จงต้องสาปตราบนิจนิรันดร์ (the eternal curse)

7.0

เขียนโดย Lady_Madeline

วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 01.57 น.

  10 ตอน
  1 วิจารณ์
  10.09K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ตอนที่ 5 กุหลาบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 5 กุหลาบ

               

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก

                เสียงเคาะประตูสามครั้งดังขึ้นจากด้านนอกประตูไม้บานหนา ชายหนุ่มซึ่งกำลังนิทราอยู่บนเตียงพร้อมกับสาวงามทั้งสองข้างหายขมวดปมที่ คิ้วเข้มด้วยความหงุดหงิด ในยามเช้าของวันหยุดเขาควรจะได้นอนหลับพักร่างกายเสียอีกหน่อย เพราะเมื่อคืนเขาต้องใช้พลังกายอย่างมากเข้าแลกกับพลังชีวิต ซึ่งนั้นก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะกุดหัวคนที่มาเคาะประตูทำลายความ สงบในช่วงเวลาดีๆของเขา

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก

                เสียงเคาะประตูดังอีกครั้งแม้ว่าชายหนุ่มจะพยามไม่สนใจ เขาพยามปิดเปลือกตาเพื่อดับแสงตะวันที่ส่องสะท้อนเข้ามายังนัยน์ตาสีเงินของ เขา อย่างน้อยถ้าหากแกล้งทำเป็นว่ายังไม่ตื่น เสียงข้างนอกอาจจะเงียบลง เพราะใครในปราสาทนี้ก็ล้วนเกรงใจ และเกรงกลัวเขาทั้งนั้น  และเป็นไปดั่งที่หวัง เมื่อชั่วเวลาตลอดหนึ่งอึดใจที่ชายหนุ่มผู้อยู่ใต้ผ้าห่มนั้นยไม่ได้ยิน เสียงเคาะประตูอีก เขาถอนหายใจไล่ความขุ่นมัวออก แล้วใช้ท่อนแขนแข็งแรงรวบเอวบางของหญิงสาวคนหนึ่งให้แนบชิดกับลำตัวของเขา พร้อมกับหลับตาลงและเตรียมจะเข้าสู่นิทราอีกครั้ง

                "ท่านเชสเตอร์...."ทว่าเสียงเรียกเรียบนุ่มที่เขาคุ้นเคยกลับดังอยู่ข้างหู เจ้าของชื่อขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ  ก่อนจะลุกขึ้นนั่งในทันที

                "ถึงเจ้าจะเป็นคนสนิทของข้า แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมาปลุกข้าตามอำเภอใจได้" เขาแผดน้ำเสียงทรงอำนาจอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมใช้นัยน์ตาสีเงินที่ฉายแววดุร้ายจับจ้องไปยังคนที่มาทำลายความสุขเวลา นิทราของเขา

                "หากไม่สำคัญข้าคงไม่เอาชีวิตมาเสี่ยงในเช้านี้หรอกครับ" ชายหนุ่มผมดำพูดแล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับ นัยน์ตาสีฟ้าลอบมองสตรีสองนาง ที่เรือนร่างเปล่าเปลือยใต้ผ้าห่มของเจ้าของปราสาท ก่อนจะคลี่ยิ้มอีกครั้ง

                "...ข้า ขอให้มันสำคัญ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงต้องไปนั่งยิ้มให้ก้อนหินปูนที่ใต้ปราสาท" เชสเตอร์พูดแล้วเสยผมที่ปรกหน้าขึ้น พร้อมกับใช้มือหนาสะกิดสองสาวข้างกาย แม้พวกนางยังคงงัวเงีย แต่เมื่อเห็นว่าเซนวิกยืนอยู่ที่ปลายเตียง พวกนางก็รีบกุลีกุจรหาอาภรปกปิดเรือนร่างที่เปลือยเปล่าในทันที

                "พวกเจ้าไปได้แล้ว" เชสเตอร์พูดกับสาวงามทั้งสอง พวกน้อมศีรษะรับคำสั่งแกรนด์ดคุยผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนจะคว้าเนื้อผ้าที่เมื่อคืนชายหนุ่มเป็นผู้ปลดมันออกแล้วรีบออกจากห้องไป

                "พวกนางไม่อายหรือครับ ที่ต้องวิ่งออกไปทั้งสภาพกึ่งเปลือยเช่นนั้น" เซนวิกเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พร้อมส่งรอยยิ้มขบขันเมื่อมองสองสตรีที่เร่งรีบออกจากห้องไป

                "อย่าเฉไฉเซนวิก" เชสเตอร์กดเสียงต่ำ

                "ศพของทหารเมื่อวานข้าตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ทั้งหมดเป็นฝีมือของพวกลากูนตามที่ท่านคาดการณ์ไว้ครับ"

                "หากนี่คือเรื่องสำคัญที่เจ้าว่า เจ้าควรเดินไปที่ใต้ปราสาทเดี๋ยวนี้" เจ้าของปราสาทผู้เอาแต่ใจกล่าวเสียงต่ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่มันก็ไม่สำคัญมากพอที่จะมาปลุกเขาในวันหยุด ในเวลาเช้าตรู่ขนาดนี้

                "ท่านพ่อข้ากล่าวไว้ว่าท่านเป็นคนใจร้อน เวลาผ่านมาเป็นร้อยปีดูเหมือนท่านจะยังไม่เปลี่ยนเลยนะครับ" เซนวิกเอ่ย และนั้นก็ทำให้เชสเตอร์ดูจะหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

                "ดื่มชากลิ่นหอมอุ่นๆน่าจะช่วยให้ท่านอารมณ์ดีขึ้น" เซนวิกเอ่ยพร้อมเปิดประตูให้นางกำนัลเข็นรถเข็นที่มีอ่างน้ำอุ่นใช้ล้างหน้า และชารสอ่อนกลิ่นหอมเพื่อการเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างสดชื่น  นางกำนัลเร่งรีบรินชาใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบชั้นดี แล้วส่งให้แกรนด์ดยุคด้วยความนอบน้อม แต่ทว่าถ้วยชาราคาแพงนั้นถูกปัดตกลงบนพื้นในทันที เศษแก้วแตกกระจายอยู่บนพื้น นางกำนัลสาวมีสีหน้าตื่นตระหนก เธอทำตัวไม่ถูก

                "หน้าข้าดูเหมือนคนอารมณ์ดีสินะ..." เชสเตอร์เอ่ยพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นจัด หากคนตรงหน้าล้อเล่นกับเขาอีกสักครั้งเดียว เขาคงต้องสำเร็จโทษหนักให้ที่ปรึกษาของเขาแน่

                "ท่านยังไม่สามารถแต่งงานกับท่านแซนด์... ข้าหมายถึงแอมเชลได้" เซนวิกเปลี่ยนท่าทีจากกึ่งเล่นกึ่งจริงเป็นท่าทางที่ดูจริงจัง พร้อมกับหยิบกระดาษสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

                "เนื้อความในหนังสือกล่าวไว้ว่า ท่านจะแต่งงานกับแอมเชลได้หลังจากที่นางปรากฏตัวเป็นเวลา 66 วัน ครับ และการแต่งงานกับแอมเชลก็ไม่ใช่วิธีแก้คำสาป" สิ้นคำพูดของเซนวิก ใบหน้าของเชสเตอร์นิ่งสนิท ไม่แม้จะแสดงสีหน้ายินดี ยินร้ายกับข่าวที่ได้ยิน

                "วิธีการแก้การแก้คำสาปคือท่านจะต้องได้ครอบครัวหัวใจเปี่ยมรักของนาง" เซนวิกเอ่ยต่อ เมื่อนางกำนัลสาวได้เดินออกจากห้อง

                "ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้ผู้หญิงหลงรักข้า" เชสเตอร์ยกยิ้มอย่างพอใจ เพราะหากว่าด้วยคุณสมบัติแล้ว เขาเป็นบุรุษที่เพียบพร้อมที่สุดในอณาจักรนี้ก็ว่าได้ ไม่ว่ารูปร่างหน้าตา ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง แม้กระทั้งภูมิปัญญาความรู้ ไม่มีใครในอณาจักรนี้เทียบเคียงเขาได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะหว่านเสน่ห์ให้นางฟ้ามาหลงรัก

                "นางอาจจะหลงรักท่านได้ แต่ท่านก็ต้องมอบหัวใจของท่านให้นางเช่นกัน"

                "นี่มันนิทานก่อนนอนหรือยังไง รักใคร่ หัวใจ... " เชสเตอร์สถบออกมา แต่เซนวิกก็ไม่ได้กล่าวอะไรตอบ

                "ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่ามา... ข้าก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับนาง"  ใจจริงแล้วเชสเตอร์ไม่อยากจะแต่งงานกับสตรีที่ไหนทั้งสิ้น เพราะการที่เขามีภาระเป็นคู่ครองเพิ่มเข้ามา นั้นก็ทำให้เขาเกิดจุดอ่อนมากขึ้น และนั้นก็อาจจะเป็นจุดอ่อนหลักที่ศัตรู จะใช้มันในการเล่นงานเขาก็เป็นได้

                "ตามที่ท่านพูดไว้ ท่านไม่จำเป็นต้องแต่ง...  แต่หากแอมเชลเผลอใจให้ผู้อื่น ข้าคิดว่าทางแก้คำสาปคงท่านคงจะริบหรี่ยิ่งกว่านี้"

                "ข้าจะขังนางไว้ในปราสาท สั่งห้ามผู้ชายทุกคนในปราสาทพูดคุยกับนางยกเว้นข้า และเจ้า" ท่าทีที่เอาแต่ใจนั้นคงเป็นเอกลักษณ์ของแกรนด์ยุคหนุ่มเสียแล้ว แม้เซนวิกตั้งใจจะเอ่ยเพื่อให้เชสเตอร์คิดทบทวนเรื่องการแต่งงานกับแอมเชล แต่ดูเหมือนเชสเตอร์จะพบวิธีแก้ปัญหาในแบบของเขา...แบบที่เอาแต่ใจ

                "ท่านกักขังนางไว้เหมือนเป็นนักโทษ นางจะยอมมอบหัวใจให้ท่านหรือครับ" เซนวิกพยามเอ่ยโน้มน้าว

                "ความใกล้ชิด ก่อให้เกิดความรัก... ข้าตัดทุกปัญหาออก และสร้างโอกาสที่นางจะรักข้าได้ขึ้นมาแล้ว แล้วทำไมหัวใจนางจะไม่เป็นของข้า" เชสเตอร์เอ่ย ซึ่งนั้นทำให้เซนวิกลอบถอนหายใจ เพราะแม้จะแย้งไป นายเหนือผู้เอาแต่ใจคงไม่ยอมโอนอ่อน หรือคล้อยตามความคิดของเขาแน่

                "แล้ว นางจะรักท่านหรือครับ ถ้าท่านทำกับนางราวนางเป็นนักโทษ" นั้นไม่ใช่คำถามทีต้องการคำตอบ เซนวิกเอ่ยแล้วน้อมศีรษะก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้นายเหนือยอยู่กับคำพูดของเขาเพียงลำพัง แม้เขาจะแน่ใจว่ามันไม่อาจจะเปลี่ยนใจแกรนด์ดยุคทรงอำนาจได้ แต่เขาก็หวังให้คำพูดนั้นสะกิดความคิดของดยุคหนุ่มบ้าง

 

                หลังจากที่ต้องสู้รบกับชุดรัดทรงอยู่นานสองนาน ในที่สุดหญิงสาวก็พ่ายแพ้ให้กับคอเซตเจ้าปัญหาจนได้ เธอนอนแผ่หร่าอยู่บนเตียงอย่างไร้ท่าทีของกุลสตรีที่ดี เธอบุ้ยปากแล้วเป่าลมเพื่อปอยผมที่ปรกใบหน้าออก ก่อนนอนมองเพดานทรงโค้งสีขาว คงจะเป็นห้องนี้ห้องเดียวในปราสาทกระมัง ที่มีสีสันสดใสกว่าที่อื่นๆ ซึ่งนั้นก็ดีแล้วสำหรับเธอ เพราะเธอไม่ชอบบรรยายภายในปราสาทเอาเสียเลย แม้มันจะไม่ได้มืดทึบ แต่มันกลับดูไร้ชีวิตชีวา

                หลังจากที่นอนพักจนหายเหนื่อย หญิงสาวจับกระโปรงลูกไม้หลายชั้นที่หนักกว่าเสื้อผ้าที่เธอเคยสวมใส่เอาไว้ เพื่อกันไม่ให้เดินเหยียบชายลูกไม้ยาวยืด แล้วสาวเท้าอย่างระมัดระวังไปยังหน้าต่างบานใหญ่ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองออกไปด้านนอกที่เห็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส มีปุยเมฆสีขายประปราย แสงอาทิตย์สีทองส่องลอดปุยเมฆบาง เมื่อไล่สายตาลงมายังพื้นดินผ่านแนวเขาสีเขียวพาดผ่านตลอดเส้นขอบฟ้า ก็เห็นสวนสวยที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวปราสาทที่เธอยืนอยู่นัก มีทางเดินหินสีขาวยาวเข้าไปถึงซุ้มด้านในสวนซึ่งอยู่ติดกับบึงน้ำสีคราม หญิงสาวเฝ้ามองสวนด้วยความรู้สึกสดใส จนกระทั้งนัยน์ตาเลื่อนไปเห็นพุ่มดอกกุหลาบพุ่มสวยที่อยู่ใกล้กลับซุ้มนั่ง เล่นริมบึงน้ำ เธอจึงไม่รีรอที่จะลงไปเก็บมันมา เพราะในเมื่อเธอจะต้องอยู่ที่นี่ เธอก็คงไม่อยากจะอยู่ในปราสาทที่ดูไร้ชีวิตชีวา

                "จะไปไหนเหรอครับท่านแซนด์" เมื่อหญิงสาวเปิดประตูออก ก็พบเซนวิกยืนอยู่ที่หน้าประตู เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกรีดยิ้มบางเป็นการทักทาย

                "เราจะไปที่สวนข้างล่างค่ะ คุณหมอมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?" แซนด์เอ่ยถามอย่างสุภาพตามนิสัย เซนวิกส่ายหัวน้อยๆ แล้วตอบกลับ

                "ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ?" เขาหยอดยิ้มให้อย่างมีไมตรี หญิงสาวไม่สงวนท่าทีปฏิเสธ เธอรีบตอบรับคำเชิญในทันที เพราะหากจะต้องเดินไปคนเดียวแล้วละก็ เย็นวันพรุ่งนี้ก็คงจะไม่มีทางถึงสวนสวยนั้นแน่ แค่คราวก่อนที่เธอสำรวจปราสาท เธอก็เสียเวลาหลงทางอยู่นานทีเดียว และหากไม่ได้นางกำนัลสาวนำเธอกลับมายังห้องนอนแล้วละก็ คาดว่าวันนี้เธอก็ยังคงหาห้องนอนของตัวเองไม่เจอแน่ๆ

                "คุณหมอจำทางเดินในปราสาทนี้ได้ยังไงกันคะ?" หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย และนัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอก็จ้องไปยังนัยน์ตาสีฟ้าของแพทย์หนุ่มอย่างต้องการ คำตอบ

                "คงจะเพราะความเคยชิน... ผมอยู่ในปราสาทนี้มาหลายสิบปี ถ้าหากยังหลงอีกคงน่าอายแย่ครับ" เขายิ้มอย่างอ่อนโยนให้หญิงสาว เธอเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ซึบซับความสวยงามหรูหร่าโอ่อ่าของปราสาทหลังใหญ่ ที่ที่เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้มาอยู่ที่นี่

                "หากมีอะไรสงสัยถามได้นะครับ ผมก็พอจะรู้เรื่องราวของปราสาทนี้บ้าง" เซนวิกเอ่ยเมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาว ที่ดูเหมือนเด็กตัวน้อยกำลังทัศนศึกษาในที่แปลกใหม่

                "ไม่มีหรอกค่ะ ที่นี่ดูสวยจนเราไม่รู้จะพูดอะไรเลย เว้นแต่ว่าที่นี่ดูไม่มีชีวิตชีวาสักเท่าไหร่"

                "ทำไมกล่าวเช่นนั้นละครับ"

                "เราเองก็ไม่แน่ใจซักเท่าไหร่ค่ะ เราเพิ่งมาอยู่ที่นี่วันแรก แต่เราก็แค่รู้สึก... บรรยกาศก็ดูไม่สดชื่น และหน้าตาทุกคนก็ดูไม่สดใส... เว้นแต่คุณหมอนั้นแหละค่ะ ที่ดูสดใสกว่าทุกคน" หญิงสาวเอ่ยแล้วยิ้มให้ชายหนุ่มผู้ดูสดใสที่สุดในปราสาท นั้นทำให้เซนวิกปล่อยเสียงหัวเราะเบาๆออกมา

                "และถ้าคนที่อมทุกข์ที่สุดในปราสาทก็ต้องเป็นท่านเชสเตอร์แน่นอนค่ะ  เขาดูไม่แฮปปี้กับทุกอย่างเลย" และเมื่อหญิงสาวพูดถึงแกรนด์ดยุคผู้ไม่แฮปปี้กับทุกอย่างบนโลก เซนวิกก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอีกระรอก

                เธอดูสดใสเหมือนแสงตะวัน หากเทียบนายเหนือของเขาที่ดูอมทุกข์และมืดมนราวก้นหุบเหว หากเธอผู้นี้เป็นนางฟ้าที่เบื้อบนส่งลงมาเพื่อล้างคำสาปจริง ก็ขอให้เธอสามารถทำให้ปีศาจอย่างแกรนด์ดยุคผู้ไร้หัวใจรักเธอได้ด้วยเถอะ   เซนวิกได้แต่คิด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอนาคตที่อาจจะเกิด หรือไม่เกิดก็ได้ ขึ้นอยู่เชสเตอร์เพียงผู้เดียว

                ในที่สุดทั้งสองก็เดินมาจนถึงสวนสวยด้านหลังปราสาท กลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาตามสายลมที่โบกพัดอ่อนๆ ผสมผสานกับกลิ่นของต้นหญ้าอ่อนๆที่เพิ่งถูกพรมน้ำ จึงให้ความรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวา หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เท่าที่คอเซตที่รัดอยู่ที่ช่วงเอวของเธอ จะอนุญาตได้ ก่อนจะถกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปยังร่มเงาของซุ้มโค้งกลาง ซึ่งเป็นเหล็กดัดสีขาว ที่ด้านบนเป็นหลังคาซึ่งทำจากกระจกสี เมื่อแสงแดดสาดส่องลงมา จึงทำให้เงาหลากสีที่สวยงาม

                หลังจากที่นั่งชื่นชมบรรยกาศอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวผุดลุกขึ้นแล้วก้าวย้ำผ่านสนามหญ้าไปยังพุ่มดอกกุหลาบพุ่มใหญ่ ที่แม้มองจากที่หน้าต่างห้องเธอเธอว่ามันใหญ่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นจริงๆมันกลับใหญ่กว่าเดิมหลายเท่านัก ดอกกุหลาบสีแดงสดดอกใหญ่พอๆกับฝ่ามือของเธอ กลีบดอกของมันนิ่มราวกับกำมะหยี่ หญิงสาวโน้มตัวลงไปสูดกลิ่นหอมของมันใกล้ๆ แล้วยิ้มจนแก้มป่องแทบปริ

                "จะเป็นอะไรไหมคะถ้าเราจะขอเก็บกุหลาบไปสักช่อสองช่อ" หลังจากเธอชื่นดอกไม้งามจนพอใจ เธอหันไปถามชายหนุ่มที่ยืนมองเธออยู่ห่างๆพร้อมสายตาออดอ้อน โดยหวังให้เข้าอนุญาต

                "ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรครับ"  สิ้นคำของเขา เธอยิ้มกว้างแล้วเลือกเด็ดดอกกุหลาบสีแดงสด เธอเลือดแต่ดอกที่ใหญ่และสวยเท่านั้น โดยเด็ดให้เหลือก้านยาวๆเอาไว้ แล้วใส่ไว้ในอ้อมแขน หญิงสาวเล็กเด็ดดอกกุหลาบอย่างสนุกสนาน ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอนั้นดูเลอค่ากว่าสิ่งอื่นใด แม้ว่าเธอจะไม่ใช่สาวสวย หุ่นเล็กเพรียวบาง แต่เธอกลับมีเสน่ห์ที่ชวนให้มองอย่างน่าประหลาด เซนวิกที่ยืนมองเธออยู่ห่างๆ ยังรู้สึกถึงความอ่อนโยน และความมีเสน่ห์นี้ในตัวเธอได้ดี

                "ท่านเก็บกุหลาบมาเยอะขนาดนี้ ท่านจะเอาไปทำอะไรครับ?" เซนวิกเอ่ยถามเมื่อเห็นดอกกุหลาบจำนวนมากในอ้อมอกของหญิงสาว  เธอก้มมองกุหลาบในอ้อมอกของเธอแล้วยิ้ม

                "เราว่าเท่านี้ยังไม่พอหรอกค่ะ เราจะเอาไปตกแต่งปราสาท ข้างในจะได้ดูสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง" หญิงสาวเอ่ยพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนที่เธอจะกลับมาสนใจเก็บดอกกุหลาบตรงหน้าต่อ

                เมื่อได้ยินคำตอบของหญิงสาว เซนวิกคลี่ยิ้มบางแล้วจึงเดินเข้าไปหาอีกคน ก่อนจะเริ่มเด็ดดอกกุหลาบที่อยู่สูงขึ้นไปในที่ที่คนตัวเล็กกว่าเด็ดไม่ถึง

                "หากท่านต้องการจะทำกุหลาบไปประดับทั่วทั้งปราสาท ท่านคงจะต้องใช้เยอะมากทีเดียว" เซนวิกยิ้มแล้วช่วยหญิงสาวเด็ดดอกกุหลาบดอกแล้ว ดอกเล่า ช่วงเวลาในยามบ่ายอ่อนๆผ่านไปอย่างมีชีวิตชีวาที่สุด และสุดใสที่สุดเท่าที่ปราสาทนี้จะเคยมีได้

               

                "นี่คงเป็นที่สุดท้ายแล้วสำหรับปราสาทนี้" หญิงสาวพูดแล้ววางช่อดอกกุหลาบลงในแจกันเซรามิกสีเคลือบสีขาวก่อนจะจัดให้ ทุกดอกดูสวยสมดุลกันในแจกันใบนั้น

                "คุณหมอว่ามันมีชีวิตชีวาขึ้นไหมคะ?"  แซนด์หันไปถามเซนวิก ซึ่งเขาเองก็กวาดสายตามองรอบห้องโถงรับแขก ไปจนถึงโถงทางเดิน ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกกุหลาบ และมีสีสันสดใสขึ้นเมื่อได้ดอกไม้สีสวยเข้ามาอยู่ในปราสาท

                "ปราสาทนี้ดูสดใสขึ้นมากทีเดียวครับ" เขาตอบ และนั้นก็ทำให้หญิงสาวยิ้มแก้มปริอีกครั้ง เธอหมุนตัวลงนั่งที่โซฟาในห้องโถงซึ่งอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะชื่นชมสีสันใหม่ของห้องโถงที่เกิดจากมือของเธอเอง

                "ขออภัยค่ะ... ท่าน เชสเตอร์ ให้มาเชิญท่านหญิงไปร่วมรับประทานอาหารค่ะ" นางกำนัลสาวเดินเข้ามาหาหญิงสาวผู้อาศัยใหม่อย่างนอบน้อม แซนด์ยิ้มรับพร้อมกล่าวขอบคุณ

                "คุณหมอไปด้วยกันไหมคะ?" แซนด์เอ่ยถาม

                "ไม่หรอกครับ ตอนนี้ทุ่มนึงแล้ว คนที่บ้านคงรอข้าร่วมโต๊ะอยู่เช่นกัน... ทานให้อร่อยนะครับ" เซนวิกเอ่ยแล้วโค้งให้กับหญิงสาว ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องโถงไป ส่วนหญิงสาวเองก็เดินตามนางกำนัลไปยังห้องอาหารเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเธอก็ไม่ลืมที่จะหยิบดอกกุหลาบสีแดงสดติดมือไปด้วย โดยหวังว่าเมื่อเชสเตอร์ได้เห็นมัน เขาจะดีใจเหมือนที่เซนวิกดีใจ

 

---------------- To be continue

เหมือนตอนนี้จะเริ่มหวานแล้วนะคะเนี่ย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา