หฤทัยเสน่หา

9.8

เขียนโดย เอเจลิส

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.42 น.

  8 ตอน
  12 วิจารณ์
  9,760 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) คนรัก? สัตว์เลี้ยง?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่5 คนรัก? สัตว์เลี้ยง?  

 

                ..เสียงเพลงบรรเลงที่ดังขับขาน ก้องกังวานไปทั่วทั้งพระตำหนักสีขาวนวล เสริมส่งให้การร่ายรำของนางรำผู้เลอโฉม ดูอ่อนช้อยพริ้วไหว และงดงามจับตายิ่งนัก จนเหล่าผู้ชมที่กำลังนั่งเอกเขนก อยู่ภายในพระตำหนักหินอ่อนสีขาวแห่งนี้ ต่างพากันเคลิบเคลิ้มราวกับต้องมนตราเสน่หา จะมีก็เพียงแต่วรองค์ร่างสูงบึกบึ่น ผิวกายขาวผ่อง บุรุษผู้ทรงอำนาจที่สุดในแผ่นดินนี้ ที่ดูจะไม่หลงใหลได้ปลื้มไปกับการแสดงร่ายรำดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย..

               ..วรองค์ร่างสูงบึกบื่นที่ประทับอยู่เหนือบัลลังก์สีทอง เอนกายพิงกับพนักพิงด้วยท่าทีหงุดหงิด พระพักตร์หล่อคมคายดุจงานศิลป์ ก็มีแต่เพียงความเรียบนิ่ง ที่ส่อแววถึงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด และสีหน้าเช่นนั้นของชายผู้เป็นเจ้าชีวิตทั้งปวง ก็หาได้รอดพ้นไปจากสายตาของชายร่างเล็ก ผู้เป็นสหายคนสนิท ที่นั่งอยู่ด้านข้างแต่อย่างใด และเพียงพระหัตถ์แกร่งของวรองค์ร่างสูง ยกขึ้นโบกไล่ให้เหล่านางรำคนงาม และผู้คนที่อยู่ภายในพระตำหนักกว้างขวางออกไปทั้งหมด ด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ ชายร่างเล็กผู้เป็นสหายคนสนิท ซึ่งยังคงนั่งนิ่งจิบสุรารสเลิศ ไม่ได้ออกไปจากพระตำหนักเฉกเช่นคนอื่นๆ ก็อดที่จะเอ่ยปากถามขึ้นมาเสียไม่ได้ เมื่อเห็นว่าคนเป็นสหายรักของตน หลังจากขับไล่ผู้คนออกไปแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา..

               “นางรำแห่งเมืองลิเบีย ไม่ถูกใจเจ้าหรือไร? สเมนคารา..” 

                “.......”

                “ฮ่าๆ หรือว่าเจ้ากำลังคิดถึงพระสนมเอกเมอรีอาเตน คนงามของเจ้ากันล่ะ? ถ้าเป็นเช่นนั้น.. เจ้าก็ไม่น่าปลีกวิเวกมายังพระตำหนักสีขาวแห่งนี้ ด้วยข้ออ้างที่ว่าจะมาสักการะเทพเจ้าเช่นนั้นเลยนะสหายข้า”

                “กลับไปก็ได้เจอหน้า แล้วข้าจะคิดถึงนางไปทำไม? แค่ไม่ได้ร่วมราตรีเพียงไม่กี่เวลา กายข้าหาได้เงียบหงอยเหงา เพราะหากต้องการ แผ่นดินนี้หาได้มีแค่นางที่อยากอิงแอบกายข้า”

                “ฮ่าๆ นั่นสินะ.. ฟาโรห์สเมนคาราปัญญาเลิศล้ำ รูปลักษณ์งดงามดุจดั่งรูปสลัก จนแม้แต่บุรุษด้วยกันก็ยังหลงใหลได้ปลื้ม เหล่าอิสตรีทั่วหล้าก็แทบไม่ต้องเอ่ยถึง ขอแค่ได้เห็นแม้ปลายเส้นผมของเจ้า ถึงต้องตายพวกนางก็ยอมแต่โดยดี แล้วไอ้คนที่เพียบพร้อมจนน่าอิจฉาตาร้อน เหตุไฉนถึงได้มานั่งปั้นสีหน้า ราวกับหมีไม่ได้กินน้ำผึ้งกันเล่า? เจ้าน่าจะทำสีหน้ายินดีปรีดาสักหน่อยนะสเมนคารา ในเมื่อการศึกที่ลิเบียก็เป็นไปได้ด้วยดีแท้ๆ..”

                “ข้าฝันอีกแล้ว..”

                คำตรัสรับสั่งราบเรียบของฟาโรห์สเมนคารา ทำให้ชายร่างเล็กผู้เป็นสหาย ถึงกับหยุดชะงักคำพูดของตนเองไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดต่อขึ้นมา “เฮๆ..ข้าเป็นอาลักษณ์ของเจ้านะ! หาใช่เป็นโหรหลวงอย่างท่านฮัมเซียร์ ถึงจะได้ทำนายนิมิตรฝันให้เจ้าได้”

                “คารูม.. เจ้ายังจำความฝันที่ข้าเคยเล่าให้ฟัง ได้หรือเปล่า?”

                “หือ? นี่เจ้าฝันพิเรนทร์แบบนั้นอีกแล้วหรอกหรือ?”

                “ตั้งแต่ที่สร้างวิหารแห่งนั้นเสร็จสิ้น ทุกคราที่หลับตานอนลง ข้าก็ฝันเช่นนั้นมาตลอด แต่ภาพที่เห็นในฝันมักจะไม่ค่อยแจ่มชัดนัก ทว่า.. เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพที่เห็นในฝันกลับชัดเจนมาก จนข้าอดครุ่นคิดไม่ได้”

                “ถ้าเจ้าสงสัยคลางแคลงใจสักขนาดนั้น ทำไมไม่ลองให้ท่านโหรหลวงฮัมเซียร์ ทำนายฝันให้ล่ะ”

                “ขืนเล่าความฝันแบบนั้นออกไป มีหวังข้าคงได้เซ็งจิตไปทั้งวันเป็นแน่!”

                “หึหึๆ นั่นสินะ.. แต่ว่าฟาโรห์ผู้เพียบพร้อมอย่างเจ้า เหตุไฉนเหล่าทวยเทพจะต้องมอบลูกหมูตัวสีขาว ให้เป็นราชินีของเจ้าด้วยล่ะ? ข้าว่ามันเป็นฝันที่ออกจะไม่สมเหตุสมผลอยู่นะ เอ๋..หรือว่าที่เจ้าฝันอะไรมั่วซั่วได้ขนาดนี้ จะเป็นเพราะว่าเจ้าดันทะลึ่งไปสร้างวิหารให้กับเทพเจ้าเซทผู้ชั่วร้าย หรือเปล่า?”

                “ถ้าเป็นเพราะแบบนั้นจริง ข้าคงทำได้แค่หัวเราะเท่านั้น แต่เจ้าเองก็รู้ดีว่าข้าสร้างวิหารแห่งนั้น ขึ้นมาเพราะอะไร?..”

                “อืมม์..ก็นะ! แต่ว่าความฝันนั้นมันก็ออกจะแปลกๆ อยู่นะ ถึงจะเป็นความฝันมั่วซั่วก็เถอะ.. แต่เจ้าเล่นฝันบ่อยไม่เว้นราตรีแบบนี้ หรือนี่จะเป็นลางบอกเหตุว่าเจ้ากำลังจะได้ราชินีคู่บัลลังก์ เป็นลูกหมูตัวสีขาว?”

                “ลูกหมูตัวสีขาวเป็นราชินีของข้างั้นเหรอ? หึหึๆ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่เลวนะ ข้าชอบ..

                “ฮ่าๆ เจ้านี่มันวิตถารได้ใจจริงๆ สเมนคารา.. แต่ว่าพูดไปแล้วตำแหน่งราชินีของเจ้า ก็คงดูท่าจะไม่พ้นเมอรีอาเตน พระสนมเอกคนงามของเจ้าเป็นแน่แท้ เพราะว่านางนะทั้งฉลาด และสวยที่สุดในบรรดาบุปผางามที่ล้อมรอบกายเจ้า บวกกับฐานะเจ้าหญิงแห่งฮิตไทต์ของนางแล้ว ตำแหน่งราชินีแห่งอียิปต์ คงไม่มีใครจะกล้าเกินหน้านางไปได้อีกแล้ว”

                “เมอรีอาเตนงดงาม และเพียบพร้อมเยี่ยงเจ้าว่าคารูม แต่นางหาได้ใช่ราชินีของข้า..”

                “เอ๊ะ..?”

                “ข้าจะไม่ยอมเชื่อใจใครหน้าไหนอีกแล้ว..”

                “สเมนคารา..”

                “เจ้าเป็นเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันกับข้า พวกเราผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน จึงมีเพียงแค่เจ้าคนเดียว ที่ข้ากล้าจะฝากแผ่นหลังของข้านี้เอาไว้ เพราะข้ารู้ว่าหากเจ้าจะคิดทรยศข้าขึ้นมา เจ้าจะไม่มีวันทำการณ์ลับหลังข้าเป็นอันขาด”

                “.......”

                “อิสตรีนะแม้จะงดงามเพียงใด แต่หากหลงใหลได้ปลื้มจนถล่ำลึก ก็อาจถูกเชือดคอได้ตลอดเวลา ดังนั้น.. หากไม่อยากตายอย่างน่าเวทนา จงอย่าได้ไว้วางใจไปกับใคร แม้จะเป็นคนรู้หน้า แต่ใช่ว่าจะรู้ใจไปด้วย บทเรียนในอดีตสอนข้าเช่นนั้น!..”

                “หรือว่านี่เจ้าคิดจะไม่มีราชินี อย่างงั้นหรือ!?”

                “หึหึๆ มีสิ..”

                “เฮ้อ..ค่อยยังชั่วหน่อย! นึกว่าข้าต้องปวดหัวกับพวก..”

                 “แต่ต้องเป็นตอนที่ข้าตายไปแล้วเท่านั้น!”

                “วะ..ว่าไงนะ!!? นี่เจ้าพูดจริงหรือสเมนคารา..!”

                “เจ้าก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ ข้าไม่เคยพูดเล่น..”

                “แต่ขืนเจ้าทำอย่างที่พูดล่ะก็!.. มีหวังพวกขุนนางทั้งหลายได้พากันมารบเร้าข้าเช้าเที่ยงเย็น จนข้าหัวหงอกขาวโพลนก่อนเวลาแน่ๆ..”

                “หึ! แบบนั้นเจ้าก็คงน่าสงสารแย่นะสิคารูม.. เช่นนั้นถือว่าเป็นการช่วยเหลือเจ้าจากการหัวขาวโพลนก่อนเวลาอันควร ข้าจะยกตำแหน่งราชินีให้กับลูกหมูน้อยตัวสีขาวของข้าก็แล้วกัน”

                “ข้าชักอยากเอามีดซวกปากเจ้าจริงๆ สเมนคารา.. ขอให้เทพเจ้าเซทเอาลูกหมูน้อยตัวสีขาว มาให้กับเจ้าจริงๆ ทีเถอะคืนนี้! อ่อ.. ขอเป็นลูกหมูน้อยตัวดุๆร้ายๆหน่อยจะได้กระทืบเจ้านี้ให้สะใจข้าไปเลย เพี๊ยง!..

                คำพูดของชายหนุ่มร่างเล็กเจ้าของนามคารูม ที่ทำทีนั่งลงคุกเข่ากับพื้นพระตำหนัก สวดอ้อนวอนขอพรต่อเทพเจ้า ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราถึงกับทรงพระสรวลออกมาเสียงดังลั่นพระตำหนัก ก่อนจะทรงลุกขึ้นจากที่ประทับ พร้อมทั้งยกเท้าถีบสหายรักที่กำลังนั่งคุกเข่าเข้าให้หนึ่งที..

                “หึหึๆ ถ้าคืนนี้ได้อย่างที่เจ้าว่า.. ข้าจะเลี้ยงเหล้าจันทร์หอมเป็นการตบรางวัลให้เจ้าเลย! คารูม..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งอย่างพระอารมณ์ดีขึ้นมา หลังจากทรงรู้สึกเบื่อหน่าย และหงุดหงิดมาตลอดทั้งวัน

                “เฮๆ เหล้าจันทร์หอมของคนในราชวงค์ ที่ปีหนึ่งจะได้ดื่มแค่ครั้งเดียวนะหรือ? เจ้าพูดแล้วห้ามคืนคำเชียวนะ! สเมนคารา..”

                “อยู่แล้ว! ถ้าหากคืนนี้ข้าได้ลูกหมูน้อยตัวสีขาว ดุๆร้ายๆอย่างที่เจ้าว่า.. ข้าจะให้เจ้าดื่มเหล้าจันทร์หอมแบบไม่มีอั้น ชนิดที่ว่าต่อให้เจ้าเมามายไปแล้ว ข้าก็จะสั่งให้นางกำนัลนำเหล้าจันทร์หอมกรอกใส่ปากของเจ้า จนกว่าแสงตะวันของเช้าวันใหม่จะขึ้นสู่ท้องนภา แต่ในทางกลับกัน.. ถ้าหากข้าไม่ได้ลูกหมูน้อยตัวสีขาวในคืนนี้ พรุ่งนี้เจ้าต้องเป็นลูกหมูน้อยให้ข้าใช้งานเยี่ยงทาสจนกว่าตะวันจะตกดิน เปลี่ยนเป็นยามราตรี!”

                “ฟังแล้วโหดดีแท้ คงไม่มีไอ้บ้าที่ไหนจะกล้ารับคำท้าแบบนี้ของเจ้าเป็นแน่.. แต่ข้าผู้เป็นสหายรักของฟาโรห์สเมนคารารูปหล่อมหาจอมโหด มีหรือที่จะไม่รับคำท้านี้!..”

 

                ..เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงยามดึกสงัด ร่างสูงบึกบื่นของฟาโรห์สเมนคารา ทรงประทับยืนพิงพระวรกายอยู่ข้างเสาพระตำหนัก ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นชมพระจันทร์วงงาม ที่ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่กลางผืนนภา ซึ่งระยิบระยับไปด้วยหมู่ดวงดารา ดวงเนตรคู่คมงดงามสีดำรัตติกาล ฉายแววเย็นเฉียบไม่ต่างไปจากผลึกน้ำแข็ง ทอดมองไปยังผืนนภากว้างไกล ด้วยท่าทีเรียบนิ่งเป็นเวลาเนิ่นนาน ก่อนจะทรงขยับพระวรกายเสด็จกลับเข้าด้านในพระตำหนัก และทรงล้มตัวลงนอนบนแท่นบรรทม แต่ทว่าเพียงปิดพระเนตรลงได้ไม่นานมากนัก พระองค์ก็ต้องทรงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครา เมื่อพบว่าพระองค์กำลังตกอยู่ในห้วงความฝันเช่นเดิมอีกแล้ว..

                “อีกแล้วหรือ..?” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งพึมพำออกมา เมื่อพบว่าพระองค์กำลังยืนอยู่ในสถานที่แปลกตาที่เดิมกับที่ที่พระองค์ทรงฝันเห็นมาตลอด และทุกครั้งพระองค์ก็จะต้องเดินตรงไปยังวิหารร้าง ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายในทิศทางตรงกันข้ามกับสถานที่ที่ดูแปลกตา ที่อยู่เบื้องหน้าของพระองค์ ซึ่ง ณ.ที่แห่งนั้นพระองค์จะได้พบกับบรรดาเทพเจ้าของอียิปต์ และพระองค์ก็จะได้รับลูกหมูน้อยตัวสีขาวจากเทพเจ้าเซท ก่อนจะสะดุ้งตื่นทุกครั้ง..

                “เหตุไฉนข้าถึงฝันเช่นนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่ากันนะ?..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งอย่างไม่ทรงเข้าพระทัย ก่อนจะทรงหันพระวรกายก้าวเดินไปทางทะเลทรายเหมือนกับทุกครั้ง แต่แล้วพระบาทที่กำลังจะย่างก้าวเสด็จไปทางทะเลทราย ก็กลับหยุดชะงัก พร้อมทั้งพระเนตรคมกริบสีดำเย็นเฉียบราวกับผลึกน้ำแข็ง เหลือบมองไปยังอีกด้านหนึ่ง ที่เป็นเหมือนกับเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างดูใหญ่โต และระยิบระยิบงดงามราวกับเป็นเมืองสวรรค์.. 

               ..ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตรมอง สถานที่ดังกล่าวอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะทรงเปลี่ยนพระทัยเสด็จตรงไปยังสถานที่ดังกล่าวแทน ทว่าเพียงแค่เสด็จก้าวเข้าไปในเมืองที่ดูแปลกตาแห่งนั้น ก็กลับมีสายลมแรงกรรโชกพัดผ่านมาทางพระองค์ จนทำให้ฟาโรห์สเมนคารา จำต้องทรงปิดพระเนตรลงชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะทรงลืมพระเนตรขึ้นมาอีกครั้ง แต่พระองค์ก็ต้องเผลอขมวดพระขนงเข้าหากันด้วยความงุนงง เมื่อเบื้องหน้าพระพักตร์ของพระองค์ มีร่างของเด็กผู้หญิงตัวน้อยผิวขาว ร่างจ้ำม่ำดูน่ารักน่าชัง กำลังยืนยิ้มแฉ่งให้กับพระองค์อยู่..

                “เจ้าเป็นใครกันเด็กน้อย?” ทรงตรัสรับสั่งถามเด็กน้อย ผู้คลี่รอยยิ้มน่ารักให้กับพระองค์ แต่เด็กน้อยผู้ถูกถามกลับส่งเสียงหัวเราะอย่างสดใส ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยคำตอบใดๆ พร้อมกับส่งยื่นดอกไม้สีขาวในมือป้อมๆ ของตนให้กับฟาโรห์สเมนคารา

                “เดี๋ยวสิ! นั่นเจ้าจะไปไหนกัน..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยทำท่าจะวิ่งจากพระองค์ไป พร้อมกับทรงยื่นพระหัตถ์ไปจับร่างจ้ำม่ำของเด็กน้อยเอาไว้ แต่แล้วดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้มของเด็กน้อย ที่หันมาจ้องมองพระองค์ ซึ่งงดงามราวกับอัญมณี ก็ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราถึงกับทรงตกตะลึง จนเผลอคลายแรงที่พระหัตถ์ ปล่อยให้ร่างจ้ำม่ำหลุดรอดไป แต่พอจะยื่นพระหัตถ์ไปคว้ากลับมา ร่างของเด็กผู้หญิงตัวน้อย ก็พลันเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา สร้างความงุนงงให้กับฟาโรห์สเมนคารายิ่งนัก แต่พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปต่อ แต่ก้าวพระบาทไปได้ไม่กี่ก้าวเดิน ฟาโรห์สเมนคาราก็ต้องทรงหยุดชะงักพระบาทของพระองค์อยู่กับที่อีกครั้ง เมื่อพระองค์ทรงได้พบกับเด็กผู้หญิงตัวน้อยคนเดิม หากแต่ครั้งนี้ อีกฝ่ายดูตัวโตขึ้นมาเล็กน้อย และความน่ารักน่าชังก็ยิ่งเพิ่มพูน ทว่า.. ใบหน้าแสนน่ารักจิ้มลิ้มกลับมีแววเศร้าหมอง ไร้ซึ่งรอยยิ้มดั่งเคย..

               ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตรมอง ร่างจ้ำม่ำในชุดกระโปร่งฟูฟ่องสีดำสนิท ซึ่งยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าร่างของหญิงสาวผู้มีใบหน้าซีดเผือด ที่นอนทอดร่างนิ่งสนิทอยู่บนเตียงสีขาว อย่างไม่ค่อยจะเข้าพระทัยสักเท่าไหร่ แต่ก็พอจะทรงดูออกว่าหญิงสาวที่นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนผู้นั้น ได้เสียชีวิตไปแล้ว และเด็กน้อยผู้นี้ ก็กำลังโศกเศร้ากับการจากไปของหญิงสาวผู้นี้..

               “ทำไมเจ้าต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ด้วยเด็กน้อย..? หากอยากร้องไห้ ก็จงปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาเสียดีกว่าเก็บไว้ให้อัดอั้นใจตัวเองนะเด็กน้อย..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่ง พร้อมกับทรงยื่นพระหัตถ์ไปลูบศีรษะของเด็กผู้หญิงตัวน้อย อย่างทรงไม่ค่อยเข้าพระทัยพระองค์เอง ว่าเหตุไฉนพระองค์ถึงได้รู้สึกเอ็นดู และรักใคร่เด็กน้อยผู้นี้เหลือเกิน ทั้งที่พระองค์เองก็ทรงทราบดีแก่พระทัย ว่าภาพที่พระองค์เห็นอยู่ในขณะนี้ มันเป็นเพียงแค่ความฝันของพระองค์เท่านั้น

               “หนูรับปากกับคุณแม่ไว้แล้ว จะร้องไห้ออกมาไม่ได้ หนูจะต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะต้องคอยปกป้องดูแลคุณพ่อให้ได้ สัญญาไว้แล้ว..สัญญากับคุณแม่..สัญ..ฮึก..”

               ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตรมองเด็กน้อย ที่เอ่ยพูดออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น เพราะเจ้าตัวพยายามจะกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ก่อนจะทรงเหลือบมองไปยังมือป้อมๆ ที่จับชายผ้าพันรอบสะเอวของพระองค์เอาไว้แน่น แล้วก็ทรงคลี่รอยยิ้มบางเบาขึ้นมาที่ตรงมุมพระโอษฐ์ อย่างทรงนึกเอ็นดูเด็กน้อย ก่อนจะทรงโน้มพระวรกายสูงบึกบึ่นลงไปอุ้มร่างจ้ำม่ำของเด็กน้อย มาไว้ในอ้อมพระพาหาของพระองค์ พร้อมทั้งทรงตรัสรับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน..

               “ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกแม่ของเจ้า จงร้องไห้ที่อกของข้า ให้พอใจเถิดเด็กน้อย ร้องเสียให้พอในเวลานี้ แล้วจงเข้มแข็งก้าวยืนหยัดต่อไป ไม่ต้องห่วง.. เจ้าหาได้อยู่คนเดียวเพียงลำพังในโลกนี้ เพราะข้าจะอยู่กับเจ้า ภายในหัวใจดวงนี้ของเจ้าเสมอ เช่นเดียวกับแม่ผู้ล่วงลับของเจ้า”

               “ฮึก..ฮือ..แง๊ๆๆๆๆๆ

               ..ฟาโรห์สเมนคาราทรงกอดกระชับร่างจ้ำม่ำของเด็กน้อย ที่ส่งเสียงร้องไห้ดังลั่นในอ้อมแขนของพระองค์ พร้อมกับทรงฮัมเพลงกล่อมเด็ก ที่พระมารดาของพระองค์ เคยทรงขับร้องให้พระองค์ฟังเมื่อครั้งเยาว์วัย ขึ้นมาเบาๆ เพื่อปลอบใจเด็กน้อยที่กำลังโศกเศร้า แต่แล้วทันใดนั้น.. ก็กลับมีแสงสว่างจ้าเปล่งออกมาจากตัวของเด็กผู้หญิงตัวน้อยร่างจ้ำม่ำ จนทำให้ฟาโรห์สเมนคาราจำต้องหลับพระเนตรลง ก่อนจะทรงลืมพระเนตรขึ้นมาใหม่ แต่พระเนตรสีดำเย็นเฉียบราวกับผลึกน้ำแข็ง ก็ต้องสว่างวาบขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เมื่อผู้ที่พระองค์ทรงโอบอุ้มเอาไว้ บัดนี้หาใช่เด็กน้อยร่างจ้ำม่ำผู้น่ารักน่าชังอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นหญิงสาวร่างสูงอวบอั้น แสนเซ็กซี่อย่างเหลือร้าย ผู้ซึ่งมีใบหน้าละหม้ายคล้ายคลึงกับเด็กน้อยผู้นั้นแทน!..

               “เจ้าเป็นใครกัน..?”

               “แล้วคุณล่ะเป็นใคร? มาอุ้มฉันเอาไว้ทำไม? ไอ้หน้าหล่อโรคจิต!!!..พลั่ก!” คำถามที่มาพร้อมกับหมัดอันหนักหน่วงที่ซัดเข้าตรงโหนกแก้ม ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราถึงกับมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งมึนเพราะแรงหมัดของสาวเจ้าที่หมัดหนักสุดๆ และมึนไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนจะทรงรีบตั้งสติใหม่ เพื่อรับมือกับหญิงสาวหมัดหนักที่พระองค์เผลอทำหลุดจากอ้อมแขน แต่แล้วพระองค์ก็กลับต้องทรงรู้สึกงุนงงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหญิงสาวผู้นั้นได้หายไปแล้ว และขณะนี้สถานที่ที่พระองค์กำลังทรงประทับยืนอยู่ ก็กลับกลายเป็นวิหารร้างกลางทะเลทราย สถานที่ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดในความฝันของพระองค์ ที่พระองค์มักจะทรงฝันเห็นทุกครั้ง..

               “สมมติเทพเอ๋ย ในที่สุดเวลานี้ก็ได้มาถึง..”

               “เฮ้อ..จะบอกให้ข้าหาราชินีอีกแล้วหรือไงท่าน?” ฟาโรห์สเมนคาราทรงรับสั่ง พร้อมทั้งทรงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในขณะที่ทอดพระเนตรมองบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย ของดินแดนแห่งนี้ ที่ทรงประทับอยู่เบื้องหน้าของพระองค์ อย่างทรงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

               “เจ้าไม่อยากได้ราชินีหรือไร สเมนคารา..”

               “หึ! ท่านจะให้ข้าเอามาเป็นศพข้างกายงั้นหรือ..?”

               “........”

               “คนที่อยู่ข้างกายข้าได้ มีแค่ศพ และคนทรยศเท่านั้น!”

               “หึหึๆ ช่างน่าขันดีแท้ ที่เจ้าไม่อาจวางใจใครได้.. แต่ว่าก็ช่างดูเหมาะสมกับนางยิ่งนัก! กล่าวได้ว่าแม้เวลาจะผันแปรไปอีกกี่พันปี ก็คงหาใครอื่นที่เหมาะสมไปกว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว..”

               “.......?”

               “ข้าขอมอบนาง ให้เป็นราชินีคู่ใจของเจ้า”

               “.......” ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตรมองลูกหมูน้อยตัวสีขาวผ่อง ที่ถูกส่งยื่นมาให้กับพระองค์อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะทรงยื่นพระหัตถ์ไปรับลูกหมูน้อยที่ทำท่าเหมือนกำลังหลับอยู่ แต่พอพระหัตถ์ของพระองค์ แตะสัมผัสถูกตัวลูกหมูน้อย เจ้าลูกหมูน้อยที่เหมือนว่ากำลังหลับสนิทอยู่ ก็พลันลืมตาขึ้นมองสบกับพระเนตรของพระองค์..

               ..ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตร มองสบกับนัยน์ตาสีฟ้าเข้มของลูกหมูน้อย ที่ดูคล้ายกับดวงตาของเด็กน้อยร่างจ้ำม่า ที่พระองค์ทรงได้พบเมื่อสักครู่นี้ อย่างทรงนึกชอบใจขึ้นมาทันที ก่อนจะทรงตรัสรับสั่งขึ้นมาด้วยพระสุรเสียงทีเล่นทีจริง อย่างทรงต้องการจะยั่วเย้าเจ้าลูกหมูน้อย ที่พระองค์กำลังโอบอุ้มอยู่.. 

               “โอ..ทวยเทพ พระองค์ทรงให้หมูน้อยกับข้า ก็เพื่อให้ข้าเอาไปย่าง แล้วนำมาเสวยใช่หรือไม่? เช่นนั่น.. ข้าจะกลืนกินหมูน้อยตัวนี้ ไม่แม้แต่จะเหลือให้ใครผู้ใด ชายหรือหญิง ได้เหลือบชายตามองอีก! โอ..หมูน้อยที่น่ารักน่าชังของข้า” สิ้นรับสั่งของฟาโรห์สเมนคารา เจ้าลูกหมูน้อยตัวสีขาวก็ดิ้นพล่านขึ้นมา ราวกับรับรู้ถึงคำตรัสรับสั่งดังกล่าว ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราทรงพระสรวลออกมาเสียงดังลั่นอย่างทรงชอบใจ ก่อนจะทรงกอดรัดร่างของเจ้าหมูน้อยที่ดิ้นพล่านไม่หยุด เอาไว้ในอ้อมแขนของพระองค์ให้กระชับแน่นยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เจ้าหมูน้อยแรงเยอะ ดิ้นหลุดไปจากอ้อมแขนของพระองค์

               “ฟาโรห์สเมนคารา จงจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้มั่น! จนกว่าจะถึงวันเวลาที่พบกันอีกครา อย่าให้สิ่งใดทำให้น้ำตาของนางหลั่งไหลสู่ผืนแผ่นดินเป็นอันขาด เพราะน้ำตาของนางจะนำภัยจากเบื้องล่าง ขึ้นมาสู่เบื้องบนของผืนแผ่นดิน”

               “หมายความว่าไง..?” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งถาม อย่างทรงไม่เข้าพระทัยในคำพูดดังกล่าว แต่ทว่าคำถามพระองค์ก็หาได้รับคำตอบแต่อย่างใด เมื่อเหล่าเทพเจ้าที่ทรงประทับอยู่ตรงหน้า พากันเลือนหายจากพระองค์ไปเสียดื้อๆ และฉับพลันก็มีลมแรงกรรโชกพัดผ่านมาทางร่างของพระองค์ ลมแรงที่ราวกับพายุ พัดพาร่างของฟาโรห์สเมนคารา กระเด็นออกมายังด้านนอกของวิหาร แต่ถึงกระนั้นแม้พระวรกายบึกบื่นจะเคลื่อนไปตามแรงลม แต่พระหัตถ์แกร่งของฟาโรห์สเมนคารา ก็กลับทรงโอบกระชับลูกหมูน้อย เอาไว้ในอ้อมแขนของพระองค์อย่างสุดกำลัง ไม่ยอมปล่อยให้ลูกหมูน้อยหลุดไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในความฝันครั้งก่อนๆ อีกแล้ว!..

 

               ..ดวงเนตรคมของฟาโรห์สเมนคารา ค่อยๆ กระพริบเปิดขึ้นมองอย่างเชื่องช้า และสัมผัสแรกที่รับรู้ได้ ก็คือความนุ่มของฟูกนอนสีขาว ที่รองรับพระวรกายของพระองค์อยู่ ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราทรงรับรู้ได้ว่า บัดนี้พระองค์ได้ตื่นจากห้วงความฝันอันซ้ำซาก ซึ่งครั้งนี้ดูจะแหวกแนวออกไปเล็กน้อย ก่อนจะทรงขมวดพระขนงเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากด้านข้างพระวรกายของพระองค์ และรวดเร็วเท่าความคิด พระเนตรคมกริบของฟาโรห์สเมนคาราเหลือบมองไปยังด้านข้างพระวรกายของพระองค์ทันที และดวงเนตรคู่คมสีดำรัตติกาล ก็มีอันต้องสว่างวาบขึ้นมา ด้วยความตกตะลึง งุนงงแกมรู้สึกหลงใหลขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อข้างพระวรกายของพระองค์บัดนี้ มีหญิงสาวผมสีดำร่างอวบๆ ผิวกายขาวผ่อง นอนหลับใหลอยู่ข้างกายพระองค์..

               ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตรมอง หญิงสาวที่นอนหลับใหลอยู่ข้างกายของพระองค์ พร้อมกับทรงทำท่าจะยื่นพระหัตถ์ไปแตะร่างอวบๆ แสนเซ็กซี่เหลือร้าย เพื่อจะพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระเนตรฝาดไปหรือเปล่า แต่พระหัตถ์ของฟาโรห์สเมนคารายังไม่ทันจะได้แตะต้องร่างของหญิงสาว พระหัตถ์ข้างนั้นก็พลันชะงักค้างกลางอากาศทันควัน เมื่อเปลือกตาบางของคนที่กำลังหลับใหลขยับเปิดขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าเข้ม ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ซึ่งสะกดให้ฟาโรห์สเมนคารา ถึงกับลมหายใจสะดุดไปวูบหนึ่งเลยทีเดียว

               ทางด้านรัตมณี ซึ่งลืมตาขึ้นมา ก็ดันเห็นชายหนุ่มรูปงามจับตา นอนอยู่เคียงข้างตนเอง วูบหนึ่งหญิงสาวก็แอบนึกตกใจขึ้นมาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เพราะคิดว่าตัวเองคงจะกำลังนอนฝันไปมากกว่า เจ้าตัวจึงหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างนึกขำ พร้อมทั้งยื่นมือออกไปจับใบหน้าหล่อคมคาย ของชายหนุ่มตรงหน้า ในขณะริมปากบางอวบอิ่ม ก็เอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าอย่างนึกสนุกขึ้นมา..

               “ท่านช่างดูหล่อเหลาคมคาย เกินห้ามใจข้าจริงๆ เทพเจ้าเซทน่ารักเหลือเกิน ที่ให้ข้าได้เจอกับท่าน ถึงแม้จะเป็นแค่ในความฝันก็เถอะ.. เอ๊ะ? ว่าแต่ทำไมข้าถึงต้องพูดภาษาอียิปต์โบราณ ในความฝันด้วยล่ะ?”

               “.........”

               “ฝัน?..จะว่าไปทำไมข้าถึงรู้สึกได้ ถึงอุณหภูมิร่างกายของท่านกันล่ะ? ถ้าหากเป็นความฝัน..”

               “ก็เพราะว่าข้ายังไม่ตายไงล่ะ! ผลั่ก!..โครม!” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่ง พร้อมกับทรงยกพระบาทถีบร่างอวบๆ ตกแท่นบรรทมทันควัน เนื่องจากทรงนึกขึ้นได้ว่า หญิงสาวผู้นี้ ก็คือหญิงสาวคนเดียวกันกับในความฝัน ที่ซัดหมัดหนักหน่วงใส่พระพักตร์ของพระองค์นั่นเอง

               “โอ๊ย! เจ็บๆ..” ร่างสูงอวบของรัตมณีที่กลิ้งกระแทก ลงไปนอนอยู่บนพื้นหินอ่อน ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บระบม พร้อมกับร่างสูงอวบค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตนเอง ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน อยู่บนฟูกนอนสีขาว พร้อมกับขยับคลี่รอยยิ้มบางเบาให้กับอีกฝ่าย ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เออ..ประทานโทษนะ เมื่อกี้ท่านคงจะใช้ฝ่ามือของท่าน สะกิดข้าลงมาจากที่นอนสินะ..?”

               “ฝ่าเท้าของข้าต่างหาก!”

               “อ่อ..ฝ่าเท้านี่เอง! แหมๆ ถึงว่าสิ.. ทำไมอยู่ดีๆ รู้สึกอยากกระทืบคน มากถึงขนาดนี้! ผลั่ก!..โครม!!!” จบประโยคคำพูดราบเรียบ ร่างสูงอวบของรัตมณีก็กระโจนเข้าหาร่างสูงบึกบึ่น ของชายหนุ่มตรงหน้าทันที พร้อมทั้งระรัวกำปั้นใส่อีกฝ่ายแบบไม่มียั้ง โดยลืมที่จะสนใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มาจากที่ไหนไปซะสนิท ด้วยเพราะภายในห้วงความคิดของหญิงสาวในขณะนี้ มีแต่เรื่องที่คิดจะเอาคืนที่ตนเอง โดนอีกฝ่ายถีบตกจากเตียงเท่านั้น!

               ..เสียงโครมครามที่ดังเล็ดลอดออกจากห้องบรรทม ของฟาโรห์สเมนคารา ทำให้คารูมที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องข้างเคียง รีบวิ่งออกมาจากห้อง ตรงมายังห้องบรรทมของสหายรัก พร้อมกับราชองครักษ์ทันที ด้วยคิดว่ามีนักฆ่าลอบเข้ามาโจมตีฟาโรห์สเมนคารา..

               แต่แล้วพอผลักบานประตู เข้าไปในห้องบรรทม ของฟาโรห์หนุ่มจอมโหด ผู้เป็นสหายรักของตน ทั้งคารูม และราชองครักษ์อีกนับสิบคน ต่างก็ต้องพากันอ้าปากค้าง ด้วยความตกตะลึงแกมรู้สึกงุนงง กับสภาพร่างสูงบึกบึ่นของฟาโรห์สเมนคารา ที่กำลังซัดแหลกอยู่กับหญิงสาวร่างสูงอวบ ซึ่งอ้าปากงับต้นคอของฟาโรห์สเมนคาราเสียจมคมเขี้ยว ท่ามกลางสภาพห้องบรรทมที่เละเทะไม่เหลือชิ้นดี..

               “เออ..ขอโทษที! ดูเหมือนข้าจะเข้ามาขัดจังหวะ การละเล่นแบบวิตถารของเจ้าสินะ? สเมนคารา..”

               “มันใช่ซะที่ไหนกันล่ะ? เจ้าบ้า!..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตะโกนลั่น ใส่แผ่นหลังของผู้เป็นสหายของพระองค์ ที่กำลังจะเดินออกไปพร้อมกับเหล่าราชองครักษ์ ก่อนจะทรงหันมาง้างปากของหญิงสาวตัวดี ที่งับลงมาบนต้นคอของพระองค์เสียจมคมเขี้ยว พร้อมทั้งทรงตรัสรับสั่งต่อขึ้นมา “โอ๊ย!เล่นกัดกันเลยหรือ!? เจ้านี่มันแรงเยอะเป็นบ้า ใช่หมูน้อยแน่นะ..? ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นแม่สิงโตลูกสาม จอมดุร้ายมากกว่า!”

               “หา..?? พูดอะไรนะ? ข้ายังเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยต้องมือชายใด แล้วจะมีลูกเป็นคลอกได้ไงกัน? ไอ้บ้าห้าร้อย!..

               “เฮ! นี่เจ้ายังบริสุทธิ์หรอกหรือเนี่ย..!?” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งขึ้นมา ด้วยความตกตะลึงกับเรื่องที่ทรงได้รับรู้ ก่อนจะทรงคลี่รอยยิ้มร้ายๆ ออกมาเล็กน้อย ในขณะที่ทรงหลบหมัดของอีกฝ่าย พร้อมกับทรงยื่นพระหัตถ์ไปกระชับต้นแขนของหญิงสาวจอมดุเดือด ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับพระองค์ แล้วทรงตรัสรับสั่งต่อ “หึ!ถ้าเช่นนั้น.. ข้ายินดีที่จะเป็นพ่อพันธุ์ทำลูกให้กับเจ้าก็ได้นะ เจ้าจะเอาสักคลอก หรือว่าสองคลอก ข้าก็ไม่เกี่ยงงอนหรอก..”

               “สักคลอก หรือสองคลอกเหรอ..?”

               “ใช่.. หรือว่าเจ้าจะเอาสักสามคลอกดีล่ะ?”

               “........”

               “อ่อ..ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะ ว่าจะต้องใช้เวลานานมาก เพราะข้าเป็นคนขยัน รับรองว่าได้มีเจ้าตัวเล็กหัวปีท้ายปี ไม่ทำให้เจ้าต้องรอนานเป็นแน่”

               “งั้นเหรอ..”

               “.........”

               “ถ้าอย่างงั้นก่อนจะทำลูก! ข้าขอเอาหัวของเจ้า มาทำต้มยำกินก่อนแล้วกัน ไอ้บ้าหื่นกาม!..โป๊ก!!!เอ่ยพูดจบประโยค รัตมณีก็เอาศีรษะของตัวเอง กระแทกชนกับศีรษะของอีกฝ่ายเข้าอย่างจังแต่ทว่าผลที่ออกมา กลับไม่ได้มีเพียงแค่ฟาโรห์สเมนคาราเท่านั้น ที่ต้องร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ แต่ทางฝ่ายรัตมณีเอง ก็กลับต้องลงไปนอนดิ้นพล่านอยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม พร้อมทั้งส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บตรงที่กระแทกชนเข้ากับอีกฝ่าย

               “โอ๊ย! เจ็บชะมัด.. ทำไมเจ้าหมอนี้ถึงได้หัวแข็งขนาดนี้กันเนี่ย? โอ๊ย! เจ็บๆ หัวปูดไหมหว่า..?”

               “เฮ!..คำถามนั้นข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม! เจ้านี่มันบ้าดีเดือดเกินร้อยเลย มีที่ไหนอิสตรีที่เอาหัวโหม่งใส่หัวของคนอื่น แถมหัวยังแข็งเป็นบ้า! นี่เจ้า.. ที่ใช้เขกหัวข้าเมื่อกี้ ใช่หัวของเจ้าแน่หรือเปล่า? คงไม่ใช่ว่าเมื่อกี้ใช้ก้อนหินทุบหัวของข้าหรอกนะ..!”

               “หา?! อยากลองโดนอีกสักทีไหมล่ะ? จะได้รู้ว่าเป็นหัวของข้า หรือก้อนหินกันแน่?”

               “นึกเหรอว่าข้าจะกลัว? อยากจะเอาหัวโหม่งอีกสักกี่รอบ ก็เชิญเลย!”

               “ฮะแฮ่ม! ช้าก่อน! ทั้งสองคนเลย..”

               “........?”

               “คารูมอย่ามาห้าม! เจ้าไม่เห็นหรือไง? ว่าแม่นี้กัดข้าเสียจมเขี้ยวหลายแผล..”

               “เห็น!”

               “แล้วยังจะมาห้ามข้าอีกทำไม?”

               “ก็ไม่ได้อยากห้ามอะไรหรอก เพราะว่ามองดูเจ้าฟัดกับนางแล้ว ข้าสนุกเชียวล่ะ! แต่ข้าเกรงว่าขืนปล่อยให้เจ้ากับนาง รบรามากไปกว่านี้แล้วล่ะก็ ห้องบรรทมแห่งนี้ คงจะมิเหลือซากเป็นแน่ สเมนคารา..”

               “........”

               “ห้องบรรทม? ใช้คำพูดผิดอีกแล้วนะ สตีเฟ่น.. นี่ขนาดว่าเป็นภาษาอียิปต์โบราณไม่ใช่ภาษาไทยแล้วนะ แต่เจ้าก็ยังใช้ผิดอยู่ดี ..แต่เอ๊ะ? เจ้าพูดภาษาอียิปต์โบราณ ได้ด้วยงั้นเหรอ? ข้าไม่ยักรู้มาก่อนเลย..”

               “สตีเฟ่น..?”

               “แล้วนี่เจ้าตัวเตี้ยลงไปหรือเปล่านะ? ขาดแคลเซียมหรือไง? แถมผิวก็ดูจะคล้ำลงไปด้วย หรือว่าเจ้าไปอาบแดดมางั้นเหรอ?” รัตมณีเอ่ยพูดขึ้นมา ในขณะดวงตาคมกริบ ก็จ้องมองชายหนุ่ม ผู้เป็นเพื่อนรักของตนเอง ซึ่งกำลังยืนกอดอกมาดมั่นอยู่ที่ตรงบานประตู อย่างพินิจพิจารณา ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของอีกฝ่าย ที่ดูจะเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร

               “คือว่า.. ข้าไม่ได้มีนามว่าสตีเฟ่นหรอกนะขอรับ แม่หญิง..”

               “อ้าว? ไม่ได้ชื่อสตีเฟ่น แล้วเจ้าชื่อสวรรค์วิมานอะไรไม่ทราบ อย่าบอกนะว่า!.. หลอกข้าว่าชื่อสตีเฟ่นมาตั้งหลายปี แล้วจะมาบอกใหม่ว่าเจ้าชื่อไอ้บ้าห้าร้อย นามสกุลมนุษย์มนานะ!”

               “เออ..คือข้าก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ สิ่งที่แม่หญิงพูดมานักหรอกนะขอรับ แต่ข้านะมีนามว่า คารูม ขอรับแม่หญิง”

               “คารูม?”

               “ขอรับ..”

               “เฮๆ นี่คงจะไม่ได้อำกันใช่ไหม?”

               “.........”

               “หืมม์..แต่จะว่าไปแล้ว พอลองมองดูดีๆ ถึงเจ้าจะหน้าเหมือนกับสตีเฟ่น ยังกับเป็นคนเดียวกัน แต่เจ้าก็ดูตัวเตี้ยกว่าเจ้าหมอนั้น ซึ่งก็คงไม่ใช่เป็นเพราะขาดแคลเซียม ขึ้นมาอย่างกระทันหันแน่ๆ แล้วผิวกายของเจ้าก็คล้ำแดดมากกว่าด้วย ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นเพราะไปนอนอาบแดดมาอย่างแน่นอน เพราะยัยเรเชลเกลียดสีดำ ขืนยัยนั้นเห็นสีผิวแบบนี้ คงได้จับเจ้าสตีเฟ่นฉีกอกล้ำๆ นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย และที่สำคัญเลย ก็คือ.. สตีเฟ่นมีผมสีทองไว้ทรงรากไทร แต่ว่าเจ้ามีผมสีดำ และไว้ยาวถึงต้นไหล่ อ๊ะ!..หรือว่าเจ้าจะเป็นน้องชาย ที่พลัดพรากของเจ้าหมอนั้นกันล่ะ!?”

               “คือว่า.. ข้าเป็นลูกคนเดียวนะขอรับ”

               “นั่นสินะ! คงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เพราะเจ้าสตีเฟ่นเอง ก็เป็นลูกคนเดียวเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่าโลกนี้ จะมีคนหน้าที่เหมือนกันถึงขนาดนี้อยู่ด้วย..”

               “........”

               “แล้วว่าแต่ สรุปเจ้าเป็นใครกันนะ? บุกเข้ามาในห้องนอนของคนอื่นแบบนี้ รู้บ้างไหมว่า? มันเสียมารยาทมากเลย ปกติข้าคงซัดไม่เลี้ยงไปแล้ว คงจะไม่มานั่งถามไถ่อยู่แบบนี้หรอก แต่เพราะตอนนี้ข้ารู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ดังนั้น.. ถ้าหากตอบดีฟังรื่นหู ข้าก็จะยกเว้นให้ แต่ถ้าหากตอบไม่ดีแล้วล่ะก็.. งานนี้เจ้ามีเดี้ยง เหมือนกับไอ้เจ้าโรคจิต ที่อยู่ตรงนี้แน่!

               “เออ คือว่า..”

               “........”

               “เจ้าต่างหาก! ที่ต้องเป็นฝ่ายตอบว่าเจ้าเป็นใครมาจากที่ไหน..? แล้วบุกรุกเข้ามาในห้องบรรทมของข้า ได้เยี่ยงไรกัน..?”

               “......!?” คำพูดของชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่ข้างกาย ทำให้รัตมณีจำต้องหันขวับมามองอีกฝ่าย พร้อมทั้งยกนิ้วขึ้นชี้เข้าหาตัวเอง พลางเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย และพอเห็นอีกฝ่ายตีสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะล้อเล่นกันเลย หญิงสาวก็ถึงกับเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ด้วยความรู้สึกงุนงง ก่อนจะเริ่มเรียงลำดับความทรงจำของตัวเองใหม่อีกครั้ง และภาพความทรงจำครั้งสุดท้าย ที่ตัวเองร่วงหล่นตกลงไปในรอยแยกของพื้นสุสาน ที่แล่นเข้ามาในห้วงความคิด ก็ทำให้ดวงตาสีฟ้าเข้มของรัตมณี ถึงกับสว่างวาบขึ้นมาทันควัน

               “นี่ข้า.. ตายไปแล้วอย่างงั้นหรือ?!” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ ในขณะยกแขนขาของตัวเองขึ้นมามองดู ซึ่งไม่มีร่องรอยของบาดแผล หลงเหลือให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้ม ไล่มองไปตามร่างกายของตนเอง ที่ไร้ซึ่งบาดแผล อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังรอบๆ กายของตนเอง และภาพสถานที่ที่ดูแปลกตา รวมไปถึงเสื้อผ้าบนร่างกายของชายร่างเล็ก ผู้ซึ่งมีใบหน้าเหมือนกับชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนรักของตน ที่ราวกับหลุดออกมาจากหนังฟอร์มยักษ์ ทำให้รัตมณีถึงกับอื้ออึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา พร้อมทั้งเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เฮ้อ!มองไปทางไหน ก็เจอแต่พื้นหินสีขาวดูระยิบระยับไปหมด สงสัยว่าที่นี้คงจะเป็นดินแดนสวรรค์สินะ?”

               “ดินแดนสวรรค์? เพ้อเจ้ออะไรของเจ้าอยู่นะ.. กัดข้าจนเสียสติไปแล้วหรือไง?”

               “ไม่ยักกะรู้เลยนะว่าบนสวรรค์ จะมีเทวดาหน้าหล่อ แต่ปากหมาอยู่ด้วย หืมม์! แสดงว่า.. นี่อาจจะกลับกันก็ได้สินะ? บางทีในนรกอาจจะมีซาตานหน้าหล่อ แต่ปากหวานอยู่ก็ได้..”

               “นี่เจ้าจะกวนประสาทข้าหรือไร..?”

               “เฮ้อ! รู้อย่างงี้ตอนมีชีวิตอยู่ น่าจะทำชั่วให้มันเยอะๆ หน่อย จะได้ตกนรกลงไปเจอซาตานหน้าหล่อนิสัยดี หว่า..ชักรู้สึกเสียดายสุดๆ ไปเลย..”

               “เฮ..จะเพ้อไปอีกนานไหม?”

               “แต่ก็ช่างมันเถอะ! อย่างไงก็ขอนอนต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน ยังรู้สึกง่วงไม่หายเลย สงสัยว่าอาการลมแดดของเรา จะติดมาถึงตอนตายด้วยสินะเนี่ย? เฮ้อ! ไม่ไหวๆ..” จบประโยคคำพูด ที่เหมือนจะบ่นกับตัวเอง รัตมณีก็ล้มตัวลงนอนบนฟูกสีขาวอย่างหน้าตาเฉยทันที โดยไม่คิดสนใจใครหน้าไหนอีกต่อไป สร้างความงุนงงให้กับคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้องกันไปตามๆ..

               “เฮ้ย!! อย่ามาแกล้งทำเนียนนะเจ้า! อัดข้าไปเสียหลายหมัด แถมกัดซะหลายแผลแบบนี้ แล้วยังจะมาตีหน้าเซ่อนอนอยู่บนเตียงของข้าอีกงั้นหรือ?! มันจะมากไปแล้วนะ..”

               “พูดอะไรของเจ้ากันนะ? เจ้าโรคจิต.. ข้านะตายไปแล้ว ทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก..”

               “ตาย?”

               “อือ..ก็พื้นสุสานที่ข้ากำลังยืนอยู่ดีๆ มันดันยุบตัวลงอย่างฉับพลัน แบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ทำให้ข้าพาลซวยตกลงไปในรอยแยกของพื้นสุสาน..”

               “.........”

               “ต่อให้เป็นคนคิดแง่ดีขนาดไหน แต่สภาพการณ์แบบนั้น ก็คงจะพูดว่ารอดมาได้ แบบไม่เต็มปากเต็มคำหรอก แถมพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ดันมานอนอยู่ในที่แปลกตา ในสภาพที่ไม่มีบาดแผลบนตัวเลยสักแผลเดียวแบบนี้ ก็คงจะคิดได้เพียงแค่อย่างเดียว นั่นคือ ข้าคงจะตายไปแล้ว”

               “.......”

               “แต่ก็นะ!.. ไม่ได้นึกเสียดายอะไรหรอกที่จะต้องตายไป เพราะว่าในชีวิตนี้ ข้าสมปรารถนาทุกเรื่องแล้ว ถึงแม้เรื่องสุดท้ายจะสมหวังหลังตาย ก็เถอะนะ..”

               “สมหวังหลังตาย? มันเรื่องอะไรนะ..”

               “หือ?ก็แบบว่า..หาววว..คือก่อนตาย ข้าได้ขอพรกับเทพเจ้าเอาไว้นะ ว่าอยากจะพบคนรัก ที่ดูหล่อเหลาเหมือนกับท่านเทพเซท..”

               “เทพเซท?”

               “ใช่..เทพเซท ท่านเป็นคนหล่อมากเลยล่ะ แถมยังใจดีอีกด้วย อุตส่าห์ให้ข้าได้พบคนรักหล่อๆ เหมือนกับท่านตามคำขอสักด้วย แม้จะเป็นการพบกันหลังตาย แต่ก็ถือว่าข้าได้สมหวังตามที่ขอแล้ว อ่อ.. แต่ถ้าจะมีเรื่องที่ต้องเป็นห่วงสักเรื่องหนึ่ง ก็คงอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเพื่อนๆ ของข้า ต้องมาเป็นห่วงข้านั่นแหละ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ พวกเขาจะหาศพของข้าเจอแล้วหรือยังก็ไม่รู้ แต่จะเป็นอย่างไงก็ช่างมันเถอะนะ เพราะว่าข้าตายไปแล้ว ไม่สามารถจะทำอะไรได้อีกต่อไปแล้วล่ะนะ..”

               “เทพเซทที่เจ้าขอพรด้วย คงจะไม่ได้หมายถึงเทพเจ้าเซท เทพเจ้าด้านมืดแห่งอียิปต์ หรอกใช่ไหม..?”

               “ก็ใช่นะสิ..”

               “ว่าไงนะ!?”

               “ตกใจอะไรของเจ้ากันนะ? เทพเจ้าด้านมืด อย่างไงก็เป็นเทพเจ้า..” เสียงพูดอู้อี้ในลำคอจากร่างสูงอวบ ที่ทำท่าว่าจะหลับไปจริงๆ ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราถึงกับรู้สึกสะอึกขึ้นมา พร้อมทั้งทรงทอดพระเนตรมองสบตากับสหายรักของพระองค์ ซึ่งดูเหมือนจะยืนแข็งทื่อไปแล้วเช่นกัน ทันทีที่ได้ฟังคำตอบของหญิงสาว..

               “ไม่จริงน่า..”

                “........”

               “แม่หญิงคนนี้นะหรือ!?คือ.. หมูน้อยตัวสีขาว ราชินีของเจ้า!!!”

               “พูดเป็นเล่น?..”

               “แต่ว่า..” คารูมทำท่าจะเอ่ยพูดอะไรบางอย่างออกมา ทว่าชายหนุ่มก็กลับต้องหยุดชะงักคำพูดดังกล่าวเอาไว้ เมื่อเห็นฟาโรห์สเมนคารา ทรงยื่นพระหัตถ์ไปสัมผัสลูบไล้เส้นผม ของหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่นอนหลับไปเสียแล้ว ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดูรักใคร่เอ็นดูเสียเต็มประดา

               “นี่มันฝันร้ายชัดๆ..”

               “.........”

               “เจ้าหมูน้อยจอมดุเดือด เถื่อนสักขนาดนี้ คือ คนรักของข้างั้นหรือ? หึ! สัตว์เลี้ยงพันธุ์ใหม่สิไม่ว่า.. ของแบบนี้ต้องจับยัดใส่กรง แล้วซ่อนเอาไว้ในซอกหลืบ อย่าให้ใครได้เห็นอีกเลย..”

               “เฮๆ ใส่กรงซ่อนไว้ในซอกหลืบ หรือว่าจับขังไว้ในห้องนอนของเจ้ากันแน่..?” คารูมแกล้งเอ่ยถามขึ้นมาอย่างต้องการจะเย้าแหย่สหายรักของตน เนื่องจากเห็นท่าทีแปลกๆ ของคนเป็นสหาย แต่แล้วรอยยิ้มร้ายๆ แฝงความอ่อนโยนอยู่ลึกๆ ที่ปรากฏอยู่บนพระพักตร์หล่อคมคายของอีกฝ่าย ก็ทำให้คารูมถึงกับเลิกคิ้วสูงขึ้นมา พร้อมทั้งเอ่ยพูดต่อด้วยน้ำเสียงขบขัน “ดูท่าว่าเจ้าคงจะปลาบปลื้ม กับสัตว์เลี้ยงพันธุ์ใหม่ตัวนี้ น่าดูเลยนะสเมนคารา”

               “หึ!ชักเกลียดเจ้าที่รู้ทันข้าเสมอแล้วสิคารูม..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะทรงผละพระหัตถ์ออกจากเส้นผมนุ่มสลวยของหญิงสาว เปลี่ยนมาสัมผัสพระศอของพระองค์ ตรงที่มีรอยฟันของหญิงสาว ซึ่งยังคงมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา พร้อมทั้งทรงคลี่รอยยิ้มร้ายๆ ขึ้นมาที่ตรงมุมพระโอษฐ์ ในขณะทรงตรัสรับสั่งต่อ ด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ “จะเป็นเพราะลิขิตร้ายจากเทพเจ้าเซท หรือเพราะอะไรก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ครั้งนี้เห็นทีคงต้องกล่าวคำขอบคุณจากใจจริง ที่อุตส่าห์ส่งหมูน้อยแสนน่ารัก น่าชังขนาดนี้มาให้แล้วล่ะ!”

               คำตรัสรับสั่งของฟาโรห์สเมนคารา ทำให้คารูมถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเอ่ยพูดขึ้นมา ในขณะสายตาคมกริบ ก็ทอดมองไปยังหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่นอนหลับสนิทโดยไม่ได้รู้เอาเสียเลยว่า ตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอน ของเจ้าสัตว์ร้ายจอมโฉดที่สุด ในแผ่นดินนี้

               “เฮ้อ! โรคจิตเกินหน้าเจ้า เห็นทีว่าผืนแผ่นดินนี้ คงจะไม่มีอีกแล้วล่ะนะ..”

               “.........”

               “ทั้งที่เป็นคนพร้อมพูนไปด้วยทั้งรูปลักษณ์ และรูปทรัพย์ แต่นิสัยของเจ้า มันดันกลับสุดโฉดเหลือรับสักงั้น! เฮ้อ..สาวงามนางใด ที่ได้สัมผัสเนื้อแท้ของเจ้า ข้าว่ามีหวังคงได้ร้องไห้โฮออกมาเป็นแน่..”

               “.........”

               “แต่ข้าก็ไม่เคยนึกคิดมาก่อนเลยนะว่า บนแผ่นดินนี้จะมีอิสตรี ที่ได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของเจ้า แล้วยังใจกล้าฟัดกับเจ้าได้ถึงขนาดนี้อยู่ด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจ พร้อมๆ กับทำให้รู้สึกประหลาดใจไปในตัวจริงๆ..”

               “บอกไว้ก่อนนะคารูม.. ของของข้า! ข้าไม่ยกให้เจ้าหรอก..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งดักคอสหายรักของพระองค์ ซึ่งดูจะมีท่าทีสนใจในตัวหมูน้อยของพระองค์ อย่างเห็นได้ชัด..

               “หึ! อย่าห่วงไปเลย.. เพราะข้าไม่ได้โรคจิตเหมือนกับเจ้า! แล้วข้าเองก็คงไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ พอที่จะอยากโดนแม่หญิงคนโปรดของเจ้า ฝั่งคมเขี้ยวลงบนร่างกาย อ่อ!.. แล้วก็อย่าลืมเหล้าจันทร์หอมของข้าไปเสียล่ะ เพราะข้ากำลังรอคอยชิมรสชาติอันเลอเลิศของมัน จะแย่อยู่แล้ว..หึหึๆ”

               “เออ! แล้วข้าจะให้เจ้าดื่มแบบไม่อั้นเลย แต่ตอนนี้ช่วยไส่หัวของเจ้า ออกไปจากห้องสักที ก่อนที่ข้าจะมีอารมณ์อยากสั่งตัดหัวของเจ้าขึ้นมา!”

               “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ..หึหึๆ”

               “........” ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตรมอง สหายรักของพระองค์ ซึ่งเอ่ยรับคำด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า ด้วยแววพระเนตรหมายมาดว่าหลังจากนี้ พระองค์จะต้องทรงทำให้อีกฝ่ายหุบรอยยิ้ม ที่ชวนน่าหงุดหงิดนั้นให้จงได้!

               ..เมื่อบานประตูห้องบรรทม ถูกปิดลงเรียบสนิท บรรยากาศก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ไร้ซึ่งผู้อื่นมารบกวน ดวงเนตรคมกริบที่ฉายแววเย็นชาอยู่เป็นนิจ ของฟาโรห์สเมนคารา จึงหันเหกลับมาทอดมองเจ้าของวงหน้าอวบอิ่มงดงาม ซึ่งนอนหลับใหลแบบไม่ระวังตัวเอาเสียเลย พร้อมกับทรงยื่นพระหัตถ์ไปแตะสัมผัสที่แก้มยุ้ยๆ นุ่มนิ่มน่ารักของอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะทรงโน้มพระพักตร์เข้าไปใกล้ใบหน้าอวบอิ่ม หมายจะทรงประทับฝีพระโอษฐ์ของพระองค์ ลงบนกลีบปากอวบอิ่มสีชมพูสดแสนเย้ายวนของคนนอนหลับ แต่แล้วฝีพระโอษฐ์หนาชมพูเข้ม ยังไม่ทันจะถึงจุดหมายที่ได้เล็งเอาไว้ พระวรกายสูงบึกบื่นของฟาโรห์สเมนคารา ก็มีอันต้องกลิ้งตกลงจากแท่นบรรทม ด้วยลูกถีบของคนนอนหลับ!..

               ..โครม!!..

               “อือ..เจ้าโรคจิตจะทำอะไร..อือ..เดี๋ยวก็กระโดดถีบเข้าให้เลย อือ..แจ่มๆ..

               “ก็ถีบไปแล้วไม่ใช่หรือไง..!?” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งพึมพำขึ้นมา พร้อมทั้งทรงลุกขึ้นยืนหมายจะกระชากร่างสูงอวบที่นอนละเมอได้อย่างร้ายกาจสุดๆ ให้ตกลงมาจากแท่นบรรทมเหมือนกัน แต่แล้วพระหัตถ์แกร่งของฟาโรห์สเมนคารา ที่ทรงจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ ก็กลับต้องหยุดชะงักแรงที่ใช้ฉุดกระชากเอาไว้ ขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อทรงได้ยินคำพูดละเมอแผ่วเบา ต่อมาของคนนอนหลับ..

               “เจ้านี่หล่อได้ใจจริงๆ..อือ..ถึงจะโรคจิต..แต่ว่าข้าก็ชอบนะ..แจ่มๆ..ชอบนะ..สัญญาเลย..ข้าจะรักเจ้าเพียงคนเดียว..ดังนั้น..อือ..เจ้าเองก็ต้องรักข้านะ..ได้โปรด..อย่าทิ้งข้าไว้ตามลำพังอีกเลย..”

               “........”

               “ท่านแม่..ข้ายังไม่ดีพอใช่ไหม..ท่านพ่อถึงไม่รักข้าเลย..ทำไม..ทำไม..อย่าไปนะ..อย่าทิ้งข้าไว้..”

               คำพูดละเมอแผ่วเบาของหญิงสาว ซึ่งมีความเศร้าสร้อยปะปนออกมาด้วย ทำให้คนฟังอย่างฟาโรห์สเมนคาราถึงกับทรงนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะทรงยื่นพระหัตถ์ข้างที่ว่าง จากการเกาะกุมแขนของหญิงสาว ไปลูบไล้ตรงหน้าผากกลมมนของอีกฝ่าย พร้อมทั้งทรงประทับริมฝีพระโอษฐ์ ลงบนหน้าผากกลมมนของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล ก่อนจะถอนห่างออกจากหน้าผากเล็กน้อย พร้อมทั้งทรงตรัสรับสั่งขึ้นมาแผ่วเบา..

               “ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่หนีหายไปไหน และข้าก็ปรารถนาอยากให้เจ้า ได้อยู่เคียงข้างกายข้าไปนานๆ แต่ผู้ที่ข้ามอบรักให้ ล้วนแล้วแต่มีชะตากรรมต้องกลายเป็นซากศพ ดังนั้น.. ข้าจะไม่มอบรักให้กับเจ้าเป็นอันขาด! เจ้าหมูน้อยของข้า..” รับสั่งจบประโยคความ ฟาโรห์สเมนคาราก็ทรงปล่อยพระหัตถ์ ออกจากข้อมือของหญิงสาว ก่อนจะทรงเสด็จเดินออกไปจากห้องบรรทมอย่างเงียบๆ..

               ..ทว่า ให้หลังฟาโรห์สเมนคาราเสด็จออกไปจากห้องบรรทม เพียงแค่ไม่นานมากนัก ภายในห้องบรรทมที่มีสภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดี ซึ่งมีร่างสูงอวบของรัตมณี กำลังนอนหลับอยู่เพียงลำพัง ก็กลับมีชายหนุ่มร่างสูง เจ้าของเส้นผมสีทองยาวถึงกลางแผ่นหลัง ผู้มีนัยน์ตาสีดำรัตติกาล ฉายแววเย็นเฉียบราวกับผลึกน้ำแข็ง ปรากฏตัวยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ แท่นบรรทมที่รัตมณีกำลังนอนหลับอยู่..

               ชายหนุ่มร่างสูงคนดังกล่าว จ้องมองร่างสูงอวบของรัตมณี ที่กำลังนอนหลับใหลอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่จะเลือนหายลับไปกับสายลม ที่ผัดผ่านเข้ามาทางช่องบานหน้าต่าง โดยทิ้งประโยคคำพูดแสนแผ่วเบา เอาไว้ให้กับรัตมณีที่ยังคงนอนหลับใหล ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ..  

               “เด็กน้อยผู้ซึ่งค้นหาข้าจนพบเอ๋ย.. จงช่วยทำให้ข้าได้เชื่อในสิ่งที่เรียกว่ารัก อีกสักครั้งหนึ่งเถิด ด้วยรักแท้เพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้า ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่พันปี ก็ไม่ยอมใฝ่หารักนั้นจากใครอื่น นอกจากผู้เป็นอันที่รัก เพียงหนึ่งเดียวของตนเอง!”

 

                ..เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเกือบเที่ยง อุณหภูมิความร้อนจากภายนอก เสมือนเป็นนาฬิกาปลุก ให้ร่างสูงอวบของรัตมณีที่นอนนิ่งอยู่บนฟูก เริ่มขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง เปลือกตาบางที่ปิดเรียบสนิท ขยับเปิดเผยให้เห็นดวงตาคู่คมสีฟ้าสวย ที่ยังคงมีวี่แววของความง่วงนอน เจือป่นอยู่ให้เห็นเล็กน้อย แต่ถึงแม้ว่าจะยังง่วงนอนมากสักเพียงใด ทว่าอุณหภูมิความร้อนจากภายนอก ก็กลับกระตุ้นให้ร่างสูงอวบของรัตมณี ลุกขึ้นจากฟูกนอน เดินออกมายังด้านนอกของห้อง ที่ตนใช้เป็นที่ซุกหัวนอน แต่ทว่าพอเปิดประตูออกมา คิ้วเรียวบนใบหน้าของรัตมณี ก็มีอันต้องเผลอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวเห็นชายฉกรรจ์ แต่งกายคล้ายกับทหารอียิปต์โบราณ จำนวนสองคน กำลังยืนเฝ้าอยู่ที่ตรงหน้าบานประตู แถมพออีกฝ่ายเห็นเธอเดินออกมา ก็กลับก้มลงหมอบติดพื้นทันควัน สร้างความงุนงงให้กับรัตมณี แต่ด้วยเพราะความร้อนที่เพิ่มทวีขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้รัตมณีขี้เกียจที่จะสนใจคนทั้งสอง และเลือกที่จะเดินไปตามเส้นทาง ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าของตนไปเรื่อยๆ แม้จะนึกสงสัยอยู่ในใจว่าชายฉกรรจ์ทั้งสองคนดังกล่าว จะลุกเดินตามหลังเธอมาด้วยทำไมกัน ก็ตามที..

               ร่างสูงอวบของรัตมณี เดินทอดน่องมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางพื้นหินอ่อนสีขาวนวลขัดเรียบ จนกระทั่งมาถึงยังสระน้ำใสสะอาดแห่งหนึ่ง ที่มีดอกบัวสีขาวชูช่องดงาม ดวงตาสีฟ้าเข้มของรัตมณี ก็สว่างวาบขึ้นมาด้วยความยินดีปรีดา พร้อมทั้งริมฝีปากอวบอิ่มขยับเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมา ด้วยท่าทีดีใจสุดๆ..

               “ว๊าวๆ รอดตายแล้วเรา! ไม่นึกเลยว่าบนสวรรค์เอง ก็มีแดดร้อนๆ ส่องด้วย ไอ้เราก็นึกว่าจะตั้งอยู่เหนือพระอาทิตย์สักอีก แต่มีสระน้ำกว้างขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกันนะ สวรรค์เนี่ย!” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำ พร้อมกับทำท่าจะถอดเสื้อกล้ามสีดำที่สวมอยู่บนร่างกายของตน แต่แล้วหญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่า ด้านหลังของตัวเองยังมีสองชายฉกรรจ์ ยืนเป็นรูปปั้นประทับอยู่ และแม้จะเป็นการยืนอยู่ห่างพอสมควร แต่ก็ทำให้รัตมณีเปลี่ยนใจ เดินลงไปในสระน้ำเบื้องหน้า ทั้งๆที่ยังคงสวมชุดเสื้อกล้ามสีดำ กับกางเกงยีนต์สามส่วนเอาไว้ แต่แล้วร่างสูงอวบของรัตมณี ที่กำลังจะเดินลงไปในสระน้ำ ก็กลับต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ พร้อมทั้งหันกลับไปมองสองชายฉกรรจ์ ที่นิ่งเงียบไม่ปริปากพูดมาโดยตลอด ซึ่งกำลังส่งเสียงโวยวายด้วยท่าทีตกใจ.. 

               “พระนางจะทรงทำอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ..!? ที่นั้นมันอันตรายมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ.. ได้โปรดทรงรีบขึ้นมาจากสระบัวด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ..”

               “พระนาง? หมายถึงใครล่ะนั้น?!.. แล้วกะอีแค่จะลงไปเล่นน้ำคลายร้อนสักหน่อย ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนกับจะลงไปดิ้นตายแบบนั้นด้วยล่ะเนี่ย? พวกที่อยู่บนสวรรค์แปลกๆ กันทั้งนั้นเลยแหะ..”

               “พระนางทรงรีบเสด็จขึ้นมาจากตรงนั้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ มันอันตราย..”

               “เจ้าพวกที่อยู่บนสวรรค์นี้ มันจะอะไรกันนักกันหนา โวยวายอยู่ได้! เป็นลูกช่างโวยวายหรือไง? แต่จะว่าไปแล้วที่นี้มันใช่สวรรค์จริงๆ หรือเปล่าหว่า? เคยได้ยินว่าบนสวรรค์ ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทุกอย่างล้วนว่างเปล่าทั้งหมด แล้วทำไมเราถึงยังรู้สึกเจ็บ รู้สึกร้อนขึ้นมาได้กันล่ะ..? แล้วทำไมไอ้พวกที่อยู่บนสวรรค์ ถึงต้องแต่งตัวเหมือนกับพวกอียิปต์สมัยโบราณด้วย ที่สำคัญทำไมตัวเราถึงต้องพูดภาษาอียิปต์โบราณ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะ? เหมือนว่าปากมันขยับไปเองเลย เอ๊ะ?..หรือว่าพอตายแล้ว จะพูดภาษาอื่นไม่ได้ อืมม์..วอร์เทอร์! เอ๋..ก็พูดอังกฤษได้นี่หว่า!”

               “พระนาง!! ระวังพ่ะย่ะค่ะ! ข้างหลังมีจระเข้อยู่...!!!”

               “หือ..จระเข้?” รัตมณีเอ่ยทวนคำพูดของอีกฝ่ายอย่างงุนงง ก่อนจะหันกลับไปมองยังด้านหลังของตน และดวงตาคู่คมก็มีอันต้องสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อพบว่าด้านหลังของเธอ มีจระเข้ตัวใหญ่ยักษ์สีดำเมื่อม กำลังจ้องมองเขม็งอยู่ แต่แล้วแทนที่ร่างสูงอวบของรัตมณี จะแข็งเป็นหินด้วยความตกใจ มุมปากสวยของหญิงสาว กลับกระตุกรอยยิ้มขึ้นมาอย่างนึกชอบใจ พร้อมทั้งมืออวบๆ ยื่นไปลูบไล้ตรงหัวของจระเข้ตัวใหญ่สีดำแทบจะทันที

               “อา..เหมือนกันมากเลย! หรือว่าแกจะเป็นเจ้าเดวิด ของไอ้บ้าซาอิดจริงๆ ล่ะเนี่ย..!? ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้พบแกที่นี้ด้วย เจ้าเดวิด..” รัตมณีเอ่ยพูดพลางลูบไล้เจ้าจระเข้ตัวใหญ่สีดำ ที่ดูเหมือนกับจระเข้ที่เพื่อนชายของตนได้เลี้ยงเอาไว้ และท่าทีของเจ้าจระเข้ตัวใหญ่ ที่เข้ามาคลอเคลียอย่างเคยสนิทคุ้นเคยกันมาก่อน ก็ยิ่งทำให้รัตมณีชอบใจเจ้าจระเข้ตัวนี้เข้าไปใหญ่

               ..ภาพหยอกล้อของหนึ่งคน กับหนึ่งสัตว์ร้าย ทำให้สองชายฉกรรจ์ ซึ่งเป็นทหารราชองครักษ์ ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ด้วยเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นใครหน้าไหน ที่สามารถทำให้จระเข้แห่งอียิปต์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ดุร้ายอันดับต้นๆ ของอียิปต์ เชื่องได้ถึงขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต และไม่ใช่เพียงแค่สององค์รักษ์เท่านั้น ที่มีอาการแบบนั้น เพราะแม้แต่กระทั่งฟาโรห์สเมนคารา และคารูม ซึ่งวิ่งตรงมาจากศาลากลางแจ้ง ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสระบัว เนื่องจากเห็นหญิงสาวกำลังเดินลงไปในสระบัว ที่เลี้ยงจระเข้เอาไว้ ทั้งคู่ก็ยังถึงกับนิ่งงันไปกับภาพที่ได้เห็น..

               “แม้แต่สัตว์ดุร้ายแห่งอียิปต์ ก็ยังไม่กลัวเกรงเลย งั้นหรือ? ช่างใจกล้าอาจหาญ และแข็งแกร่ง สมกับเป็นคนที่เทพเจ้าเซทผู้นั้น ทรงประทานมาให้จริงๆ..”

               “........”

               “ข้าว่าบางที ถึงแม้เจ้าจะมอบรักให้กับนาง แม่หญิงผู้นี้ ก็คงไม่มีทางกลายเป็นซากศพ ให้เจ้าต้องโศกเศร้า เช่นครั้งกาลเก่าก็เป็นไปได้..”

               คำพูดของสหายรัก ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราถึงกับทรงนิ่งเงียบ ทอดพระเนตรมองใบหน้าของสหายรักพระองค์ อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะทรงตรัสรับสั่งขึ้นมาด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ

               “คนเรานะ มีช่วงเวลารัก และมีช่วงเวลาเกลียดชัง ที่นำไปสู่การทรยศหักหลัง แต่ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยง ตราบใดที่เรายังคงเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดี มันก็จะอยู่กับเราไม่จากไปไหน และข้าก็ไม่ปรารถนาให้นางเป็นอย่างแรกที่กล่าวมา แต่อยากให้นางเป็นเช่นอย่างหลังมากกว่า!”

               “แล้วถ้าหากวันใดวันหนึ่ง เกิดนางเปลี่ยนเป็นรักของเจ้าขึ้นมาล่ะ?”

               “........”

               “สเมนคารา..”

               “ถึงตอนนั้นนางก็จะต้องรักข้าเพียงผู้เดียว ไม่มีสิทธิ์ที่จะรักใครอื่นได้อีก หากใจนางเปลี่ยนไปเมื่อใด นั่นหมายถึงเวลาแห่งชีวิตของนาง ที่ดับสิ้นลง!

               “........” คารูมทอดสายตามองฟาโรห์สเมนคารา สหายรักของตน ซึ่งรับสั่งจบประโยคความแล้ว ก็เสด็จตรงเข้าไปหาหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่กำลังหยอกล้ออยู่กับจระเข้ตัวใหญ่สีดำ อย่างสนุกสนาน อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตามองขึ้นไปยังบนฟากฟ้าสีคราม พร้อมทั้งเอ่ยพูดพึมพำออกมา ด้วยเสียงแผ่วเบา..

               “หญิงสาวผู้นี้ อาจจะเป็นสัญญาณของพายุใหญ่ ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ของหน้าประวัติศาสตร์แห่งพื้นทรายนี้ ก็เป็นได้สินะ..”

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา