The Sun and Satan..ดุจตะวันกับซาตาน

9.2

เขียนโดย kinkmj

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 09.50 น.

  10 chapter
  1 วิจารณ์
  14.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) The Sun and Satan Chapter 10 [1]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

- Chapter 10 [1] -

:: ความวุ่นวายในสวนพฤกษ์[1] ::

 

ซันกับนิคมาถึงพื้นที่อันสุดแสนวุ่นวายในไม่กี่นาทีต่อมา เมื่อเห็นสภาพการณ์ตรงหน้าเด็กสาวถึงกับหันขวับไปมองเพื่อนอย่างพิศวงกึ่งคาดโทษ

“ไหนนายบอกว่าเถาวัลย์หนามมันแค่โตไปหน่อยไง”

“ก็ตอนนี้มันคงโตขึ้นกว่าตอนนั้นอีกหน่อยแล้วน่ะนะ” คนตอบตอบเสียงแผ่ว ยิ้มแหย ๆ กลับให้เพื่อนสาว

ปรากฏการณ์ที่ไม่ต่างกับจลาจลกำลังอยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ นักเรียนในสถาบันวิ่งหนีกันให้วุ่น เมื่อเถาวัลย์มิชท์ทมิฬที่โตกว่าปกติ ’นิดหน่อย’ หนาเท่างูเหลือมตัวเขื่อง มีหนามแหลมแบบต้นงิ้วแถมยืดหดได้กำลังโบกสะบัดไปมาฟาดเข้าใส่ปีศาจตรงนั้นทีตรงนี้ทีจนฝุ่นตลบ

“ม่ายยย !!!”

“โอ๊ย !!”

“หลบไป หลบไป !”

“กรี๊ดดด !!!”

เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วจากคนที่พยายามหนีพ้นรัศมีการโจมตี บางคนวิ่งหนีตายไม่ทันก็โดนเถาวัลย์ฟาดใส่จัง ๆ จนพื้นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยลิ่มเลือดสีแดงบ้างสีดำบ้างกระจายอยู่ กลิ่นคาวเลือดน่าคลื่นเหียนฟุ้งไปทั่ว

หนึ่งในนั้นคือเด็กผู้หญิงปีสูงกว่าคนหนึ่งที่ล้มคว่ำอยู่เพราะถูกหนามคมของเถาวัลย์ทมิฬแทงทะลุต้นขาจนเห็นแผลเหวอะหวะ เนื้อแดง ๆ เปิดแหวกจนเกือบเห็นกระดูก ตรงหน้ายังมีเถาวัลย์เส้นเดิมกวัดแกว่งไปมา

“ช่วยด้วย ! ” เธอกรีดร้องขอความช่วยเหลือท่ามกลางความชุลมุน แต่นาทีนี้ทุกคนต่างเอาตัวรอด ไม่มีใครยอมหยุดช่วยแม้แต่คนเดียว

ซันที่เห็นทุกอย่างตัดสินใจวิ่งเข้าไปช่วย โดยมีนิควิ่งตามมาด้วยแบบเสียไม่ได้

          พรึบ ! ฟู่ !

          

          ก่อนจะทันคิดอะไรออก จิ้งจอกก็ซัดลูกไฟใส่เถาวัลย์ที่กำลังจะแทงสวบให้ปีศาจตรงหน้าหยุดร้องไปตลอดกาล

          

          ชั่ววินาทีแรกซันคิดว่ามันจะไม่ได้ผล แต่ไฟของเธอกลับลุกไหม้เถาวัลย์เส้นนั้นจนเกรียมสลายกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันพาตัวนักเรียนที่โดนทำร้ายออกมาให้พ้นเขตอันตรายอย่างทุลักทุเล

“ตรงนี้คงปลอดภัยแล้วละ” จิ้งจอกบอก เมื่อพาตัวของเด็กสาวคนนั้นมาถึงจุดที่น่าจะปลอดภัย

“ข… ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ซันตอบ โบกมือไปมาเป็นเชิงว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในขณะที่นิคจ้องมองเธอด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

จิ้งจอกสาวละความสนใจจากทั้งสอง พยายามมองไปรอบ ๆ จนเจอกลุ่มของอาจารย์รวมตัวกันอยู่มุมหนึ่ง สภาพไม่แย่แต่ก็ไม่ดีนัก ดูท่าทางจะสู้กับเถาวัลย์พวกนี้มาได้พักใหญ่กันแล้ว พอเห็นดังนั้นเธอก็ดึงแขนนิคแล้วเดินเข้าไปใกล้กลุ่มอาจารย์ให้มากที่สุด

“บ้าเอ๊ย! ทำไมเวททำอะไรไม่ได้เลยเนี่ย! อะกริปป้า จะจัดการมันยังไงหา!” อากาเรส อาจารย์ประจำวิชาศาสตร์แห่งปฐพี ผู้ที่ทั้งตัวประกอบไปด้วยสีน้ำตาลเข้มหัวจรดเท้าโวยวาย พร้อมกับใช้เท้ากระทืบเถาวัลย์ที่แทงมาใส่จนมันแบนติดดิน

“เถาวัลย์มิชท์มันมีคุณสมบัติต่อต้านเวทมนตร์ทุกประเภทนะซี ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ปกติพืชชนิดนี้จะโตยากมาก เมื่อช่วงต้นยามรุ่งมันยังเป็นเถาวัลย์เล็ก ๆ ขนาดเท่าต้นหญ้าอยู่เลย ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ก็โตพรวดพราดแบบนี้” อะกริปป้าตอบ มือข้างหนึ่งลูบเคราขาวอย่างใช้ความคิด อีกข้างหนึ่งใช้ไม้เท้าที่สูงเท่าตัวเขาฟาดใส่เถาวัลย์ใกล้ ๆ ซันแอบมองเห็นว่ามีเม็ดเหงื่อจำนวนมากผุดออกจากหน้าผากของชายชรา

“คุคุคุ มันก็สนุกดีนี่นะ ที่มีอะไรให้ฟันเล่นแก้เบื่อแบบนี้” มาโซเชียสพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะประจำตัวที่ทำให้ซันขนลุกได้ทุกที อาจารย์ประจำวิชาต่อสู้ที่ตอนนี้มีกรงเล็บโลหะยาวเกือบหนึ่งฟุตงอกมาแทนเล็บมือทั้งสิบกระโจนเข้าใส่เถาวัลย์ เขาใช้กรงเล็บตัดสายเถาวัลย์ทีเดียวนับสิบเส้น สีหน้าสนุกสนานจนใกล้เรียกว่าบ้าคลั่งเต็มที

“แล้วแบบนี้จะทำเช่นไรดีเล่า พวกเด็ก ๆ บาดเจ็บกันไปมากแล้ว บูเออร์ก็งานล้นมือแล้วนะคะ เราเรียกคุณไอม์มาดีไหมคะ” อาจารย์กาปเสนอ เธอเป็นอาจารย์ประจำวิชาศาสตร์แห่งธาตุน้ำ หญิงสาวมีมือเป็นพังผืดและเส้นผมสีฟ้ายาวเป็นลอนถึงบั้นท้ายของเธอดูคล้ายจะเปียกชุ่มอยู่เสมอ

ส่วนบูเออร์นั้นหมายถึงอาจารย์ประจำห้องพยาบาลที่มีพลังในการรักษาซึ่งตอนนี้กำลังตกอยู่ในวงล้อมของนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บและกำลังรอให้เธอรักษา

“ไม่ได้ !” อาจารย์รอบ ๆ รีบตอบทันควัน

“ถ้าเรียกเขามารับรองสวนพฤกษ์แห่งเทลไฟร์เหลือแต่ซากแน่ ๆ ”

“วอดวายแน่”

“แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว”

“แต่ถ้าไม่ใช้พลังไฟของเขาเผาเจ้านี่ เหตุการณ์นี้จะลุกลามไปอีกนะคะ เวทไฟทั่วไปก็ทำอะไรเถาวัลย์มิทช์ไม่ได้ด้วย ถ้าเป็นไอม์ ไฟของเขาอาจจะเผาเจ้าพวกนี้สำเร็จนะคะ” หญิงสาวพยายามโน้มน้าวกลุ่มคณาจารย์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครสนับสนุนเธอเลย กาปจึงเงียบและถอยกลับไปอยู่แนวหลัง คอยใช้เวทน้ำช่วยเหลือคนอื่นต่อไป

ท่าทางอาจารย์ไอม์นี่จะไม่ได้รับความนิยมเท่าไรแฮะ จะว่าไปแล้วตั้งแต่มาเรียนที่นี่ก็ยังไม่เคยเจอเลย ไม่รู้เป็นคนยังไง คงจะเคยก่อเรื่องไว้ล่ะมั้ง ซันคิด

“อาจารย์ไอม์นี่ใครน่ะ?” นิคหันมาถาม

“ไม่รู้สิ เรายังไม่เคยเรียนกับเขากันเลย ฉันก็ไม่เคยเจอ”

“แล้วจะเอายังไงดีล่ะทีนี้ จะอยู่นี่ หรือจะไปตามหาเจน” มนุษย์หมาป่าถามต่อ

ซันนิ่งคิด...เผลอยกมือขึ้นม้วนปลายผมเล่นตามนิสัย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ดีดนิ้วดังเปาะ หันไปมองเพื่อนด้วยแววตาวาววับ… แบบที่นิคสาบานได้ว่าไม่ชอบเอาเสียเลย

ไฟธรรมดาใช้ไม่ได้ผล แต่ไฟของเธอใช้ได้ผลสินะ

“นายช่วยอะไรฉันหน่อยสิ”

“อะไรล่ะ”

“นายวิ่งเร็วใช่ไหม คุณมนุษย์หมาป่า”

-------------------------------         

 

จิ้งจอกสาวลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่มสีแดงเข้มอันคุ้นเคย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกะพริบปริบ ๆ ภาพที่ผ่านเข้ามาในสายตาคือโคมไฟระย้าบนเพดาน ยกมือขึ้นนวดระหว่างคิ้วเบา ๆ

เดจาวู[1]อีกแล้วสิเรา...อย่าบอกนะว่าหันไปแล้วจะเจอ...

ซันค่อย ๆ หันไปมองข้างเตียงอย่างช้า ๆ

เป๊ะเลย...

เหมือนภาพจากเทปม้วนเก่าเอามาเล่นซ้ำ ร่างสูงสง่านั่งอยู่ข้างเตียง บนเก้าอี้ตัวเดิม ในเครื่องทรงสีดำสนิทเช่นเดิม...แต่ดวงตาสีทองที่กำลังปรายสายตามามองเธอกลับมีประกายบางอย่างที่ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม

“อะ...เอ่อ...” ซันอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี

 นี่เธอสร้างเรื่องปวดหัวให้ซาตานอีกแล้วหรือเนี่ย...

“ขอโทษนะคะ” บอกเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิด มือจับปลายเส้นผมสีเงินเหมือนหาที่พึ่ง

“ทำไม” เสียงทุ้มถามกลับสั้นห้วน ทำเอาคนถูกถามหัวหมุนติ้ว ประมวลผลหาคำตอบอย่างสุดความสามารถ

“ก็... ก็... ” ซันอ้ำอึ้ง จับต้นชนปลายไม่ถูกนัก

“เธอควรขอโทษตัวเองเสียมากกว่า”

“คะ !?”

 “จงอย่าทำเช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สอง” เสียงดุนั้นย้ำเน้นหนัก ดวงตาวาวโรจน์คล้ายมีกองเพลิงแผ่พุ่งอยู่ภายในความสงบเยือกเย็นของจอมมาร

“คะ ?...ค่ะ !? ”

บทสนทนาห้วนสั้นอันชวนมึนงงที่ซันไม่สามารถเข้าใจได้เท่าไรนักเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว จ้าวปีศาจจ้องมองจิ้งจอกสาวอีกชั่วครู่ด้วยนัยน์ตาคมกริบ อึดใจต่อมา เขาก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้หรู มุ่งไปยังประตูห้องอย่างรวดเร็ว ทำเอาซันตั้งตัวไม่ทัน พลั้งปากโพล่งออกไปเสียงดัง

“เดี๋ยวค่ะ !”

ใบหน้าคมผินกลับมา คิ้วเรียวสีเข้มนั้นเลิกขึ้นเพียงเล็กน้อย

“ขอบคุณนะคะ... ซาตาน” ซันพูด ตามด้วยยิ้มกว้างอย่างเคยชินเป็นนิสัย ชั่วขณะหนึ่งเธอเห็นดวงตาเย็นชาดุดันคู่นั้นคลายลง เขาหันหน้ากลับ แล้วร่างสง่างามก็หายวับออกไป

เมื่อซาตานลับตาไปแล้ว ซันก็พิงศีรษะกับหมอน จ้องมองลูกตุ้มนาฬิกาเก่าแก่บนผนังแกว่งไกวไปมาได้เพียงสิบครั้ง เสียงประตูก็ดังขึ้น ตามด้วยร่างแบบบางคล้ายตุ๊กตาแสนสวยของโดโรธีปรากฏตัว หญิงสาวเข้ามาในห้องพร้อมกับชาเฮอร์บี้ร้อน ๆ บนถาดทรงกลมในมือ

ดวงตาสีฟ้าคู่สวยปรายมองมายังจิ้งจอกเล็กน้อย ก่อนจะยกกาเทน้ำชาลงในถ้วยชากระเบื้องเพ้นท์ลวดลายดอกไม้แนววินเทจเข้าชุดกัน มือเรียวของสาวใช้ช้อนถ้วยพร้อมจานรองขึ้นไว้ในมืออย่างงดงาม แล้วจึงส่งให้กับซัน

จิ้งจอกสาวรับมาแต่โดยดีแล้วยกขึ้นจิบ ด้วยรู้ว่าถ้าตราบใดที่ยังไม่ยอมดื่ม โดโรธีจะไม่ยอมปริปากพูดอะไรเช่นกัน

เมื่อรู้สึกว่าทำตามมารยาทจนได้ที่และมีจังหวะเหมาะเจาะ เธอก็เอ่ยถามโดยไม่รีรออีก

“มันเกิดอะไรขึ้นหรือคะ โดโรธี ซันกลับมานี่ได้ไง ยังมึน ๆ อยู่เลย”

“ท่านจ้าวพาคุณซันกลับมาเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบ น้ำเสียงเย็นชากว่าปกติ

เดจาวูอีกแล้ว...ซันคิด พยายามทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง อาจเป็นเพราะฤทธิ์ฟื้นฟูจากชาเฮอร์บี้นั้นดีจริง ทำให้อีกไม่กี่ครั้งลูกตุ้มนาฬิกาแกว่ง ภาพความทรงจำก็เริ่มทยอยกันหลั่งไหลเข้ามาในหัวโดยไม่ต้องเค้นสมองนัก… 

เมื่อคิดปะติดปะต่อได้แล้ว ปีศาจสาวก็อดเผลอยิ้มแห้ง ๆ ออกมาไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่ห้ามสีแดงเรื่อจาง ๆ บนสองแก้มไม่ได้ด้วย… มือจิกบิดผ้านวมหนาด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา