ความสุขบทสุดท้าย

7.7

เขียนโดย เจนนิดา

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 18.16 น.

  5 บท
  3 วิจารณ์
  7,085 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558 13.22 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ทันทีที่กลับมาถึงบ้านย่ำรุ่งก็เดินตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของอัสดงทันที นี่คือภารกิจประจำวันที่เขากระทำอยู่เสมอ ย่ำรุ่งยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของน้องชายกำลังท่องศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย เขายืนฟังอยู่ครู่หนึ่งก็แง้มประตูเปิดออกอย่างเงียบเชียบที่สุด               

     อัสดงยังคงไม่รู้ตัวว่ามีคนกำลังแอบยืนฟังเขาท่องคำศัพท์อยู่ ยังคงส่งเสียงท่องออกมาอย่างต่อเนื่องจนเมื่อจบคำสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาดังเฮือกด้วยความโล่งอก สีหน้าและท่าทางไร้เดียงสาของน้องชายทำเอาย่ำรุ่งแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่                

     “เก่งมาก” เสียงเอ่ยชมพร้อมกับตบมือให้ดังขึ้นจากข้างหลัง อัสดงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไปทางต้นเสียง               

     “พี่ทันต์ พี่แกล้งฉันหรือ” ทำเสียงกระเง้ากระงอดแต่ก็โผเข้าหาอ้อมแขนที่กางรอรับอยู่ทันที               

     “แกล้งที่ไหนก็พี่เห็นเรากำลังท่องได้อย่างลื่นไหลเลยไม่อยากขัดจังหวะ” ย่ำรุ่งแก้ตัวแล้วกอดรัดน้องชายพลางหัวเราะ อัสดงเองก็หัวเราะตามออกมาด้วย               

     ย่ำรุ่งรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะโดยไม่เสแสร้งของน้องชายคนนี้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะหลังจากเสียงหัวเราะซาลงแล้ว สีหน้าของอัสดงก็สลดลงอีกครั้ง               

     “ท่องปรื๋อแบบนี้แล้วยังกังวลอยู่อีกหรือ”                

     “เปล่าครับ”                

     “ถ้าอย่างนั้นเป็นอะไรไปล่ะ”                

     อัสดงซุกหน้าลงที่อ้อมอกอบอุ่นของพี่ชายแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “เมื่อเช้าพี่ทลโดนพี่แทนตบหน้าเพราะช่วยฉัน” อัสดงเล่าให้พี่ชายฟัง               

     ย่ำรุ่งมีสีหน้าขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้นึกห่วงทินาทเท่าไหร่เพราะรู้ว่าทินาทคงไม่เป็นอะไรมาก แต่อัสดงต่างหากที่เป็นต้องเป็นคนแบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว    
     “เขามาหาเรื่องอะไรกับนายอีก”                

     “...” อัสดงนิ่งไม่ตอบ                

     “ทานต์”                

     “...” คำตอบของผู้เป็นน้องยังคงความเงียบงันดังเดิม               

     “พี่กำลังถามนายอยู่นะ”                

     “...” อัสดงนั่งก้มหน้านิ่งไม่ตอบคำถามนั้น ย่ำรุ่งขยับเข้าไปแล้วกอดน้องชายเป็นเชิงปลอบใจ               

     “พี่แทนทำร้ายเจ้าเมฆขาว” อัสดงพูดเสียงสั่นเครือ “เจ้าเมฆขาวโกรธฉันด้วย”                

     ย่ำรุ่งดันตัวน้องชายออกห่างเล็กน้อยด้วยสีหน้าตกใจ “นายรู้ได้ยังไงว่าเจ้าเมฆขาวโกรธนาย”   

   “เขาไม่ยอมคุยกับฉัน”                

     “ทานต์!”                

     “เจ้าเมฆขาวพูดได้จริงๆ นะพี่ทันต์ เมื่อคืนก่อนเขายังบอกราตรีสวัสดิ์กับฉันเลย”                

     ย่ำรุ่งเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำพูดของน้องชาย เขาจำได้ว่าอัสดงเคยมีอาการเช่นนี้เมื่อครั้งที่แม่เพิ่งจะเสียชีวิตไปไม่นาน ช่วงนั้นเขามักได้ยินเสียงน้องชายพูดคุยคนเดียวอยู่บ่อยๆ ครั้นพอถามก็บอกว่าคุยกับเจ้าเมฆขาว ในตอนนั้นเขาคิดว่าคงเป็นเพราะน้องชายยังเด็กจึงสร้างโลกในจินตนาการขึ้นมาเองทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจนัก แต่นานวันก็ยิ่งมีอาการหนักขึ้นเพราะอัสดงเอาแต่นั่งคุยกับเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ทั้งวันจนพลบค่ำทนไม่ไหวและเกือบจะเอามันไปทิ้ง ดีที่ทินาทช่วยออกหน้าแทนและเอามันกลับคืนมาได้ในที่สุด หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นอัสดงก็ได้รับการรักษาจนหายดีและถูกกักให้อยู่แต่ภายในบ้านนับแต่บัดนั้น               

     “ทานต์”                

      “ครับ”                

     “เจ้าเมฆขาวมันเริ่มพูดกับนายเมื่อไหร่”                

     “เราก็คุยกันมาตลอดล่ะครับ”                

     ย่ำรุ่งขาแข้งอ่อนเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้จะได้รับการบำบัดรักษาแต่โลกในจินตนาการของอัสดงไม่เคยหายไปไหน น้องชายของเขากลับซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด จนเมื่อเริ่มรับไม่ได้กับโลกแห่งความเป็นจริงจึงต้องถอยหลังกลับไปสู่โลกส่วนตัวอีกครั้ง               

     “ทานต์ฟังพี่นะ”                

     ดวงตากลมโตจ้องมองพี่ชายอย่างตั้งใจ เขาใส่ใจกับทุกคำพูดของย่ำรุ่งเสมอ               

     “ฟังอยู่ครับ”

     “เจ้าเมฆขาวเป็นแค่ตุ๊กตา มันไม่มีชีวิต”               

     "ไม่จริง! เจ้าเมฆขาวมีชีวิต! มีความรู้สึก!”                

     นับเป็นครั้งแรกที่อัสดงขึ้นเสียงกับเขา ย่ำรุ่งสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แววตาของน้องชายในตอนนี้จ้องมองเขาด้วยความโกรธเคือง               

     “ฉันไว้ใจพี่ถึงได้บอกความลับของเราสองคน แต่พี่กลับหาว่าฉันโกหกงั้นหรือ”                

     ย่ำรุ่งตกใจกับท่าทางโกรธเคืองของน้องชาย เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ต่อเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้โฮของน้องชายเขาจึงเริ่มได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง               

     “ทานต์ ใจเย็นๆ นะ พี่ขอโทษ”                

     “พี่ไม่เชื่อฉัน พี่ว่าฉันโกหก” อัสดงโวยวายด้วยความโกรธระคนปวดร้าว                

     “พี่เชื่อนาย พี่เชื่อ...” ย่ำรุ่งเหนี่ยวรั้งตัวน้องชายเข้ามากอดอย่างปลอบประโลม อัสดงพยายามผลักไสพี่ชายออกแต่สุดท้ายก็ได้แต่ร้องไห้สะอื้นจนตัวโยนอยู่ในอ้อมกอดของพี่ชาย  

     “ฉันไม่ได้โกหก ฉันไม่ได้โกหก” อัสดงพร่ำบอกพี่ชายซ้ำๆ กันหลายครั้ง               

     “นายไม่ได้โกหก พี่เชื่อนาย” ย่ำรุ่งกระซิบข้างหูน้องพลางลูบหลังให้อย่างแผ่วเบา   

     “พี่เชื่อฉัน? พี่เชื่อฉันแล้วใช่ไหม?”                

     อัสดงเริ่มสงบลง เงยหน้ามองพี่ชายแล้วถามย้ำเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ ย่ำรุ่งน้ำตาคลอแต่ก็พยักหน้ารับ เขาไม่เคยรู้เลยว่าหัวใจของน้องชายจะถูกบาดลึกลงไปมากถึงเพียงนี้                

     “เจ้าเมฆขาวคุยอะไรกับนายบ้างเล่าให้พี่ฟังได้ไหม”                

     หลังจากจัดการอาการตกใจของตัวเองได้แล้วย่ำรุ่งก็เริ่มเดินเข้าสู่โลกส่วนตัวของน้องชายอย่างแนบเนียน เขาตั้งคำถามเพื่อให้น้องชายยอมเปิดประตูให้เขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนั้น เพื่อที่เขาจะพาน้องชายกลับออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้

     อัสดงเอามือปัดเส้นผมที่ตกลงมาปรกระหน้าผากของตนเองขึ้นอย่างลวกๆ ดวงตาเศร้าโศกจ้องมองพี่ชายอย่างลังเล               

     “มันเป็นความลับของเรา”                

     “ไหนนายบอกว่าไม่เคยมีความลับกับพี่ไงล่ะ”                

     “ฉันขอถามเขาดูก่อนได้ไหม” อัสดงตั้งข้อต่อรองพร้อมกับหันหน้าไปทางเจ้าตุ๊กตากระต่ายสีขาว                

     เมื่อย่ำรุ่งพยักหน้าอัสดงก็ขยับตัวเข้าไปหาเจ้าเมฆขาวแล้วก้มหน้าลงไปจนชิดกับตุ๊กตาผ้าขนสัตว์ตัวนั้น ย่ำรุ่งมองน้องชายรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก เขานึกโทษตัวเองที่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงของน้องชายได้ จนทำให้อัสดงต้องหาที่พึ่งทางใจที่เป็นสิ่งไม่มีชีวิต               

     “ตกลงครับพี่ทันต์ เจ้าเมฆขาวบอกว่าพี่เป็นคนดี เขาไม่รังเกียจที่จะให้พี่รู้ความลับของเรา” อัสดงวางเจ้าเมฆขาวลงอย่างอ่อนโยนแล้วเดินกลับมานั่งกับพี่ชายอีกครั้ง                

     “เจ้าเมฆขาวบอกว่าเขามาจากโลกนิทานที่แม่เคยเล่าให้ฟัง”                

     เพียงแค่ได้ยินน้องชายเกริ่นนำย่ำรุ่งก็ต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ตลอดเวลาสิบสามปีที่ผ่านมานั้นบาดแผลของน้องชายไม่เคยได้รับการเยียวยาเลย มีแต่จะถูกกดทับซ้ำๆจนกลายเป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่ยากจะรักษาให้หายขาดได้               

     “พี่ทันต์ พี่เป็นอะไรหรือเปล่า” อัสดงถามพี่ชายอย่างห่วงใยเมื่อเห็นว่าสีหน้าของพี่ชายสลดลง               

     “เปล่า พี่ไม่เป็นไร”               

     “พี่เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ งั้นเราอย่าเพิ่งคุยกันเลยนะ”                

     “พี่คุยได้” ย่ำรุ่งขัดขึ้น               

     “ไม่เอา พี่ไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนดีกว่า แล้วคืนนี้เราค่อยมานอนคุยกันนะ” ว่าแล้วก็ดึงมือพี่ชายให้ลุกขึ้นซึ่งย่ำรุ่งก็ไม่ได้โต้แย้งอันใดยอมลุกขึ้นตามแรงดึงของน้องชายแต่โดยดี อัสดงส่งยิ้มให้เขาบางๆ               

     ย่ำรุ่งใช้อุ้งมืออันอบอุ่นของตัวเองแตะลงที่แก้มของน้องชายอย่างแผ่วเบา อัสดงวางมือลงบนมือพี่ชายอีกทอดหนึ่งแล้วหลับตาลงด้วยรอยยิ้ม ย่ำรุ่งจ้องมองใบหน้าโศกเศร้าของน้องชายด้วยความรู้สึกเวทนาเป็นยิ่งนัก               

     “พี่รักนายมากนะ” พูดจบก็จูบลงที่หน้าผากน้องชายอย่างแผ่วเบา               

     “ฉันก็รักพี่” อัสดงกอดพี่ชายแน่น               

     ย่ำรุ่งเดินออกมาจากห้องนอนของน้องชายด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก เขาไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำว่ากลับเข้ามาในห้องของตัวเองตอนไหน ในสมองของเขาคิดแต่เรื่องของน้องชายที่เริ่มเดินถอยหลังกลับเข้าสู่โลกแห่งความฝันของตัวเองอีกครั้ง เขารู้สึกกลัวขึ้นมาเฉยๆ กลัวว่าน้องชายจะเข้าไปสู่โลกแห่งจินตนาการและไม่ยอมกลับออกมาอีกตลอดกาล

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา