The Sun and Satan..ดุจตะวันกับซาตาน

9.2

เขียนโดย kinkmj

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 09.50 น.

  10 chapter
  1 วิจารณ์
  14.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) The Sun and Satan..ดุจตะวันกับซาตาน Ch.2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter 2

 

          หนึ่งเดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก อย่างน้อยก็กับซัน

 

          ใช่แล้ว อีก 3 วันจิ้งจอกสาวต้องไปเรียนต่อมัธยมปลาย ไฮสคูล หรืออะไรก็ตามแต่จะเรียก ที่สถาบันปีศาจเทลไฟร์ โรงเรียนปีศาจอันดับหนึ่งแห่งโลกปีศาจที่สร้างโดยปีศาจเพื่อปีศาจ

 

          อันที่จริงเธอรู้จักแค่ที่เดียวนี่แหละ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นยังไง อยู่ที่ไหน จะเหมือนปราสาทผีสิงตามหนังผีหรือนิยายสยองขวัญหรือเปล่า เพราะทั้งพ่อและแม่ไม่บอกอะไรเลย

 

          ตอนนี้ในห้องของซันมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตั้งเด่นหราอยู่ เธอเก็บข้าวของที่จำเป็นทั้งหมดใส่ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับวางกระเป๋าเครื่องสำอางขนาดใหญ่พิเศษไว้ข้าง ๆ

 

          จิ้งจอกตัวเล็กชอบแต่งตัว แต่งหน้า ชอบความสวย ถึงจะสู้แม่ไม่ได้เลยก็เถอะ แค่ได้แต่งเธอก็พอใจแล้ว แต่เอาเข้าจริงดูเหมือนว่าซันจะสะสมเครื่องสำอางเพราะชอบมากกว่าจะได้ใช้จริง ๆ ด้วยวัยและโอกาส ส่วนมากจึงได้ใช้แค่แป้งฝุ่นกับลิปสติกสีส้มอ่อน ๆ เท่านั้น

 

          "ซัน แต่งตัวเสร็จรึยังจ๊ะ" เสียงของฮิคารุดังขึ้นจากหน้าประตูนอกห้อง

 

          "เรียบร้อยแล้วค่ะแม่" ขานรับพร้อมกับส่องกระจกดูความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย

 

          "โอเค งั้นเดี๋ยวแม่รอที่รถ รีบลงมาเลยนะซัน สตาร์ทไว้นานมันเปลืองน้ำมัน"

 

          "ค่า"

 

          ห้านาทีต่อมา ซันก็นั่งอยู่บนรถซีดานแบรนด์ญี่ปุ่นคันสีดำเรียบร้อยแล้ว ระหว่างคาดเข็มขัดนิรภัยก็หันไปถามผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ

 

          "จะไปไหนเหรอคะ"

 

          "แม่ยังไม่ได้บอกเหรอว่าจะไปซื้ออุปกรณ์การเรียนของเราน่ะ"

 

          "อุปกรณ์อะไรคะ"

 

          "ตำราเรียน อุปกรณ์เครื่องเขียน ชุดนักเรียน แล้วก็อาวุธประจำตัวไงจ๊ะ"

 

          "ถ้าเปลี่ยนจากอาวุธเป็นคทา ซันคงนึกว่าอยู่ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์[1]"

 

          "ซันไปถึงเทลไฟร์เมื่อไหร่ จะรู้ว่ามีอะไรน่าตื่นเต้นกว่านี้อีกเยอะ"      

 

          "แล้วของพวกนี้แม่จะพาไปซื้อที่ไหนคะ อย่าบอกซันนะคะว่ามีตรอกไดแอกอน[2]ซ่อนอยู่ในร้านที่ตรอกข้าวสาร" เด็กสาวพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

เงียบไปชั่วครู่ จนเด็กสาวสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

 

          "ตกลงมันอยู่ที่ตรอกข้าวสารจริงเหรอคะ แม่" น้ำเสียงสูงอย่างประหลาดใจที่สุด

สาวสวยพยักหน้า พลางยิ้ม "พวกผู้คุมกฎเขาอยากให้หาสถานที่กันได้ง่าย ๆ เลยเลือกที่นี่เป็นทางเข้า และทางเข้านี้จะไปโผล่ที่ย่านการค้าพอดี จริงๆทางเข้าไปโลกปีศาจมีอีกเพียบ ส่วนมากก็เป็นสถานที่ฮิต ๆ  เพียงแต่พวกมนุษย์ไม่รู้ ส่วนบางคนที่บังเอิญหลุดเข้าไปก็มักจะไม่กลับมากัน"

 

          "ทำไมเขาถึงไม่กลับมากันละคะ ..หรือว่าโดนฆ่า" ซันถามต่อ เสียงแผ่วลงเล็กน้อย ก็จริงที่ตัวเธอเองเป็นปีศาจเหมือนกัน แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์มาตลอดสิบหกปี เลยไม่ค่อยรู้เรื่องปีศาจจริง ๆ มากไปกว่าในหนังสือนิยายหรือหนังสือตำนานต่าง ๆ ที่เคยอ่านมาบ้าง

 

          "ส่วนมากเขาไปปิ๊งกับพวกปีศาจแล้วลงหลักปักฐานที่นั่นจ้ะ" ฮิคารุตอบ ดูรื่นเริงเป็นพิเศษ

 

          "เห? จริงเหรอคะ มนุษย์อยู่กินกับปีศาจ แล้วเขาไม่กลัว ไม่หาทางหนีไปบอกนักข่าวอะไรแบบนี้เหมือนในหนังเหรอคะแม่"

 

          "โอ๊ย เยอะแยะไปลูก สมัยก่อนอาจจะยาก แต่สมัยนี้แต่งกันเยอะจนมี โซนเมืองสำหรับพวกลูกครึ่งปีศาจ เหมือนไทยทาวน์ ไชน่าทาวน์ ในอเมริกาเลยจ้ะ โลกปีศาจของเราแทบจะไม่ต่างจากโลกมนุษย์เลย เพียงแต่มนุษย์ในนั้นบินได้ แปลงร่างได้ ใช้เวทย์ได้ ไม่ก็ตัวใหญ่กว่า พิเศษกว่านิดหน่อย"

 

          "แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงย้ายมาอยู่โลกมนุษย์ล่ะคะ"

 

          คำถามต่อมาทำให้สาวสวยกระชับฝ่ามือที่จับพวงมาลัยแน่นขึ้นเล็กน้อยคำตอบสั้น ๆ ที่ซันรู้ได้เองว่าไม่ควรถามต่อ

 

          "สักวันซันก็จะเข้าใจจ้ะ"

 

          ประมาณ1ชั่วโมงต่อมาหลังจากวนหาที่จอดอยู่พักใหญ่ ฮิคารุก็หาที่จอดรถได้สำเร็จ พอลงจากรถ หญิงสาวก็พาซันเดินมาตามทางเรื่อยๆจนมาหยุดที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง

 

          "โอเค ที่นี่แหละ" จบประโยคของคนเป็นแม่ ซันก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นร้านไก่ทอดที่มีแฟรนไชส์ทั่วทั้งประเทศ มีท่านผู้พันยืนเด่นหราอยู่หน้าร้าน

 

          โอ้ หรือไก่ทอดที่คนทั้งประเทศกินเข้าไปจะเป็นไก่ปีศาจ มิน่าล่ะ มันถึงอร่อยนัก ถึงแม้หลัง ๆ มานี้ไก่จะดูผอม ๆ ชิ้นเล็ก ๆ ลีบ ๆ ลงไปหน่อยก็เถอะ จิ้งจอกสาวคิดในใจระหว่างเดินเข้าไปในร้าน

 

          "เอาน่องหกชิ้น มันบดหกถ้วย ไก่แซ่บหกชิ้น" สาวสวยสั่งอาหารตรงหน้าเคาท์เตอร์อย่างเป็นปกติสุด ๆ ซันมองฮิคารุอย่างงง ๆ กับรายการอาหารแปลก ๆ แต่ก็หยุดงงได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพนักงานในร้านยื่นถาดอาหารให้พร้อมยิ้มแป้น

 

          "เชิญที่โต๊ะในสุดเลยค่ะ" สาวสวยพยักหน้า ยิ้มตอบแล้วถือถาดเดินนำลูกสาวไปอย่างรวดเร็ว

 

          ร่างเล็กเดินตามหลังแม่ของเธออย่างตื่นเต้น ฮิคารุเดินเข้าไปถึงโต๊ะในสุด วางถาดลงบนโต๊ะ แล้วในตอนนั้นเอง เมื่อซันกะพริบตา ก็ได้เจอกับภาพที่มหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต รู้สึกเหมือนกำลังดูหนังฟอร์มยักษ์แบบสี่มิติยังไงยังงั้น

 

          ซันชอบอ่านนิยาย แต่ไม่เคยมีความคิดว่าจะได้เจอนิยายในโลกความจริง ย้ำอีกครั้งว่าแม้ตัวเธอจะเป็นปีศาจ แต่เธอก็อยู่อย่างเด็กสาวชาวมนุษย์มาตลอด ไม่เคยใช้เวทมนตร์ ไม่มีความสามารถพิเศษ และแทบไม่มีความเป็นปีศาจติดตัวเลย เธอจึงไม่เคยมีความคิดว่าตัวเองจะได้มาเหยียบโลกปีศาจจริง ๆ สักครั้ง…ที่จริงก็เคยคิด แต่พ่อแม่ไม่ยอมพามา

 

          เนินหญ้าเขียวชอุ่มมีต้นไม้หน้าตาประหลาดเรียงราย ดอกไม้ขึ้นอยู่ทุกหนแห่ง มีทั้งสีขาว ชมพู แดง ม่วง ที่เห็นได้ตามโลกมนุษย์ และสีแปลก ๆ อย่างสีเงินกับสีทอง หรือดอกไม้ที่กลีบฝั่งหนึ่งสีม่วง อีกฝั่งเป็นสีแดง พอสังเกตดี ๆ แล้ว ดอกไม้เกือบทั้งหมดสามารถเดินได้ ต้นไม้ส่วนมากก็ขยับกิ่งก้านไปมาได้ตลอด แต่จะเดินไปมาไม่ได้

 

          ต้นไม้ทั้งหมดจะขึ้นเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ระหว่างต้นไม้แต่ละต้นจะมีสิ่งปลูกสร้างที่หน้าตาคล้ายๆกับบ้านเห็ด แต่ประตูของทุก ๆ หลังจะไม่อยู่ติดกับตัวบ้าน

 

          ประตูทั้งหมดจะอยู่ด้านหน้าห่างออกมาประมาณครึ่งเมตร และมีป้ายไม้ลอยอยู่ด้านบน บางร้านมีธงญี่ปุ่นกับโบชัวร์ตั้งหรือลอยในอากาศให้หยิบอ่าน

 

          ซันมองไปยังบ้านเห็ดหลังที่ใกล้ที่สุดซึ่งมีป้ายหน้าร้านติดว่า 'ร้านสวยอย่างแฟรี่' ข้างๆกันมีโปสเตอร์ติด หัวข้อตัวใหญ่  'ใหม่ ! ครีมกิโมโน ขาวใสอย่างผีญี่ปุ่น ด้วยสารสกัดจากกิโมโนที่มีเส้นผมจากเซระเซเลปผีญี่ปุ่นที่ฮอตที่สุดในขณะนี้'

 

          ภาพสาวสวยผิวขาวจัดยืนโพสท่าพร้อมฉีกยิ้มเก๋อยู่ในโปสเตอร์เดียวกัน ทำให้ซันแทบจะเผลอเดินเข้าไปในร้านอย่างไม่รู้ตัว ถ้าไม่ติดว่าเสียงหวานปนดุดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน

 

          "หยุดเลยนะซัน เราต้องไปซื้อของที่จำเป็นให้เสร็จก่อน"

 

          ประกาศิตที่ทำให้เด็กสาวต้องเดินตามมารดาไปอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ยังเหลียวหลังมองโปสเตอร์ครีมกิโมโนอย่างแอบเสียดาย

 

          เผื่อจะแอบหิ้วไปขายฝั่งโลกมนุษย์สักหน่อย หารายได้เสริม...

 

          ฮิคารุพาซันแวะร้านขายของตามลิสต์รายการที่เธอจดมา ร้านที่เสียเวลามากที่สุดคือร้านแรก เป็นร้านขายหนังสือที่ชื่อ ‘ความรู้อยู่ที่นี่’ เพราะว่าจิ้งจอกผู้ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือมากนัก แต่ชอบรู้เรื่องแปลก ๆ ใหม่ ๆ ดันอยากได้หนังสือหลายสิบเล่มเกี่ยวกับโลกปีศาจ และเจรจาต่อรองกับคนเป็นแม่อยู่พักใหญ่ ในที่สุดทั้งคู่ก็กลับออกมาพร้อมกับถุงหนังสือใบใหญ่ ซึ่งหนังสือเรียนของจริงมีปริมาณราว ๆ สองในสิบส่วน

 

          นี่เลือกเฉพาะที่อยากได้จริงๆแล้วนา… ซันคิดในใจเมื่อเห็นสีหน้าของแม่ดูเอือมระอาแบบไม่ต้องสังเกตก็รู้

 

          ร้านที่สองคือร้านเครื่องเขียนชื่อ ‘ขีดเส้นใต้’ ที่ซันขอให้ฮิคารุซื้อปากกาสีรุ้งได้สำเร็จ ด้วยเหตุผลที่ว่า จะได้เอาไว้ไฮไลท์ข้อความในหนังสือเรียนได้ง่ายเพราะหมึกไม่มีวันหมด

 

          ก็มันจำเป็น มีประโยชน์จะตายไป ซันคิดอีกครั้งเมื่อสีหน้าของผู้เป็นแม่เหมือนกับตอนออกจากร้านหนังสือไม่มีผิด

 

          "เอาล่ะ ถึงแล้ว" ฮิคารุพูดเมื่อมาถึงหน้าอาคารแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างเด่นแปลกตากว่าหลังอื่นๆ “คราวนี้..แม่ห้ามไม่ให้ซื้ออย่างอื่นเด็ดขาดนอกจากชุดสถาบัน เข้าใจไหม” หญิงสาวเน้นย้ำ ในขณะที่ซันพยักหน้ารับเงียบ ๆ ดวงตาทั้งสองสนใจแต่สิ่งปลูกสร้างตรงหน้าเท่านั้น

 

          มันคือฟักทองขนาดยักษ์ แต่รอบด้านนั้นโปร่งใสเหมือนกระจก มองทะลุเห็นภายในได้ชัดเจน แต่กลับมองไม่เห็นอะไรด้านในนอกจากคนที่ตัวใหญ่มาก ๆ คนหนึ่งยืนหันหลังบังกระจกจนมิด ..ดูเหมือนเขากำลังทาบเสื้อลายดอกสีสันสดใสกับตัวเองอยู่

 

          ซันเหลือบมองป้ายด้านบนระหว่างเดินตามหลังฮิคารุเข้าไปด้านใน ป้ายไม้นั้นมีตัวอักษรหน้าตาประหลาด..แต่เธอก็อ่านออกได้โดยไม่ต้องคิด มันเขียนว่า ห้องเสื้อทุกสิ่ง

 

          ชื่อห้องเสื้อทุกสิ่ง มันก็ทุกสิ่งจริง ๆ

 

          ภายในฟักทองยักษ์เต็มไปด้วยเสื้อผ้าจำนวนมากแขวนอยู่ทุกหนแห่ง แถมพื้นที่ด้านในนั้นดูจะกว้างขวางกว่าที่มองเห็นภายนอกมาก ๆ

 

          ที่นี่มีทุกอย่างตั้งแต่ชุดสูทแบบธรรมดาที่สุด ทักซิโด้ เสื้อเชิ้ต ชุดราตรี ชุดนักเรียนนับร้อย ๆ แบบ ทั้งญี่ปุ่น กัมพูชา เวียดนาม รวมถึงแบบของไทยซึ่งมีทั้งสไตล์โรงเรียนรัฐบาล จนไปถึงแบบเอกชน ชุดนักศึกษาไทย ที่มีทั้งกระโปรงพลีท ทรงเอ ชุดเครื่องแบบทหาร ตำรวจ จากหลากหลายประเทศ ชุดแปลก ๆ เหมือนชุดพ่อมด แม่มด จนไปถึงชุดไปรเวทธรรมดา สายเดี่ยว เสื้อยืด แม้แต่บิกินี่หน้าตาน่ารักก็ยังมีแขวนให้เลือกมากมาย

 

          บางทีปีศาจอาจจะชอบคอสเพลย์ คิดเล่น ๆ ในใจ

 

          "ยินดีต้อนรับค่า ท่านสุภาพสตรีทั้งสองท่าน ห้องเสื้อทุกสิ่งยินดีให้บริการค่า" เสียงสูงแสบแก้วหูดังขึ้นอย่างผสมกับสำเนียงแปร่งๆที่ออกเสียงรอเรือชัดเจนจนเกินเหตุดังขึ้น

 

          เด็กสาวใบหน้าตกกระในเสื้อโปโลสีฟ้าปักโลโก้รูปเสื้อสีทอง บนโลโก้มีตัวอักษรหน้าตาประหลาดเขียนชื่อร้านตัวใหญ่ เธอยืนยิ้มแป้นอย่างรับแขกเต็มที่ ดูเหมือนจะเป็นพนักงานของร้านแห่งนี้

 

          "สนใจดูเป็นเสื้อแบบใดดีคะ เมื่อเช้าช่างเสื้อฝีมือยอดเยี่ยมของเราเพิ่งทอเสื้อโค้ทเกล็ดนางเงือกผสมกับขนนกฮูกหิมะ ล็อตใหม่นี้งานสวยที่สุดค่ะ ตะเข็บนี่ซอยถี่จนเหมือนผ้าไร้รอยต่อทอเต็มผืนเลยค่ะ ราคาแค่200โกลดี้ท่านั้น" เด็กสาวรัวการเชียร์สินค้ารวดเดียวจบอย่างที่ซันสงสัยเลยว่าเธอหายใจทางไหนกันแน่

 

          "พอดีวันนี้เรามาซื้อเครื่องแบบของเทลไฟร์น่ะจ้ะ" ฮิคารุรีบพูดแทรกระหว่างที่เด็กสาวกำลังจะเริ่มเชียร์สินค้าชิ้นต่อไปอย่างมุ่งมั่น ทำให้พนักงานขายหน้าจ๋อยลงเล็กน้อยว่าทำการเชียร์สินค้าไม่สำเร็จ

 

          "ได้เลยค่ะ เชิญคุณผู้หญิงวัดตัวทางนี้เลยค่า" เด็กสาวเปลี่ยนกลับมาร่าเริงได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกมือยกไม้ผายออกเชื้อเชิญให้ซันเดินตามเธอไป

 

          ซันเดินตามไปอย่างว่าง่าย แต่สายตายังไม่หยุดสนใจเสื้อผ้าแปลก ๆ ที่มีอยู่มากมายรอบ ๆ ตัว

 

          "ในนี้นี่มีเสื้อผ้าทุกแบบเลยเหรอคะ" ซันเอ่ย

 

          "ใช่ค่า เพราะอาเจ้ของห้องเสื้อเราต้องการให้มีความหลากหลายมาก ๆ และมีความมุ่งมั่นว่า จะต้องไม่มีใครเดินเข้ามาในห้องเสื้อแล้วต้องผิดหวังว่าไม่มีเสื้อผ้าที่ต้องการค่ะ ทำให้ห้องเสื้อของเรามีทั้งแบบราคาถูกแสนถูกขนาดขอทานก็ซื้อได้ ไปจนถึงแบบที่เศรษฐีต้องแย่งกันซื้อเลยล่ะค่ะ"

 

          "แล้วเจ้าของที่นี่เป็นปีศาจอะไรเหรอคะ" ถามต่อด้วยความอยากรู้

 

          "คุณผู้หญิงไม่ทราบเหรอคะ เจ้าของที่นี่คือคุณเซระนางแบบยอดนิยม ตอนนี้เธอดังมาก ๆ เลยนะคะ ดูจากที่คุณผู้หญิงไม่รู้จักเธอ หนูว่าคุณต้องเป็นผู้เติบโตในแดนมนุษย์ใช่ไหมคะ"

 

          "ใช่ค่ะ ซันโตในโลกมนุษย์ เลยค่อนข้างตกข่าวน่ะ แทบไม่รู้เรื่องของโลกนี้เลยสักนิด"

 

          "ไม่แปลกค่ะ มีปีศาจอีกมากมายที่ไม่รู้เรื่องโลกนี้ หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นปีศาจนะคะ อย่างพวกภูตนางไม้ หรือปีศาจที่พวกมนุษย์เข้าใจว่าเป็นพราย หรือ ผีบางประเภท เอาอย่างนี้ ๆ มีอะไรคุณผู้หญิงส่ง'ซิปฟี่'มาถามกุมมี่ทีหลังก็ได้ ดิฉันชื่อกุมมี่ เป็นปีศาจผ้าฝ้ายค่ะ " อธิบายยาวเหยียดพร้อมแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ

 

          "เรียกฉันว่าซันก็ได้ค่ะ กุมมี่ แล้วซิปฟี่มันคืออะไรเหรอคะ”

 

          "ซิปฟี่ เป็นเวทกระซิบค่ะ ใช้ติดต่อสื่อสารกันอย่างแพร่หลายในโลกปีศาจตอนนี้ แค่เป็นปีศาจก็ใช้ซิปฟี่ได้ทุกคนเลยนะคะ วิธีใช้ก็ง่ายมาก ๆ แค่ลองพูดว่า'โอเพ่น ซิปฟี่' ค่ะ จะมีหน้าจอรายละเอียดขึ้นมา เหมือนLineที่พวกมนุษย์เขาฮิตกัน จริง ๆ แล้วจะใช้โทรจิตก็ได้นะคะ แต่กว่าจะฝึกสำเร็จก็เป็นปี ๆ แถมเสียพลังเวทมาก ต้องมีสมาธิด้วยค่ะ ใช้ซิปฟี่จะง่ายกว่ามาก ใคร ๆ ก็ใช้ได้ คุณซันลองดูสิคะ"        

 

          ซันฟังอย่างตั้งใจ ในใจรู้สึกตื่นเต้นมาก โลกปีศาจก็ไฮเทคนะเนี่ย มีโปรแกรมแชทเฉพาะปีศาจซะด้วย ไม่รู้ใครก็อปใครเลย

 

          "โอเพ่น ซิปฟี่"

 

          หน้าจอปรากฏขึ้นบนอากาศตรงหน้า ช่องแรกเป็นชื่อของเธอเขียนอยู่ด้านบนสุด มีรายชื่อเพื่อนอยู่ในช่องถัดลงมา ซึ่งมันว่างเปล่า มุมขวาบนเขียนว่า 'เพิ่มเพื่อน'

 

          "หน้าจอขึ้นแล้วใช่ไหมคะ จอนี้จะมองเห็นเฉพาะเจ้าของนะคะ คุณซันลองเลือกเพิ่มเพื่อนดูค่ะ ใช้นิ้วจิ้มหรือแค่คิดก็ได้ แล้วลองพูดชื่อกุมมี่หรือคิดในใจก็ได้"

 

          ซันพยักหน้า ลองทำตาม เมื่อเธอคิด ‘เพิ่มเพื่อน’ ในใจ แสงระยิบระยับสีขาวก็ไปล้อมรอบตัวอักษรที่เขียนว่าเพิ่มเพื่อนทันที และเมื่อเธอนึกชื่อ ‘กุมมี่’ ก็มีเสียงดัง ติ๊ง ในหัวเบา ๆ

 

          ‘กุมมี่ โคโตนี่  ประเภท ปีศาจผ้าฝ้าย’ ตัวอักษรปรากฏขึ้นบนหน้าจอรายชื่อเพื่อนทันที

 

          “ทำได้แล้วล่ะ ดูนี่สิ” ซันบอกอย่างดีใจ เด็กสาวปีศาจผ้าฝ้ายยิ้มกว้าง

 

          “กุมมี่ไม่เห็นหรอกค่ะ จอซิปฟี่จะเห็นได้เฉพาะเจ้าของนะคะ”

 

          มีระบบรักษาความเป็นส่วนตัวเสียด้วย

 

          “อ๋อ ค่ะ เข้าใจแล้ว แล้วแบบนี้ใครๆก็คุยกันได้หมดเลยเหรอ กุมมี่”

 

          “ไม่หรอกค่ะ ซิปพี่จะคุยกันได้เฉพาะกับคนที่รับเป็นเพื่อนเท่านั้น ถ้าหากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู ไม่อยากคุยด้วย ไม่อยากคบหาด้วย ชื่อของอีกฝ่ายก็จะหายไปเลยค่ะ การเพิ่มเพื่อนจะเพิ่มได้เฉพาะคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนเท่านั้น เป็นเวทที่ดีและใช้ง่ายใช่ไหมล่ะคะ” กุมมี่หยุดยืนหน้าแท่นทรงกระบอกสูงจากพื้นถึงราวๆข้อเท้าของซัน “ถึงจุดวัดตัวแล้วค่ะ”

 

                ซันเดินขึ้นไปบนแท่นอย่างว่าง่าย กวาดสายตามองหาสายวัดที่ยังไม่เห็น

 

                “ขออนุญาตนะคะ”

 

                จิ้งจอกสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างสงสัย นาทีต่อมาก็รู้สึกเหมือนเกิดพายุหมุนรอบตัวเอง ทีแรกคิดว่าเป็นสายวัดพันรอบตัว แต่ไม่ใฃ่เลย เป็นกุมมี่นั่นเอง ร่างกายท่อนล่างของเธอกลายเป็นผ้าแถบสีขาว ซึ่งพลิ้วไปมาอย่างรวดเร็ว เข้ามาพันแขนบ้าง ขาบ้าง ส่วนท่อนบนที่ลอยอยู่ในอากาศก็ไม่ปล่อยว่าง มือทั้งสองข้างของพนักงานขายนั้นทำงานเป็นระวิง ข้างหนึ่งถือสมุดเล่มหนา อีกข้างจดบันทึกลงในสมุดตลอดเวลา

 

                ผ่านไปประมาณห้านาที กุมมี่ก็บันทึกสัดส่วนครบถ้วน ผ้าแถบทั้งหมดหมุนตัวกลับไปเป็นร่างกายของปีศาจสาวเหมือนเดิม

 

                “สุดยอดเลยค่ะ! เป็นความสามารถพิเศษของกุมมี่ใช่ไหมคะเนี่ย” ซันเอ่ยชื่นชม

 

                “ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณซัน นี่เป็นความสามารถขั้นต้นของปีศาจสายผ้าค่ะ ปีศาจผ้าทุกคนจะใช้เป็นตั้งแต่จำความได้ แต่จะใช้ได้เร็ว หรือเก่งขนาดไหนก็แล้วแต่คนค่ะ ” กุมมี่ตอบพร้อมยิ้มแป้นที่ได้รับคำชม อดรู้สึกชอบใจกับจิ้งจอกตรงหน้าไม่ได้

 

                “จากที่เห็น กุมมี่ใช้ได้ทั้งเร็ว ทั้งพลิ้วเลยแหละ เก่งมากเลย”

 

                ด้วยความที่ซันเป็นปีศาจที่ไม่มีความสามารถอะไรเลยทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากเป็นพิเศษเมื่อได้เห็นเวทมนตร์แปลก ๆ นอกจากเวทไฟของฮิคารุที่เห็นมาตลอดตั้งแต่เด็ก

 

                “เดี๋ยวกุมมี่ต้องเอาไซส์ที่วัดตัวไปส่งห้องช่างก่อนนะคะ รบกวนคุณซันรอสักครู่ค่ะ”

 

                กุมมี่พูดพร้อมกับโค้งคำนับอย่างสวยงามแล้วเดินเข้าไปด้านใน ซันมองดูเสื้อผ้ารอบๆอย่างสนอกสนใจ ในจุดที่เธอเข้ามาวัดตัวดูเหมือนจะเป็นโซนเสื้อผ้าชนิดพิเศษ

 

                ชุดที่แขวนเรียงรายอยู่ส่วนมากเป็นชุดแนวแฟนตาซี แต่ก็ดูออกได้ว่าเป็นชุดเครื่องแบบ บางชุดมีตราสัญลักษณ์คล้ายเกลียวคลื่น รูปใบไม้ รูปดวงไฟ รูปสายฟ้า ซึ่งลักษณะของแต่ละชุดก็ดูแตกต่างกัน ชุดที่มีตราเกลียวคลื่นมีเนื้อผ้าคล้ายผ้าแพรแต่ดูหนานุ่มกว่าและมีสีน้ำเงินเข้มเหมือนน้ำทะเล ชุดที่มีตราสายฟ้าก็มีประกายไฟแล่นแปลบปลาบไปมาตลอด

 

                “พวกนั้นเป็นชุดของนักเรียนปีสี่จ้ะ”

 

                เสียงหวานใสดังขึ้นด้านหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เด็กสาวสะดุ้งเบา ๆ หันขวับไปมอง

 

                “แม่คะ ซันตกใจหมด”

 

                “เราน่ะ เป็นปีศาจนะซัน แถมเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ควรจะมีสัญชาตญาณเป็นเลิศ แม่เดินมาแค่นี้ยังไม่รู้สึกตัวเลยเหรอ”

 

                “หนูจะรู้สึกตัวเฉพาะเวลากำลังมีอะไรหล่นมาใส่หัวหรือพุ่งมาชนเท่านั้นแหละค่ะ” เด็กสาวอ่อนวัยกว่าตอบพลางยักไหล่

 

                เธอมีสัญชาตญาณดี แต่ดีเพียงแค่เสี้ยวนาทีก่อนเกิดเหตุร้ายเท่านั้น ถ้าสัญชาตญาณแบบในหนังบู๊แอคชั่น ที่ศัตรูเดินมาแล้วตัวเอกหันหลังกลับไปเอามีดจ่อคอพร้อมบอกว่าข้ารู้ตัวอยู่แล้วไอ้โง่ แบบนี้น่ะ เธอไม่สามารถเลยจริง ๆ

 

          แต่เอาจริง ๆ ก็อยากทำได้เหมือนกันนะ เท่จะตาย

 

          เฮ้อ

 

          เสียงถอนหายใจจากสาวสวยดังขึ้นตรงหน้า

 

          “เอาอย่างนี้ แม่จะแอบให้ของขวัญ จริง ๆ แล้วว่าจะให้วันพรุ่งนี้นะ แต่ว่าแอบให้ตัดหน้าพ่อเลยก็แล้วกัน” นัยน์ตาพราวระยับแบบนึกสนุกจ้องมาตรงหน้า ซันทำหน้างง ๆ ตอบ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร มือเรียวของฮิคารุก็คว้ามือเธอไปกุมไว้แน่น ทำให้จิ้งจอกสาวเงยหน้ามองสาวสวยร้อยปีหรืออาจจะพันปีตรงหน้าอย่างตั้งคำถาม แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือยิ้มกว้างจากผู้เป็นแม่

 

          ชั่วอึดใจหนึ่งซันรู้สึกเหมือนมีอะไรร้อน ๆ วิ่งผ่านเข้าไปในร่างกายผ่านทางฝ่ามือที่ถูกฮิคารุสัมผัส จิ้งจอกสาวร้อนวูบภายในตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไปในชั่วพริบตา

 

          “โอเค ทีนี้ไปส่องกระจกตรงนู้นนะจ๊ะ”ฮิคารุบอก ยิ้มกริ่มด้วยความพึงพอใจเสียจนแก้มปริ นัยน์ตาพราวระยับ

 

          ซันพยักหน้า เดินไปยังกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ในร้านจุดที่ใกล้ที่สุด ก่อนจะต้องยืนตะลึงในภาพสะท้อนตรงหน้า

 

           เฮ้ย! นี่มัน…

 

          เส้นผมสีดำทรงติ่งหูแบบเด็กมัธยมต้นที่เรียนโรงเรียนรัฐบาลยาวขึ้นจนถึงสะโพก แถมยังกลายเป็นสีแดงเพลิง และในส่วนปลายผมประมาณ5นิ้ว ทั้งหมดนั้นเป็นสีเงินยวง ดวงตาที่แต่เดิมดำสนิทกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหมือนชานม ใบหน้าโดยรวมสวยหวานน่ารักกว่าเดิมมากจนน่าตกใจ สีผิวเองก็ดูเหมือนจะขาวขึ้นเล็กน้อย เดิมทีนั้นเธอไม่ได้ขี้เหร่อะไร จัดว่าพอดูได้ แต่ไม่ได้น่าดูนัก เทียบกับตอนนี้ดูเหมือนว่าจะได้เค้าของฮิคารุมามากขึ้นจมเลยทีเดียว

 

          เรียกว่าสวยด้วยมือแม่สินะแบบนี้ ไม่ต้องพึ่งมือแพทย์ ดีจริง ๆ

 

          ซันจ้องมองตัวเองในกระจกอยู่พักหนึ่ง พิจารณาความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของตัวเองอย่างทึ่งจัด จนเสียงสูงแสบหูดังขึ้นจากด้านหลัง

 

          “เครื่องแบบได้แล้วค่า” กุมมี่นั่นเอง เธอกลับออกมาพร้อมชุดเครื่องแบบสีเทา 2 ชุดพาดอยู่บนแขน เด็กสาวมองไปรอบ ๆ สายตาของพนักงานขายกวาดผ่านจิ้งจอกสาวไปหยุดที่ฮิคารุแทน

 

          “คุณผู้หญิง แล้วคุณซันล่ะคะ”

 

          ธิดาอัคคียิ้มหวาน ชี้มาทางซัน ทำให้กุมมี่ไล่สายตามองตาม เมื่อเห็นสาวน้อยผมแดงยืนยิ้มแห้ง ๆ เหมือนทำหน้าไม่ถูก พนักงานขายก็ทำหน้างุนงง แต่อึดใจต่อมาก็เปลี่ยนท่าทีได้อย่างรวดเร็ว

 

          “นั่นคุณซันเหรอคะ ! แป๊บเดียวสวยขึ้นเป็นกองเลย  รีบเอาชุดไปลองเลยนะคะ กุมมี่อยากเห็น ต้องเข้ามาก ๆ แน่ ห้องลองเชิญทางนี้เลยค่ะ” ปีศาจผ้าฝ้ายพูดรัวเร็ว จากประสบการณ์แล้วเธอก็เจอลูกค้าแปลก ๆ มาเยอะ รวมทั้งลูกค้าที่ชอบแปลงร่างเพื่อลองชุดหลาย ๆ แบบ เลยคิดเองเออเองว่ากรณีนี้คงเหมือนกัน

 

          ซันเดินเข้าไปในห้องลองชุด ยังคงแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงของตนเองไม่หาย กุมมี่ยัดชุดเครื่องแบบในอ้อมแขนทั้งสองชุดใส่มือเธอ ซันเอ่ยขอบคุณแล้วดึงฉากประตูปิด เมื่ออยู่ในห้องลองเสื้อที่มีกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่ จิ้งจอกก็ได้เห็นตัวเองในตอนนี้อีกทีชัด ๆ

 

          ใบหน้าตอนนี้ได้เค้าโครงของฮิคารุมาเต็มเปี่ยมจะต่างก็แค่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอ เพราะดวงตาของธิดาอัคคีจริง ๆ เป็นสีแดงเข้ม นัยน์ตาเหมือนมีประกายไฟเต้นอยู่ตลอดอย่างน่าพิศวง จึงต้องใส่คอนแทคเลนส์ไว้เพื่อไม่ให้มนุษย์เห็นดวงตาคู่นั้น

 

          ซันเปลี่ยนชุดอย่างคล่องแคล่ว เธอสัมผัสได้เลยว่าเนื้อผ้าที่นำมาถักทอเป็นชุดนี้ต้องไม่ใช่ผ้าธรรมดาแน่ ๆ เนื้อผ้านิ่มลื่นเหมือนผ้าแพร แต่กลับนุ่มหนาเหมือนผ้าเนื้อหนา สวมใส่สบาย และขนาดยังพอดิบพอดีแบบที่ใส่นอนยังหลับสบาย

 

          เครื่องแบบนี้ประกอบไปด้วย เสื้อกล้ามสีดำ เสื้อคลุมคาร์ดิแกนแขนยาวสีเทาเข้ม ส่วนต้นแขนพองแบบทรงตุ๊กตา มีกระดุมสีทองสามเม็ด ชายเสื้อด้านหลังเป็นริบบิ้นสีทองห้อยยาวเพื่อให้ผูกเป็นโบ ส่วนตัวกระโปรงเป็นกระโปรงพลีทสีเดียวกับคาร์ดิแกน

 

          เป็นชุดที่น่ารักจังแฮะ

 

         จิ้งจอกสาวจัดการเปลี่ยนชุดกลับ จากนั้นก็พาดชุดไว้บนท่อนแขนแล้วออกจากห้องลองเสื้อ

 

         “พอดีเลยค่ะแม่ ใส่สบายด้วย เพราะกุมมี่วัดตัวแท้ ๆ เลย เก่งจัง” 

 

         ปีศาจผ้าฝ้ายยิ้มแป้นอย่างยินดี รับเอาเครื่องแบบไปถือไว้แทน ส่วนมารดาของเธอเดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม มองลูกสาวที่สวยขึ้นจนแทบจำไม่ได้อย่างพอใจ

 

          “สวยเหมือนแม่เลยนะเรา” สาวสวยเอ่ยคำชมที่ไม่รู้ว่าจะชมใครกันแน่ จากนั้นก็เดินไปจัดการจ่ายเงินค่าชุดให้เรียบร้อย ก่อนจะออกจากร้าน ซันก็บอกลากุมมี่พร้อมสัญญาว่าไว้จะติดต่อมาหาแน่นอน

 

          มาถึงที่สุดท้ายก็คือร้าน ‘อาวุธ’ ที่ขายอาวุธตรงตัว จิ้งจอกสาวเดินตามฮิคารุเข้าไป ร้านนี้พิเศษมากคือ มีอาวุธทุกหนแห่ง ทั้งดาบยาว ดาบสั้น หอก ทวน มีดสปาตาร์ มีดสั้น มีดทำครัว มีดปอกผลไม้ หม้อ กระทะ ธนู หน้าไม้ ปืนหลากหลายแบบที่ซันเรียกไม่ถูก และอีกหลายสิ่งหลายอย่างนับไม่ถ้วนวางกองกันอย่างไร้ระเบียบ

 

         ฝั่งหนึ่งของร้านมีจุกจิกที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้เป็นอาวุธได้ยังไง เช่น ถุงมือ สร้อย แหวน นาฬิกาพก กิ๊บติดผม ต่างหู มุมนี้ก็มีของจำนวนมากจนซันนึกว่าทางร้านจะแบ่งส่วนเปิดร้านขายกิฟท์ช็อปไปด้วย

 

         คงเป็นมุมสำหรับสาว ๆ ล่ะมั้ง

 

         “ยินดีต้อนรับ คุณผู้หญิงและคุณหนู” เสียงแหบห้าวดังขึ้น ชายชราจมูกงองุ้มปรากฏตัวขึ้น แวบแรกซันรู้สึกว่าชายแก่ผู้นี้ช่างให้ลุคแบบพ่อมดสุด ๆ แต่เมื่อมองอีกทีก็ต้องเปลี่ยนความคิด

 

         ท่อนล่างของชายผู้นั้นเป็นม้า บ่งบอกทันทีว่าเขาคือเซนทอร์มนุษย์ครึ่งคนครึ่งม้าที่เคยเห็นในภาพยนตร์และในหนังสือนิยายหลายเรื่อง แต่พอมาเห็นของจริงก็อดจะตกใจไม่ได้อยู่ดี

 

          “สวัสดีค่ะ คุณโรเจอร์ วันนี้หนูพาลูกสาวมาเลือกอาวุธประจำตัวค่ะ เด็กคนนี้กำลังจะเข้าเรียนที่เทลไฟร์” ฮิคารุทักทาย

 

          “นี่ก็สิบหกปีแล้วสินะ แล้วเธอกับพ่อหนุ่มพิรุณสบายดีไหมล่ะ”

 

          “เราสบายดีค่ะ แล้ว..มาดามไปไหนหรือคะ”

 

          “รายนั้นตีดาบอยู่หลังร้านแน่ะ แก่เท่าไรก็ไม่ยอมหยุดสร้างอาวุธเสียที”

 

          “มาดามรักการตีดาบเป็นชีวิตจิตใจนี่คะ จะให้เธอเลิกคงไม่ได้หรอกค่ะ” ฮิคารุพูดพลางยิ้มกว้าง โรเจอร์ยักไหล่ ใบหน้าอันเต็มไปด้วยรอยย่นละจากสาวสวยหันมาทางเด็กสาวที่ยังมองของภายในร้านอย่างสนใจ

 

          “เอาล่ะ คุณหนู มาเลือกอาวุธเสียสิ”

 

          “เลือกยังไงคะ”ซันถาม กองสิ่งของมากมายขนาดนี้ทำให้เธอเลือกอะไรไม่ถูก พอเงยหน้ามองแม่เพื่อขอตัวช่วยก็ได้รับเพียงยิ้มบาง ๆ สวย ๆ เท่านั้น

 

          “ก็แค่เลือก” คำตอบที่ไม่ช่วยอะไรจากเซนทอร์เจ้าของร้านตอบกลับ

 

          ซันมองไปรอบๆอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกอะไรหรือยังไง แต่ตอนนั้นเองเสียงแหบห้าวก็ดังขึ้นอีกที

 

          “เอาล่ะ เธอได้แล้ว มาทางนี้”

 

          เด็กสาวงงหนัก เธอเดินเข้าไปหาเซนทอร์ตามคำสั่ง แต่สายตาก็ยังสื่อถึงความสงสัยอยู่ตลอด

 

          “แบมือสิ คุณหนู”

 

          ซันทำตามอย่างไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อแบมือออกมา เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบลูกแก้วลูกหนึ่งอยู่ในมือ

 

           มาได้ไงเนี่ย

 

          “อาวุธที่เซนทอร์สร้าง พวกมันจะเลือกเจ้าของเอง ซึ่งเจ้านั่นก็เลือกเธอแล้ว”

 

          “นี่คืออะไรเหรอคะ”

 

          “ลูกแก้วจิตทิพย์”

 

          “ลูกแก้วจิตทิพย์เหรอ ซัน ลูกได้ของดีมากเลยนะ ว่ากันว่าสิ่งนี้หายากมาก และถึงหาพบ ถ้ามันไม่ให้ใช้หรือจำศีล ก็ไม่สามารถใช้ได้” ฮิคารุขัดขึ้นพร้อมก้มลงมองดูลูกแก้วในมือของซันอย่างสนใจ

 

            “ใช่.. ลูกแก้วลูกนี้อยู่ที่นี่มานานก่อนที่ฉันจะเกิดเสียอีก สร้างขึ้นโดยท่านทวดของฉัน เพื่อมอบให้แก่จ้าวปีศาจ แต่ท่านเสียไปก่อนจะสร้างเสร็จ ลูกแก้วลูกนี้จึงยังไม่สมบูรณ์ เท่าที่ฉันรู้ มันต่างจากอาวุธอื่น ไม่เคยมีใครใช้มันได้ ผู้ใดที่ได้ครอบครองมักจะเสียชีวิตลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ลูกแก้วนี้จึงเปลี่ยนเจ้าของมามากมายจนกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง” โรเจอร์อธิบาย นัยน์ตาทอแสงแปลกประหลาด “รู้เช่นนี้ยังจะรับสิ่งนี้ไปหรือไม่ คุณหนู” เขาถามต่อ             

 

          ซันเงียบไปครู่หนึ่ง จนเซนทอร์ชราถอนใจ

 

           คงกลัวสินะ... แม้ว่าจะเป็นอาวุธวิเศษ แต่ก็ไม่รู้วิธีใช้ อีกทั้งยังมีเรื่องอาถรรพ์พ่วงด้วย มันคงไม่เหมาะกับสาวน้อยตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ประสีประสากระมัง

 

          แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ลูกแก้วจิตทิพย์เลือกเจ้าของเอง น่าแปลกนัก

 

          “จะเลือกใหม่ก็ย่อมได้นะ ที่นี่ยังมีอาวุธอื่นอีกมาก”

 

          “...แพงไหมคะ” ซันโพล่งขึ้นมา

 

          วันนี้แม่ต้องเสียเงินซื้อของให้เธอไปค่อนข้างมาก..อันที่จริงไปมากตรงของที่เธอขอเสียมากกว่า ถึงจะดีใจที่ได้ของที่พิเศษขนาดนี้ แต่เธอก็อดนึกถึงเรื่องราคาที่ต้องจ่ายไม่ได้ ถ้าราคาสูงเกินไปคงไม่ดีแน่

 

          “คุณหนูไม่กลัวที่จะใช้มันอย่างนั้นหรือ” เซนทอร์อดถามไม่ได้

 

          “ไม่นี่คะ บางทีตำนานอาจมีอะไรมากกว่าที่คิดหรืออาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้...ซันถูกชะตากับเขาค่ะ ไม่รู้สึกว่าน่ากลัวสักนิด รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย แล้ว...แพงไหมคะ”

 

          โรเจอร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ อดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ เซนทอร์ยื่นมือเหี่ยวย่นไปลูบศีรษะของเด็กสาวเบา ๆ เริ่มเข้าใจว่าทำไมเจ้าลูกแก้วถึงรีบกระโดดเข้ามือสาวน้อยผู้นี้

 

          “สิ่งนี้อยู่ที่นี่มานาน และฉันคิดว่าอยู่ที่นี่ไปก็ไม่สร้างผลประโยชน์อะไรให้ฉันหรอก ฉันขอมอบให้เธอเลยก็แล้วกัน”

 

          “ไม่ได้นะคะ โรเจอร์ ของซื้อของขายจะให้กันฟรี ๆ ได้ยังไงกัน หนูจ่ายได้ค่ะ”ฮิคารุที่รีบพูดแทรก

 

          “เธอเองก็รู้ว่าฉันพูดแล้วไม่คืนคำ อย่ามาเซ้าซี้น่ะ ให้ก็คือให้ แล้วก็รีบ ๆ ไปกันได้แล้ว นี่ใกล้เวลาที่ทางออกไปโลกมนุษย์จะปิดแล้วไม่ใช่รึ” เสียงแหบห้าวบอกแกมรำคาญ ออกอาการไล่อยู่ในที

 

          “อ๊ะ! จริงด้วย แย่แล้ว” ธิดาอัคคีอุทานลั่น “ถ้าอย่างนั้นหนูไปก่อนนะคะ โรเจอร์ แต่ยังไงคราวหน้าหนูจะเอาเงินมาจ่ายคุณให้ได้เชียว” พูดรัวเร็วพร้อมกับลากแขนซันให้รีบตามออกไป สองแม่ลูกกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากร้าน แต่ก่อนที่เท้าจะพ้นธรณีประตู ซันก็หยุดหันไปมองเซนทอร์อีกครั้ง

 

          “ขอบคุณมากนะคะ คุณปู่ ซันจะดูแลอย่างดีเลย!!”เธอตะโกนแล้วหันหลังวิ่งตามมารดาไป มือเรียวกำลูกแก้ววิเศษแน่น สอดมันเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ

 

           ฝากตัวด้วยนะ

 

 ……………………………………………………….

 

          คู่แม่ลูกกึ่งเดินกึ่งวิ่งได้พักใหญ่ จนตอนหลังใส่สปีดเป็นวิ่งเต็มที่ ในมือหิ้วของพะรุงพะรัง เมื่อเห็นจุดมุ่งหมายอยู่ตรงหน้าฮิคารุก็ร้องลั่น

 

          “ถึงแล้ว วิ่ง วิ่ง วิ่ง ! เก็บหูเก็บหางด้วย !”

 

          “แต่ตรงนั้นมันบ่อน้ำนะคะ !” ฝ่ายลูกสาวร้องตอบ เบิกตากว้าง มองบ่อน้ำที่ก่อด้วยอิฐก้อนสีแดง แถมยังมีน้ำอยู่เต็มจนปริ่มขอบ

 

          “นั่นแหละ โดดลงไปเลย!”

 

          ซันลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเก็บหูเก็บหางแล้วปีนขึ้นไปบนขอบบ่อ ยังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจก็ถูกแม่บังเกิดเกล้าผลักโครมลงบ่อไปทันที สิ่งเดียวที่ทำได้คือกลั้นหายใจและเตรียมตัวเปียก แต่ผ่านไปหลายวินาทีก็ยังไม่มีทีท่าว่าผิวจะสัมผัสกับน้ำแต่อย่างใด เลยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา แล้วพบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่ท่ามกลางร้านรวงยามราตรีอันแสนคึกคักในตรอกข้าวสารแล้ว มีหญิงสาวสวยเซ็กซี่ยืนอยู่ข้าง ๆ ท่าทางโล่งอกเต็มที่

 

          “เฮ้อ! รอดจนได้.. อีกสองนาทีประตูจะปิด นึกว่าวันนี้ต้องนอนในโลกปีศาจซะแล้ว”

 

          “แล้วนอนไม่ได้เหรอคะ”

 

           “อยากกลับเข้าบ้านไปแล้วเจอจิ้งจอกขนสีเงินแยกเขี้ยวใส่รึไง”

 

          “อ๋อ! ซันลืมไปว่าพ่อน่ะห๊วงห่วงขนาดไหน”

 

          โดยปกติแล้วพิรุณนั้นจะใจเย็นมาก แต่มีแค่เรื่องเดียวที่ห้ามโดยเด็ดขาดคือ‘การไปค้างคืนที่อื่น’ ซึ่งซันเคยลองของแอบหนีไปเที่ยวในตอนเด็ก ๆ อยู่ครั้งหนึ่ง เธอก็จำไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าพ่อโมโหมากจนบ้านเกือบแตก เล่นเอาเธอไม่กล้ามองหน้าไปหลายวัน

 

          ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ถึงแม้ซันจะมีคำถามมากมายในสมอง แต่ดูเหมือนความเหนื่อยจะมีมากกว่า และพลังสะกดจิตของเครื่องปรับอากาศเย็น ๆ ในรถส่งผลดีเกินคาด ทำให้เด็กสาวหลับไปตลอดทาง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่ของเธอกำลังถอยรถเข้าบ้านแล้ว

 

          พอเหยียบเข้าไปในห้องรับแขก พิรุณที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาหันมาเจอหน้าของลูกสาวเข้าก็ดูจะประหลาดใจ เผลอพึมพำออกมาว่า ‘ฮิคารุ’ แต่เมื่อหันไปเห็นคนแม่ก็นึกขึ้นได้ “ตกลงแม่เขาปลดปล่อยพลังให้แล้วสินะ” เขาเอ่ยถามสั้น ๆ หน้าตึงขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

 

          “แหม คุณก็ ลูกเราโตแล้วนะคะ เด็กผู้หญิงก็ต้องอยากสวยสิ ดูสิคะ ลูกสวยเหมือนฮิคารุตอนสาว ๆ เลยใช่ไหมล่ะ” ฝ่ายภรรยาตอบกึ่งสัพยอก “อีกอย่างก็ไม่ได้ปลดปล่อยทั้งหมดเสียหน่อยค่ะ ฮิคารุแค่ปลดกุญแจออกให้เท่านั้น ที่เหลือขึ้นอยู่กับลูกมากกว่า” ธิดาอัคคีพูด พลางเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ คนรัก

 

          “ช่วยอธิบายให้ซันรู้เรื่องด้วยได้ไหมคะ”

 

          ฮิคารุหันมามองซัน ส่วนพิรุณนั้นเมินหน้าไปทางอื่น แม่ลูกสบตากันอย่างเข้าใจในทันที

 

          งอนไปซะแล้ว

 

          “จริง ๆ แล้ว ตอนที่ซันเกิด วันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงพอดี เราก็รู้ใช่ไหม”

 

          ซันพยักหน้ารับ อันนี้เธอรู้มานานแล้ว

 

          “วันพระจันทร์เต็มดวงนั้นถือเป็นวันที่แรงมากสำหรับปีศาจอย่างเรา ๆ หมายถึงว่า เด็กที่เกิดในวันนี้จะมีพลังปีศาจสูงมาก จนถึงขั้นเป็นอันตรายได้เพราะรับพลังไม่ไหว ยิ่งเป็นลูกของพ่อกับแม่แล้วด้วย” ฮิคารุอธิบาย ก่อนจะหยุดถอนหายใจยาว

 

          “พ่อกับแม่ จริง ๆ แล้วเราเป็นปีศาจคนละธาตุกัน เราอาจอยู่ร่วมกันได้ แต่การมีลูกนั้นยากมาก ตอนที่ซันเกิด พ่อเขาเลยใช้พลังปิดกั้นพลังปีศาจของซันเอาไว้ ทำให้ซันมีสภาพเหมือนมนุษย์แท้ ๆ มาตลอด เป็นเหตุผลที่ซันมีหูมีหางโผล่ออกมาได้ แต่กลับไม่มีพลังของแม่เลย เพราะในตัวของลูกมีพลังของพ่อเขากดเอาไว้ตลอดมา”

 

          “แล้วตอนนี้จะไม่เป็นไรแล้วหรือคะ”

 

          “ก็เฉพาะในตอนนี้เท่านั้น” พิรุณพูดแทรก ก่อนจะอธิบายต่อ “ลูกต้องสร้างสมดุลของพลังในตัวให้ได้ เพราะพลังของพ่อเป็นธาตุเย็น ส่วนพลังของแม่เป็นธาตุร้อน ถ้าหากว่าลูกสร้างสมดุลของพลังสองธาตุไม่ได้ แล้วพลังทั้งหมดปะทุออกมา มันจะอันตรายมาก และจะเกิดเหตุการณ์เหมือนที่พวกมนุษย์เรียกว่า ธาตุไฟแตก ธาตุไฟเข้าแทรก” ผู้เป็นพ่ออธิบายเสียงเครียด

 

          “แล้วซันต้องทำยังไงล่ะคะ สร้างสมดุลที่ว่าเนี่ย”

 

          “ซันต้องควบคุมการใช้พลังให้ได้ ใช้ทั้งสองธาตุให้เท่ากัน อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ถ้าซันไม่ได้ใช้พลัง หมายถึงทั้งสองธาตุเป็น100เต็ม แต่ถ้าซันใช้ธาตุเย็นจะถูกเพิ่มเป็น120 ธาตุร้อนยังคงเป็น100 เท่านั้น เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งถูกใช้มากจนเกินไปจนมีความต่างของสมดุลมากเกินไป นั่นคือวิกฤติแน่ๆ ”

 

          “... เข้าใจแล้วค่ะ แล้วซันจะรู้ได้ยังไงคะว่าใช้พลังไหนไปเยอะกว่ากัน”

 

          “เส้นผมของลูก สีแดงเพลิงคือพลังร้อน สีเงินคือพลังเย็น อย่าให้สีเงินที่ปลายผมหายไปจนหมดโดยเด็ดขาด..” พิรุณตอบ

 

          “แต่ในกรณีของซัน มีพลังธาตุร้อนสูงกว่าธาตุเย็นตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้น ถ้าซันพยายามใช้พลังธาตุเย็นให้บ่อยกว่า หรือสะสมการใช้พลังของธาตุเย็นไว้เพียงพอ การใช้พลังธาตุร้อนก็จะไม่เป็นอันตรายมาก” ฮิคารุเสริม

 

          “ซันยังไม่เข้าใจว่า แล้วพลังธาตุเย็น ธาตุร้อน มันต่างกันยังไงคะ”

 

          “พลังธาตุเย็นคือพลังของพ่อ ความสามารถที่พ่อมีหรือปีศาจจิ้งจอกขาวอย่างเรามี เช่น พลังรักษา ภาพมายา หรือควบคุมน้ำ ซึ่งแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ส่วนความสามารถพื้นฐานที่ซันมีในตอนนี้คือ ‘การจดจำ’ และ ‘สัญชาตญาณ’

 

          “พลังธาตุร้อนคือพลังแบบแม่จ้ะ การสร้างและควบคุมไฟ ”

 

          “... ซันไม่เห็นทำอะไรแบบนั้นได้เลยนี่คะ”

 

          “เหมือนที่พ่อบอกซัน ทุกอย่างมันอยู่ในหัวของลูก ลูกจะค่อย ๆ เรียนรู้มันได้เอง แต่พ่อว่าตอนนี้ซันไปอาบน้ำแล้วเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องไปอยู่ทางนู้นแล้ว” ผู้เป็นพ่อตัดบทเอาดื้อๆ แต่ซันก็รับคำ

 

          ดูเหมือนเธอมีเรื่องให้คิดอีกมากเสียแล้ว จากที่ไม่เคยมีพลัง ก็กลายเป็นมีพลังมากเกินไป แถมท่าทางจะใช้ยากอีก แต่ไม่ว่าจะมีเรื่องให้คิดเยอะแยะเท่าไร ก็ดูจะสู้ความเหนื่อยจากการเดินซื้อของทั้งวันไม่ได้ ทำให้ซันผล็อยหลับแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน

 

 

 


 

 

[1] ชุดนวนิยายจำนวนเจ็ดเล่ม ประพันธ์โดย เจ.เค.โรว์ลิ่ง นักเขียนชาวอังกฤษ ตีพิมพ์ครั้งแรกปีค.ศ 1997

[2] ชื่อตรอกในนวนิยายเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา