บันทึกรักข้ามเวลา <ตีพิมพ์ สนพ.ปริ๊นเซส สถาพรบุ๊ค>

9.8

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.20 น.

  20 บทที่
  3 วิจารณ์
  30.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 04.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่ 14 เงาร่างหนึ่งทอดจากแสงตะเกียง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 14

เงาร่างหนึ่งทอดจากแสงตะเกียง

แม้เปลือกตาฉันหลับสนิทแต่กลับรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดเวลา ขณะกำลังงัวเงียใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ หยุดปลายเท้าอยู่ไม่ห่างนักทำให้เสื้อผ้าเราเสียดสีกันเล็กน้อย ฉันได้ยินเสียงฟางหรูพูดปลุก ส่วนในใจรู้ดีว่าเขาผู้นั้นคือใครกัน เพราะดึกดื่นยามวิกาลเช่นนี้คนที่จะเข้าตำหนักฉันได้คงเป็นแค่องค์จักรพรรดิเท่านั้น ฉันพยายามเงยศีรษะตื่นมารับเสด็จแต่เขากลับส่งเสียง “ชู่...” ให้นางเงียบและกดตัวฉันลงกับโต๊ะเบาๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ว่าอะไรทั้งสติตัวเองยังไม่ตื่นดี เลยตัดสินใจนอนต่อส่วนอีกใจยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาในคืนนี้ เป็นเพราะเรื่องคืนก่อนยังคงวนเวียนในสมอง

ศีรษะฉันทับกระดาษที่วาดไว้ พอเขาพยายามหยิบขึ้นดูปลายนิ้วจึงแฉลบผ่านแก้มฉัน ตอนนิ้วเรียวของเขาไล้ผ่าน ใบหน้าฉันพลันร้อนผ่าวขึ้นมาขณะที่นิ้วเขาชะงักไปน้อยๆ เขาพยายามหยิบกระดาษต่ออย่างเบามือ ฉันได้ยินเสียง “กร๊อบแกร๊บ” คลี่กระดาษกางออก นานทีเดียวที่ห้องเงียบสนิทราวกับเขากำลังพิจารณาภาพวาดอยู่ ใจฉันสั่นไหวเต้นระรัว ทางหนึ่งกลัววาดออกมาไม่ถูกตาเขา ทางหนึ่งรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาเพราะภาพวาดเพียงภาพเดียวกลับสื่อทุกความทรงจำอันงดงามและความรู้สึกลึกๆที่ฉันมอบให้...

เขาไม่พูดอะไรออกมาให้ได้ยินแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงทาบกระดาษลงโต๊ะและอ้อมแขนหนึ่งพยุงอุ้มฉันขึ้นจากเก้าอี้ ใบหน้าและลำตัวที่เย็นเฉียบสัมผัสไออุ่นจากอ้อมอกเขา ชั่ววินาทีนั้นร่างกายและหัวใจกลับอบอุ่นขึ้นมาสุดบรรยาย น้ำตาไหลลงมาเพราะนึกถึงอดีต...ครั้นยังเล็กฉันมักทำการบ้านแล้วเผลอหลับไปทุกครั้ง จากนั้นพ่อของฉันจะอุ้มฉันไปนอนบนเตียง อ้อมอกเขาทำให้ฉันกำสาบเสื้อไว้แน่นคิดถึงทั้งพ่อและแม่ที่บัดนี้แม้กระทั่งพบหน้ากลับไม่มีโอกาสได้เห็น ยามนี้หัวใจฉันทั้งหนาวสะท้านทั้งอบอุ่นในคราเดียวกัน...

ไม่กี่ก้าวเขาก็วางฉันลงเตียงเลื่อนผ้าห่มมาคลุมให้ ไล้มือลงผมและข้างแก้มอยู่ครู่ ปาดน้ำตาของฉันออกอย่างอ่อนโยน ฉันหลับตาสนิทปล่อยความอบอุ่นจากปลายนิ้วเขากำซาบเข้าถึงหัวใจ น้ำตาไหลไม่หยุดเพราะยิ่งเขามอบความอบอุ่นมามากเท่าไหร่ฉันยิ่งอยากร้องไห้มากเท่านั้น เพียงอ้อมกอดเดียว เพียงความอบอุ่นในม่านเตียงนี้ ทำให้ฉันปลดปล่อยความทุกข์ออกมาอย่างไม่อาย ราวกับว่าพื้นที่เล็กๆแห่งนี้ฉันยังมีเขาคอยปลอบประโลมอยู่เคียงข้าง เคยได้ยินไหมว่ายิ่งใครทำให้เรารู้สึกปลอดภัย หัวใจเรายิ่งกล้าจะเปิดให้เขามากขึ้นคนเช่นฉันจึงกล้าร้องไห้ทั้งที่แสร้งละเมอหลับตา นานทีเดียวที่เขานั่งเช็ดน้ำตาให้อยู่ข้างๆจนฉันหยุดร้องไห้เขาถึงหดมือกลับ ขยับตัวลุกขึ้นและเดินออกไป

ฉันลืมตาขึ้นช้าๆ ไม่กล้าแม้กระทั่งแสดงแววตายามร้องไห้ให้เขาเห็น เป็นเพราะกลัวคำถามที่จะตามมาเหล่านั้น เยี่ยลี่เซียนได้รับการโปรดปราน อีกทั้งพ่อของนางยังสามารถเข้าวังมาเยี่ยมได้บ่อยๆ นางจึงไม่มีเหตุผลจะร้องไห้ แต่ฉันไม่ใช่นางฉันคือซูหลิน หญิงสาวยุคปัจจุบันที่ตั้งแต่มาโลกนี้ก็ไม่มีสถานที่ใดเรียกว่าบ้านได้อย่างเต็มปาก สถานที่ๆควรได้กลับก็ไม่อาจได้กลับ ฉันจึงกลัวว่าหากเขารู้ว่าฉันไม่ใช่เยี่ยลี่เซียนแต่คือซูหลินหญิงสาวที่มาจากอนาคตแล้วเขาจะมองฉันอย่างไร

ฉันหันมองรอบห้อง เห็นแสงตะเกียงข้างหัวนอนถูกดับลงไม่ให้รบกวนตา ส่วนตรงหน้าคือแผ่นหลังของจักรพรรดิหนุ่มเคลื่อนห่างออกไป เขาหันมาเหมือนรับรู้ได้ว่ามีใครกำลังจ้องอยู่ ฉันจึงรีบหลับตาแสร้งหลับต่อ ขณะหลับตาฉันได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวห่างไปอยู่มุมหนึ่งของห้อง เสียงลากเก้าอี้ไม้และเสียงสะบัดชายเสื้อนั่งลง คาดเดาว่าเขาคงนั่งลงตรวจฎีกาต่อคืนนี้ ฉันจำได้ว่าโต๊ะเขียนหนังสืออยู่ห่างจากเตียงนอนมากพอ จึงแอบลืมตาขึ้นอีกครั้ง...แสงตะเกียงทำให้ตัวเขาอาบแสงเหลืองนวลตา ส่องประกายความอบอุ่นและสงบนิ่ง  เขานั่งหน้าเรียบมือเปิดฎีกาไม้ออกอ่าน หลายครั้งสีหน้าไม่แสดงอะไร บ้างครั้งระหว่างคิ้วขมวดขึ้นน้อยๆเหมือนเจอปัญหาหนักใจบางอย่าง แต่ไม่มีครั้งใดที่ใบหน้านั้นจะปรากฏรอยยิ้มให้เห็น...

หลังโต๊ะไม้คือเงาของเขาทอดจากแสงเทียนฉาบลงบนกำแพงไม้ ฉันมองตามออกไปพร้อมใจที่โศกเศร้าสุดบรรยาย ในหัวพลันคิดถามขึ้นมาว่า “เงาร่างเอ๋ยเจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่...ว่าเขาผู้นี้กำลังแบกรับสิ่งใดอยู่ เหตุใดใบหน้าเขาถึงได้ไม่ยิ้มแย้มเล่า...?”

ฉันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว เป็นฮ่องเต้ใครว่าหลับสบายตื่นสบาย แม้กระทั่งตอนนี้ที่เสียงเคาะไม้ดังขึ้นสองครั้งบอกเวลาค่ำมืด เขายังไม่มีทีท่าจะหยุดมือลง จนเสียงเคาะไม้ดังขึ้นสามครั้งเขายังคงนั่งนิ่งเปิดฎีกาตรวจโดยไม่แสดงอาการง่วงให้เห็นแต่ฉันกลับรู้ดีว่าในใจนั้นเหน็ดเหนื่อยมากเพียงไรมือหนึ่งจรดพู่กันเขียน อีกมือเขานวดขมับ ฉันแอบมองเขาอยู่นานส่วนใจก็เริ่มร้อนรนจนอยากจะลุกไปอยู่เคียงข้างแบ่งเบาภาระหนักเหล่านั้น แต่ก็กลัวว่าเขาจะรำคาญเอาเสีย จึงได้แต่นอนนิ่งมองเขาอยู่เงียบๆสายตาไม่อาจละจากตัวเขาได้แม้แต่น้อย

“หากยังไม่นอนเจ้ามานั่งเป็นเพื่อนเราดีหรือไม่?”

เขาหันมองพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ฉันเบิกตาสะดุ้งตัวไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกถึงสายตาที่มองไป ฉันยันตัวลุกขึ้นจากเตียงพูดเสียงเบาว่า

“ฝ่าบาททรงรู้...”

เขายังคงยิ้มเช่นเดิม

“เรารู้”

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ว่าอะไร ก้มหน้าก้มตาเขียนพู่กันต่อ ฉันจึงขยับตัวลุกขึ้น เดินไปจุดตะเกียงให้ห้องส่องสว่างอีกครั้ง สายตาเหลือบมองบนโต๊ะดูเหมือนภาพวาดจะหายไปแล้ว

“เจ้าวาดภาพได้ดีมาก เห็นทีวังหลังเหล่าช่างพู่กันคงไม่มีงานทำแล้ว”

ฉันยกยิ้มหัวเราะเบิกบาน มองเขาที่ยิ้มส่งมาให้น้ำเสียงมีแววหยอกเย้าชมเชย

“ฝ่าบาททรงอย่าได้ทำเช่นนั้น หม่อมฉันอาจถูกเหล่าช่างเกลียดเอาได้เพคะ”

“เช่นนั้นเจ้าอย่าได้วาดสิ่งใดไปเรื่อย วาดภาพของเราพอ”

เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยแม้นัยความหมายอาจไม่ได้คิดสิ่งใดเช่นทุกครั้งแต่ฉันกลับยืนหน้าเห่อร้อนอยู่ตรงนั้น เขาเห็นฉันเงียบผิดปกติไปก็เงยหน้ามองขึ้น พอสบตาเขาอย่างกะทันหันสมองฉันก็ไม่ทันสั่งการยืนค้างแช่แข็งไม่ขยับ

“เล่นพิณเป็นหรือไม่?”

พอเขาถามฉันจึงรู้สึกตัว รีบรับคำว่า “เป็นเพคะ”

“เช่นนั้นเล่นให้เราฟังได้หรือไม่”

“เพคะ!”

ฉันรีบยิ้มออกมา หันซ้ายมองขวาหาพิณในห้อง เห็นพิณหลังหนึ่งตั้งอยู่ จึงรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหยิบมาวางบนโต๊ะ พิณไม้เก่าแต่เป็นไม้ชั้นดีทีเดียวพอไล้มือเช็ดฝุ่นออกปรับสายพิณให้เข้าที่ พิณหลังงามก็ปรากฏจับต้องสายตา ฉันมองมันด้วยความปิติไม่คิดว่าพิณหลังหนึ่งที่เคยถูกตั้งไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนั้นวันนี้กลับได้สัมผัสเล่นจริงๆ ตั้งแต่เห็นพิณหลังนี้ตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์ฉันก็รบเร้าแม่ตัดสินใจเรียนพิณเพิ่มตอนอายุสิบห้าและฉันก็ทำมันได้ดีไม่แพ้เรียนหนังสือเสียด้วย ดังนั้นตอนเขาบอกให้ฉันเล่นพิณฉันจึงไม่ลังเลจะหยิบฉวยโอกาสแสดงฝีมือ

ฉันลองดีดฟังเสียงพิณ เหม่อลอยคิดว่าควรเล่นบทเพลงไหนให้เขาผ่อนคลาย ใจมีสองสามเพลงปรากฏขึ้น หิมะโอบล้อมจันทร์ ดอกเหม่ยฤดูหนาว ชมดาวใต้เงาจันทร์ สามเพลงนี้ล้วนแล้วแต่ปรากฏขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ทั้งสิ้น แม้ฉันจะชอบหิมะโอบล้อมจันทร์ เพราะเป็นเพลงบรรเลงไพเราะเนื้อหาสนุกสนานคำนึงถึงคนรักในวัยแรกแย้มเหมาะกับความรักฉันตอนนี้หากบรรเลงเพลงด้วยอารมณ์เข้าบทเพลงเสียงพิณจะยิ่งขับกังวานไพเราะขึ้น แต่ฉันกลับคิดโกงหยิบบทเพลงซึ่งถูกจารึกไว้ว่าพระองค์โปรดปรานที่สุด นั่นคือดอกเหม่ยฤดูหนาว หวังเพียงให้พระองค์ประทับใจฉันบ้างเท่านั้น ตอนบรรเลงเพลงฉันจึงไม่ละสายตาจากพระองค์แม้แต่น้อย เพราะอยากรู้ว่าใบหน้าเหนื่อยล้าจะปรากฏรอยยิ้มยากเห็นขึ้นมาหรือไม่?

บทเพลงดอกเหม่ยฤดูหนาวอันแสนเศร้าของหญิงสาวผู้ห่างไกลจากคนรักและครอบครัวไม่เคยถูกสอนเป็นบทเพลงใดในวังหลวงแห่งนี้ เพราะผู้บรรเลงบทเพลงคนแรกคือองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิงผู้เป็นขนิษฐาของพระองค์ บทเพลงถูกเขียนไว้ในบันทึกของพระนางและค้นพบในยุคปัจจุบันดังนั้นคนที่เล่นเพลงนี้เป็นคือนางเพียงผู้เดียว ตอนสายพิณเริ่มดีดขึ้นลงเป็นจังหวะ ใบหน้าที่ก้มอยู่ของเขาค่อยๆเงยขึ้นมองฉันช้าๆ ดวงตาเหม่อลอยวาบประหลาดใจชั่วครู่ จากนั้นกลับสั่นไหวเศร้าหมองราวกับบทเพลงเศร้าถูกแทรกกลางลงหัวใจ ฉันมองใบหน้าเขาสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องมีแววตาเช่นนี้ มือพยายามไล้สายพิณให้ท่วงทำนองบทเพลงสดใสขึ้นหวังให้ใจเขาลืมความเศร้าเหล่านั้นจนหมดสิ้น ทำให้เสียงเพลงแปร่งไปจากทำนองเดิมและทำให้เขาได้สติสบตามองฉัน รอยยิ้มอบอุ่นเผยให้เห็นทว่าแฝงไปด้วยความขมขื่น ฉันชะงักมือหยุดลงแล้วมองเขาอยู่เนิ่นนาน วินาทีนั้นฉันจึงรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้รู้เรื่องในอดีตของเขาแม้แต่น้อย แต่กลับไม่รู้สิ่งใดเลยมากกว่า...

ยิ่งมองยิ่งรู้สึกอยากโอบกอดร่างนั้นไว้เท่าใด...ยิ่งมองยิ่งเข้าใจสิ่งใดได้มากขึ้น...

“บทเพลงนี้...” เขาพูดแล้วก็หยุด ฉันนิ่งไปไม่พูดสิ่งใดตอบอยู่นานเช่นกัน พอเห็นว่าอากาศภายในห้องทวีความอึดอัดจึงตัดสินใจเอ่ยปากขึ้น

“พระองค์คงไม่คุ้นเคย...หม่อมฉันจะบรรเลงเพลงบทใหม่ให้เพคะ”

ความจริงฉันอยากจะถามเขาว่าเหตุใดไม่ถามว่าฉันเล่นเพลงนี้เป็นและเพราะอะไรยามฉันเล่นบทเพลงนี้เขาต้องมีแววตาเช่นนั้น แต่กลับกลัวคำตอบจนไม่กล้าเอ่ยปากถาม ดวงตายามฉันมองสิบสี่เป็นเช่นไร ดวงตาเขาตอนมองฉันบรรเลงเพลงนี้ไม่ต่างกันแม้สักเสี้ยว หรือฉันทำตัวแทนที่ใครเข้า...หรือฟ้าดินลงโทษที่ฉันอาศัยความรู้ในอนาคตคิดโกงบทเพลงหวังให้เขาประทับใจตัวเอง

มือฉันสั่นเทาตอนจับสายพิณอีกครั้ง หัวใจอบอุ่นเมื่อครู่บัดนี้เหมือนมีน้ำแข็งเกาะหุ้มไว้ฉับพลัน ฉันแสร้งทำไม่รู้สึกใดๆยกยิ้มมุมปาก ทั้งที่หัวใจกลับขมขื่นไม่ต่างจากเขา ฉันไม่อยากให้มีผู้ใดหลงเหลือในใจเขาแม้เพียงสักเสี้ยว คิดโลภมากหวังครอบครองเขาไว้ผู้เดียว ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าตนได้รักเขาหมดหัวใจจนไม่มีที่ว่างใดสำหรับความเสียใจอีกแล้ว...

ฉันเคยเป็นคนพูดไว้ว่า...การมอบความรักให้จักรพรรดิเป็นสิ่งที่โง่ที่สุดที่หญิงสาวคนหนึ่งพึงกระทำได้...แต่บัดนี้ดวงตาฉันกลับมืดบอดและโง่เขลาเสียเอง...ฉันแค่นหัวเราะในใจนึกสมน้ำหน้าตัวเอง มองมือสั่นของตนเล่นเพลงหิมะโอบล้อมจันทร์ด้วยอารมณ์เศร้าหมอง เนื้อเพลงที่สนุกสนานพลันสลดลง เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าคิดสิ่งใดโง่งมนัก บทเพลงที่เขาชอบคือบทเพลงที่สตรีนางใดเคยครอบครองหัวใจดวงนั้น! ริมฝีปากฉันสั่นระริกขณะเงยมอง เขายังคงจ้องฉันไม่ละสายตา ลุกขึ้นเดินมาหากุมมือฉันให้หยุดเล่นพิณ น่าแปลกที่มืออันอบอุ่นของเขากลับเย็นเยียบสำหรับฉัน

เสียงพิณหยุดลงกะทันหันเหมือนเสียงหัวใจที่หยุดเต้นตอนนี้

“เจ้าไปพักผ่อนเถิด”

คำพูดอ่อนโยนเช่นทุกครั้งแต่กลับไร้เยื่อใยในน้ำเสียง ฉันลุกขึ้นถวายบังคม เก็บพิณลงมุมห้อง เขามองตามฉันแล้วเดินไปนั่งตรวจฎีกาต่อ  ฉันมองเขาไปอย่างไม่อาจหักห้ามใจ ท้ายที่สุดแม้ใจเจ็บแสนสาหัสแต่ยังอดเป็นห่วงเขาเสียมิได้ พอเท้าก้าวผ่านโต๊ะจึงหยิบเหยือกรินชาลงถ้วยเดินไปถวาย คนรับเพียงหยิบมามองครุ่นคิดแล้วยกขึ้นดื่ม

“ขอบใจเจ้ามาก”

ฉันยิ้มโดยไม่รู้ว่ามันคือรอยยิ้มยินดีหรือขมขื่นกันแน่

“เพคะ...”

ทันทีที่หันหลัง ฉันไม่รู้ว่าเขามองตามมาหรือเพียงก้มหน้าลงเขียนพู่กันต่อ ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง รู้แต่เพียงหัวใจตนราวถูกบดบีบสลายเป็นผุย ใบหน้าไม่มีน้ำตาแม้แต่น้อยเอาแต่ครุ่นคิดแทบเป็นแทบตาย ใจหนึ่งกลัวว่าหากก้าวต่อไปปลายทางไม่อาจรู้จะคว้าสิ่งใดในเอื้อมมือ แต่ใจหนึ่งกลับคิดไม่ยอมแพ้ไม่สนเลยว่าปลายทางข้างหน้าจะเจอความเจ็บปวดขนาดไหน

ฉันนอนลงหมอนแต่ไม่อาจข่มตาหลับ ครุ่นคิดอยู่นานจนท้ายที่สุดได้คำตอบว่า หากตัวฉันเองรักใครใหม่ได้เขาเองก็สามารถเปิดหัวใจรับฉันได้เช่นกัน ฉันจะลองพยายามให้เขาลืมคนผู้นั้นและหันมารักฉันบ้างแม้เสี้ยวหนึ่งของใจ เพียงแค่โดนเขาปฏิเสธเสียงพิณไม่ได้แปลว่าจะไร้โอกาสเสียหน่อย! ฉันเรียกความใจกล้าบ้าบิ่นของซูหลินกลับมา ตอนนี้คิดเข้าข้างตนอย่างเต็มกำลังว่าอย่างไรเมื่อเดินหน้าแล้วจะไม่ถอยหลังกลับอีก...

 

รุ่งเช้าฉันลืมตาตื่น มองหยางเฟิ่งที่นอนนิ่งอยู่เคียงข้าง ไม่รู้เลยว่าเขามานอนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงค่อยๆยันตัวไม่ให้มีเสียงรบกวนเขา เท้าคางมองใบหน้าเรียบอยู่เงียบๆรอเขาตื่น หากได้เห็นใบหน้านี้ทุกวันฉันยอมเจ็บปวดพันครั้งอย่างยินดี มือหนึ่งพยายามเอื้อมไปแตะใบหน้าเขาแต่เขากลับลืมตาขึ้นมากุมมือฉันไว้ ฉันสะดุ้งตัวไม่คิดว่าเขาจะตื่นง่ายขนาดนี้ แต่พอคิดว่ายุคโบราณฮ่องเต้ต้องจับดาบคันธนู แม้เวลานอนยังต้องระวังศัตรูจึงไม่แปลกใจที่เขาจะรับรู้ได้เมื่อใครพยายามจับตัว สายตาเขาดำลึกไร้ขอบเขต พอหันมาเจอฉันมือที่บีบจึงค่อยๆคลายลง เขาเห็นฉันทำหน้าตกใจซีดก็จับมือฉันขึ้นแนบกับแก้มตัวเอง

“อีกข้าง...” ฉันแทบหยุดหายใจตอนเขาคว้ามืออีกข้างของฉันขึ้นไปแนบแก้มของเขา ใจเต้นเสียงดังถูกรอยยิ้มอ่อนโยนทำให้สติหลุดลอย “ดีหรือไม่?” เขากระซิบถามเสียงเบา ฉันไม่ตอบเพราะมัวแต่มองเขาด้วยหัวใจอันสับสนระคนยินดี ท่าทางเขาเหมือนใกล้ชิด แต่บางครั้งกลับห่างไกลจนยากคะเนถึง แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรฉันไม่อาจปล่อยมือจากเขาไปได้เลย

“หากอยากสัมผัส เจ้าเอ่ยขอเราได้ทุกเมื่อ”

ฉันอ้าปากจะพูดว่า “เช่นนั้นหากหม่อมฉันเอ่ยปากขอสัมผัสใจพระองค์จะได้หรือไม่?” แต่ท้ายที่สุดฉันกลับทำได้เพียงพยักหน้าลงแล้วจับใบหน้านั้นอยู่นาน ลูบไล้แก้มสัมผัส จากเหม่อลอยกลายเป็นขวยเขินเมื่อพบว่าสายตาเขาได้จ้องมองอยู่ทุกเวลา ในที่สุดฉันก็ได้แต่นั่งอ้ำอึ้งมองเขา

“แผลเจ้ายังไม่หายดี” เขาพูดพลางปลดมือฉันลง เดินไปหยิบขวดยามาแล้วจับหน้าผากฉัน

“โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นตอนเขาสัมผัสถูกแผล เขาชะงักมือกลับแล้วมองตรงขอบเตียง จากนั้นก็ลงยาเบามือ

“คืนก่อนเจ้าโดนยาพิษพยายามยั่วยวนเรา ตัวเจ้าเซล้มลงชนขอบเตียง พอเราจะประคองเจ้ากลับยกมือห้าม ปีนกลับขึ้นเตียงเองอย่างอาจหาญแล้วล้มหน้าลงกลางเตียงไปเสีย” พอฉันเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้ตัวก็ร้อนซู่ทันที มองเขาที่กลั้นหัวเราะพลางถาม

“หม่อมฉัน...หม่อมฉัน...” หน้าฉันแดงก่ำ ส่วนตามองลงผ้าปูสลับกับใบหน้าเขาหลายต่อหลายครั้ง เขาเห็นฉันไม่กล้าเอ่ยปากถามจึงส่ายหน้าแล้วตอบเอง

“เจ้ายังบริสุทธิ์”

ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นควรดีใจหรือเสียใจกันแน่ เลยได้แต่นั่งนิ่งให้เขาทำแผล เขาไม่ได้มองฉันเลยเคลื่อนไหวไม่สะดุดช่วยป้ายยาจนเสร็จ ก่อนพูดเตือนขึ้นว่า

“อีกประเดี๋ยวเราต้องออกว่าราชการแล้ว เจ้าอาบน้ำระวังแผลให้มาก สั่งนางกำนัลอย่าให้แผลถูกน้ำ ไม่เช่นนั้นแผลเจ้าอาจหายได้ช้า” เขาขยับตัวลุกขึ้น ฉันจึงยิ้มถามว่า

“ฝ่าบาททรงห่วงหม่อมฉันหรือเพคะ?”

เขาหันกลับมายิ้มให้ “ไม่ห่วงได้อย่างไร”

เขาออกจากห้องไปแล้ว แต่คำนั้นกลับสะท้อนก้องในหัวใจไปมาราวกับตอกย้ำความสุขของฉัน ครั้นแล้วก็นอนลงหมอนไปพร้อมใบหน้าแดงระเรื่อจมความสุขอย่างถอนตัวไม่ได้ ซุกหน้ายิ้มลงผ้าห่มแล้วกลิ้งตัวไปมาอยู่นาน

 

ตอนอาบน้ำฉันคิดหนักพลางจับเนื้อตัวสำรวจร่างกาย ฟางหรูช่วยฉันขัดตัว เห็นท่าทีผิดปกติจึงเป็นห่วง เอ่ยปากถามว่า

“พระสนม...เหตุใดท่านต้องเอ่อ...จับเนื้อตัวแบบนั้น? ไม่สบายกายหรือจับไข้เพคะ?”

ฉันจมตัวลงถังน้ำไม่ตอบนาง ร่างกายนี้อายุเพียงสิบสาม หน้าอกและบางส่วนยังเต็มโตไม่เต็มที่นัก คืนนั้นเขาเลยไม่คิดจะร่วมหมอนกับฉันเพราะคิดว่าฉันไม่มีสิ่งใดน่าดึงดูดใช่หรือไม่? คิดแล้วฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ปล่อยร่างกายเติบโตไปตามเวลา มันออกจะเป็นเรื่องแปลกที่ชายหญิงแต่งงานร่วมหอแต่เจ้าสาวกลับยังบริสุทธิ์จนถึงตอนนี้ มีหลายตำราสงสัยว่าจักรพรรดิหมิงหยางเฟิ่งเป็นชายตัดชายเสื้อแต่บางคนกลับโต้แย้งเพราะอีกไม่กี่ปีพระองค์จะให้กำเนิดพระโอรสและพระธิดาอีกมากมาย แต่อย่างที่ใครหลายๆคนว่า เป็นชายรักชายเหตุใดจะมีภรรยาและลูกปิดบังไม่ได้? พอคิดได้ถึงจุดนี้ ฉันก็ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นผิวน้ำทันที 

“พระสนม!” ฟางหรูตกใจทั้งท่าทีฉัน ทั้งหลบหยดน้ำสาดกระเซ็นขึ้นจากถัง “มีอะไรหรือเพคะ?...หม่อมฉันตกใจหมด!” นางรีบหยิบผ้ามาเช็ดตัวมองฉันที่หันไปทางนางทั้งดวงตาเบิกกว้าง

“เจ้าว่าข้าสวยหรือไม่?” นางมองฉันและพยักหน้าถี่ พูดอย่างมั่นใจไร้เสแสร้งว่า

“สวยเพคะ”

“เจ้าว่าข้าจะยั่วยวนเป็นหรือไม่?” นางทำถังไม้ตกลงพื้นเสียงดังกับคำไม่คาดคิดของฉัน ใบหน้าแดงไปหลายส่วนพลางร้องว่า

“ห๋า!” แล้วเขยิบเข้ามาใกล้ “ลี่เซียน! สมองเจ้าเพี้ยนไปแล้วหรือ?!” นางตกใจยกใหญ่กระซิบเรียกชื่อฉันให้ได้สติพลางจับหน้าผากสำรวจ ฉันไม่ตอบนางพลางถามต่อ

“ฝ่าบาทมีคนสนิทหรือไม่?”

นางขมวดคิ้วกับคำถามไม่ประติดประต่อของฉัน หดมือกลับไปแล้วพูดอธิบาย “ฝ่าบาทแม้ทรงสุขุมใบหน้าประดับรอยยิ้มเสมอ แต่เวลาออกว่าราชการ เสด็จพ่อของหม่อมฉันเคยพูดว่าพระองค์ไม่สนิทกับขุนนางฝ่ายใดเป็นพิเศษ วางตัวจนเหล่าขุนนางไม่อาจคาดเดาจิตใจได้เพคะ!” ฉันขมวดคิ้วใส่ สิ่งที่แอบสงสัยพังทลายไปหนึ่งข้อ...เช่นนั้นแล้วจะมีเหตุผลใดอีกเล่า? ฟางหรูมองฉันอยู่ครู่ ใบหน้านางประกายวาบคิดออกแล้วพูดอย่างรวดเร็ว “อ๋อ! แต่ท่านพ่อหม่อมฉันเคยบอกว่าคนที่พระองค์ทรงสนิทที่สุดคืออ๋องน้อยเก้าหลิ่งถิงเพคะ! เพราะท่านอ๋องน้อยทรงได้รับการโปรดปรานจากความสามารถที่เหนือกว่าอายุ ชิงเก้าอี้ขุนนางเก่าแก่อย่างสง่างาม เรียกได้ว่าเป็นไก่ฟ้าทองในอนาคตเลยนะเพคะ!”

มุมปากฉันกระตุกถี่ เก้าหลิ่งถิง...เก้าหลิ่งถิง!

“สนิทขั้นไหน!”

ฉันจับไหล่นางแล้วลากมาประชิดขอบถัง นางมองฉันด้วยสายตาลนลานหลุบมองถังไม้กั้นระหว่างเราไว้ จับมือฉันออกอย่างใจเย็นแล้วพูดตอบเบาๆ

“ถึงขั้นกิน นอน ดื่มสุราเพคะ...” นางหรี่ตามองปากอ้าค้างตกใจของฉัน “พระสนมถามทำไมหรือเพคะ?...พระสนม...พระสนม...!” แม้นางจะเขย่าตัวฉันหลายต่อหลายครั้ง แต่ฉันกลับยืนนิ่งเป็นสลักหินกลางอ่างน้ำ ในหัวคิดกระเจิดกระเจิงฟุ้งซ่านไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหนแล้ว ถึงขั้นกิน นอน ดื่มสุรา หากไม่ใช่สหายสนิทก็คงไม่ทำเช่นนี้ แต่จะมีสหายคนใดนอนร่วมกับฮ่องเต้จนรู้ไปถึงหูคนนอกเช่นบิดาของฟางหรู หากไม่เป็นที่โปรดปรานมากก็ไม่อาจใจกล้าทำสิ่งใดเปิดเผยขนาดนี้ อีกทั้งวังหลังยังไร้บุปผางามแต่งแต้ม มีพระสนมเพียงไม่กี่พระองค์มาตลอดห้าปี หากนำทุกสิ่งมารวมกันแล้วข้อสงสัยของฉันก็ยิ่งเข้าล็อกลงกลอน  หน้าฉันดำทะมึนขณะพูดขบเคี้ยวเขี้ยวฟันลอดออกมาทีละคำว่า

“เก้า หลิ่ง ถิง! เจ้า อีก แล้ว!”

 

เหตุผลที่ฉันมายืนลับๆล่อๆหน้าประตูตำหนักร้างเป็นเพราะไม่อาจสลัดความคิดเมื่อครู่ออกจากสมอง ฉันลากฟางหรูมาเป็นเพื่อนปีนหน้าต่างตำหนักออกมา ป่านนี้ทั่วทั้งตำหนักคงตามหาตัวฉันกันยกใหญ่แล้ว ยิ่งมากคนยิ่งมากงานและฉันไม่ต้องการให้ใครติดสอยห้อยตามเดินตามหลังเป็นขบวนยาวขณะฉันกำลังไปจับพิรุธสามีตัวเอง ตำหนักร้างมีมากมายนับไม่ถ้วนเพราะหยางเฟิ่งไม่ชอบใจที่ตนมีสนมหลายพระองค์เท่าไหร่ นางกำนัลในวังหลังจึงทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูตำหนักว่างไม่ต้องปรนนิบัตรใครให้วุ่นวาย เรียกได้ว่าเป็นยุคทองแสนสบายของพวกนางยุคหนึ่ง ฉันอิงกำแพงค่อยๆก้าวข้ามประตูเพียงอีกสองก้าวก็ถึงบริเวณวังหน้า

“เพี้ยะ!”

ไม้ยาวด้ามหนึ่งตีลงขาฉันและฟางหรูไม่ยั้งมือ เสียงตีดังระรัวมาพร้อมความเจ็บปวดแสบร้อนยามไม้ลงกระทบผิวผ่านผ้าหนาหลายชั้น ฉันกับนางหันขวับไปมองคนทำแล้วแผดเสียงร้อง “โอ๊ย!” ดังลั่น นานแล้วที่ไม่ได้ถูกตีแบบนี้ แต่ทุกครั้งหลังไม้ตีกระทบ ผิวก็ขึ้นแถบแดงเหมือนกันหมด หญิงชรานางหนึ่งจ้องมาทางพวกเราตาเขียว แม้อายุนางจะมากแล้วแต่กลับดูสง่างามน่าเคารพนับถือ สมัยวัยสาวนางคงสวยน่าดู แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเพราะนางกำลังเดินถือไม้พลางมองฉันกับฟางหรูที่วิ่งผละกันไปคนละทิศ ให้ตายสิคนแก่อะไรมือหนักชะมัด!

ฉันมองตาฟางหรู พวกเราส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ต่างคนต่างออกวิ่ง เพราะอย่างไรการที่สนมออกมาหน้าวังก็เป็นเรื่องไม่สมควรอีกทั้งยังผิดกฎ แต่เสียงตวาดดังของหญิงชราทำขาพวกเราหยุดชะงัก

“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”

ฉันกับฟางหรูหันหน้ากลับมาช้าๆ ถูกนางไล่ต้อนด้วยไม้มาอยู่รวมกัน นางตีไม้ลงพื้นดัง “เพี้ยะๆ” น่าขนลุกว่ามันจะกระทบผิวพวกเราเมื่อไหร่ ฟางหรูทำหน้าถามว่าฉันรู้จักนางหรือไม่ ฉันส่ายหน้าตอบกลับไปเพราะไม่รู้จักหญิงชราผู้นี้แม้แต่น้อย แต่มองจากเสื้อผ้าแล้วฐานะนางคงไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าฉันแน่นอน ฟางหรูจึงทำใจกล้าตวาดเสียงดังใส่นางกลับ

“เจ้ากล้าตีข้าได้แต่เจ้าอย่าได้กล้าตีพระสนมเยี่ย!” หญิงชราเพียงส่งเสียงเหอะ ออกมาเบาๆแล้วหันมาถามฉัน

“แล้วเหล่านางกำนัลติดตามของพระองค์อยู่ที่ใดเล่า?” ฉันกลืนน้ำลายแสร้งยืดตัวตอบ

“เหตุใดข้าต้องตอบเจ้าด้วย!” จู่ๆนางก็ทำหน้าสลด หันหลังไปร้องห่มร้องไห้เสียงดัง

“หม่อมฉันว่าแล้ว...พอหม่อมฉันแก่หงอกก็ไร้คนสนใจนับถือ...พระสนมทรงไม่ตอบคำถามหม่อมฉันได้เลยเพคะ!”

ไม่รู้ทำไมฉันนึกสงสารแกเอาดื้อๆ มองแผ่นหลังสั่นไหวนั่นฉันกับฟางหรูก็ใจอ่อนขึ้นมา ฟางหรูไม่ลืมแย่งไม้เรียวจากมือนาง ให้ฉันค่อยๆย่องเข้าไปกอดนางไว้

“ท่านยาย...ข้าขอโทษท่านด้วย ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใครแล้วข้าก็กลัวโดนท่านตี...ความจริงข้าเพียงอยากออกไปหน้าวังเท่านั้น ข้าหวังว่าท่านยายจะเห็นใจ...”

ฟางหรูส่ายหน้าว่าเหตุใดฉันบอกความจริงนางไป ฉันเม้มปากบุ้ยหน้าบุ้ยตาเชื่อว่าบอกนางไปก็ไม่เป็นไรแน่ ท่านยายหันหน้ากลับมา บนใบหน้าไม่มีรอยน้ำตาสักหยดแต่กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นแทน

“พระสนมจะไปหน้าวังทำไมหรือเพคะ?”

“เอ่อ...” ฉันอ้ำๆอึ้งๆจะบอกได้อย่างไรว่าต้องการไปดูความสัมพันธ์ของสามีและสหายรักให้ประจักษ์แก่ตา มองตาประกายของท่านยายหัวฉันก็หมุนติ้วเป็นลูกข่าง คิดคำพูดที่ดีที่สุดเค้นออกมา “ข้าคิดถึงฝ่าบาท คิดถึงแทบทนไม่ไหว จะให้ข้ารอในตำหนักหัวใจข้าก็ร้อนรนนัก หวังแอบออกมาพบหน้าพระพักตร์สักครู่ให้ใจหายคิดถึงบ้างเท่านั้น” หน้าฉันแดงพอๆกับฟางหรู แต่ท่านยายกลับยกคิ้วหรี่ตาล้อเลียน

“เช่นนั้นไปเถิด!” นางจับมือฉันลากออกเดิน แต่ฟางหรูกับยื้อมืออีกข้างไว้พลางถาม

“พวกข้ายังไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านจะรับประกันความปลอดภัยของพระสนมได้อย่างไรในเมื่อพระสนมไม่อาจออกหน้าวังเปิดเผย!” ท่านยายคว้าไม้ในมือนางมาตีนางจนตัวสะดุ้ง

“ข้าคือแม่นมของฝ่าบาทและเหล่าองค์ชายอย่างไรเล่า!”

พูดจบทั้งฉันและฟางหรูได้แต่หันมองหน้านางค้างตะลึง ยังไม่ทันหายอึ้งก็โดนนางลากตัวเดินไปหน้าวังทันที ระหว่างเดินฉันเห็นตำหนักใหญ่ผ่านสายตา กว้างขวางจนสุดลูกตาจะมองเห็น ท่านยายจูงมือฉันมองหน้าแล้วยกยิ้มงามขึ้น

“พระสนมรักฝ่าบาทมากหรือ?”

ฉันยิ้มพลางมองนางตอบ “ความรู้สึกข้าท่านไม่ถามก็อาจรับรู้ได้แล้ว” สมัยก่อนการที่สตรีพูดคำว่ารักต่อหน้าคนอื่นถือเป็นเรื่องน่าอายอยู่เล็กน้อย ฉันจึงพูดเลี่ยงคำทว่าคงไว้ด้วยความหมายทั้งหมด ท่านยายหัวเราะเบาๆ แววตาชื่นชมฉันหลายส่วน นางตบหลังมือฉันเบาๆขณะเดิน

“ทรงรักฝ่าบาทมากจริงๆไม่เช่นนั้นไม่กล้าหนีออกมาเช่นนี้เพียงเพื่อได้พบพระพักตร์คลายความคิดถึง ท่านทรงเป็นสนมองค์แรกที่กล้าแหกกฎของวังหลัง” ฉันหัวเราะแห้ง ไม่แน่ใจว่านี่คือคำชมหรือต้องการบอกว่าใจกล้าบ้าบิ่น ฉันมองท่านยาย รู้สึกนางมีแววอบอุ่นปรากฏรอบตัวจึงพลั้งปากถามว่า

“ท่านยาย...เมื่อครั้นฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ทรงมีเรื่องงดงามใดให้ท่านจดจำพอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”

ท่านยายยกยิ้มอบอุ่น หยุดฝีเท้าพลางอ้าแขนราวกับโอบอุ้มทารกน้อยในอ้อมแขน “มีสิ...มีมากนับตั้งแต่หม่อมฉันได้โอบอุ้มพระองค์ไว้...” แววตานางมีความเศร้าปรากฏอยู่ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันคิดมากไปเองหรือไม่ แต่ชั่วครู่นางก็จับมือฉันออกเดินต่อ “หากพระสนมว่างทรงมาหาหม่อมฉันที่ตำหนักร้างแล้วหม่อมฉันจะเล่าให้พระองค์ฟัง”

“ขอบคุณท่านยายมาก!” นางหัวเราะเอ็นดูเมื่อฉันเดินไปด้วยหนุนหัวซุกแขนนางไปด้วย

“พระสนมทรงแปลกกว่าพระสนมอื่นเสียจริง” นางพูดแล้วหยุดฝีเท้าอีกรอบ มองตาฉัน “ถึงแล้วเพคะ...” ฉันมองหน้าตำหนักใหญ่ เห็นเหล่าทหารคำนับให้ฉันลนลาน เหลือบตามองเหมือนประหลาดใจที่เห็นฉัน บางส่วนหน้าซีดขาวก้มลงตัวสั่น ฉันกับฟางหรูถึงกับยืนเซ่อกันอยู่ตรงนั้น นอกจากจะไม่มีใครกล้าว่าแล้วทุกคนกลับหวาดกลัวฉันอีก

ฉันหันไปมองท่านยาย เห็นนางมองเหล่าทหารพลางหันมาหา “ใครๆต่างกลัวอำนาจบารมีพระองค์ทั้งนั้น เพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานพระสนม รีบเสด็จมาเถิดเพคะ!” นางคว้ามือฉันไปแอบข้างหน้าต่างบานหนึ่ง มือเรียวย่นแอบเปิดมันออกน้อยๆทำให้ได้เห็นและได้ยินทุกสิ่งข้างใน เบื้องหน้าคือใบหน้าเรียบเฉยที่เหมือนยกยิ้มมุมปากตลอดเวลา แต่กลับไม่มีรอยยิ้มใดปรากฏชัดเจน ขุนนางผู้หนึ่งโขกศีรษะกล่าวขึ้นว่า

“ทูลฝ่าบาท ปัญหาราษฎรยากจนเหล่านั้นทรงวางเรื่องไว้หลังคดีพระสนมไถ่เถอะพะยะค่ะ!”

พระองค์ยังคงทำหน้านิ่ง ข้างกายคือขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งและเก้าหลิ่งถิง ฉันเห็นเขาส่งสายตาให้พระองค์ และเห็นพระองค์ส่งสายตาตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน ทำเอาใจฉันเต้นกระสับกระส่าย

“เสนาบดีเหวินเรื่องนี้เราเห็นว่าสามารถจัดการควบคู่กันได้”

ขุนนางชราทำหน้าคัดค้าน “คดีนี้อาจบานปลายถึงสงครามระหว่างแคว้นได้พะยะค่ะ ทรงทบทวนใหม่เถิดพะยะค่ะ!”

เหล่าขุนนางคนอื่นฝั่งขุนนางเหวินก้มลงพูดเสียงเดียวกันว่า “ทรงทบทวนใหม่เถิดพะยะค่ะ!” ขณะก้มหน้า ฉันเห็นพระองค์พยักหน้าพร้อมหลิ่งถิง จากนั้นหมอนั่นได้ก้าวขาออกมาข้างหน้า ยกมือพลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ท่านเสนาบดีฝ่ายขวา สิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัสย่อมเป็นไปได้ หากท่านแก้ปัญหานอกเมืองแต่มิได้แก้ปัญหาในเมือง ท่านย่อมไม่ขนข้าวออกจากแคว้นหรอกหรือ?” หลิงถิงก้มหัวลง ยกยิ้มสง่างามวางมาดทำเอาหลายๆคนมองตาคับแค้นเป็นแทบ แต่ฉันกลับคิดว่าเขาดูองอาจผิดปกติยามอยู่ในท้องพระโรง เห็นแล้วรอยยิ้มพลันปรากฏชื่นชมแต่เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นฉันกลับหุบยิ้มสมน้ำหน้าเขาทันที “หึ!”

“หากเรื่องนี้ท่านไม่อาจจัดการได้ฝ่ายเดียว เราให้ท่านอ๋องน้อยคอยช่วยเหลือ”

“กระหม่อมเก้าหลิ่งถิงน้อมรับพระบัญชา!”

ขุนนางเหวินมองเก้าหลิ่งถิงขบเคี้ยวฟัน ก้มตัวรับอย่างจำนน พูดเสียงเรียบทว่าหนักแน่น “พะยะค่ะ!”

ปัญหายากจนงั้นหรอกหรือ? ฉันหันหน้ามองท่านยายที่แอบมองฉันอยู่ รัชสมัยนี้เป็นช่วงฟื้นฟูแผ่นดินดังนั้นจึงไม่แปลกที่พระองค์เร่งช่วยเหลือชาวบ้าน เพื่อให้แผ่นดินเกิดเสถียรภาพมั่นคงมากขึ้น หากแผ่นดินไม่ทุกข์ร้อนการป้องกันและรับมือสงครามภายนอกจะมากขึ้น เสนาบดีเหวินเพียงต้องการรื้อคดีขององค์ชายสิบสี่ให้กระจ่าง ตัดรอนความรับผิดชอบให้แคว้นฉีรอดพ้นวิกฤตินี้และไม่ให้แคว้นต้าเอาข้ออ้างก่อสงคราม แต่ไม่ว่าอย่างไรองค์รัชทายาทย่อมหาข้ออ้างอื่นขึ้นมาทำศึกอยู่ดี ฝ่าบาททรงรู้คาดเดาล่วงหน้าไปหลายก้าวพระองค์จึงเลือกความเดือดร้อนของประชาก่อนเรื่องภายนอกที่สักวันอย่างไรก็ต้องวุ่นวายมากกว่าเดิม

“พระสนมคิดว่าอย่างไร? ฝ่าบาททรงคิดผิดหรือไม่เพคะ?” ท่านยายถามขึ้นมองฉันยกยิ้มมาดมั่น

“ข้าคิดเช่นเดียวกับฝ่าบาท...ไม่ว่าอย่างไรแคว้นต้าย่อมไม่วางมือ ยิ่งพระองค์ดึงเงินจากเสบียงคลังมาตรวจสอบคดีพระสนมไถ่ยิ่งได้ไม่คุ้มเสีย หากทรงนำตำลึงทองเหล่านั้นมาช่วยชาวบ้านมีกินย่อมดีต่อแคว้นฉีเรามากกว่านัก ศึกนอกไยเท่าศึกในเล่า?”

ฟางหรูทำหน้าอ๋อออกมาแล้วตบมือเอ่ยชมฉัน

“พระสนมมองขาดจริงๆสมควรแล้วที่ท่านเคยเป็นผู้ดูแลเรือนบุปผางาม!” ท่านยายไม่พูดสิ่งใด ได้แต่ยิ้มกว้างมากกว่าเดิมและปิดหน้าต่างลงเงียบๆ ฉันคิดว่านางจะห้ามฉันแล้วพากลับ แต่นางกลับพูดว่า

“ทรงรอจนกว่าฝ่าบาทออกมาเถิด”

“แต่ท่านยายข้าอาจถูกจับได้!” ท่านยายมองท่าทีร้อนใจของฉันแล้วหัวเราะใจเย็น

“ไม่มีใครกล้าว่าพระองค์หรอกเพคะ”

ฉันจึงได้แต่นั่งคุดคู่อยู่ข้างท่านยาย พวกเราสามคนใช้เวลาทั้งหมดนั่งรอฝ่าบาทเสด็จออกมา ท่านยายเห็นฉันเอาแต่มองบานประตูจึงเล่าเรื่องสมัยเด็กของฝ่าบาทฆ่าเวลาให้ฉันฟัง มีหลายเรื่องที่ทั้งขบขันน่าเอ็นดูฉันจึงไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย ราวกับได้รู้จักพระองค์มากขึ้น

ผ่านไปหลายชั่วยาม เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออกฉันก็ลุกยืนอย่างยินดี แอบหลังเสามองกระพักตร์ก้าวผ่านลงบันไดหินอ่อน ข้างหลังคือเก้าหลิ่งถิงและขุนนางใหญ่หลายคน ฉันนึกสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดเขาต้องทำตัวติดพระองค์ตลอดเวลา จิกเล็บลงต้นเสาไม่ชอบใจบุ้ยหน้าบุ้ยปากไม่สบอารมณ์ ท่านยายเห็นฉันทำหน้าไม่พอใจจึงจับตัวฉันออกจากที่ซ่อน

บันไดเป็นทางผ่านสองชั้น ฉันอยู่ชั้นบนถัดไปเพียงเล็กน้อย มีรั้วหินกั้นอยู่ระดับเอว ส่วนพระองค์กำลังเดินมาจากด้านขวา เพียงอีกครู่คงผ่านหน้าฉันไปในระดับต่ำกว่า หากฉันยืนอยู่แบบนี้พระองค์อาจเงยมาเห็นแต่ไกลได้ ข้างหลังพระองค์มีเหล่าขันทีและนางกำนัลติดตามยาวเป็นขบวน ขุนนางส่วนใหญ่ลงบันไดไปอีกทางมีเพียงเก้าหลิ่งถิงเดินติดตามอยู่ พอฉันเห็นฝ่าบาทเดินเข้ามาใกล้ก็รีบทำหน้าร้อนพลางฝืนแรงท่านยายเพื่อชักเท้ากลับไปซ่อนที่เดิม แต่คนแก่มักทำอะไรเกินคาดเสมอ ขณะที่ฉันหันหน้าไปหานาง มือย่นได้ผลักฉันลงจากรั้วหล่นลงไปด้านล่างโดยไม่ทันระวัง ฟางหรูกรีดร้องก่อนฉันเสียอีก นางเรียกฉันเสียงดังลั่นว่า

“พระสนม!!!”

ฉันหน้าซีด เวลาตกใจมากๆมักไม่ทันได้ร้องออกมาเสมอ เอาแต่มองไปรอบข้างที่แสนวุ่นวาย เหล่าทหารยืนหน้าซีดพอกับฉันเป็นเพราะกลัวโทษตายกันอยู่  ขบวนชะงักหยุดมองร่างฉันที่ลอยละลิ่วราวกับหล่นมาจากท้องฟ้า ฉันกรีดร้องขึ้นว่า “อ๊ากกกก!!!” อย่างไม่เป็นกุลสตรีเท่าไหร่ตอนใกล้ร่างห่างจากพื้นเพียงครึ่งผิง เห็นหลิ่งถิงปรี่เข้ามาพร้อมหยางเฟิ่ง พวกเขารีบสาวเท้าเร็วหวังรับร่างฉันไว้ แต่เป็นหยางเฟิ่งที่ถึงตัวฉันก่อน ฉันหล่นลงอ้อมแขนเขาพอดิบพอดี หัวใจฉันเต้นตุบตับมือคว้าคอเขาประสานไว้ ทางหนึ่งกลัวตกลงพื้น ทางหนึ่งตื่นเต้นเมื่อใบหน้าเขาใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจร้อน ฉันจ้องหน้าเขาตัวแข็งเกร็งตอนเราหมุนตัวตามแรงเหวี่ยง นัยน์ตาเราประสานราวโลกของฉันหยุดหมุน เขาจ้องฉันไม่ละสายตาทั้งตื่นตระหนกทั้งห่วงใยในเวลาเดียวกัน ปากเขาเม้มแน่น ระหว่างคิ้วขมวดอย่างกังวล ตอนนั้นสายลมพัดเย็นมาวูบหนึ่งแต่ฉันกลับรับรู้เพียงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาเท่านั้น ตอนเขาหยุดตัวลงฉันยังคงไม่ปล่อยมือรอบคอเขา ทั่วร่างสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะเมื่อครู่อาการกลัวถึงขีดสุดเป็นของจริงล้วนๆ

“บาดเจ็บหรือไม่?”

ฉันส่ายหน้าดิก “ไม่เพคะ”

หลิ่งถิงไม่กล้าแตะตัวฉัน ได้แต่เดินเข้ามาประชิดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงห่วงใย “เจ้า...” เขาชะงักลืมตัวก่อนจะก้มประสานมือพูด “พระสนมเป็นอะไรมากหรือไม่พะยะค่ะ? เหตุใดมาอยู่ที่นี่แล้วตกลงมาได้?”

หยางเฟิ่งหันมองหลิ่งถิงด้วยสายตาที่ฉันอ่านไม่ออก ฉันคิดไปเองว่าพวกเขากำลังหึงหวงกันอยู่หรือไม่? เพราะการที่หลิ่งถิงถามฉันฉันท์มิตรสหายจะทำให้เขาไม่พอใจอย่างงั้นหรือ? ฉันรีบพูดตอบไปตามมารยาท ทางหนึ่งสงบศึกพวกเขาไว้ ทางหนึ่งจ้องหยางเฟิ่งที่สายตาเริ่มมีประกายเย็นวาบจนหลิ่งถิงต้องหลบไป

“ไม่เป็นอะไร...ท่านอ๋องอย่าได้เป็นห่วง ขอบคุณท่านอ๋องมาก”

หลิ่งถิงเพิ่งสังเกตเห็นท่าทางฉันที่โอบกอดหยางเฟิ่งแนบสนิท เขาเม้มปากแน่น ใบหน้าพลันแดงเถือกแล้วถอยออกห่าง หยางเฟิ่งมองขึ้นข้างบนเห็นฟางหรูวิ่งร้อนรนลงมาดูฉัน ฉันมองตามเขาไม่เห็นเงาของท่ายายแม้แต่น้อย ดูท่าฉันจะถูกคนแก่หลบฉากหนีความผิดไปเสียแล้ว เขาเห็นฉันมองหาคนก็พูดขึ้นเสียงเย็นว่า

“กลับตำหนักเราต้องการคำอธิบายเรื่องนี้ทั้งหมด”

ฉันเพิ่งเคยเห็นเขาโกรธจัดขนาดนี้เป็นครั้งแรก หลิ่งถิงมองพวกเราอยู่ปราดหนึ่งแล้วร่นตัวทูลลาไป ตลอดการเดินกลับวังหลังแม้เขาจะอุ้มฉันไว้ตลอดเวลาแต่กลับไร้เสียงใดให้ได้ยิน ดวงหน้าอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ ดวงตาอ่อนโยนแข็งกร้าวเย็นชา ฉันแทบไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย มองท่าทีเขาครั้งนี้ฉันจึงรู้ตัวว่ายิ่งลมสงบนิ่งมากเท่าไหร่พายุที่จะตามมายิ่งใหญ่มากเท่านั้น ฉันไม่รู้ว่าเวลาคนนิ่งเฉยเช่นเขาโกรธจัดแล้วคิดจะลงโทษอย่างไร แต่ฉันหวังว่ามันจะไม่รุนแรงและทำร้ายความสัมพันธ์ของพวกเราพอ เดิมระหว่างเราก็มีเรื่องให้คิดมากมาย ฉันยังไม่วายก่อเรื่องเพิ่มเฮ่อ...สวรรค์...ลูกหาเรื่องใส่ตัวเข้าเสียแล้ว!

 

         อัพครั้งแรก : 11/3/58 รีไรท์ : 13/3/58

สวัสดีเจ้าค้า!!!

ขอโทษค่ะมือเหม่ยโดนเจาะพิมพ์คงช้ามาก เหม่ยป่วยเจ้าค่ะ ช่วงนี้อากาศร้อนแต่เหม่ยยังกินของเย็นๆและไอติมทุกวัน ดังนั้นวันนี้เหม่ยเลยเลือดกำเดาออกจนต้องไป รพ 555+ ระวังๆกันหน่อยนะเจ้าค่ะฮูหยิน ความจริงช่วงนี้อาจมาอัพไม่ทุกวันเพราะเจ็บมือมากเจ้าค่ะ ยังไงรักษาตัวกันด้วย อย่าเอาเยี่ยงอย่างแบบเหม่ยเด็ดขาด ไม่ได้ทรมานอะไรมาก แต่....มันใจเสียเจ้าค่ะ...เลือด...เลือด =[]="ปล. มีใครเรียกชลหญิงบ้างเจ้าค่ะ หรือเลี้ยงชิวาวาขนยาวสีน้ำตาลวันนี้มีฮูหยินแอดเฟบเพิ่มเห็นรูปอยู่ไหวๆปล2. เจ้านกเหม่ยกับน้องชายเหม่ย ไม่ค่อยถูกกันอย่างแรงเจ้าค่ะสองตัวนี้ น้องชายเหม่ยเป็นชิวาวาขนยาวที่คิดว่าตัวเองเป็นแมว ฮีจะคอยจ้องแล้วตะครุบ ตะครุบไม่ว่ากางกรงเล็บออกมาตวัดแบบแมวเหมียวอีก....จนเหม่ยไม่แน่ใจว่าตนเองเลี้ยงหมาให้กลายเป็นแมวไปตอนไหน/ หนูเข้าใจอะไรผิดมาลูกกกก =_=" 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา