บันทึกรักข้ามเวลา <ตีพิมพ์ สนพ.ปริ๊นเซส สถาพรบุ๊ค>

9.8

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.20 น.

  20 บทที่
  3 วิจารณ์
  30.82K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 04.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 5 บุรุษชุดดำจอมตื้อกับฟางหรูผู้ไม่แพ้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 5

บุรุษชุดดำจอมตื้อกับฟางหรูผู้ไม่แพ้

ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ฉันถึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในเรือนบุปผางาม ฉันก็เห็นสภาพหญิงสาวหลากหลายหน้าตา บ้างร้องไห้ระทม บ้างตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น และมีเพียงหยิบมือที่นิ่งสงบตั้งแต่วันแรกเช่นฉัน ในความคิดฉันแล้วการร้องไห้โศกเศร้านั้นไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา อีกอย่างฉันคือซูหลินหญิงสาวอายุยี่สิบห้าที่อยู่ในร่างเยี่ยลี่เซียนเด็กสาวอายุสิบสาม ดังนั้นความคิดฉันจึงสงบเย็นได้มากกว่าผู้อื่น แทนที่จะทำตัวต่อต้าน สู้ทำตัวให้บรรดาครูทั้งหลายรักเสียดีกว่า ตั้งใจฟังคำสอนพวกนางให้มากและเก็บตัวเงียบไม่สะดุดตาใครจะปลอดภัยตัว

แต่ประโยคสุดท้ายที่ฉันนึกไว้กลับผิดพลาดทั้งหมด...

วันแรกที่เข้ามาที่นี่ฉันถูกท่านเจ้าเรือนเรียกไปพบ ในใจคิดว่าจะเจอป้าแก่ๆทำหน้าเหี้ยมใส่ แต่ตรงข้าม...เพราะเบื้องหน้ากลับเป็นชายวัยยี่สิบต้นๆกำลังยืนหันหลังรออยู่ เขาบอกฉันว่าเขาชื่อจวี๋จวินฉี ฉันก็ทำหน้างงใส่เขา ย้อนคิดดีๆจึงรู้ว่าเขาคือคนที่ผิงเอ๋อบอกว่ามารอฉันทุกสามชั่วยามตอนฉันหายตัวไป

พอได้คุยจึงรู้ว่าท่านเจ้าเรือนผู้นี้คือสหายสนิทของท่านพ่อติดต่อค้าขายเกี่ยวพันกับสกุลเก้า มีบรรดาศักดิ์เป็นท่านอ๋องจวี๋ ท่านน้าหญิงของเขาเป็นถึงไทเฮาซึ่งตำแหน่งนี้ทำให้สกุลจวี๋มีอำนาจล้นฟ้าในมือ และเหตุผลของการรอคอยทุกสามชั่วยามเพียงเพราะท่านเจ้าเรือนต้องการให้ท่านพ่อส่งฉันเข้ามาดัดกิริยาเตรียมพร้อมเข้ารับการคัดเลือกสาวงามไม่ให้มีสิ่งใดผิดพลาด...ดูเหมือนสกุลจวี๋ต้องการผลักดันฉันเข้าไปรับใช้ฝ่าบาท เพราะสกุลเยี่ยไม่มีประวัติดำมืด หญิงสาวที่ไม่มีจุดมุ่งหมายแอบแฝงเช่นฉันคือหญิงสาวที่ท่านเจ้าเรือนต้องการส่งให้รับใช้ข้างกายฝ่าบาท ฉันจึงรู้ว่าท่านเจ้าเรือนมีเพียงจุดประสงค์ดีเท่านั้น

ในเมื่อรู้ตัวว่าคนหนุนหลัง ฉันก็ก้าวเดินไปได้มั่นคงขึ้น ใจโล่งไปหลายส่วน เป็นเพราะรู้ดีว่าหากหญิงสาวคนไหนก้าวเข้าวังหลวงไปโดยไม่มีตระกูลใหญ่ปกป้อง พวกนางล้วนไม่ต่างจากมดปลวกตัวหนึ่งที่หากบีบคั้นเล็กน้อยก็ตายคามือไม่ยาก สกุลจวี๋เป็นตระกูลใหญ่อีกทั้งไทเฮายังคงมีอำนาจในวังหลังฉันเลยไม่ต้องกังวลอะไร เพราะตอนนี้ตำแหน่งฮองเฮาเว้นว่างมานานหลายปีนับตั้งแต่พระองค์ขึ้นครองราชย์ เส้นทางสายนี้เลยถูกเกลี่ยให้เรียบสำหรับฉัน พอรู้เรื่องคร่าวๆใจฉันก็นิ่งเฉย รู้หน้าที่ว่าควรเลือกเดินเส้นไหนและทำอะไรต่อกับชีวิตจากนี้

พอคารวะท่านเจ้าเรือนเสร็จฉันถึงได้ออกมารวมกลุ่มกับเด็กสาวข้างนอก ตอนนั้นเองที่สายตาทุกคนเปลี่ยนไป ในหมู่เด็กสาวรุ่นเดียวกันพวกนางต่างพากันประจบประแจงฉันยกใหญ่ แต่ฉันได้ขีดเส้นไม่ให้ใครก้าวล้ำ ถือเนื้อถือตัวเลือกคบคนตั้งแต่ครั้งแรก พวกนางเลยไม่กล้ายุ่งย่ามมากนัก

ส่วนในกลุ่มที่ไม่ได้สนใจฉัน มีเด็กสาวคนหนึ่งชื่อ ซืออิ๋งนางเป็นคุณหนูเล็กตระกูลหม่าผู้ที่บิดาเป็นขุนนางขั้นสี่ แววตานางใช้ได้ทีเดียว ดูสง่างามถือเนื้อถือตัว ครั้งแรกที่เดินเข้ามา นางมีท่าทีสุขุมเหมือนฉัน ผิดแต่ตั้งตนเป็นใหญ่รอคนมาเข้าพรรคเข้าพวก หากจะเรียกว่าร้ายก็คงใช่ทีเดียวเพราะนางเอาแต่แข่งกับฉันทุกวิชาที่ได้เรียน เป็นเพราะฉันถูกบรรดาครูทั้งหลายฝึกสอนพิเศษกว่าผู้อื่น ทั้งนี้เป็นคำสั่งของท่านเจ้าเรือนทั้งสิ้น แต่คำว่า พิเศษ ไม่ใช่ว่าทุกคนปรนนิบัติกับฉันเป็นพิเศษไม่ตีไม่ดุ เพราะคำว่าพิเศษของบรรดาครูทั้งหลายคือดุและตีให้หนักมากขึ้น

แต่ไม่นานพอเรื่องนี้แดงขึ้น ขุนนางหม่าผู้เป็นพ่อก็วิ่งโร่มาทวงขอความยุติธรรมจากท่านเจ้าเรือน ผลคือขุนนางหม่าต้องจ่ายเงินตำลึงเพิ่ม เพื่อให้ลูกสาวฝึกปรือหนักทัดเทียมฉัน ซืออิ๋งทะเยอทะยานแม้กระทั่งขายังไม่ทันเหยียบวังหลวง หากเข้าได้ฤทธิ์เดชจะมากขนาดไหน จากเหตุการณ์นี้ฉันเลยจัดนางไว้ในฐานะงูพิษตัวร้ายทันที

ผ่านไปหลายวันฉันกับซืออิ๋งจึงรุดหน้าไปกว่าคนอื่น จากถูกตีตัวลายจนผิงเอ๋อเอาแต่ทาแผลพลางร้องไห้พลาง ฉันก็ถูกตีแค่นิดๆหน่อยๆ สุดท้ายป้าเผิงครูฝึกร่ายรำเห็นฉันหน่วยก้านดีสุดเลยจับฉันเลื่อนขั้นในเรือนบุปผางามคอยดูแลเด็กสาวทุกคนอีกต่อหนึ่ง ฉันตอนนี้เลยไม่มีใครกล้ารังแกหาเรื่องแม้กระทั่งคุณหนูตระกูลหม่าผู้นั้น

“ลี่เซียนเจ้าแบ่งขนมให้ข้าบ้างเถิด....”

ส่วนคนที่อยู่ข้างๆฉันตอนนี้และเอาแต่กุมท้องพลางดีดดิ้น คือสหายรักชื่อฟางหรู บิดานางเป็นรองแม่ทัพอารมณ์ดีเลยมีฟางหรูซึ่งมีความสุขกับการกินเพลินไปเสียหน่อย นางถูกบิดาส่งเข้าเรือนบุปผางามเพื่อเข้ารับการควบคุมอาหารให้สัดส่วนร่างกายเป็นไปตามกำหนด ฟางหรูเลยมีปัญหาใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตในเรือนนี้ อันที่จริงป้าเผิงไม่ได้ใจร้ายกับนางเลยแม้แต่น้อย ให้ข้าวครบสามมื้อทุกวันเพียงแค่ตัดของกินเล่นตลอดทั้งวันของนางออกเท่านั้น

“หากเจ้ากินข้าต้องถูกลงโทษ เจ้าเป็นสหายข้า เห็นสหายลำบากได้หรือ?”

นางบุ้ยปากใส่ ทำให้ใบหน้าจ้ำม่ำหงิกคว่ำเป็นม้า ฉันส่ายหัวพลางหัวเราะ เข้าใจดีว่าการอดอาหารทรมานแค่ไหน ฟางหรูสนิทกับฉันที่สุดเพราะนางช่วยผลักซืออิ๋งตอนกำลังจะขัดขาฉันในการสอบร่ายรำคราวก่อน น้ำใจตรงนี้ทำให้ฉันเปิดใจกับนางเป็นคนแรก ส่วนซืออิ๋งที่ถูกฟางหรูผลักก็ไม่กล้าทำอะไรฟางหรูกลับเพราะบิดาฟางหรูมียศใหญ่โตกว่า  อีกเหตุผลคือถึงแม้ฟางหรูจะเตี้ยกว่าเกณฑ์ทั้งยังอ้วนใหญ่ แต่พละกำลังนางได้บิดามาเต็มสูบดังนั้นถ้าซืออิ๋งคิดจะมีเรื่องคงเท่ากับเอาตัวไปแลกเสียเปล่า วันนั้นเองที่ฉันกับฟางหรูกลายเป็นคู่ซี้ที่ไม่มีใครกล้าประมือ

ฉันนั่งมองทิวทัศน์ริมระเบียงชั้นสอง ท้องฟ้ายังคงปกติดี ชีวิตยังดีขึ้นกว่าเมื่อวาน ในใจยังวนเวียนคิดถึงใครบางคนไม่เปลี่ยนเช่นทุกครั้ง ในทุกวันยามว่างเช่นนี้ฉันจะมานั่งมองก้อนเมฆก้อนแล้วก้อนเล่าผ่านไป ยิ้มพลางคิดว่าฝ่าบาทจะทอดพระเนตรเห็นท้องฟ้ายามเดียวกับฉันหรือไม่? หรือจะทรงคิดถึงวันนั้นสักเสี้ยวในพระทัยหรือเปล่า? ฉันคิดพลางส่ายศีรษะ...พักนี้ชักสำคัญตัวมากเกินไปทุกที อาจเป็นเพราะสัปดาห์แรกป้าเผิงไม่ให้ใครเข้าเยี่ยมพวกเราได้ ฉันจึงไม่มีหลิ่งถิงและหานตงคอยกวนใจ เลยมีเวลาว่างพอจะนั่งคิดฟุ้งซ่าน

มองอยู่ครู่จึงลุกขึ้นบิดกาย เป็นผู้ดูแลเรือนดีเช่นนี้เอง เพียงแค่รักษาความก้าวหน้าเรื่องเรียนได้เรื่อยๆส่วนอื่นๆเรียกว่าสบายกว่าคนอื่นมากนัก ฟางหรูเห็นฉันลุกก็ขยับตัวอ้วนกลมของนาง หยิบผ้าผูกผมสีแดงเหลือบเงินมามัดให้ สิ่งนี้บอกว่าฉันอยู่ในเรือนบุปผางามในฐานะใด ส่วนเด็กในเรือนคนอื่นรวมทั้งฟางหรูใช้ผ้ามัดผมสีส้ม

“ฟางหรูไปเดินเล่นกันเถอะ!”

“ข้ารอเจ้าพูดคำนี้มานานแล้ว!”

ฟางหรูยิ้มให้ฉันพลางหอบห่อผ้าขึ้นหลัง แม้คนอื่นจะออกจากเรือนไม่ได้แต่ฐานะฉันสามารถออกไปได้วันละสามชั่วยามและต้องกลับก่อนพระอาทิตย์ลับตาพร้อมกับเด็กถือของหนึ่งคนต่อวัน ฉันก้าวเท้าออกไปนอกจวนท่ามกลางสายตาริษยาของเด็กสาวพรรคพวกซืออิ๋ง ความจริงฉันไม่ได้อยากใช้สิทธิอะไรมากให้ใครหมันไส้ แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกไกลบ้านได้ดี จึงทำหน้าที่รับกระดาษจดหมายจากเด็กสาวคนอื่นที่ไม่มีโอกาสได้ออกนอกเรือนกระจายส่งให้พ่อแม่พวกนางเท่าที่แรงฉันทำถึง ตัวฉันเองก็เขียนจดหมายกลับสกุลเยี่ยถึงท่านพ่อท่านแม่คนละฉบับและจดหมายเหล่านี้จะถูกตอบส่งผ่านฝากท่านเจ้าเรือนในรุ่งเช้าถัดไป เป็นเพราะท่านพ่อทำตามกฎท่านเจ้าเรือนไม่มาพบฉันจนกว่าจะถึงวันส่งตัว

ตามไหล่สองข้างทางเหมือนดินแดนสวรรค์ของฟางหรู นางกวาดกินทุกอย่างที่ไม่ได้กินในเรือนบุปผางาม แม้จะห้ามปรามเท่าไหนก็ไม่เป็นผลใดๆ เลยได้แต่ปล่อยให้นางทำตามความต้องการของกระเพาะน้อยๆ เมื่อส่งจดหมายครบแล้วขณะที่กำลังเดินกลับเรือนบุปผางาม ใครบางคนได้เดินตามประชิดหลัง จากนั้นก็เรียกทัก แต่ฉันก็ไม่สนใจแสร้งตามองไม่เห็นหูไม่ได้ยินแล้วเดินต่อไม่หยุดพัก

หานตงเรียกฉันสิบครั้งเห็นจะได้ จนเขาตะโกนดังลั่นตลาดฉันเลยต้องกัดฟันหันไปมองทิวทัศน์ด้านหลังข้ามไหล่เขาไป

“ลี่เซียน”

“หึ!”

ฉันหันหน้ากลับแทบไม่มองเขาสักเสี้ยวเดียว

“ใครกัน?” ฟางหรูมองหน้าหานตงพลางถาม ในมือถือเซาปิงร้อนๆสองสามอัน เดินตามฉันที่สาวเท้าเร็วหนีเขาไป

เขาเหมือนจะรู้ว่าฉันไม่ยอมญาติดีเลยจงใจใช้ไม้ตายสุดท้ายพูดถามออกมาตรงๆ

“ทุกครั้งที่พบหน้า เจ้ามักเดินหนีข้า เป็นเพราะข้าคิดไปเองหรือเป็นเพราะเจ้าจงใจทำ”

ฉันหยุดฝีเท้าแล้ว ส่วนหานตงที่เดินไล่ฉันมาติดๆเลยสะดุดเท้าหยุดแทบชิดตัว ฉันถอยหลังรวดเร็วปราดตามองเขาด้วยความตกใจเป็นเพราะอีกไม่กี่ก้าวคงได้แตะเนื้อต้องตัว นิสัยถามตรงๆเช่นนี้เหมือนเสี่ยวหมิงไม่มีผิด ฟางหรูเลิกคิ้วสงสัย เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบจึงคิดว่าฉันถูกหนุ่มตามตื้อเลยหันไปหาเรื่องเขาทันที

“เจ้าคนโรคจิต! หากคิดจะจีบลี่เซียนเจ้าคงต้องดูเงาหัวตัวเจ้าเสียใหม่ เพราะนางไม่ใช่เพียงหญิงสาวธรรมดาแต่นางกำลังจะเป็นผู้หญิงของฝ่าบาท!”

หานตงยกยิ้มไม่ถือสาเดินเลยหน้าฟางหรูมาหยุดอยู่หน้าฉัน ตาเหลือบมองผ้ามัดผมสีแดงแล้วเลื่อนมาจดจ่อที่ใบหน้า

“ไม่คิดว่าเพียงหนึ่งอาทิตย์แม่นางจะได้เป็นถึงผู้ดูแล”

เขายังคงจ้องมองลึกซึ้งเช่นเดิม ทั้งยังยกยิ้มหวานมาให้ ไม่ย่อท้อต่อท่าทีเฉยชา ฉันส่งเสียง “หึ” เบาๆทีหนึ่งแล้วหันไปมองเขาเป็นครั้งแรก

“เป็นเพราะข้ารู้ดีว่าควรทำหน้าที่ใดและเป็นของผู้ใด”

“ใช่!” ฟางหรูสมทบ นางยังคิดว่าหานตงเป็นโรคจิตคนหนึ่งที่ตามจีบฉัน เลยพูดจาดูถูกเขายกใหญ่ “ดังนั้นหากเจ้าคิดจะยุ่งกับลี่เซียน เจ้าต้องเป็นฝ่าบาทหรือจักรพรรดิถึงได้คู่ควร!”

พูดจบฉันก็เดินหนีเขาเข้าเรือนพร้อมฟางหรู แต่หานตงกลับไม่สลดแม้แต่น้อย เดินไล่หลังมาเรื่อยๆจนถึงหน้าเรือนบุปผางาม ฟางหรูเริ่มทนไม่ไหวแทน นางหันหลังกลับไปด่ากราดทันที

“เจ้าคิดจะตามลี่เซียนไปถึงเมื่อไหร่!”

นางหายใจหอบมือชี้หน้าหานตงอย่างเหลืออด แต่เขากลับยกยิ้มพลางพูดว่า

“เรือนข้าอยู่ติดเรือนบุปผางาม ดังนั้นหากจะบอกว่าข้าตามพวกเจ้ามาคงไม่ถูกทั้งหมด” ฟางหรูหน้าเสียหันกลับมามองฉัน เก็บเศษหน้าแตกละเอียดของตนจากพื้นแทบไม่ทัน

“ลี่เซียนเอาไงดี ข้าช่วยเจ้าได้แค่นี้นะ!”

นางกระซิบเสียงเบาข้างตัว ฉันหลับตาแน่นทีหนึ่งแล้วยกมือบอกนางให้เดินเข้าเรือนไปก่อน

“เจ้าเข้าไปก่อนเถอะ”

ฟางหรูลังเลอยู่ครู่ จากนั้นก็สะบัดหน้าใส่หานตงเดินเข้าเรือนไป “ระวังตัวเจ้าด้วย ยากนักจะไว้ใจบุรุษชุดดำเช่นเขา!”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

สายลมพัดเอื่อยเป็นเพราะเริ่มเย็น ฉันยังคงกุมเสื้อคลุมสีฟ้าไว้แน่น แค่มีเพียงเสื้อคลุมของพระองค์ความกล้าในใจดูเหมือนจะเพิ่มทวี หานตงมองเสื้อคลุมฉันพลางถาม

“เนื้อผ้าชั้นดี ลายปักมีเอกลักษณ์ หากเดาไม่ผิดคงเป็นของผู้สูงศักดิ์ในแคว้นฉี”

“ไม่ผิด...” ฉันหยุดพูดพร้อมคิ้วเขาที่เลิกขึ้นน้อยๆ “สิ่งนี้เป็นของที่ฝ่าบาทประทานให้ข้า”

ใบหน้าเขาพลันแข็งเกร็ง ฉันจึงยกยิ้มใส่ หวังว่าต่อจากนี้เขาจะหายไปจากชีวิตได้เสียที ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรล้วนแล้วแต่เป็นผลดีกับฉันทั้งนั้น ฉันหันหลังใส่เดินเข้าเรือนบุปผางามไป แต่เมื่อกำลังจะก้าวเท้าเข้าเรือนข้อมือถูกฉุดให้หันกลับทันที

“เจ้าปรนนิบัตรฝ่าบาทแล้วหรือ”

สีหน้าหานตงเต็มไปด้วยความสับสน

“แล้วอย่างไร?”

ฉันจงใจตอบกำกวมจับมือเขาออก มองสายตานิ่งเฉยเย็นชาของเขาปราดหนึ่ง รีบก้าวเท้าเข้าเรือนไปรวดเร็วและไม่หันกลับไปมองอีกแม้แต่น้อย

ช่วงค่ำพวกเรายังไม่ได้นอนเช่นคนอื่น เพราะฉันกับฟางหรูมีหน้าที่ตรวจเวรกลางคืนนับจำนวนเด็กสาวในเรือนดอกท้อของตน เช็คจำนวนชื่อบนป้ายห้อยสกุลของแต่ละนางพลางเขียนรายงานให้อาเป่าเวรยามฝีมือเยี่ยมที่ท่านเจ้าเรือนเลี้ยงไว้ ส่วนห้องพวกฉันอยู่ติดรั้วกำแพง มองนอกระเบียงข้ามสวนดอกไม้คือจวนสกุลเก้า หันไปทางซ้ายคือเรือนของหานตง ช่างเป็นทิวทัศน์ประเสริฐนัก! อยู่ที่นี่อีกสามเดือนคงได้ถูกก่อกวนไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่…

ฟางหรูนั่งอยู่ข้างฉัน แอบเอาเซาปิงที่ซ่อนไว้ออกมากิน สายตาหลุกหลิกหวาดระแวงเพราะกลัวป้าเผิงจับได้ ฉันยังนั่งมองดวงจันทร์พลางหมุนปิ่นปักผมในมือเช่นทุกคืน จนกระทั่งมีบางเสียงดังสั่นมาจากพุ่มไม้ ฟางหรูหน้าซีดสนิททำเอาเซาปิงหล่นลงพื้น ฉันรีบคว้าแจกันข้างตัวมาไว้ในมือด้วยความไม่ชอบมาพากล ส่วนฟางหรูเอาแต่คิดว่าจะมีใครแอบเห็นนางกินอะไร สักพัก...บุรุษผู้หนึ่งโดดออกมาจากพุ่มไม้ พลางกุมท้องหัวเราะเสียงดัง

“เจ้า! เจ้า!”

ฟางหรูชี้หน้าด่าแต่ก็พ่นคำว่ากล่าวไม่ทันเสียงหัวเราะ ชายชุดสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาใกล้พวกเราพลางพูด

“แอบเห็นเจ้ามากินโน่นนี้ทั้งสายตาเช่นนั้นทำให้ข้าอดหัวเราะเอาเสียไม่ได้อุบ...ฮ่าๆๆๆ”

“เจ้าเป็นใคร!” ฉันถามเสียงเข้มพลางยกแจกันเตรียมขว้างแต่เขากลับยกมือห้ามปรามพูดอธิบายยกใหญ่

“ท่านผู้ดูแล ข้าชื่อหลิงเยว่เป็นผู้ติดตามนายท่านจ้าว”

คิ้วฉันกระตุก วางแจกันในมือลง “อธิบายมาเหตุใดต้องมายุ่งย่ามกับพวกข้ายามวิกาลเช่นนี้!” หลิงเยว่ยกมือคำนับ หน้าหวาดระแวงจนฟางหรูที่อยู่ใกล้เชิดหน้าได้ใจยกใหญ่

“เป็น...เอ่อ...คำสั่งนายท่าน...ให้ข้าคอยดูแลพวกท่านยามค่ำคืน”

หลิงเยว่พูดไปพลางมองเรือนตัวเองพลาง ฟางหรูซึ่งเห็นและพอคาดเดาสถานการณ์ออกจึงเดินไปหยุดอยู่หน้าเขาแล้วเอานิ้วจิ้มจมูกแรงๆสองสามที

“งั้นเจ้าคงเป็นคนใช้เรือนเจ้าคนโรคจิต!”

“อย่าบังอาจว่านายท่านข้าว่าโรคจิต! เจ้าหมูเซาปิง!”

“เจ้า!” หลิงเยว่ลำพองตัวจ้องนางจากมุมสูงด้วยความโมโห ส่วนฟางหรูก็ได้แต่โมโหจนแก้มแดง

“เจ้ามันก็ลูกกระจอกรับใช้ โรคจิตทั้งนายบ่าว!”

“ข้าและนายท่านไม่ใช่โรคจิต!”

ฉันนั่งหาวมองสองคนเถียงกันสนุกตา หากพูดว่าพวกเขาสองคนเหมือนกันหน่อยๆคงใช่ ฟางหรูตอนนี้เอาแต่ทวงเซาปิงที่ตกพื้นจากหลิงเยว่เสียงแข็ง ส่วนหลิงเยว่นั้นขุ่นเคืองใจฟางหรูที่ว่าเขาและหานตงเป็นโรคจิตเลยไม่ยอมแพ้นางง่ายๆ แต่ฉันว่าพวกเขาผิดทั้งคู่เลยไม่ยื่นมือไปห้ามปราม มองดูเพียงห่างๆเท่านั้น

“เจ้าไม่มีทางลดรูปร่างเจ้าให้ลงเท่านางได้ เจ้าหมูเซาปิง!” หลิงเยว่ชี้มาทางฉัน ส่วนฉันก็เอานิ้วชี้ตัวเองอีกต่อพลางคิดในใจว่า เจ้าหาเรื่องให้ข้าแท้ๆ

“ลี่เซียน! เจ้ากินให้รูปร่างเท่าข้าเดี๋ยวนี้!”

นั่นประไร! นางคิดแบบนี้จริงดังคาด พอเรื่องพวกนี้ถูกโยนมาทางฉัน ฉันเลยโกรธปรี๊ดเดินเร็วๆไปตรงหน้าหลิงเยว่แล้วหรี่ตามองเขาแวววาว ทำให้หลิงเยว่รู้ว่าฉันกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก จากนั้นก็หันไปหาฟางหรู

“เจ้ายอมแพ้เขาง่ายๆให้ข้ากินเซาปิงจนตัวเท่าเจ้า เขาก็จะได้หัวเราะพวกเราทั้งคู่!” ฉันเงียบเสียงไป ฟางหรูจึงคิดได้แล้วทำหน้าสลด เลยรู้ว่าตนเริ่มพูดโน้มน้าวนางได้อีกครั้ง “ฟางหรู...หากเจ้าลดรูปร่างเจ้าได้ หลิงเยว่ผู้นั้นจะเป็นทาสเจ้าตลอดหนึ่งเดือน!”

“ข้า!?” หลิงเย่วเอานิ้วชี้ตัวเองพลางถลึงตามองฉัน ส่วนฟางหรูเอาแต่ยืนยักยิ้มไปมาใส่

“หรือเจ้ากลัว?”

นางถามใส่หน้าทำให้เขาทำหน้าตาหลุกหลิก ปัดฝุ่นเสื้อท้าวสะเอว

“ใครว่าข้ากลัว? ความจริงข้าคิดว่าคนอย่างหมูเซาปิงจะทำได้เช่นไร??? ดังนั้นข้าจึงคิดว่าหากเจ้าแพ้จะให้เจ้าทำสิ่งใดดีตังหาก!”

ฟางหรูทำหน้าทะมึนแล้วตะโกนว่า

“ฮึ้ม! เจ้าว่ามา! ข้าจะไม่มีทางแพ้เจ้าแน่!”

“ดี...เช่นนั้นหากหมูเซาปิงแพ้ เจ้าต้องให้ขนมของเจ้ากับข้าทุกชิ้นทุกเทศกาลตลอดหนึ่งเดือน!”

“ทุกชิ้น...ทุกเทศกาล!”

ฉันส่ายศีรษะมองฟางหรูที่ยืนอึ้งไปพักใหญ่ ความจริงข้อตกลงนี้ดูหลิงเยว่เสียเปรียบมาก แต่หากมองในมุมฟางหรูนางคงคิดว่านางเสียเปรียบมากกว่าเลยยืนเงียบ จนหลิงเยว่ถึงกับยิ้มเยาะเย้ย

“หรือเจ้ากลัว?”

“ใครว่าข้ากลัว! ข้ารับคำท้า! จากนี้อีกหนึ่งเดือนหากข้าลดไม่ได้ขนมทุกชิ้นทุกเทศกาลจะเป็นของเจ้า! แต่หากข้าชนะเจ้าต้องเป็นทาสข้า!”

“ดี! ข้ารับคำท้า”

“ดี!” ฟางหรูเค้นเสียงจากนั้นก็เดินสะบัดหน้าเข้าห้องไป หลิงเยว่กำลังปีนกำแพงกลับแต่ฉันกลับวิ่งตามแล้วลากเขาลงมา

ตุบ!

“อ๊ากกกกก! ท่านผู้ดูแล!”

ฉันจับสายคาดเอวเขาพลางลากมาตรงหน้า ทำให้หลิงเยว่ตกลงก้นจ้ำพื้น ฉันก้มลงมองเขา สูดหายใจลึกอยู่ครู่พูดน้ำเสียงเย็นใส่

“ไปบอกนายท่านของเจ้าให้รีบข้ามกำแพงมาคุยกับข้าเรื่องนี้ ให้ทุกอย่างกระจ่างเสีย! ไม่เช่นนั้นจดหมายคำร้องจากเรือนบุปผางามจะถูกส่งถึงเรือนเจ้าทันที!”

“หลิงเยว่จะรีบไป!”

เขารับคำแล้วรีบลุกออกไปโดยเร็ว ฉันปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า หรี่ตามองร่างเขาจนเสื้อสีน้ำเงินเข้มหลุบลงอีกฝั่งของกำแพง เรื่องให้แอบสอดส่องช่างไร้มารยาทนัก ทำเอาฉันโกรธมากจริงๆ คราวนี้คงด่าว่าเขาให้เข็ดหลาบไปอีกนาน!

อัพครั้งแรก : 15/2/58 รีไรท์ : //58 

สวัสดีเจ้าค้า!!!

เหม่ยขยันอัพจัง ฮาาาาา มาติดๆกันเลยยย ฮูหยินรออ่านกันมากขึ้นเหม่ยยินดีใจยิ่ง มีฮูหยินหลายๆท่านบอกว่าถ้าไม่อัพนิยายจะตกอันดับได้ แต่เหม่ยไม่ได้เคร่งเครียดว่านิยายต้องติดอันดับแต่อย่างใด เพราะเหม่ยกลัวเร่งเขียนแล้วผลงานจะออกมาไม่ดี นิยายอาจเป๋เอาได้ ขอเพียงนิยายเรื่องนี้ติดอันดับใจฮูหยินเป็นพอนพเจ้าค่ะ! ฮิ้วววววว ตึง! โป๊ะ! (นิยายหรือคณะตลก เล่นเองเออเอง555)          สำหรับเรื่องนี้นี่งานหนักเลยสำหรับเหม่ย เพราะเนื้อเรื่องนั้นจะมีหลายคู่พระนางด้วยกัน แต่หลักๆก็แม่นางลี่เซียนน้อยของพวกเราแหละเจ้าค่ะ เอาเป็นว่าช่วงแรกๆอาจซอฟๆมีมุขบ้าง มาม่าบ้างแต่หลังเข้าวังอาจดุเดือดทั้งความหวานและสงครามหญิงๆเล็กน้อย อีกไม่นานเกินรอเพราะเหม่ยต้องปูบทก่อนเข้าวังเพื่อบทช่วงเข้าวังจะมีความสมบูรณ์และสมจริงเจ้าค่ะ ใครรอเฮียเฟิ่งกัยเฮียเก้าก็เตรียมเบาะนั่งรอตอนหน้าได้เลยเจ้าค่ะ!!!!!!!!         ปล.มีฮูหยินหลายๆท่านบอกว่าสงสารเฮียจ้าวกับเฮียเก้ามาก.........อ่า....เหม่ยอยากบอกอะไรจริงจริ๊งงงงงงง!!! แต่บอกไม่ได้นี่สิ คิคิคิ เอาเป็นว่าดูกันไปเรื่อยๆนะเจ้าคะ ฮูหยินนนน >_<ใครเจอคำผิดเล็กๆน้อยๆวาน ปล. บอกเหม่ยไว้ทีนะเจ้าคะฮูหยิน เหม่ยพิมพ์เที่ยงคืนโอกาสผิดมากกว่าถูกมากมายเลยเจ้าคะ--" ขออภัยจริงๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา