่งให้ฉันซื้อของมาให้”

          “จริงดิ  ลืมไปเลย ว่าแต่ทั้งหมดนี่เท่าไร” พานุพูดเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ เขามักจะโทร.ให้เพื่อนรักซื้อของใช้ของจำเป็นเช่นผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ มาให้อยู่เสมอและครั้งนี้ก็ฝากจ่ายค่าโทรศัพท์ให้ด้วย

          “ทั้งหมดก็หนึ่งพันเจ็ดร้อยหกสิบห้าบาท ค่าเสียเวลาด้วยรวมแล้วก็สองพันจ่ายมาซะดีๆ”

          “เอ้า! เอาไป แหม! แค่นี้ก็ต้องคิดด้วย ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดก็แล้วกันว่ะ” พานุทำเป็นบ่นแต่ก็ยอมควักให้แต่โดยดี เพราะเห็นใจเพื่อนที่ตัวเล็กนิดเดียวแต่ต้องหิ้วของมาให้เขาแบบนี้ แถมต้องโหนรถเมล์มาส่งให้ถึงที่ เพราะที่พักของเขาอยู่สำโรง แต่ธารใสอยู่ที่บางนา

          “เฮ้ย!” หลังจากที่รับเงินจากเพื่อนมาแล้วก็ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง แต่จะหาอย่างไรก็หาไม่เจอก็ชักใจเสีย

          “อะไรของแกวะไอ้ลูกหนู ตกใจหมด” ธงชาติถามขึ้นเมื่อได้ยินเพื่อนรักร้องเสียงดังตกอกตกใจ

          “กระเป๋าตังค์ฉันหายว่ะ”

          “บ้าน่า แกไปเอาไว้ที่ไหนล่ะ”

          “ก็เอาไว้ในกระเป๋าด้านหน้านี่ไง”

          “แล้วมันจะไม่หายได้ยังไงวะ ก็แกลืมรูดซิป ถามจริงเถอะไอ้ลูกหนู เมื่อไรแกจะเลิกนิสัยขี้ลืมซักทีวะ” ธีรภพมองดูกระเป๋าสะพายลายเต่าของเพื่อนคนสวยที่ซิปไม่ได้รูด ซึ่งเป็นนิสัยประจำตัวที่แก้ไม่เคยได้ของหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นการที่เปิดประตูแล้วเอากุญแจเสียบคาลูกบิดไว้ ส่วนเจ้าตัวก็เดินเข้าห้องจนบางทีตอนเช้าจะออกจากห้องนั่นแหละถึงจะรู้ว่าเสียบกุญแจคาไว้ แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ลืมกุญแจไว้กับลูกบิดเพื่อนของเขาก็จะลืมล็อคห้องซะงั้น นี่ดีนะที่แถวนั้นไม่มีพวกโจรโรคจิตเพราะมีแต่คนงานแก่ๆ ที่ทำงานแบบเช้าบ่ายดึกกับผู้หญิงซะส่วนมาก ไม่งั้นป่านนี้มันคงมีผัวไปแล้ว ไหนจะการลืมรูดซิปกระเป๋า ลืมนั่นโน่นนี่และอะไรอีกสารพัดที่จะลืม และเพราะไอ้ความขี้ลืมของเธอนี่แหละ ทำให้ธารใสต้องไปพบเจอกับเหตุการณ์ที่สุดแสนจะน่ากลัว(มั้ง) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

          “ก็คนมันลืมนี่หว่าจะให้ทำยังไงได้ พวกแกนี่ก็ จะปลอบใจซักนิดก็ไม่มี แล้วฉันจะทำยังไงดีวะ สิ้นเดือนก็ต้องจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ต้องเอาเงินสำรองไว้หางานอีก ช่วยคิดหน่อยสิ”

          “ไม่ต้องคิดหรอก อีกอาทิตย์กว่าจะสิ้นเดือน แกก็รีบหางานก่อน ส่วนค่าน้ำค่าไฟและก็ค่าโทรศัพท์ของแกเดี๋ยวเงินออกฉันจะให้ยืม” ธีรภพว่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็รักหญิงสาวคนนี้เพราะถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด ก็คบกันมาตั้งแต่เด็ก   

“ส่วนค่าใช้จ่ายในการหางาน ฉันกับไอ้ชาติจะช่วยเอง ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิด นึกว่าเห็นแก่ลูกหมาตาดำๆ ว่ะ” พานุพูดขึ้นบ้าง ทำเอาคนฟังถึงกับมองค้อนกับคำเปรียบเปรยของเพื่อน

“นี่ดีนะที่ฉันไม่ต้องจ่ายค่าห้อง ไม่อย่างนั้นไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาจ่าย” หญิงสาวถอนหายใจ แรกๆ นั้นที่เธอไปอาศัยอยู่ที่หอพักที่อาศัยอยู่ในขณะนี้หญิงสาวอยู่อีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องข้างๆ กับห้องปัจจุบันของเธอ และเหตุผลที่ไปพักที่นั่น ก็เพราะว่าน้าสาวของธีรภพซึ่งเป็นสาวเทื้อวัยสามสิบแปดปีอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน สามหนุ่มจึงฝากหญิงสาวให้น้าช่วยดูแลให้โดยการไปพักห้องว่างข้างๆ ที่คนเช่าคนเก่าเพิ่งย้ายออกไป แต่พอเธออยู่ได้สองเดือน น้าสาวของธีรภพที่พิสมัยการนวดเป็นชีวิตจิตใจและอยากจะไปต่างประเทศก็ถูกส่งตัวไปนวดที่ใต้หวัน โดยนายฝรั่งที่เป็นเจ้าของสปาหลายแห่งที่กรุงเทพฯที่น้าสาวของธีรภพทำงานอยู่ และก็ขยายสาขาไปที่ใต้ หวันด้วย จึงให้น้าสาวของธีรภพไปช่วยดูแล เพราะเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่ด้วยกันมานานกว่าสิบปี น้าสาวของธีรภพที่มีสมบัติส่วนตัวในห้องมากมาย และก็อาศัยอยู่ที่หอพักนั่นมานานตั้งแต่สร้างใหม่ๆ ก็เลยไม่อยากจะย้ายไปไหน เลยให้เธอย้ายไปอาศัยอยู่ที่ห้องของตัวเองแทน เพื่อให้เธอช่วยดูแลข้าวของให้ โดยจะโอนเงินค่าห้องมาให้เจ้าของหอทุกเดือน แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ธารใสต้องเป็นคนจ่ายเอง หญิงสาวเลยประหยัดเงินค่าห้องพักไปอีกสองพันบาท

          “เอาน่า อย่าเพิ่งคิดมากเลย ตอนนี้มันก็ดึกแล้วฉันว่าแกควรจะกลับได้แล้วนะ” ธีรภพเอ่ยเตือน

          “ไปก็ได้วะ ฉันต้องรีบไปนอนพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปหางานทำ เดี๋ยวไม่มีตังค์ส่งให้แม่” ธารใสทำตามอย่างว่าง่าย และนี่ก็เป็นนิสัยที่ดี(มั้ง)อีกอย่างหนึ่ง ที่เพื่อนของพวกเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมาก จนบางทีแทบจะไม่คิดอะไรเลยก็มี

 

          “ใกล้จะถึงหรือยังน้าเดช” อหังการ์หันไปถามเดชด้วยความร้อนใจ

          “ใกล้แล้วครับคุณเชิด แยกหน้านี่แหละครับเลี้ยวเลย” จบคำพูดของเดช อหังการ์ก็หักพวงมาลัยเลี้ยวไปตามทางที่บอก ซึ่งสองข้างทางมีแต่พงหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมดและมืดตื๋อไร้แสงไฟ เพราะเป็นพื้นที่รกร้าง ตาคมดุกวาดหาร่างของสะท้านกรุง จนกระทั่งเข้ามาเกือบสามร้อยเมตรก็ยังมองไม่เห็น

          “ผิดซอยหรือเปล่าน้า” อหังการ์ชักใจเสียและรุ่มร้อนด้วยความเป็นห่วงน้องชาย กลัวว่าหากช้าไปพวกเขาอาจจะช่วยสะท้านกรุงไม่ทัน

          “ไม่ผิดหรอกครับคุณเชิด ซอยนี้เมื่อก่อนจะมีป้ายตั้งอยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน ผมผ่านแถวนี้บ่อยครับ ผมจำได้ นั่นไงครับ ใช่คุณจิ๊บแน่ ๆ เลยคุณเชิด” ขณะที่กำลังพูดกับอหังการ์อยู่นั้นสายตาของเดชก็ปะทะกับร่างของคนที่มองเห็นได้จากไฟหน้ารถ ว่าร่างนั้นอยู่ในชุดนักศึกษามีเลือดเปื้อนเต็มเสื้อจนเสื้อสีขาวกลายเป็นสีคล้ำ อหังการ์นำรถเข้าไปจอดด้านหน้าร่างนั้นแล้วรีบวิ่งลงไปดู มือใหญ่เอื้อมไปจับร่างจมกองเลือดที่กำลังฟุบหน้าให้หงายขึ้น ก็เห็นว่าเป็นน้องชายของเขาที่กำลังไร้สติหายใจรวยริน ชายหนุ่มถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความแค้นแน่นอก

          “แค่ผู้หญิงหน้าด้านคนเดียวถึงกับต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือ” อหังการ์พูดด้วยความเดือดดาล

“ตายแล้วตาจิ๊บ โอ๊ย! จะเป็นลม” ดาริกาที่วิ่งตามหลานชายมา เมื่อเห็นสภาพของลูกชายก็ถึงกับเป็นลมเกือบล้มฟุบ ดีที่เจตน์ซึ่งวิ่งตามเจ้านายหนุ่มมารับไว้ได้ทัน

“เจตน์แกพาอาดาไปที่รถ น้าเดชครับเรียกรถพยาบาลเถอะ สภาพแบบนี้ผมกลัวว่าถ้าเราเคลื่อนย้ายกันไม่ถูกจิ๊บอาจจะแย่” อหังการ์สั่งการ เพราะความที่เขาต้องคุมคนงานและรับงานใหญ่คนเดียวมาตั้งแต่บิดาเสียชีวิตและใช้สติปัญญาความสามารถในการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนที่มีความรอบคอบ

“ทางนี้ครับทางนี้” เจตน์โบกมือให้กับรถพยาบาลที่เข้ามารับให้มาจอดยังด้านหน้าที่มีร่างบาดเจ็บของสะท้านกรุงนอนอยู่ บุรุษพยาบาลยกคนบาดเจ็บขึ้นรถด้วยความชำนาญ แต่ในขณะที่ร่างของสะท้านกรุงกำลังถูกเข็นขึ้นไปบนรถพยาบาลนั้น ร่างสูงของอหังการ์ก็ตามไปด้วยติดๆ คิ้วหนาขมวดกันจนยุ่งเพราะเท้าใหญ่เหยียบโดนอะไรซักอย่าง ชายหนุ่มยกเท้าขึ้น ตาคมก้มมองสิ่งที่อยู่ใต้รองเท้าเมื่อครู่ กระเป๋าสตางค์สีชมพูลายการ์ตูนรูปเต่าน่ารัก หรือจะเป็นของผู้หญิงคนนั้น มือใหญ่หยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาก่อนที่จะยัดลงไปยังกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลังของตัวเอง

 

หลังจากที่เรียกรถพยาบาลมารับตัวสะท้านกรุงแล้ว ทั้งหมดก็พากันขึ้นรถตามมาที่โรงพยาบาล คุณหมอที่ดูอาการของคนไข้ที่ค่อนข้างสาหัส กระดูกแขนร้าว ซี่โครงร้าวสองซี่ แถมศีรษะแตกเป็นแผลฉกรรจ์เลยพาคนไข้เข้าห้องผ่าตัดด่วน อหังการ์แค้นจนจุก ถึงเขากับสะท้านกรุงจะมีอายุห่างกันถึงแปดปี แต่ก็สนิทสนมกันมาก เพราะน้องชายมักจะขึ้นไปหาเขาที่ไร่เสมอในช่วงปิดเทอมทุกปีตั้งแต่เด็กจนโต มาปีนี้เท่านั้นที่สะท้านกรุงหายไป พอเขาโทร.มาถามก็บอกว่าไม่ว่างเพราะมีแฟนต้องคอยเอาใจ แต่พอเขาถามถึงผู้หญิง น้องชายก็เล่าให้ฟังว่าหญิงสาวเป็นคนน่ารักและเอาใจเก่ง อาศัยอยู่ในห้องพักเก่าๆ กับแม่เพียงสองคน แต่นานๆ ทีแม่ถึงจะมาซักครั้งหนึ่ง เพราะแม่ขายของอยู่ในตลาดที่ไกลออกไปจากที่นั่นก็เลยเช่าห้องที่อยู่ใกล้กับตลาด จากนั้นก็หัวเราะด้วยความสุข ชายหนุ่มก็คิดว่าน้องชายคงได้ผู้หญิงดีๆ มาเป็นแฟน แต่ที่ไหนได้กลายเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจและไร้หัวใจจนเกินจะรับ

“อาดาครับ ผมว่าคนดีอย่างจิ๊บต้องไม่เป็นอะไร อาดาไม่ต้องเป็นห่วง” อหังการ์ปลอบอาสะใภ้ที่ตอนนี้กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำใจไม่ได้กับสภาพบาดเจ็บปางตายของลูกชายคนเดียว

“จิ๊บ โธ่! จิ๊บ ทำไมนะเชิด ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้ใจร้ายแบบนี้ มีแฟนแล้วจะมาหลอกตาจิ๊บอีกทำไม แถมยังให้แฟนมาทำร้ายกันปางตายซะขนาดนี้”

“ทำไมอาดาถึงคิดว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นครับ”

“ก็จะมีใครอีกล่ะเชิด ผู้หญิงที่ตาจิ๊บชอบก็มีคนเดียว แล้วที่หนีไปนี่ก็เพราะไปหาแม่นั่นนั่นแหละ ไม่เชื่อก็ถามเดชดูสิ” ดาริกาบอกกับหลานชาย

“จริงๆ ครับคุณเชิด คุณจิ๊บเคยเล่าให้ผมฟังว่าแฟนเป็นคนสวยมาก แต่พักหลังพอคุณจิ๊บไม่ยอมซื้อรถให้ และก็ไม่ได้ให้เงินมากๆ เหมือนแต่ก่อนเพราะโดนคุณดายึดบัตรไปหมด แฟนคุณจิ๊บก็เลยตีตัวออกห่าง ก่อนจะสอบคุณจิ๊บยังเปรยๆ กับผมเลยครับ ว่าตอนนี้แฟนคุณจิ๊บไปคบกับผู้ชายคนใหม่ เพราะผู้ชายคนนั้นน่าจะช่วยหาเงินให้เธอส่งไปให้แม่ได้ แต่คุณจิ๊บก็ยังอุตส่าห์พูดในทำนองเห็นใจอีกนะครับ ว่าผู้หญิงคนนั้นน่าสงสารที่ไม่ได้เรียนต่อเพราะไม่มีเงินแล้วยังดิ้นรนทำงานหนักทุกอย่างเพื่อนำเงินไปให้แม่ที่ต้องทำงานหนักเหมือนกัน ผมคิดว่าที่คุณจิ๊บหนีผมไป ก็เพื่อจะไปหาผู้หญิงคนนั้นแหละครับ” คำยืนยันของทั้งสองทำให้อหังการ์ยิ้มเหยียด ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินซะทั้งหมด ถ้าหากแม่คนนั้นขยันและไม่เห็นแก่เงินหรือข้าวของเครื่องใช้ จะขอมาได้ยังไงกับรถราคาเป็นล้าน

“แต่ตอนที่ผมไปส่งคุณจิ๊บที่มหา’ลัยเมื่อสองเดือนก่อน ผมแอบได้ยินหนุ่มๆ กลุ่มหนึ่งที่คุณจิ๊บเดินผ่าน ที่น่าจะรู้จักผู้หญิงคนนั้นมาก่อนพูดลับหลังว่า คุณจิ๊บน่ะโง่ ที่ตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้น เพราะเธอไม่เคยรักใครจริง เปลี่ยนผู้ชายเป็นว่าเล่น ใครที่มีเงินผู้หญิงคนนั้นก็จะเกาะแจ แต่พอเงินหมดเธอก็จะตีตัวออกห่าง ผมได้ยินมาแบบนี้แหละครับ”

“แล้วน้าเดชพอจะจำหน้าผู้ชายกลุ่มนั้นได้ไหม” อหังการ์ถาม

“จะไม่ได้ครับ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าไปที่มหา’ลัยเท่าไร ที่วันนั้นเข้าไปเพราะบังเอิญว่าคุณจิ๊บลืมหนังสือ ผมเลยวิ่งเอาไปให้และก็ได้ยินเรื่องราวอย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละครับ” คำตอบของเดชทำให้อหังการ์ถอนใจเฮือกเพราะไม่มีความกระจ่างใดๆ เลย  

“งั้นผมขอตัวออกไปข้างนอกซักครู่นะครับ” เมื่อไม่ได้ความอะไรซักอย่าง ชายหนุ่มก็เลิกสนใจเรื่องนี้ไปชั่วคราว แล้วรีบเดินออกมายังด้านนอกโรงพยาบาล เพื่อหาซื้อน้ำดื่มไปให้คนทั้งหมด แต่ขณะที่กำลังจะล้วงเงินในกระเป๋าออกมา ก็พบว่าเป็นกระเป๋าที่เขาเก็บได้เมื่อครู่ ชายหนุ่มยัดกระเป๋าใบนั้นลงไปที่เดิม แล้วนำเงินในกระเป๋าของตัวเองออกมาจ่าย จากนั้นก็เดินออกมาจากร้านขายของเปิดดูกระเป๋าที่เก็บได้เมื่อครู่อย่างพิจารณา

คิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อเห็นรูปของหญิงสาวที่สอดอยู่ในกระเป๋า ใบหน้าสวยใส จมูกโด่งเล็ก ตากลมโตใต้แผงคนตางอนงามละม้ายพวกแขก หรือจะเป็นของผู้หญิงคนนั้น ต้องใช่ผู้หญิงแพศยาคนนั้นแน่ๆ คงทำตกไว้ในขณะยืนมองคู่ขาคนใหม่ของตัวเองกำลังจัดการกับน้องชายของเขา อหังการ์กัดฟันกรอดด้วยความแค้นที่สุมแน่นเต็มอก มือใหญ่ค้นดูตามช่องลับต่างๆ ดึงบัตรประชาชนออกมาดู

‘นางสาวธารใส  พุ่มสุข’ อ้อ! เธอนี่เอง ชื่อก็เพราะหน้าตาก็สวยดี แต่คงเป็นประเภทข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงซะมากกว่า อหังการ์ยัดกระเป๋าสีชมพูใบนั้นใส่ในกระเป๋ากางเกงยีนของตัวเองอีกครั้ง เขาได้ข้อมูลและรูปถ่ายที่จะนำพาเขาให้ไปทวงความยุติธรรมคืนจากคนที่เป็นต้นเหตุทำให้น้องชายของเขาต้องเจ็บปางตายแล้ว

“น้าเดชครับ น้าเดชรู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงคนนั้นพักอยู่ที่ไหนและทำงานอะไร” เมื่อเข้ามาในโรงพยาบาลแล้ว อหังการ์ก็ยื่นน้ำดื่มให้ทุกคน แล้วก็เอ่ยถามข้อมูลของผู้หญิงแพศยาคนนั้นทันที

“เคยได้ยินเหมือนกันครับว่าพักอยู่ในห้องเช่าเก่าๆ ห้องหนึ่งกับแม่เพียงสองคน แต่นานๆ ทีแม่ถึงจะกลับเพราะขายของอยู่อีกทีหนึ่งก็เลยนอนอยู่ใกล้ๆ กับที่ขายของมากกว่าจะกลับมาหาเธอที่ห้อง เอ้! คลับคล้ายคลับว่าจะได้ยินว่าอยู่แถวไหนน้า ใช่แล้วครับรู้สึกว่าจะพักอยู่แถวบางนา เคยทำงานเป็นสาวเชียร์เบียร์อยู่ที่ร้านลีโอคาราโอเกะหรืออะไรซักอย่างนี่แหละครับ ผมก็จำไม่ค่อยได้” แม้จะได้ยินดาริกาเล่าให้ฟังแล้วครั้งหนึ่งว่าหญิงสาวคนนั้นพักอยู่แถวบางนา แต่ตอนนี้สิ่งที่เดชบอก เขาได้ข้อมูลเพิ่มมาอีกอย่างคือที่ทำงานของเจ้าหล่อน และแม้จะได้คำตอบเพียงเท่านี้แต่ก็ถือว่ามากพอแล้วสำหรับเขา ที่จะนำตัวผู้หญิงแพศยาคนนั้นมาลงโทษให้สาสมกับความผิด

“อาดาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะต้องให้ผู้หญิงคนนั้นมาขอโทษจิ๊บให้ได้” อหังการ์พูดเสียงต่ำ ดวงตาคมดุวาวโรจน์ด้วยความแค้นเคือง

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา