Sulwa ลิขิตปริศนา

7.0

เขียนโดย sasie

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 19.57 น.

  1 ตอน
  2 วิจารณ์
  3,630 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 21.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Chapter1 ผีลักพาตัว : 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

1

 

    

ฉันเป็น ‘ซัลวา จาบาล’ มาได้สิบปีแล้ว ฉันออกจากบ้านเลี้ยงเด็กจาบาลมาหางานทำ เลี้ยงดู ส่งเสียตัวเองเรียนเมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว จนตอนนี้อายุยี่สิบปี ทุกอย่างในชีวิตราบรื่นดี ถึงแม้จะไม่สุขสบายนัก แต่ก็พูดได้เต็มปากว่ามีความสุข

ฉันพอใจในชีวิตของตัวเองมาก ทั้งๆ ที่ทุกอย่างก็ดีอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงหวนกลับไปคิดถึงตัวเองเมื่อสิบปีก่อน อาจเป็นเพราะมีคำพูดประโยคหนึ่งที่ฉันยังไม่เข้าใจ

คุณหนูจะเติบโตเป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ คนหนึ่ง ถึงชีวิตจะไม่ค่อยราบรื่น แต่คุณหนูไม่ต้องกังวล ผมเชื่อว่ายังไงคุณหนูก็ต้องผ่านมันไปได้ คุณหนูเข้าใจใช่ไหมครับ

ฉันไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร จึงได้แต่หวังว่าชีวิตจะสุขสงบแบบนี้ไปตลอด...

 

 “ในค่ำคืนที่แสนเงียบสงบ ตรงใจกลางของถนนร้างผู้คน จะมีผู้ชายใบหน้างดงามคนหนึ่งเดินมาท่ามกลางม่านหมอกที่หนาทึบ แต่ความจริงแล้ว มันไม่ได้ร้างผู้คนเสียทีเดียวหรอกนะ เพราะผู้ชายคนนั้นจะปรากฏตัวขึ้น ก็ต่อเมื่อมีผู้หญิงแสนสวยเดินอยู่แถวนั้นเพียงลำพัง

เขาจะเดินเข้ามาหาจากหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้า แล้วถามว่า ‘อยากไปกับผมไหมครับ’ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร แต่สิ่งเดียวที่เขาจะทำกับหญิงสาวก็คือ ฆ่า!” หญิงสาวผมดำเล่าด้วยน้ำเสียงลึกลับ พลางหันมองเพื่อนทั้งสามคนในกลุ่มช้าๆ

ผู้หญิงคนนี้ชื่อ ‘มูนา’ เธอเป็นคนที่เชื่ออะไรง่ายมาก ขอแค่เรื่องมาถึงหูเธอได้ เธอก็เชื่อหมด เวลามูนาเล่าอะไร จึงมักมี ‘ทีเฟีย’ เพื่อนอีกคนในกลุ่มที่ไม่เคยเชื่ออะไร ยกเว้นตาเห็นคอยเถียงอยู่เสมอ ซึ่งก็คาดไม่เคยผิด เพราะหลังจากมูนาเล่าจบ ทีเฟียก็สวนขึ้นทันควัน

“เธอเล่าเรื่องอะไรของเธอเนี่ย ทำไมต้องหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้า หนึ่งร้อยห้าสิบเมตรข้างหลังไม่ได้เหรอ คิดจะสร้างค่านิยม สัญลักษณ์ หรืออะไรบลาๆ ขึ้นมารึไง” สีหน้าของทีเฟียฉายแววตลกขบขันกับเรื่องที่ได้ยินอย่างชัดเจน

“ยัยทีเฟีย เธอน่ะเงียบไปเลย ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อสิ เรื่องนี้มันคือเรื่องจริง รุ่นพี่เอลลาก็โดนมาแล้ว ฉันแค่จะบอกว่าถ้าอยู่ๆ บรรยากาศรอบตัวก็มืดลง แล้วมีอะไรแปลกๆ ที่หนึ่งร้อยเมตรข้างหน้า เธอต้องรีบวิ่งหนีทันที พี่เอลลาเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่พี่โทรินไปช่วยทัน”

“แต่ตอนนี้รุ่นพี่เอลลาหายตัวไปแล้วนี่ เขาบอกกันว่าพี่เอลลามีอาการทางจิต พยายามหนีอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ” ทีเฟียเถียง

มูนามองทีเฟียก่อนส่ายหน้า แล้วตอบกลับไปว่า “คนที่มีอาการทางจิตจะวิ่งหนี แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้นานขนาดนี้เลยเหรอ อย่างน้อยมันก็ต้องมีรอยเท้าหรืออะไรสักอย่างบ้างสิ”

“ก็ถึงเรียกว่าคนที่มีอาการทางจิตไง” ทีเฟียพูดอย่างเซ็งๆ มูนาขี้เกียจเถียงกับทีเฟีย จึงหันมาหาฉันแทน ฉันสะดุ้ง ทำท่าจะยกมือขึ้นเพื่อแสดงว่า ‘ฉันไม่เถียงเธอหรอกนะ’ แต่มูนาก็พูดขึ้นมาก่อนว่า

“ซัลวา เธอก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่สวยใช้ได้คนนึงนะ แถมยังกลับหอดึกแทบทุกวันอีก เธอควรระวังตัวให้มาก หรือไม่ก็หาผู้ชายสักคนมาเดินกลับหอเป็นเพื่อนก็ได้”  

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็มาเดินกลับหอเป็นเพื่อนฉันทุกวันสิมูนา ถ้าเป็นเธอนะ ต่อให้ฉันต้องเป็นผู้ชายซะเอง ฉันก็ยอม” ฉันพูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ

มูนาตีแขนฉันครั้งหนึ่ง “ซัลวา สิ่งที่ฉันเล่าน่ะ เรียกกันว่า ‘ผีลักพาตัว’ ถึงปัจจุบันยังสรุปไม่ได้ว่าผีมีจริงรึเปล่า แต่ก็มีข่าวว่าผู้หญิงหายตัวไปเยอะนะ ไม่ใช่แค่พี่เอลลา” มูนาพูดพลางลูบแขนตัวเอง แล้วมองรอบตัวด้วยความหวาดกลัว

“มันก็เป็นแค่ข่าวลือน่ามูนา ไม่เห็นมีใครเขาเดือดร้อนจนไปแจ้งท่านเจ้าเมืองเลยสักคน หรืออย่างน้อยครอบครัวของผู้หญิงพวกนั้นก็ต้องเคลื่อนไหวบ้างสิ จริงไหมล่ะ แต่นี่ไม่มีอะไรเลยนะ ทุกอย่างปกติดี” ฉันพูด

ทีเฟียพยักหน้าเห็นด้วยหงึกๆ แล้วพูดว่า “ใช่มูนา มันก็แค่ข่าวลือ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริง งั้นฉันขอเดาตามความเป็นไปได้นะ ที่ผู้หญิงพวกนั้นหายตัวไป เพราะโดนศาสตร์มืดนอกรีตจับไปชำแหละเนื้อ” ทีเฟียพูดแล้วทำหน้าเซ็งอีกรอบ

ฉันว่าเรื่องศาสตร์มืดนอกรีตที่ทีเฟียพูดยังดูสมจริงมากกว่าเรื่องผีไร้ตัวตนของมูนาเยอะ เพราะอย่างน้อยมันก็ยังมีตัวตนจริง แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของความเป็นไปได้ มันก็ยังต่ำมากอยู่ดี

ทีเฟียเป็นอมนุษย์ที่เข้ามาศึกษาในเมืองเมซ เธอไม่ใช่พลเมืองของเมืองนี้ ดังนั้นเธออาจไม่เข้าใจเรื่องการรักษาความปลอดภัยภายในเมืองมากนัก เธอคงคิดเพียงว่าศาสตร์มืดนอกรีตชั่วร้าย ชอบทำเรื่องผิดศีลธรรม เธอจึงไม่ลังเลที่จะพุ่งเป้าไปยังพวกนอกรีตเป็นอันดับแรก แต่ถ้ามองตามความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้คนที่บริสุทธิ์ที่สุดก็คือพวกนอกรีต

สาเหตุเพราะตั้งแต่ที่ตระกูลมัลทอรี่ขึ้นเป็นเจ้าเมือง เมืองเมซแห่งนี้ก็มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น ทั่วทั้งเมืองมีข่ายพลังของท่านเจ้าเมืองคุ้มกันอยู่ ถ้ามีไอเวทมนตร์ผิดปกติอยู่ในเมืองเมื่อไหร่ จะถูกตรวจจับได้ทันที

ดังนั้นพวกนอกรีตจึงก้าวเท้าออกมานอกเขต ‘ป่าดำต้องห้าม’ ของพวกเขาไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นจะถูกจับกุมทันที นี่คือเหตุผลที่ทำให้ข้อสันนิษฐานของทีเฟียเป็นไปได้ต่ำมาก

“ศาสตร์มืดนอกรีตมีแหล่งที่อยู่ของพวกมันแล้ว พวกนั้นออกมาจากเขตป่าดำต้องห้ามไม่ได้ ดังนั้นนี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกนอกรีตแน่ แล้วอีกอย่างเรื่องมันเกิดขึ้นในโรงเรียนของเรานะ ในเขตโรงเรียนมีศาสตร์มืดนอกรีตที่ไหนกันล่ะ” มูนาพูดเสียงเครียด เธอกระแอมครั้งหนึ่งก่อนพูดต่อ “ฉันแค่อยากให้พวกเธอระวังตัวไว้ เพราะฉันเคยอ่านเรื่องผีจากหนังสือของพวกมนุษย์ไร้เวทมนตร์มาเยอะ ถึงได้คิดว่ามันอาจมีจริง”

มูนาชื่นชอบการอ่านหนังสือมาก และหนังสือพวกนั้นส่วนใหญ่เป็นของเมืองอื่น ดังนั้นสิ่งที่เธอเคยรับรู้มาจึงกว้างขวางพอสมควร ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเชื่อเรื่องที่เป็นไปได้ยากอย่างง่ายดาย  

“มนุษย์ไร้เวทมนตร์? ปัดโถ่... มูนานะมูนา เมืองของพวกนั้นอยู่คนละภพกับเมืองเมซเลยนะ พวกเราจะเข้าออกทียังยากแทบรากเลือด ผีพวกนั้นไม่รู้วิธีมาเมืองของพวกเราหรอกน่า”

“ก็แค่บอกให้ระวังตัว อย่าประมาทให้มากนักสิ ทีเฟีย” มูนาพูดเสียงเครียดยิ่งกว่าเดิม

ฉันเห็นว่ามูนาไม่ได้มีเจตนาจะพูดให้เพื่อนกลัว แต่ทำด้วยความเป็นห่วงล้วนๆ ก็เลยสะกิดเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่นั่งเงียบมานาน เพื่อเป็นสัญญาณให้เธอเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง

“ถึงตาฉันแล้ว” มิราเบลเอ่ยปากขึ้น สงครามน้ำลายระหว่างมูนากับทีเฟียจึงหยุดลง ทีเฟียถอนหายใจออกมา แล้วนั่งมองมิราเบลด้วยความตั้งใจแทน

“เรื่องนี้มันก็คล้ายๆ กับของมูนา มันเรียกว่าผีลักพาตัวเหมือนกัน แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับบ้านหลังเก่าที่แสนน่ากลัว ว่ากันว่าถ้ามีคนไปยืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้น ยายแก่เจ้าของบ้านจะเปิดประตูออกมาต้อนรับด้วยมีดสองเล่ม จากนั้นยายแก่นั่นก็จะเฉือนเธอจนตาย...”

“อีกแล้วเหรอ ทำไมผีพวกนี้ชอบฆ่าคนจังฮึ” ทีเฟียขัดจังหวะการเล่าเรื่องของมิราเบล มูนาเห็นดังนั้นจึงเท้าคางมองหน้าทีเฟียอย่างเอือมระอา

ในที่สุดพวกเราก็จบเรื่องสยองขวัญที่ไม่สยองเลยแม้แต่น้อยลง แล้วแยกย้ายกัน ช่วงนี้พวกเพื่อนของฉันต้องเดินทางไปเรียนนอกพื้นที่ เพราะกำลังอยู่ในช่วงเรียนภาคสนาม เรียกได้ว่านี้หัวหมุน เวลายุ่งเหยิงกันไปหมด ฉันจึงไม่ค่อยได้เจอหน้าพวกเธอสักเท่าไหร่ ก็เลยรู้สึกเหงานิดหน่อย พอได้มาเจอกันจึงดีใจมาก จนลืมทานอาหารเที่ยงไปเสียสนิท

ตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้ว ฉันต้องเข้างานตอนบ่ายหนึ่ง จึงต้องรีบบึ่งไปที่ทำงานทันที ทั้งที่ยังไม่ได้ทานอาหารเที่ยง แถมจะกินตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว แต่ก็โทษใครไม่ได้ โทษได้แต่ตัวเองเท่านั้นแหละ

 

“โอกาสหน้าเชิญมาใหม่นะคะ” เสียงพนักงานสาวของร้านขายขนมดังขึ้น ฉันกำลังเดินอยู่แถวนั้น พอได้ยินเสียงหวานใสของเธอ ท้องก็ร้องขึ้นมาทันที

เสียงพนักงานยังหวานขนาดนี้ ขนมในร้านจะขนาดไหน

ฉันลูบท้องตัวเองแล้วมองร้านขนมนั่น ไม่รู้ฝันกลางวันหรือหิวจนตาลาย ถึงเห็นลูกองุ่นที่ประดับร้านกำลังกวักมือเรียกฉันอยู่

มันเหมือนกับเป็นมนตร์สะกดหรือการสะกดจิตอะไรทำนองนั้น ในขณะที่สองขากำลังก้าวไปตามการเชิญชวนขององุ่นน้อย ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เหลือเวลาสำหรับการเดินเที่ยวเตร่อีกแล้ว จึงต้องหยุดเท้าของตัวเองทันที

“ลองชมลองชิมก่อนได้นะคะ วันนี้มีเค้กผลไม้หวานฉ่ำ แถมยังมีคัพเค้กแยมผลไม้สด จิ้มครั้งหนึ่งไส้ไหลทะลัก รสชาติหวานหอม เนื้อเค้กนุ่มละมุนลิ้น!” เสียงพนักงานสาวพูดเชื้อเชิญลูกค้าดังเจื้อยแจ้วไม่หยุด

ฉันยืนอยู่หน้าร้านพอดี จึงได้ยินเต็มสองรูหู ภาพขนมหวานหมุนวนในหัวไม่หยุด อาหารเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน ขนมหวานพวกนี้จึงมีอิทธิพลมากขึ้นหลายเท่า จนในที่สุด ฉันก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านขนม โดยมีองุ่นน้อยขยิบตาให้

พอออกมาจากร้านขนมปุ๊บ ฉันก็ดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง แล้วก็ต้องตกใจ เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่สิบนาทีก็จะบ่ายโมงตรง ถ้าไปสายมีหวังโดนลดเงินเดือนแน่ๆ

ฉันโอบถุงเค้กผลไม้แน่น ขมวดคิ้วคิดหาวิธีเดินทางไปทำงานให้ทันเวลา ลูกองุ่นน้อยจึงชี้ไปยังซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง มันอยู่ห่างจากฉันประมาณสามสี่เมตร ฉันมองไปยังซอยนั่นอย่างสงสัย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นทางลัดที่ไปโผล่ตรงหลังที่ทำงานพอดี

ฉันเร่งฝีเท้าไปยังทางลัดนั่น จำได้ว่าเคยใช้ทางลัดนี้บ่อยๆ เมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะมันเปลี่ยว แล้วก็น่ากลัว จึงเลิกใช้มานาน ทว่าตอนนี้กำลังรีบมาก ไม่มีเวลาให้ลังเล

เมื่อก้าวเข้าไป บรรยากาศเก่าๆ ก็หวนกลับมาคืน ข้างในยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เป็นซอยเปลี่ยวที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ ทั้งสิ้น สองข้างทางมีแต่ป่ารกร้าง บรรยากาศค่อนข้างน่ากลัว ยิ่งเพิ่งฟังเรื่องพิลึกกึกกือมา ทำให้อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ แต่โชคดีที่ตอนนี้มีแสงแดดส่องทั่วถึง ไม่มีหมอกทึบ บ้านเก่าแก่อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น ทัศนวิสัยค่อนข้างชัดเจน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็จะเห็นทุกอย่าง

ฟิ้ววว...

เสียงลมทำให้รู้สึกราวกับมีใครเดินอยู่ข้างหลัง ฉันหันหลังกลับไปมอง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า จึงหันหน้ากลับมาเช่นเดิม แล้วก็ต้องตกใจจนเกือบร้องออกมา

ที่หนึ่งร้อยเมตรข้างหน้า มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่...

ต่อให้ไม่ได้ฟังเรื่องที่มูนาเล่า ก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี หันหลังไปเพียงแค่เสี้ยววินาที พอหันกลับมาอีกที ก็มีคนเดินอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ไกลออกไปอีกสี่ร้อยเมตร ก็ไม่มีเงาใคร ถ้าจะคิดว่าเขาเดินออกมาจากป่าข้างทาง เพียงแค่เสี้ยววินาที เขาจะไปเดินอยู่ตรงนั้น โดยปราศจากเสียงใดๆ ได้หรือ

ไม่มีทางเป็นไปได้ ยกเว้นเขาจะตกลงมาจากฟ้า ผุดขึ้นมาจากดิน หรือปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งทั้งสามอย่างล้วนไม่ใช่ลักษณะของสิ่งมีชีวิตปกติเลย

ตอนนี้พวกเรากำลังเดินเข้าใกล้กันมากขึ้น ฉันงุดหน้าลงมองพื้น พยายามฮัมเพลงเล่น เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง แกว่งแขนเดินอย่างสบายอารมณ์ ทั้งที่ในใจเครียดมาก กลัวว่าพอพวกเราเดินเข้าใกล้กันมากขึ้น เขาจะส่งยิ้มมาให้ แล้วถามว่า ‘อยากไปกับผมไหมครับ’ จากนั้นก็ฆ่าฉัน

แต่ความอยากรู้อยากเห็นของคนยากจะระงับได้ อยู่ๆ ฉันก็เกิดอยากรู้ว่า เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามตามแบบที่มูนาเล่าให้ฟังจริงๆ รึเปล่า

ใช่... ความอยากรู้อยากเห็นทำให้แมวตาย แต่ฉันก็ยังแอบเหลือบตาขึ้นสังเกตเขาอยู่ดี

ในมือเขามีจานอาหารอยู่หนึ่งจาน ไม่รู้ว่าเป็นอาหารอะไร แต่จานแบบนั้นคล้ายจานของร้านอาหารที่ฉันทำงานอยู่ เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่สกปรกมอมแมม มีรอยขาดไม่ต่ำกว่าสิบรอย ตามแขนขาเปื้อนรอยสีดำเหมือนรอยดิน เขาเหมือนศพไม่มีผิด สภาพแบบนี้ไม่เห็นเหมือนชายหนุ่มรูปงามตรงไหน

นี่มันขอทานชัดๆ

ฉันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จึงเงยหน้าขึ้นตามปกติ แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นใบหน้าของเขาเข้า

“กรี๊ด!” ฉันกรีดร้องพร้อมแกว่งถุงเค้กไปใส่เขา จากนั้นก็มีเสียงจานอาหารตก พอลืมตามองอีกที ก็เห็นผู้ชายคนนั้นกำลังมองพื้นแบบอึ้งๆ ฉันมองตามสายตาเขา ก็พบว่าบนพื้นเต็มไปด้วยเศษอาหาร

ผู้ชายคนนั้นถอนหายใจกับตัวเอง เขาก้มลงไปเก็บอาหารบนพื้นกลับใส่จาน พอฉันเห็นภาพนั้น จึงนึกอะไรขึ้นได้

“ขอโทษจริงๆ นะคะ อาหารที่ตกพื้นแล้ว อย่าไปเก็บมันเลยค่ะ” ฉันพูดแล้วรีบเดินไปดึงเขาให้ลุกขึ้น เขาหันมามองฉันแบบหงุดหงิด แต่พอเห็นใบหน้าของฉัน เขาก็ส่งรอยยิ้มที่เป็นมิตรมาให้แทน

“นึกว่านางฟ้าที่ไหน ที่แท้ก็คุณหนูนี่เอง! แต่อย่าห้ามผมเลยนะครับ ทายดูสิ ผมอดอาหารมากี่วันแล้ว!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนร่าเริง

ฉันมองหน้าเขาดีๆ ก็พบว่าเขาน่าจะอายุใกล้เคียงกับฉัน ออกจะดูเด็กกว่าด้วยซ้ำ ดวงตาสีดำที่เต็มไปด้วยประกายคู่นั้น ทำให้ฉันรู้สึกปวดใจอย่างมาก

ทำไมฉันถึงเป็นคนที่ใช้ไม่ได้แบบนี้ ไปเพ้อเจ้อตามมูนาได้ยังไง ผู้ชายที่น่าสงสารคนนี้เหมือนผีตรงไหน ก็แค่ภายนอกเหมือนศพทุกอย่างเท่านั้นเอง...

ผู้ชายคนนั้นก้มลงไปตักอาหารบนพื้นกลับใส่จานอีกรอบ ฉันจึงไปหยุดเขาอีกครั้ง

“อย่าเลยค่ะ...” ฉันพูดแล้วจับมือเขาไว้

“คุณหนูจะห้ามผมทำไม ในเมื่อคุณหนูเป็นคนทำให้อาหารของผมตก ถึงผมจะไม่เอาเรื่อง แต่มันไม่ได้หมายความว่าผมไม่โกรธคุณหนูนะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนปกติ แต่ถ้าพิจารณาดีๆ จะพบว่าเขากำลังตำหนิฉัน

“เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ” ฉันพูดแล้วยื่นถุงเค้กไปให้เขาพร้อมกับยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่ลงไปในถุง เขารับไปแบบงุนงง ดวงตาสีดำเป็นประกายมองมายังฉันด้วยความไม่เข้าใจ

“ให้ผมหรือครับ” เขาถามอย่างเศร้าสร้อย แล้วลุกขึ้นยืน

“มันเป็นความผิดของฉันนี่คะ พอดีฉันเพิ่งได้ยินเรื่องของผีลักพาตัวมา เลยคิดว่าคุณน่ะเป็น ถึงได้ปัดถุงเค้กไปโดนจานอาหารของคุณเข้า ขอโทษจริงๆ นะคะ” พอฉันพูดจบ เขาก็หัวเราะออกมา

“อย่างนี้นี่เอง แต่คุณหนูครับ เรื่องที่คุณหนูพูดมันมีอยู่จริงนะครับ ผมเห็นบ่อยมาก แล้วถ้าจำไม่ผิด แถวนี้ก็มีอยู่ตัวหนึ่ง ดังนั้นอย่ามาเดินในที่เปลี่ยวคนเดียวจะดีกว่า!” เขาพูดอย่างร่าเริงเหมือนเดิม แต่รอยยิ้มนั่นไม่สามารถปกปิดความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเขาได้ เขาเกือบล้มลงไปบนพื้นด้วยซ้ำถ้าไม่มีฉันพยุงไว้

“อย่างนั้นเหรอคะ”

“คงห้ามไม่ได้จริงๆ สินะครับ!” เขาพูดพลางเดินไปนั่งข้างทาง จากนั้นก็เอามือตบลงบนพื้นข้างๆ ตัวเขา พร้อมกับพูดว่า “ถ้าไม่รังเกียจก็นั่งลงเถอะครับ!” 

ฉันงุนงงก็เลยนั่งลงไป พอนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็พูดต่อ “ขอมือของคุณหนูหน่อยนะครับ ผมไม่มีเจตนาล่วงเกินเลยแม้แต่นิดเดียว!” เขาพูดอย่างร่าเริง ฉันยื่นมือไปให้ เขามองมือของฉันสักพัก แล้วพยักหน้ากับตัวเอง

“ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวด้วย ตั้งหลายตัวแน่ะ คุณหนูทั้งสาวทั้งสวย ก็คงต้องทนไปนะครับ!” เขาพูดแล้วกัดนิ้วตัวเอง จากนั้นก็เอานิ้วที่มีเลือดซิบมาเขียนอะไรสักอย่างบนฝ่ามือของฉัน พอเขียนเสร็จ รอยเลือดก็ส่องแสงออกมา ก่อนจะหายวับไป

“หายไปแล้ว!” ฉันพูดแล้วเงยหน้าขึ้น แต่กลับพบว่าผู้ชายคนนั้นก็หายไปเช่นกัน เหลือไว้เพียงถุงเค้กที่ฉันยัดเงินเอาไว้

ฉันลองมองดูรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเขา อาหารที่พื้นก็หายไปด้วย เหลือแต่รอยน้ำมันจากอาหารเอาไว้ให้ดูต่างหน้า

“ผะ...ผี” ฉันพูดแล้วมองมือตัวเอง ไม่ใช่ว่าโดนลงคำสาป หรืออะไรเทือกนั้นไว้นะ!

ฉันตกใจจนเกือบคุมสติไม่อยู่ แต่ก็เหลือสติพอที่จะคว้าถุงเค้กแล้ววิ่งหนี ระหว่างทางรู้สึกเหมือนมีคนแอบมอง จึงหันหลังกลับไป ก็เห็นบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ข้างทาง

เมื่อกี้ตอนวิ่งมาไม่ได้สังเกต หรือมันเพิ่งปรากฏ

เอี๊ยด...

เสียงประตูของบ้านหลังนั้นทำเอาท้องไส้ปั่นป่วน อยู่ๆ ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ทั้งที่เป็นตอนกลางวัน ฉันเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งหนี ทางออกจากซอยเปลี่ยวอยู่ข้างหน้าฉันแล้ว อีกแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น

ฉันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พอขาก้าวออกไปจากซอยเปลี่ยวได้ก้าวหนึ่ง ก็มีเสียงแหบแห้งดังตามหลังมาว่า

“แกหนีไม่พ้นหรอก ฉันเลือกแกแล้ว!”   

 

 

by Sasi k.don

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา