Kiss of Winter จุมพิตแห่งเหมันต์

-

เขียนโดย โรสลินดา

วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.01 น.

  4 chapter 1 คืนแห่งความเปลี่ยนแปลง
  0 วิจารณ์
  5,922 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 17.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ 1 คืนแห่งความเปลี่ยนแปลง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มีนาเป็นหญิงสาวเจ้าของรูปร่างบอบบางและผมยาวงามสีเข้ม เธอมีบุคลิกที่เงียบขรึมครุ่นคิด แม้กระทั่งดูซึมเศร้าในบางขณะ และเพราะว่าเธอเลือกที่จะใช้เวลาค่ำคืนส่วนใหญ่หลังเลิกงาน กลับบ้านไปหมกตัวอยู่กับกองหนังสือ แทนที่จะชอบพบปะสังสรรค์เช่นคนอื่นๆในวัยบัณทิตจบใหม่ ทำให้เพื่อนผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันต่างก็บ่น ว่ามีนานั้นเป็นคนที่น่าเบื่อและไม่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัว แต่ด้วยความที่เป็นคนสวย ทำให้บรรดาชายหนุ่มต่างก็ต้องแอบมองเธออยู่ห่างๆ เพราะว่าเธอมีแฟนหนุ่มที่คบหากันอยู่แล้ว

หัวค่ำวันหนึ่ง หลังจากสายฝนหยุดโปรยปราย หญิงสาวที่เพิ่งจะเสร็จงานออกจากออฟฟิศมาได้ ก็รีบร้อนเดินทางไปยังร้านอาหารที่นัดหมายกันไว้กับคนรัก

“มีนา วันนี้ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกกับคุณ” หญิงสาวเปิดดูข้อความนั้นในมือถือซ้ำอยู่หลายครั้งด้วยใจเต้นระส่ำ เธออยู่ในชุดเครื่องแบบพนักงานเชยๆกับรองเท้าส้นสูงไม่มากแบบหุ้มส้นและเส้นผมยาวเหยียดที่ถูกรวบรัดเอาไว้อย่างง่ายๆ

“โอ๊ย ตายแล้ว” เธอพึมพำเบาๆ เมื่อมาถึงหน้าร้านอาหารที่ดูหรูหรากว่าที่ตนคาดคิด พลางมองสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้ากับเงากระจกหน้าต่างร้าน ก่อนจะรีบดึงเอาเชือกรัดผมออก แต่แล้วก็ถอนใจแล้วรีบกลับรวบผมเข้าเป็นทรงเดิม ที่ดูยุ่งเหยิงหนักกว่าเก่า เธอเดินเก้กังเข้ามานั่งร่วมโต๊ะ กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

เขาคนนั้นรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสันแต่ไม่ถึงกับหล่อเหลาสะดุดตา ทว่าด้วยนิสัยสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ และเสียงพูดที่นุ่มนวลหนักแน่น ก็ทำให้เขาเป็นที่รักใคร่และเชื่อใจของคนรอบตัวได้ไม่ยาก

“ขอโทษที่ต้องให้รอนะคะ มีงานเข้ามาเพิ่มตอนเย็น จะปลีกตัวกลับก็ไม่ได้” เธอบ่นอุบ แต่ร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับเพียงแต่ทำท่าอมยิ้มไม่หยุด

“อะไร มีอะไรเหรอ” มีนาถามทั้งอดอมยิ้มตามไม่ได้

“ผมได้เลื่อนตำแหน่งแล้วมีนา แต่ต้องย้ายไปอยู่ประจำที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทที่ฝรั่งเศส” เขาเอ่ยออกมาในที่สุดด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข แรกที่ได้ฟังหญิงสาวส่งยิ้มหวาน แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนไปเป็นหน้าเสียในอึกใจต่อมา

“คุณจะไปเมื่อไหร่คะ?” เธอเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง

“อีกสามเดือน” ชายหนุ่มส่งเสียงกระตือรือร้นตรงกันข้ามกับท่าทีของแฟนสาว

หลังจากมื้อเย็น ชายหนุ่มก็อาสาขับรถพาเธอมาส่งที่อพาร์ตเมนต์ แต่ก่อนจะถึงที่ จู่ๆเขาก็กลับหาที่จอดรถ

“เป็นอะไรไปหรือครับ เห็นไม่ค่อยพูดค่อยจาเลย” หญิงสาวส่ายหน้าด้วยความน้อยใจ แต่เขากลับยิ้มกว้างจนเธอต้องขมวดคิ้วให้

“ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆใช่หรือเปล่า”

“ถ้าคุณจะเลือกโอกาสด้านหน้าที่การงานก็เพื่ออนาคตของตัวคุณเอง ฉันไม่รั้งคุณเอาไว้หรอกค่ะ” ใบหน้าสวยอ่อนบางเอ่ยทั้งที่น้ำตานั้นขึ้นมาเอ่ออยู่จนแทบจะล้นอยู่ร่ำไร

“มานี่สิ มานี่” เขารีบลงจากรถมาเปิดประตูฝั่งหญิงสาว แล้วจูงมือเธอเดินข้ามสวนสาธารณะ เข้ามาในมุมสวนเล็กๆทรงกลมสวนหนึ่ง ซึ่งมีน้ำพุรูปทรงสวยงามอยู่ตรงกลาง

มีนามองสำรวจไปรอบๆอย่างแปลกใจ

“สวยจังค่ะ อยู่ใกล้ที่พักของฉันแค่นี้ ทำไมไม่ยักรู้ว่ามีสวนนี้อยู่เลย” เธอพึมพำแต่พอหันกลับมาหาแฟนหนุ่ม ก็พบว่าเขามีกล่องอัญมณีเล็กๆอยู่ในมือ เธอยิ้มทั้งน้ำตาคลอตอนที่ฝ่ายชายหยิบเอาแหวนเพชรออกมา ด้วยมือที่สั่นเล็กน้อยจากความประหม่าของเจ้าตัว

“มีนา คุณจะได้โปรดแต่งงานกับผมได้หรือเปล่า?” ชายหนุ่มพูดออกมาในที่สุด

เธอยิ้มกว้างก่อนจะตอบตกลง ด้วยความรักที่มีต่อเขานั้นอัดแน่นอยู่เต็มอก ก่อนที่ทั้งสองร่างที่ดวงใจเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขจะโอบกอดกันไว้แน่น โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าสตรีของรูปสลักตรงกลางน้ำพุ ต้องแสงสะท้อนจากพื้นน้ำที่สั่นไหว จนดูคล้ายกลับว่ามันเปลี่ยนสีหน้าไป

เดือนต่อมา

ท่ามกลางบรรยากาศที่หนักอึ้งยามพลบค่ำ กาลเวลาไหลผ่านร่างของเธอไปช้าๆราวกับใบมีดที่ถูกค่อยๆกดผ่านเนยแข็ง มีนานั่งมองดูรูปสลักหญิงซึ่งประดับติดอยู่บนฟากหนึ่งของน้ำพุ มันเก่าจนเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มจับตะไคร้

เหนือขึ้นไปจากรูปสลักหญิง เป็นรูปปั้นชายเต็มไปด้วยหนวดเคราและมัดกล้าม ร่างองอาจนั้นแหงนหน้าขึ้นไปทางบ่าขวา ซึ่งมีนกอินทรีย์สยายปีกเกาะอยู่ ทว่าข้อมือทั้งคู่ของสตรีเบื้องล่างของเขา ปรากฏโซ่ตรวนเส้นยาวล่ามเชื่อมกันเอาไว้ ราวกับเป็นปริศนาไว้ให้คนขบคิด ศิลปะเป็นอาหารของดวงวิญญาณ หล่อนเคยอ่านเจอที่ไหนสักแห่ง ใบหน้าสลักของหญิงสาวนั่นสวยต้องมนต์แต่ปราศจากริ้วรอยอารมณ์ใดๆบนสีหน้า

ดวงหน้างามเฉยชามองเหม่อไปในทิศทางที่ไร้ความหมาย...ถ้าฉันเป็นแบบนั้นได้ซะก็คงดี ไม่ต้องมีความรู้สึกอะไรอีกต่อไป มีนาสูดหายใจเอาอากาศเย็นชื่นเข้าปอด เงยหน้ามองดูท้องฟ้าใจกลางเมืองใหญ่ที่ขมุกขมัว

เธอเริ่มร้องไห้เงียบๆในมุมหนึ่งของสวนที่ถูกลืม ยกเอาเท้าเปลือยเปล่าทั้งคู่ขึ้นมานั่งขดอยู่บนม้านั่ง มองน้ำพุที่ไหลเอื่อยอยู่กลางสวน โดยรอบมีม้านั่งซึ่งต่างก็หันหลังชนพุ่มไม้ตัดแต่งอยู่อีกหลายตัว ทว่าเธอเป็นแขกเพียงผู้เดียวในช่วงเวลาอันเงียบงัน

ไม่กี่ชั่วโมงก่อน...เธอมีพร้อมทุกอย่าง มีอนาคตที่สดใสรออยู่ ได้รับความรักที่หญิงสาวทั้งหลายต่างก็ปรารถนา มีความฝัน มีความหวัง แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ทุกอย่างสูญสลายไปอย่างไม่ทันได้เตรียมใจ…

แฟนหนุ่มที่คบหากันมาหลายปีขอมีนาแต่งงาน พอกล่องบุกำมะยี่เล็กๆสีน้ำเงินเปิดออก หัวใจดวงน้อยก็พองโต แหวนเพชรขึ้นเรือนด้วยทองคำขาวเรียบๆเป็นเงางามเชื้อเชิญ ทั้งคู่วางแผนจะย้ายไปฝรั่งเศสในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พร้อมกับวางแผนจะจัดงานแต่งงานที่บ้านญาติของฝ่ายชายที่ออร์เลอ็องเมืองทางตอนเหนือของที่นั่น

แก้ไข

เฝ้าดูหน้านี้

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งมักจะพร่ำบอกกับแฟนสาวคนสวยเสมอว่า

“พอผมได้เลื่อนตำแหน่งเมื่อไหร่ ผมอยากจะแต่งงานกับคุณ มีนา อยากมีลูกสาวและลูกชายอย่างละคน ลูกสาวผมมีชื่อไว้แล้วด้วยนะ”

“ผมอยากให้ชื่อว่า "เอสเมอรันดา" ” หญิงสาวได้แต่หัวเราะคิกคัก “ฝันไปไกลใหญ่แล้วนะคะ” เธอพูดกลบเกลื่อนความเขินอาย

วันนั้นขณะที่หญิงสาวกำลังค้นหาแบบชุดแต่งงาน ในหน้านิตยสารซึ่งกองอยู่แทบจะทุกมุมในห้องนอน ร่างบางกรีดนิ้วเปิดดูรูปนางแบบสาวที่สวมใส่ชุดเจ้าสาวขาวบริสุทธิ์อยู่ในหน้าหนังสืออย่างลิงโลดเบิกบานใจ

พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มือคู่น้อยเอื้อมไปรับโดยที่ไม่ได้หันมองเลขหมายโทรเข้า และแทนที่จะเป็นน้ำเสียงอบอุ่นที่คุ้นเคย มันกลับเป็นสายเข้าจากโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ห่างจากที่พักของเธอ แจ้งว่าคู่หมั้นหนุ่มประสบอุบัติเหตุ

หัวใจของว่าที่เจ้าสาวรู้สึกเหมือนถูกกระชากอย่างแรงจนกระทั่งเต้นผิดจังหวะ ขณะที่หัวสมองมึนและมืดทึบราวกับถูกตีด้วยของแข็ง หล่อนไม่รู้ตัวว่ามาถึงโรงพยาบาลได้ยังไง รู้แต่เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของตัวเองยามเห็นร่างไร้ชีวิตของคนรัก ความเจ็บจวนเจียนขาดใจวิ่งพล่านไปทั่วร่าง ในห้วงความคิดมีแต่ความสับสนและตื้อตึง

บางทีนี่อาจจะเป็นแค่ฝันร้าย! และอีกไม่นาน เธอจะตื่นขึ้น นางพยาบาลวัยกลางคนพยุงเธอมานั่ง ก่อนจะลูบหลังไหล่ของเธอเบาๆ

“เสียใจด้วยนะคะคุณ” และราวกับเสียงนั้นได้เรียกเตือนให้เธอรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า มีนาก้มมองเท้าเปล่าบอบบางทั้งคู่ของตน ที่บัดนี้ดูถลอกปอกเปิกและบวมแดง แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย เธอวิ่งออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ทั้งๆที่ไม่ได้ใส่รองเท้า

ก้มดูมือที่ซีดไร้สีเลือดและเป็นเหน็บชาจนแทบจะขยับไม่ได้ ภาพความทรงจำเก่าๆวิ่งผ่านเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็ว ราวกับภาพหนังฉายย้อนหลัง ความรู้สึกอุ่นที่มีมือของคนรักเกาะกุมมือกันไว้ เดินเคียงคู่ไปตามชายหาดยาวสุดตา ความอุ่นจัดและสว่างไสว ความรู้สึกของพื้นทรายขาวนุ่มละเอียดใต้ฝ่าเท้าเมื่อครั้งที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากเรื่องราวต่างๆ

ภาพความทรงจำจากเมื่อหลายปีก่อน เมื่อครั้งที่พาคนรักไปพบกับแม่ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรังด้วยความหวั่นใจ หากแต่ชายหนุ่มยังคงความใจเย็นและอ่อนโยนอยู่เสมอ ไม่ว่าแม่ของเธอจะพูดจาไม่น่าฟังหรือแสดงท่าทางไม่สง่างามยังไง เค้าไม่เหมือนคนอื่นเลย มีเพียงเค้าเท่านั้นที่รักฉันและเข้าใจฉันทุกอย่าง...ฉันรักเค้าเหลือเกิน รักเหลือเกิน

“ผมเสียใจด้วยครับ ผมรีบพาเค้ามาส่งโรงพยาบาลเร็วที่สุดแล้ว แต่ว่า...แต่ว่า มันเป็นอุบัติเหตุ ผมขอโทษ...” ร่างบางเงยหน้ามองเจ้าของเสียง ชายหนุ่มวัยรุ่นชาวต่างชาติ ดวงตาสีเทาเงิน ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เสื้อผ้ายังคงเปรอะเปื้อนเลือด เลือดของคู่หมั้นของเธอ

“คู่กรณีน่ะค่ะ” เสียงนางพยาบาลเอ่ยหวั่นๆ

“ฉาดดด” มีนาตบเขาจนหน้าหัน แต่แล้วก็กลับปรากฏความรู้สึกผิดบนใบหน้าระคนทุกข์เปื้อนหยาดน้ำตาของเธอ

เสียงวัตถุบางอย่างตกกระทบกับผิวน้ำ ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์แห่งเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน แวบแรก เธอคิดว่ามันคงเป็นชิ้นส่วนของรูปปั้นที่คงไม่อาจอดทนต่อกาลเวลาได้หักพังลงมา

หากแต่แสงแวววาวบางอย่างกลับสะท้อนขึ้นมาจากผิวน้ำพุ เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น เป็นประโยคที่เธอไม่อาจจับใจความได้ ก่อนที่มันจะค่อยๆแผ่วหายไปอย่างเชื่องช้าราวหมอกควัน ทันใดนั้นก็เกิดลมแรงพัดวูบจนสุ่มทุ่มพุ่มไม้ทั่วบริเวณพร้อมใจกันสั่นไหวส่งเสียงดังเกรียวกราวราวกับมีฝ่ามือขนาดยักษ์มาโบกลมใส่ มีนาลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ

คงจะเป็นเสียงสะท้อนจากถนนข้างนอก แต่ด้วยความสงสัยเธอเดินมาหยุดยืนอยู่ริมขอบน้ำพุ ชะโงกมองชิ้นโลหะสีเงินที่อยู่ใต้เงาน้ำที่กระเพื่อมเป็นคลื่นเล็กๆ จังหวะเดียวกันที่ชิ้นส่วนใบหน้าของรูปสลักหญิงปริแตกตกลงในน้ำ เธอสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองดูรูปปั้นที่บัดนี้เหลือเพียงใบหน้าซีกซ้าย จากความงามแปรเปลี่ยนเป็นความน่าขนลุก หญิงสาวถอนใจ ก่อนจะพยายามเอื้อมมือไปหยิบวัตถุสีเงินในน้ำ แต่มันอยู่ไกลเกินไป

เธอตัดสินใจปีนลงไปในน้ำพุเย็นเยียบ มันลึกกว่าที่คาดคิดเอาไว้ แต่ละย่างก้าวทำให้ชุดกระโปรงสีม่วงเปียกจนเกือบถึงเอว แต่ดวงตาของหญิงสาวกลับจับจ้องแต่ของใต้น้ำนั้นด้วยความใคร่รู้

แล้วมีนาก็พบว่ามันคือกำไลสีเงินสลักลวดลาย ตัวกำไลมีน้ำหนักมากกว่าที่ควรจะเป็นเงินแท้ พอเอามาดูใกล้ๆก็พบว่าลวดลายนั้นแปลกประหลาด ดูคล้ายกับเป็นภาษาที่ไม่น่าจะมีอยู่บนโลกนี้ และอย่างไม่สามารถหาเหตุผลใดๆได้ เธอลองสวมมันบนข้อมือซ้ายทันที

ในชั่วอึกใจ มีนาได้ยินเสียงดังอื้ออึงขึ้นรอบทิศทางคล้ายเสียงแตรโลหะขนาดมหึมาที่ค่อยๆเพิ่มระดับความดังขึ้นอย่างน่ากลัว หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหูด้วยความตกใจ แสงสว่างจ้าสีขาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าจนเสี้ยววินาทีหนึ่งนั้น ทั้งเมืองดูคล้ายกับกลับมาเป็นตอนกลางวันอีกครั้ง ก่อนจะร้อนจ้าขึ้นจนเธอปวดกระบอกตา มีนายกมือขึ้นป้องกัน ก่อนทั้งร่างจะถูกคลื่นรังสีที่มองไม่เห็นปะทะให้ล้มจมลงสู้ใต้น้ำ มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเธอไม่มีเวลาได้คิดสงสัยเลยว่าทั้งหมดนี้คืออะไร โรงพยาบาล กำไล แสงจากท้องฟ้า กระทั่งเธอคือใคร เธอหลงลืมมันไปจนหมดสิ้น...

ร่างบอบบางจมสู่ห้วงน้ำเย็นจัด มันห่อหุ้มร่างของเธอเอาไว้ดูดกลืนความเจ็บปวดไปจนหมด มีแค่ความมืดที่สงบนิ่งกับความหนาวเย็นเท่านั้น

“นี่คือความตายสินะ” ความนึกคิดสุดท้ายของเธอ ที่กำลังร่วงหล่นลงไป ปราศจากการดิ้นรนต่อสู้หรือความพลั่นพรึงใดๆ จนเกือบจะกลายเป็นความยินดีด้วยซ้ำ ทั้งหมดนั้นอาจกินเวลาเพียงเศษเสี้ยววินาทีหรือนานชั่วกัลป์ เธอเองก็ไม่อาจรู้...

ใต้แสงสลัวในผืนน้ำ ปรากฏร่างคล้ายปลาไหลขนาดยักษ์ ลำตัวยาวเหยียดบิดส่ายไปมาในทิศทางตรงกันข้ามกันหงอนเนื้อสีเขียวขนาดใหญ่บนหัวของมัน หน้าตาอันอัปลักษณ์ราวกับอสูรร้ายว่ายวนไปมารอบตัวหญิงสาว ที่ยังคงจมดิ่งลงสู่เบื้องล่าง มันใช้ดวงตาใหญ่ปูดปูนจ้องดูร่างนิ่งไม่ไหวติงนั่นอย่างฉงนสงสัย แต่ฉับพลันก็กลับว่ายหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับมีภัยร้ายที่มองไม่เห็นเข้ามาเยือน

เด็กหญิงผมเปียวัยห้าขวบ ยืนอยู่กลางวงล้อมของเด็กหญิงชายอีกหกคนที่กอดคอล้อมเธอเอาไว้พลางกระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะเสียงตะโกน

“ไอ้ลูกไม่มีพ่อ ไอ้ลูกไม่มีพ่อ” เด็กหญิงตรงกลางยืนนิ่งก้มหน้าลงอย่างอดกลั้นก่อนจะวิ่งชนวงล้อมออกไปเต็มแรง เด็กชายคนหนึ่งล้มก้นกระแทกร้องไห้จ้า...ทว่าก็ยังมีมนุษย์ที่มีใจปราณีอยู่บนโลกนี้เสมอ ในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจของเด็กประถม เด็กหญิงผมเปียนั่งอยู่หน้าจานที่มีแค่ขนมปังก้อนเล็กแห้งๆ

“เงินไม่พออีกแล้วเหรอมีนา!?” เด็กหญิงผมหยักศกคนข้างๆตักอาหารที่พอกพูนอยู่บนจานของตนแบ่งมาให้

พลันภาพเบื้องหน้าของมีนาก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพบ้านเดี่ยวสองชั้นรูปทรงสวยงาม แต่กลับดูเก่าทรุดโทรมเพราะขาดการบำรุงรักษา เธอคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี เด็กสาวในชุดเครื่องแบบนักเรียนมัธยมผลักประตูรั้วเหล็กดัดให้เปิดออก

แต่ก่อนจะก้าวเข้าไปในบ้าน ก็ต้องเบี่ยงตัวหลบชายสองคนที่ช่วยกันแบกเอาโซฟาสวนออกมา ภายในห้องรับแขกที่เคยสวยหรูแต่บัดนี้กลับดูเก่าชำรุด ผนังทุกด้านบุด้วยวอล์เปเปอร์ที่ขาดวิ้นเป็นจุดๆ สีซีดจนเดาไม่ถูกว่าเคยเป็นสีใดแน่ชัดมาก่อน มีรอยเจาะและรอยแขวนรูปที่ถูกปลดออกไปแล้วทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็น กลางห้องห้อยโค้มไฟระย้าแบบตะวันตกซึ่งไฟบางดวงมืดบอดส่วนที่เหลือก็ดูหริบหรี่เต็มที

มีนาพบผู้เป็นมารดาซึ่งมีสภาพอะไรไม่ต่างไปจากตัวบ้านของหล่อน นั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้น ในมือยังคงถือแก้วคอนยัคยกชูสูงขึ้นราวกับกำลังดื่มอยู่ในงานเฉลิมฉลอง

“แม่ขายบ้านได้แล้วมีนา” หญิงใบหน้าดูเหนื่อยโทรม ที่มีเค้าโครงว่าเคยเป็นคนสวยมาก่อนเอ่ยเสียงดัง เด็กสาวยืนนิ่งอยู่ชั่วอึกใจก่อนจะทิ้งกระเป๋านักเรียน แล้วปรี่เข้าไปพยุงผู้เป็นมารดาขึ้น ทั้งกึ่งลากกึ่งจูงอย่างทุลักทุเลเข้าไปในครัว เธอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อแรกเห็นชุดโต๊ะทานอาหารยังตั้งอยู่ที่เดิม พอบรรจงวางร่างแม่ผู้เมามายบนเก้าอี้ได้ก็เอ่ยถาม

“แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกันละคะ?” ผู้เป็นแม่ส่ายหัวให้

“ก็ห้องเช่าถูกๆไง จะได้ย้ายออกไปจากไอ้เมืองบ้านี่ๆซะยังไงเล่า” มารดาตอบน้ำเสียงตกแหบแห้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาต่อจากนั้นอีกหลายปี ชีวิตของแม่ลูกคู่นี้ไม่ได้ตกระกำลำบากอย่างที่มันดูเหมือนจะเป็นเลย

แม้จะเกิดมาอาภัพ แต่มีนาก็เติบโตขึ้นมาเป็นสาวสวย เจ้าของใบหน้าซึ่งดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวอยู่เสมอ และด้วยเงินจากการขายสมบัติชิ้นสุดท้ายของสองแม่ลูก รวมกับงานที่เธอทำควบคู่ไปกับการเรียน มีนาก็เรียนจบมหาวิทยาลัยในที่สุด ซ้ำยังพาแม่ไปรักษาตัวในสถานบำบัดที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก ผู้เป็นมารดาเข้าๆออกๆสถานบำบัดอยู่หลายปีจนกระทั่งสิ้นใจ เพียงปีกว่าเท่านั้นล่วงหน้าก่อนที่ลูกสาวของเธอจะสูญเสียคู่หมั้นหนุ่มไปด้วยอีกคน โดยที่ผู้เป็นแม่นั้นไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้

ทำไมนะ?...คนที่ฉันรักถึงเฝ้าจากฉันไปคนแล้วคนเล่า มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

“มีนา มีนา” เสียงทุ้มนุ่มของคู่หมั้นหนุ่มดังขึ้น และราวกับพระผู้สร้างได้ประทานโอกาสให้กับเธออีกครั้ง ในเมื่อบัดนี้คนรักหนุ่มมายืนอยู่ที่ตรงหน้า เขาส่งยิ้มอ่อนโยน

“ผมเก็บมันเอาไว้ให้คุณเองนะ” ในมือของผู้พูดมีกล่องบุกำมะหยี่สีน้ำเงินซึ่งบรรจุแหวนหมั้นเอาไว้

“ทำไมละคะ” ดวงหน้างามร้องอ้อนวอน เมื่อเห็นมันอยู่ในมือคนรัก

“ฉันอยากใส่ไว้นี่คะ ทำไม” ชายหนุ่มไม่เอ่ยตอบใดๆก่อนจะหันหลังเดินจากไป

“อย่า! อย่าไปเดี๋ยวก่อน...”

มีนาสำลักน้ำรสเค็มเข้าไปก้อนใหญ่ ก่อนจะลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองอยู่ใต้น้ำลึกเกินกว่าจะเป็นเพียงน้ำพุได้ ด้านบนปรากฏแสงสีทองสว่างสะท้อนไหว หญิงสาวตะกุยตะกายว่ายขึ้นข้างบนสุดแรงด้วยสัญชาติญาณ หากแต่คลื่นน้ำซัดจนร่างบางถูกเหวี่ยงไปมา อีกนิดเดียวเธอบอกกับตัวเอง

ร่างบางแข็งขืนต้านกระแสน้ำขึ้นด้านบน ไม่นานก็ตะกุยตะกาย จนโผล่ขึ้นมาลอยตัวอยู่บนพื้นน้ำสีน้ำเงินเข้มที่เวิ้งว้าง ทั้งหอบสูดอากาศหายใจและไอสำลักน้ำทะเลออกมา ทะเล นี่มันทะเลนี่!!!ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ได้? ความคิดสับสนนั้นดับมืดลงเมื่อคลื่นลูกใหญ่โถมเข้ามากระแทกกดเอาร่างน้อยลงไปสู่ใต้ผิวน้ำอีกครั้ง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา