ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  110.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

75)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

    ...ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน...

 

    ...หน้าจวนไม้อันเป็นที่อยู่ขนาดใหญ่ อาณาเขตกว้างขวางที่สุดที่หนึ่งที่ตั้งอยู่ภายนอกกำแพงพระบรมมหาราชวัง...จวนแห่งพระยาอนุชิตชาญไชย จางวางหัวหน้ากรมพระตำรวจฝ่ายขวา...

 

        กึก! 

 

        ม้าตัวพ่วงพีสีเข้มถูกหญิงสาวร่างสันทัดในชุดของจ่าโขลนผู้ทำงานในวัง ดึงบังเหียนให้หยุดลงตรงหน้าประตูรั้วไม้หน้าจวน...ก่อนที่เธอจะกระโดดพรวดลงมาจากอานม้าอย่างรีบร้อนโดยไม่สนใจที่จะผูกม้าไว้ด้วยซ้ำ...หญิงสาวผู้มีสีหน้าราบเรียบสนิทและซีดขาวราวกับคนตายเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการควบม้ามาเต็มฝีเท้า...เธอเดินฉับๆเข้าไปหาพระตำรวจเวรยามผู้เฝ้าประตูรั้ว ก่อนจะพูดเรียบๆทันที

 

      " ข้ามีนามว่า อเทตยา...เป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาแห่งท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี มีกิจธุระสำคัญ ต้องพบกับออกญาอนุชิตชาญไชยโดยด่วนที่สุด! "

 

      " ท่านออกญาไม่ประสงค์จะรับแขกในเวลานี้...เชิญเจ้ากลับมาใหม่คราวหลัง! "  เสียงอันแข็งแรงของพระตำรวจหนึ่งในหลายๆนายที่ยืนยามเฝ้าประตูอยู่ทำให้เธอขมวดคิ้ววูบทันที ก่อนจะพูดต่ออย่างอดทนว่า

 

      " ข้าไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้า...กิจที่ข้าได้รับมอบหมายมาเร่งด่วนแข่งกับเวลาที่สุด...เพราะฉะนั้น ได้โปรด...หลีกไป! "

 

      " ท่านออกญาไม่ประสงค์รับแขก...เจ้าต้องกลับมาใหม่คราวหลัง! "

 

      " ข้าบอกว่าธุระเร่งด่วน เจ้าหูหนวกเป็นบ้าใบ้รึอย่างไร! เจ้าหุ่นกระบอกนี่!! "

 

      " เอ๊ะ! อีนี่...ท่านออกญาไม่ประสงค์รับแขก กูบอกให้กลับไปก่อนอย่างไร!--- "  

 

        โทสะของอเทตยาพุ่งขึ้นจนถึงจุดสูงสุดทันทีก่อนที่พระตำรวจรูปร่างกำยำอีกฝ่ายจะได้ทันตวาดออกมาจบประโยคด้วยซ้ำ...หญิงสาวสะบัดมือจับท่อนแขนกำยำของอีกฝ่าย ก่อนจะบิดวูบจนกรมพระตำรวจปากเปราะผู้นั้นจนหมุนคว้างและใช้เท้าเตะตัดขา ส่งร่างกรมพระตำรวจผู้กำลังเสียหลักลงไปนอนกองกับพื้นทันที

 

      " ข้าบอกว่า---!! "

 

        พรึ่บ!

 

        แต่หญิงสาวก็ไม่ทันได้พูดประโยคของเธอจบดีเช่นกัน ไม้พลองสีดำสนิทในมือของเหล่ากรมพระตำรวจผู้ยืนเวรยามที่เหลือก็วาดพรึ่บมาพาดคอของหญิงสาวราวกับขู่ฟ่อใส่โดยทันที

 

      " เจ้ามันโง่หรือบ้ากันแน่วะ?...ที่บ้านไม่เคยสั่งเคยสอนเลยเรอะว่าอย่ามีเรื่องมีเรื่องกับเหล่ากรมพระตำรวจน่ะ...ประเดี๋ยวก็ได้โดนโบยหลังลายเท่านั้น! "  ชายผู้ที่ดูแล้วน่าจะมียศสูงสุด ซึ่งดูมีความอาวุโสและวุฒิภาวะสูงที่สุดพูดเรียบๆเป็นเชิงเตือนพร้อมกับขู่ไปในตัว นั่นทำให้อเทตยาตาลุกวาวราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังเตรียมขย้ำเหยื่อไม่มีผิด...

 

     ...แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา สายตาเช่นนั้นก็จางหายไปวูบราวกับโกหก ก่อนที่เธอจะผ่อนลมหายใจออกทางจมูกและปล่อยมือที่ยังบิดแขนชายโชคร้ายอยู่ พร้อมกับลุกขึ้นและก้มหัวลงขอไหว้ขอโทษพระตำรวจที่ยังนอนแอ้งแม้งอยู่และพระตำรวจคนอื่นๆทันทีด้วยหน้ากากแห่งความสำนึกผิดและกระแสการขอโทษที่สมบูรณ์แบบที่สุด จนกรมพระตำรวจที่เตรียมจะมีเรื่องทุกคนถึงกับชะงักกึกในทันที

 

      " น...นังบ้า! เจ้าเกือบจะหักแขนข้านะ! คิดว่าเรื่องจะจบง่ายๆอย่างนั้นเรอะ!! "  กรมพระตำรวจดวงซวยผู้นั้นลุกพรวดขึ้นโวยทันที แต่เขาก็ต้องถูกหยุดไว้โดยผู้เป็นหัวหน้าโดยทันที

 

      " พอเถอะน่า...เรื่องเล็กๆน้อยๆพรรค์นี้ให้เลิกแล้วต่อกันไป "

 

      " ท...ท่านออกขุน! แต่ว่า--- "

 

      " ท่านออกญาสั่งไว้หนักหนาแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับพวกกรมวัง...แล้วถ้าหากจะเอาเรื่องเอาราวจริงๆ เจ้าไม่อายบ้างหรือที่เจ้าถูกสตรีน้อยนางนึงบิดแขนจนลงไปนอนวัดพื้นเช่นนี้ "

 

      " อ...อึ่ก! "

 

      " ข้า...ขออภัยจริงนะเจ้าคะ...ข้าเพียงแค่หงุดหงิดใจไปหน่อยเท่านั้น ขอบพระคุณท่านมากที่ไม่ถือสาหาความอะไร "  อเทตยาที่ได้ทีจากคำพูดของอีกฝ่าย รีบกล่าวขอโทษแบบรวดรัดตัดใจความพร้อมกับก้มหัวขอโทษอีกครั้งทันที ทำเอาทุกคนชะงักกึก ก่อนที่ในที่สุด ท่านขุนกรมพระตำรวจผู้นั้นจะพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

      " หากเจ้ามีธุระสำคัญจริงๆ ข้าว่าท่านออกญาน่าจะอารมณ์ดีจนสามารถรับแขก โดยเฉพาะแขกผู้มาจากกรมวังได้ในเวลาย่ำค่ำ เจ้ารอเวลาช่วงนั้นดีกว่า...ถ้าขืนเข้าไปในเวลานี้มีหวังกลายเป็นศพได้ง่ายๆ "

 

      " ... "  หญิงสาวไม่พูดจากอะไรอีก...เธอก้มหน้าและยกมือไหว้เพื่อขอบคุณในความปรารถนาดีของท่านขุนผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดขึ้นม้าพรวดออกไปโดยทันที

 

      ' ...แต่ว่ากิจธุระของข้ามันรอให้ถึงช่วงเย็นย่ำไม่ได้น่ะสิ! '  

 

        แต่เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เธอก็ปรากฏตัวมาอีกที่รั้วด้านหลังจวนซึ่งมีเวรยามเบาบางที่สุด ก่อนจะหลับตาและผ่อนลมหายใจลง พร้อมกับยกมือใช้ผ้าสีมอๆปิดบังหน้าตาไว้โดยทันที

 

        วูบ! 

 

        เพียงชั่วเสี้ยววินาทีต่อมาจิตสัมผัสที่ออกมาจากกายของเธอก็จางหายไปในพริบตาราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป...หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับกระโดดข้ามรั้วตรงหน้าเข้าไปในเขตจวนโดยทันที

 

      ' ใหญ่จริง...จวนที่นี่ใหญ่กว่า มีคนรับใช้เยอะกว่าจวนของออกพระเพชรพิไชยเกิอบจะเท่าตัวนึงเลยทีเดียว...แต่ว่า...แค่นี้เราน่าจะพอลอบเข้าไปได้อยู้ '  

 

        หญิงสาวค่อยๆสืบกายผ่านเข้าไปถึงตัวจวนบ้าน โดยที่บางครั้งเธอแทบจะเดินสวนกับเวรยาม หรือเหล่าคนรับใช้ชายหญิงแบบไหล่กระทบไหล่โดยที่มีฉากกั้นเป็นเพียงเสาเรือนต้นใหญ่ๆเท่านั้น...แต่ด้วยความที่เธอลบจิตสัมผัสออกไปทั้งหมดสิ้น นั่นทำให้เธอสามารถผ่านไปได้อย่างฉิวเฉียด จนกระทั่งในที่สุดเธอก็ลอบขึ้นมาถึงตัวเรือนชั้นบนได้โดยที่ทั้งคนรับใช้ทั้งเวรยามเกือบครึ่งร้อยไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงตัวตนของเธอเลยด้วยซ้ำ!

 

      ' เอาล่ะ...ทีนี้...ก็แค่หาห้องที่ไอ้ออกญาผู้นั้นอยู่เท่านั้น '

 

        หญิงสาวคิดในใจเล็กน้อย ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมา เธอจะพลิกตัวหันหลังวูบพร้อมกับสะบัดกางธนูกลและลูกธนูที่ซ่อนอยู่ที่ด้านหลังออกมากางพรึ่บและน้าวขึ้นสายธนูขึ้นจนสุดแรงในพริบตา...แทบจะพร้อมๆกับที่ดาบเล่มเงาวับคมกริบจะพาดวูบเข้ามาที่คอเรียวระหงส์ของเธอทันทีเช่นกัน!!

 

      " ถ้าขืนขยับ หัวขาดแน่ๆ...จะลองดูไหมล่ะ! "  ออกญาอนุชิตชาญไชย...จางวางกรมพระตำรวจที่เวลานี้อยู่ในกางเกงแพรเพียงตัวเดียว เผยให้เห็นพุงพลุ้ยๆกับร่างท่อนบนอันเคยบริบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อมาก่อน...ในขณะที่มือขวาของออกญาวัยกลางคนผู้นี้จับดาบที่จ่อมาที่คอของหญิงสาวแน่น...ลูกศรของอเทตยาเองก็ชี้ไปที่หว่างคิ้วของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมลดราวาศอกกันเลยแม้แต่น้อย!

 

      ' ...ทั้งๆที่เราเองก็มั่นใจว่าเราสามารถลบสัมผัสตัวตนของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบแท้ๆ...แต่ไอ้ออกญานี่กลับ... '  หญิงสาวคิดในใจเล็กน้อยอย่างกังขา...ก่อนที่ในที่สุด หญิงสาวจะค่อยๆลดสายธนูกลของตนลงพร้อมกับทรุดลงไปคุกเข่าก้มหน้าลงช้าๆทันที

 

      " ทั้งๆที่ข้าคิดว่าข้าลบจิตได้อย่างไร้ร่องรอยชนิดไม่มีผู้ใดจับได้แท้ๆ...เพราะเหตุใดกัน? "  หญิงสาวพูดเบาๆอย่างสงสัยพร้อมกับคลายผ้าที่พันปิดบังใบหน้าออก เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะปิดบังอำพรางตัวตนใดๆอีกต่อไป...ในขณะที่ออกญาจางางกรมพระตำรวจตรงหน้าหัวเราะกร้าวๆในลำคอทันที

 

      " เออ! ลบได้สมบูรณ์แบบจริงๆนั่นแหละ...ถ้าหากข้าไม่บังเอิญเดินออกมาก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำ...เหอะ!... เมื่อแรกก็นึกว่าภูติผี...หรือหนูตัวใดบังอาจขึ้นมาบนเรือนของข้า... "  โดยที่ยังไม่ยอมลดดาบลง ออกญาอนุชิตฯเขม้นมองเล็กน้อยก่อนที่ในที่สุดเขาจะหัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

      " ...ที่แท้...ก็นังหนูสกปรกที่เป็นสัตว์เลี้ยงของไอ้เจ้าพระยาหน้าก้นทารกนั่นเอง...หลงทางอยู่อย่างนั้นหรือ?...นังหนู!...ทางที่ดีเจ้าควรจะรีบไปหานายของเจ้านะ...ประเดี๋ยวจะไม่ทันดูใจในวาระสุดท้ายกันเสียเปล่าๆ! "

 

        คำพูดเชิงปรามาศอย่างเจ็บแสบของออกญาลงพุงตรงหน้ากลับทำให้เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที...ไม่ใช่ว่าเธอโกรธหรือโมโหอะไร แต่เป็นตกใจมากกว่า...

 

      ' อะไรกัน...ข่าวท่านไกรต้องราชอาญายังพอเข้าใจ แต่นี่...กระทั่งเราที่เข้าสู่หน่วยคเณศร์เสียงาของท่านไกรเมื่อเช้านี้แท้ๆ แต่ไอ้ออกญาผู้นี้กลับรู้เสียแล้ว การข่าวเร็วเหลือเกิน... '

 

      " ข้ามีนามว่าอเทตยา...โขลนผู้เป็นหนึ่งในหน่าวยคเณศร์เสียงาแห่งท่านไกร---ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี ผู้เป็นราชองครักษ์พิเศษและจางวางหัวหน้าเหล่าทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ทั้งปวง คารวะท่านออกญาอนุชิตชาญไชยเจ้าค่ะ "

 

      ...หญิงสาวก้มลงคารวะด้วยจริตกริยาท่าทางที่งดงามและเต็มไปด้วยความนอบน้อมที่สุด...ผิดแต่ว่าเธอดันมาอยู่อย่างผิดที่ผิดทางที่สุดไม่แพ้กัน เพราะผ่าขึ้นมาอยู่บนเรือนของพระยาอนุชิตฯโดยที่เจ้าบ้านไม่ได้รับอนุญาต แถมยังชักอาวุธมาจ่อหน้าเจ้าบ้านเสียอีก...นั่นทำให้เจ้าบ้านอย่างออกญาอนุชิตถึงกับเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างงงงวย ก่อนจะขมวดคิ้ววูบทันที

 

      " แหม...ช่างเต็มไปด้วยจริตจะก้านเสียจริงนะ...น่าเสียดายที่ข้าไม่นิยมสตรีที่ใช้อาวุธเป็น...ยิ่งเป็นสตรีของเจ้าพระยาห่าเหวนั่นยิ่งแล้วใหญ่ "

 

      " ข้านำข้อเสนอของท่านไกรมาเสนอ...ท่านออกญา "

 

      " โฮ่...ข้อเสนอ? หลังจากที่ไอ้เด็กเวรนั่นหักหน้าข้า...ทำข้าอับอายต่อหน้าธารกำนัลที่ตลาดในครานั้นน่ะเหรอ...นี่เป็นมุกตลกที่ไม่ชวนหัวเลยแม้แต่น้อย! "

 

      ' ...หืม...ถึงเวลานั้นเราจะยังอยู่ฝั่งตรงข้ามกับท่านไกร แต่เราก็แฝงตัวอยู่แถวนั้นเหมือนกัน...เท่าที่จำได้ เวลานั้นตานี่ก็ทำตัวเองเองแท้ๆไม่ใช่เหรอ?...แต่ว่า...เอาเถอะ '  หญิงสาวเอียงคอคิดในใจเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากหว่านล้อมต่อตามคำสั่งของท่านไกรทันที

 

      " ท่านไกรอยากขอหยิบยืมอำนาจที่อยู่ภายในมือของท่าน...ให้การช่วยเหลือท่านไกรสักเล็กน้อย "

 

      " มันถูกประหารก็เป็นเพราะมันทำตัวมันเอง...มีบุญอยู่ได้เพียงเท่านี้...เรื่องอะไรข้าต้องเอาคอไปพาดเขียงช่วยเหลือมันด้วย...เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งแท้ๆ "

 

      " แต่ท่านไกรส่งข้ามาพร้อมข้อเสนอ... "

 

      " ...หน้าตากูเหมือนสนนักรึอย่างไรวะ! ไอ้ข้อเสนอระยำตำบอนนั่นน่ะเจ้าเก็บไว้ใช้เวลาอยู่ในคุกเสียเถอะ...เฮ้ย! ไอ้พวกเวรยาม!! "  ออกญาอนุชิตฯไม่ยอมทนเสียเวลาต่อปากต่อคำอีกต่อไป ...ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลดดาบลง เขาก็หันกลับไปตะโกนจนลั่นเรือนทันที นั่นทำให้หญิงสาวเบิกตากว้างวูบอย่างตกใจ ก่อนที่เธอจะถูกรวบในข้อหาบุกรุกจนต้องระเห็ดไปนอนในคุก หญิงสาวก็รีบตะโกนสวนกลับไปทันที

 

      " ...ข้อเสนอในการยกพระราชอำนาจที่ท่านไกรได้รับพระราชทานมาให้แก่ท่าน! "

 

      " ว...ว่าอย่างไรนะ?! "  ไม่ต่างอะไรจากยันต์จีนที่ถูกวาดและแปะเข้ากลางหน้าผากของผีดิบ...คำพูดของหญิงสาวทำให้ออกญาอนุชิตฯนิ่งตะลึงงันไปราวกับถูกสาปไม่มีผิด เพราะต่อให้เหม็นขี้หน้ากันแค่ไหน แต่เขาก็รู้ได้ทันทีถึง พระราชอำนาจที่ถูกพระราชทานมา ที่หญิงสาวพูดออกมา...ยิ่งเห็นสิ่งที่หญิงสาวหยิบออกมาจากห่อกระดาษยับที่นำออกมาจากด้านหลังเธอ ดวงตาของเขาที่เบิกกว้างอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างจนแทบถลนออกนอกเบ้า!

 

     ...พระธำมรงค์พระราชทาน...แหวนทองคำที่หัวแหวนประดับด้วยทับทิมน้ำหนึ่งเม็ดโตที่ถูกเจียระไนอย่างงดงาม...แหวน...ธำมรงค์วงเดียวกับที่เคยประดับอย่างสง่างามอยู่บนพระดรรชนี (นิ้วชี้) ของพ่ออยู่หัว ก่อนที่พระองค์จะพระราชทานให้เป็นรางวัลแก่เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...

 

     ...พระธำมรงค์ที่พระเจ้าเอกทัศน์เป็นผู้ออกโอษฐ์เองเลยว่าหากผู้ใดครอบครอง...ผู้นั้นคือผู้ที่มีอำนาจอันชอบธรรมในการเข้านอกออกในเขตพระราชฐานทุกชั้นโดยไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆทั้งสิน!... 

 

      " แลกกับการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆของท่านเท่านั้น...ท่านออกญา...แล้วพระธำมรงค์พระราชทานวงนี้...อำนาจในการเข้านอกออกในเขตพระราชฐานทุกชั้นจะเป็นของท่านโดยทันที! "

 

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

 

      ...ย้อนกลับมา ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน (ถึงสำหรับไกรแล้วนี่ก็ยังเป็นอดีตอยู่ก็ตาทีเถอะ)...

 

      " บ้าไปแล้ว...เด็กนั่นเสียสติไปแล้ว! "  

 

        ระหว่างที่ออกญาอนุชิตชาญไชยกำลังยืนอยู่เคียงข้างชายหนุ่มผู้กำลังจะต้องราชอาญา และตั้งหน้าตั้งตาอ้าปากสาธยาย...หมายถึงให้ปากคำในฐานะพยานสำคัญ พูดถึงความดีความชอบของไกรที่สามารถสังหารเหล่าคนร้ายบ้าเลือด และช่วยรักษาชีวิตของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์ทั้งชาวสยามและชาวต่างชาติไว้ได้เป็นร้อยคนที่โรงเตี๊ยมในวันเดียวกับการปล่อยตัวท่านเรืองนั่น โดยมีเหล่ากรมพระตำรวจระดับคุณพระหลายสิบคนยืนนิ่งจ้องเขม็งไปกดดันเหล่าคณะลูกขุนที่เว้นแต่ท่านราชปุโรหิตาจารย์แล้ว คนอื่นๆแทบจะไม่เหลิอสีเลือดบนใบหน้าอยู่แล้ว   ...สมเด็จพระพี่นางพินทวดีก็ได้ฟังความจริงจากปากของท่านผู้เฒ่าที่หมอบอยู่ด้านหลังในเวลาเดียวกัน...ซึ่งเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของผู้เป็นเหมือนผู้ปกครองของไกรเองอย่างท่านผู้เฒ่าอดีตออกญาจักรีฯ ครบถ้วนกระบวนความ...สมเด็จพระพี่นางพินทวดีก็ถึงกับตรัสบริภาษ ตวาดออกมาอย่างลืมพระองค์ทันที จนกระทั่งแม้แต่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์และพ่ออยู่หัวอุทุมพรที่ประทับอยู่ไกลออกไปยังถึงกับต้องสะดุ้งพระองค์พร้อมกับหันมาพิศมองพร้อมกันโดยทันที

 

      " พระพี่นาง? "  

 

      " อ...เอ่อ...เปล่า...ไม่มีอะไร "  สตรีผู้สูงศักดิ์รีบตรัสพร้อมกับโบกหัตถ์เล็กน้อยเพื่อคลายความกังขาของพ่ออยู่หัวทั้งสอง ก่อนที่พระองค์จะผินพระพักตร์กลับมาพร้อมกับทำเนตรลุกวาวใส่ผู้เคยเป็นอดีตอาจารย์ของพระองค์เมื่อสมัยยังทรงพระเยาว์ ก่อนจะกัดทนต์ตรัสกระซิบต่ออีกครั้งทันที

 

      " ท...ท่านเป็นเสมือนอาจารย์ เป็นเสมือนนายของเขา! และข้าเชื่อว่าถ้าหากท่านห้ามปรามเด็กนั่นจริงๆ มีรึเด็กนั้นจะไม่ยินยอม นี่ก็เท่ากับว่าท่านเห็นดีเห็นงามกับเด็กนั่นด้วย!! "

 

      " เฮ้อ...ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ...จริงอย่างที่พระองค์ตรัสมาพุทธเจ้าข้า...ถึงจะเป็นเดิมพันที่เสียง แต่คราวนี้ข้าเห็นด้วยกับไกร "  ท่านผู้เฒ่ารับคำอย่างสงบ ซึ่งนั่นก็ทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีถึงกับเนตรลุกวาวไปด้วยโทสะทันที

 

      " ข้าว่าข้าคงหูฝาดไปกระมัง! "

 

      " พระทัยเย็นก่อนพุทธเจ้าข้า...จิตสังหารของพระองค์ที่งำไว้กำลังปะทุอีกแล้วนะ ประเดี๋ยวข้าราชบริภารก็ได้กลัวจนหัวหดพอดี "

 

      " นี่ท่าน! ...ท่านเคยเป็นถึงออกญาจักรีศรีองครักษ์ ก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าของพระราชทานไม่ใช่สิ่งของที่สามารถยกให้แก่กันได้! ยิ่งเป็นธำมรงค์พระราชทานยิ่งแล้ว  มันกล้าดีอย่างไรถึงใช้พระธำมรงค์พระราชทานที่มีอำนาจในราชวังสูงล้ำจนไม่อาจประเมินได้เป็นของต่อรองกัน!! ท่านยินยอมให้เด็กคนนั้นทำได้อย่างไรกัน!! "

 

      " เพราะว่า...ไอ้เด็กคนนั้นที่ท่านว่า...มีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งกว่าข้า...หรือยิ่งกว่าขุนนางทุกๆคนที่อยู่ในที่แห่งนี้เสียอีกน่ะสิ "

 

      " หา? "

 

        ชายหนุ่มผู้เคยดำรงยศเป็นถึงออกญาจักรีฯ (และตำแหน่งที่ไม่เปิดเผยอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน) ไม่พูดอะไรต่อ...เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยและใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก ก่อนจะใช้นิ้วชี้และดวงตาวาววับนั้นชี้ไปที่...ไอ้เด็ก ผู้ที่ยืนรอฟังคำพิพากษาอยู่ทันที

 

 

     ...ย้อนกลับมาที่ไกร หรือเจ้าพระยาผู้กำลังถูกลงโทษทัณฑ์แต่ถูกขัดไว้เสียก่อนอีกครั้ง...

 

      " ท่านออกญาอนุชิตฯ "  ไกรที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างเก็บรักษาท่าทีอยู่ยิ้มให้กับออกญาเจ้ากรมพระตำรวจฝ่ายขวาที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับเก็บดาบสดายุของตนไว้ที่ข้างลำตัวอย่างที่มันควรเป็น (ซึ่งต่างจากคนปกติที่สะพายไว้ทางด้านหลัง) ...ในขณะที่อีกฝ่ายแสยะยิ้มวูบ ก่อนที่เขาจะใช้มืออวบหนานั่นขยี้หัวไกรอย่างหมั่นไส้ระคนเริ่มเอ็นดูในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้ทันที

 

      " ท่านมันสำคัญนัก!...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ! กล้าแม้แต่จะเสี่ยงโทษประหารอีกรอบด้วยการหาญใช้พระธำมรงค์มาใช้ในการต่อรอง ถ้าท่านไม่ฉลาดอย่างร้ายกาจ ท่านก็คงจะบ้าเกินเยียวยาเสียแล้ว! "

 

      " ไม่ใช่ทั้งสองอย่างขอรับ ท่านออกญา...กระผมเป็นเพียงแค่ผู้ที่เห็นอย่างที่ผู้อื่นไม่เห็นเท่านั้น "

 

      " หืม? ...ท่านรู้ได้อย่างไร? ว่ากระผมจะรับข้อเสนอของท่าน...ว่ากระผมจะไม่สังหารนางโขลนใต้อาณัติของท่านผู้นั้นเสีย แล้วชิงพระธำมรงค์มาตรงๆเลยซึ่งง่ายดายกว่าการให้ไปตามเหล่ากรมพระตำรวจยศพระยาและคุณพระกว่า ๒๐ ท่านมาค้ำประกันให้ท่านเช่นนี้? "

 

      " เพราะท่านเป็นคนฉลาดน่ะสิ...ท่านออกญาอนุชิตฯ...ท่านทราบดีว่าถ้าหากกระผมเกิดมีอันเป็นไป...พระธำมรงค์จะสิ้นซึ่งสิทธิอำนาจในปัจจุบันทันที...ที่ข้าเลือกที่จะแบ่งปันอำนาจที่ได้รับพระราชทานมาของข้าแก่ท่านเป็นเพราะข้าเชื่อว่าท่านไม่ได้ต้องการอำนาจในการคิดขบถหรือทำเรื่องร้ายๆ...แต่ท่านต้องการอำนาจในการต่อรองต่างหาก...อำนาจในการต่อรองที่จะหนุนหลังท่านในการคัดง้างกับ...เอ่อ...ผู้ใดก็ตามที่ท่านตั้งป้อมเป็น ศัตรู ด้วย...ในสงครามการเมืองของท่าน...สงครามที่กระผมไม่เกี่ยวข้อง และแทบไม่เคยสนใจมาก่อนด้วยซ้ำ...ท่านมีทางเลือกอยู่ ๒ ทาง...ทางเลือกที่เลือกได้อย่างง่ายดายที่สุด... "

 

      " ...หึๆ ...กระผมอาจจะเลือกที่จะอยู่เฉยๆ วางตนในอุเบกขา ปล่อยให้ท่านตายและกระผมก็ไม่ได้และไม่เสียประโยชน์อันใดจากการตายของท่านเลย...หรือไม่...กระผมก็ออกแรงนิดหน่อยเพื่อเรียกระดมพลกรมพระตำรวจใต้อาณัติของกระผม เพื่อจัดการแสดงให้กับขุนนางทุกคนเห็นว่ากระผมหนุนหลังท่าน กดดันเหล่าคณะลูกขุนจนกระทั่งสามารถช่วยให้ท่านรอดจากโทษประหาร โทษเนรเทศ หรือโทษใดๆก็ตามที่จะทำให้ท่านสูญเสียอำนาจไปอย่างถาวร...สรุปคือ...ท่านจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์ด้วยการกดดันศาลาลูกขุน จากทั้งฐานอำนาจของท่านเอง ทั้งคนของกระผม และทั้งฐานอำนาจของผู้ที่สนับสนุนท่านทั้งหมด...กระผมไม่เสียอะไรเช่นเดิม ทว่าท่านจะติดหนี้ของกระผมแทน... "

 

      " เห็นไหมล่ะ...กระผมคาดไว้ไม่ผิดว่าท่านเป็นคนฉลาด... "  ไกรยิ้มมุมปากเล็กน้อย ในขณะที่ออกญาอนุชิตฯหัวเราะร่วนออกมาอย่างชอบใจพร้อมกับตบหลังไกรดังป้าบใหญ่ทันที

 

      " ฮ่าๆๆ เข้าใจแล้ว...ท่านมันทั้งบ้าดีเดือดทังฉลาดเป็นกรดเลย...ข้าชักจะชอบท่านมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ ท่านเจ้าพระยา! "

 

     ...อย่างที่ท่านผู้เฒ่าบอก...แผนการนี้ของไกรเป็นแผนที่บ้าระห่ำที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะคิดได้...แม้แต่กับคนที่เสียสติที่สุดก็ตามที...เพราะนี่เป็นแผนที่มีตัวแปรเยอะที่สุดจนแทบจะเรียกว่าแผนไม่ได้ด้วยซ้ำ...เขาเสี่ยงที่จะเดาใจหนึ่งในไม่กี่คนที่เหม็นขี้หน้าเขาที่สุดในราชอาณาจักรนี้อย่างพระยาอนุชิตชาญไชย...โดยใช้ประโยชน์จากสิ่งเดียวที่เขายังสามารถใช้ต่อรองได้ ในเวลาที่ทุกๆอย่างกำลังหลุดลอยไปจากมือของเขา...

 

     ...อำนาจของพระธำมรงค์... 

 

      ' นี่ไม่ใช่แผน...ไกร...เป็นส่วนหนึ่งของแผนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ...จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากออกญาอนุชิตฯไม่เล่นด้วย...จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพวกศาลาลูกขุนไม่ยอมถูกอำนาจของเจ้ากดให้ยอมปล่อยเจ้า...จะเกิดอะไรขึ้น...ถ้าหากทุกๆอย่างไม่เป็นไปตามเส้นทางซึ่งมีเพียงเส้นทางเดียวจากเส้นทางมหาศาลที่สามารถเป็นไปได้... '

 

     ...คำพูดของท่านผู้เฒ่า ที่พูดขึ้นเมื่อครั้งแรกที่ได้ยินแผนการของไกร ดังสะท้อนก้องขึ้นในหัวของชายหนุ่มทันที นั่นทำให้เขาหัวเราะออกมาในใจเล็กน้อยอย่างโล่งอกที่สุดทันที...เพราะถึงแม้ว่าจะผิดแผนไปบ้างกับสุดยอดขุนนางตงฉินอย่างพระมหาราชครู ราชปุโรหิตาจารย์ที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม...ตรงกันข้ามกับการบันทึกของหนังสือประวัติศาสตร์ทุกๆเล่มที่เขาเคยอ่าน ที่ว่ากันว่าขุนนางในช่วงเวลานี้มีแต่พวกที่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่และกังฉินที่สุดก็ตาม...ถึงแม้ว่าการปรากฏตัวของท่านสินและสายสัมพันธ์ที่มีกับขุนนางรุ่นเก่าของท่านเรืองจะอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปอย่างสุดกู่ก็ตาม...แต่ในที่สุด เมื่อมองจากภาพรวมอันสะเปะสะปะนี้แล้ว...ทุกอย่างก็กำลังจะเข้าที่เข้าทาง...ตามที่เขาได้หวังไว้แล้ว... 

 

      " ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ " 

 

        เสียงเรียกที่เบาราวกระซิบ ทว่าหนักแน่นของจางวางกรมพระตำรวจฝ่ายขวา ผู้กลายเป็นมิตรสหายทางธุรกิจที่จำใจต้องจับมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ช้าๆ ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถามทันที

 

      " ขอรับ "

 

      " กระผมขอคืนสิ่งนี้ให้ท่านน่ะขอรับ "  โดยที่ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตเห็น ออกญาอนุชิตฯได้ลอบคืน ธำมรงค์ทับทิมพระราชทาน ยัดคืนเข้าสู่มือของไกรอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ไกรถึงกับต้องเบิกตากว้างอย่างงงวยทันที

 

      " ??? "

 

      " มันคงน่าแปลกและผิดสังเกตเกินไปที่กระผมจะยึดสิ่งที่เป็นของท่านมาไว้ในครอบครอง...แต่กระผมอยากให้ท่านพึงสังวรณ์ไว้เสมอ...ว่าท่านได้ติดค้างกระผมแล้ว...อย่างน้อยก็วาระหนึ่ง... "

 

        ไกรนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดเขาจะพยักหน้าเพื่อรับคำช้าๆ...ในขณะที่เมื่อเห็นดังนั้น ออกญาแห่งกรมพระตำรวจก็หัวเราะออกมาอย่างสมใจทันที

 

      " ท่านเป็นลูกผู้ชายแท้ๆคนหนึ่ง ท่านเจ้าพระยา...กระผมหวังเพียงว่าท่านจะไม่ลืมเลือนสิ่งที่ท่านให้สัตย์ไว้ก็แล้วกัน! "

 

      ' ...ต่อให้มีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่คนนิสัยแย่น่ารังเกียจก็ยังคงน่ารังเกียจอยู่ดี...ชายคนนี้มองทุกอย่างเป็นเพียงอำนาจการต่อรองและการเป็นบุญคุณกันเท่านั้น...เช่นเดียวกับคณะลูกขุนส่วนใหญ่... '  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองจุดอันเป็นตำแหน่งที่นั่งของคณะลูกขุนทั้ง ๑๒ ที่เวลานี้กำลังเกิดการโต้เถียงอันเห็นได้ชัดว่าเกิดจากความเห็นที่ไม่ตรงกันอย่างรุนแรง ระหว่างหัวหน้าลูกขุนผู้เที่ยงตรงในกฎหมายและตงฉินราวกับเปาบุ้นจิ้นกลับชาติมาเกิดอย่างพระมหาราชครูฝ่ายปุโรหิตเฒ่า กับคณะลูกขุนที่เหลือทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่พระมหาราชครูฝ่ายพราหมณ์ผู้เป็นหัวหน้าคณะลูกขุนอีกคน ซึ่งบ่งบอกได้แม้แต่จากระยะไกลเช่นนี้ว่าเสียงของคณะลูกขุนคงจะแตกกันไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามแผนของเขา...ก่อนที่ไกรจะคิดในใจต่อทันที...

 

      ' ...ถ้าเป็นในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวร...หรือสมเด็จพระเจ้าตากสิน...เหตุการณ์เช่นนี้คงจะไม่มีวันได้เกิดขึ้น และหัวของเราก็คงจะเสียบตั้งเด่นเป็นสง่าเหนือประตูผีไปแล้ว...แต่ในยุคนี้ขุนนางกลับมีอำนาจมากเกินไป ในขณะที่พระเจ้าแผ่นดินพยายามวางตัวไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของขุนนาง แต่นั่นก็ทำให้ระยะห่างระหว่างกษัตริย์และเหล่าขุนนาง รวมไปถึงประชาชนถูกขยายให้ห่างกัน...ไม่ผูกพันกันเหมือนสมัยอื่นๆ...รอยร้าวเล็กๆนี่แหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคเสื่อม...และเป็นชนวนเหตุอีกหนึ่งชนวน...ที่ไหม้ลามไปสู่การเสียกรุงศรีอยุธยานั่นเอง! '

 

      " อย่ามัวเหมื่อสิ...ท่านเจ้าพระยา...ดูเหมือนว่าพวกคณะลูกขุนจะพร้อมแล้วนะ...ฮ่าๆๆๆ ถึงข้าจะไม่ได้เข้ามาในวัง และไม่ได้มาดูการตัดสินคดีความบ่อยๆก็เถอะ แต่นี่คงจะเป็นการประกาศคำตัดสินที่ประหลาดที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิตเลยทีเดียว "  

 

      " หืม? "  ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยในคำพูดพลางกลั้วหัวเราะของอีกฝ่าย ก่อนที่เมื่อเขาหันกลับไปมองเขาจะถึงบางอ้อทันที เพราะผู้ที่กำลังจดประกาศคำตัดสินเวลานี้กลับกลายเป็นพระมหาราชครูวัยกลางคนผู้อยู่ในฝ่ายพราหมณ์อีกคน แทนที่พระมหาราชครูเฒ่า ราชปุโรหิตาจารย์...ที่เวลานี้กำลังถูกคณะลูกขุนคนอื่นๆล๊อตตัวไว้ไม่ให้ชายชราผู้นั้นอาละวาดไปมากกว่านี้...ก่อนที่ผู้ที่เขียนคำพิพากษาจะม้วนคำพิพากษานั้นและมาคุกเข่าถวายบังคมต่อหน้าพระพักตร์พ่ออยู่หัว และยกม้วนคำตัดสินนั้นถวายให้แก่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์โดยทันที...

 

        หลังจากที่พ่ออยู่หัวอุทุมพรรับม้วนคำตัดสินนั้นและถวายส่งต่อให้กับพ่ออยู่หัวเอกทัศน์โดยไม่เปิดดู...ภายใต้หน้ากากสีขาวบริสุทธิ์จนไม่อาจจะอ่านอะไรออกจากสีพระพักตร์และพระวรกาย...หลังจากที่พระเจ้าเอกทัศน์พิศอ่านคำพิพากษาตัดสินเสร็จสิ้น พระองค์ก็ลุกขึ้นและยาตราออกมาด้านหน้าช้าๆ

 

      " ...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...ในฐานะของเจ้าชีวิตของเจ้า...และเจ้าชีวิตของทุกผู้ทุกนามในราชอาณาจักรนี้...จงฟังเรา! "

 

        พรึ่บ!

 

        จากเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจจากการสนทนากันของเหล่าขุนนางทั้งหมด ความไม่เป็นระเบียบที่กระจายอยู่ไปทั่วทั้งศาลาลูกขุนสูญสลายหายไปในพริบตา...ข้าราชการทุกคนทั้งฝ่ายกลาโหมและฝ่ายพลเรือน รวมไปถึงหัวหน้าคณะลูกขุนอย่าพระมหาราชครู ราชปุโรหิตาจารย์ที่ยังคงมีท่าทีฮึดอัดขัดใจอยู่...แม้แต่ออกญาอนุชิตฯที่อยู่เยื้องด้านหลังของเขาต่างก็พร้อมใจกันคุกเข่าลงราวกับเตรียมพร้อมรับฟังราชโองการที่ตัดสินเป็นตายของพระเจ้าแผ่นดินในพริบตา อันแสดงให้เห็นถึงความจงรักที่มีอยู่อย่างเต็มที่...ทำให้ไกรต้องรีบคุกเข่าลงตามทันทีเช่นกัน

 

      " ...การกระทำของท่าน ในเรื่องที่ท่านบังอาจจาบจ้วง แตะต้องพระวรกายของสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรผู้เป็นบุตรี...ราชธิดาแห่งเรา ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎราชมณเฑียรบาลอย่างอุกฉกรรจ์รุนแรงที่สุด...ไม่ว่าจะมีเหตุเพียงพอเท่าใดก็ตาม...โทษทัณฑ์ของท่านในเหตุนี้คือการฟันคอริบเรือน...ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น... "

 

      " เวรล่ะสิ! "  สินที่เวลานี้ยังคงคุกเข่าหมอบก้มหน้าอยู่ครางออกมาเบาๆทันที แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันว่าอะไร เรืองที่หมอบอยู่ด้านข้างก็ใช้มือกดไหล่เขาไว้เสียก่อนทันที

 

      " เรือง? "

 

      " อย่าพึ่ง...สิน "

 

        ในขณะที่ไกรที่ยังคงหมอบคุกเข่าอยู่เช่นกันแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ราวกับเขากำลังเล่นเกมอยู่...ราวเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายของเขาเลยด้วยซ้ำ...ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะครางออกมาเบาๆทันที

 

      " แต่ทว่า... "

 

     ...และเกมๆนี้ เขากำลังจะชนะ...

 

        ราวกับอ่านพระทัยออก เพราะพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ดำรัสต่อในประโยคขึ้นต้นเช่นเดียวกับที่ไกรพึ่งครางออกไปอย่างไม่มีผิดเพี้ยนว่า

 

      " ...แต่ทว่า...คุณงามความดีทั้งหลายที่ท่านได้กระทำมาทั้งหมดทั้งมวล...ตั้งแต่ก่อนที่ท่านดำรงยศเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี และระหว่างที่ท่านดำรงยศอยู่ มันมากมายมหาศาล...พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าท่านเป็นผู้ที่สำคัญที่สุด ทั้งต่อการราชการบ้านเมืองและต่อการศึกสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้...ทำให้ท่านมีความสำคัญมากเกินกว่าที่จะเสียไปด้วยโทษประหารได้...แต่ถึงกระนั้น...ถึงแม้โทษตายจะถูกละเว้น แต่โทษเป็นก็ยังไม่หายไป...ท่านยังต้องได้รับโทษทัณฑ์...ที่สาสมกับการกระทำหยาบช้าในการผิดกฎราชมณเฑียรบาลอันอุกฉกรรจ์ของท่าน! "

 

      " ข้าพระพุทธเจ้ายินดีน้อมรับโทษทัณฑ์ด้วยจิตสำนึกผิดอย่างไร้ข้อกังขาพระพุทธเจ้าข้า...ต่อให้เป็นโทษทัณฑ์ที่หนักหนาสาหัสเพียงใดก็ตาม... "

 

        ภายใต้หน้ากากสีขาวบริสุทธิ์ พ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยในการเล่นบทรับลูกตามน้ำ และความลื่นไหลของเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่บนลานอิฐเบื้องหน้าพระพักตร์ ก่อนที่พระองค์จะผ่อนปัสสาสะออกมาช้าๆ ก่อนจะตรัสคำตัดสินของเด็กหนุ่มนามว่าไกรออกมาโดยทันที

 

      " ...เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...โทษทัณฑ์ของท่านถูกตัดสินแล้ว และนี้คือราชอาญาที่ออกจากโอษฐ์ของเรา...ท่านต้องอาญาโดยการถูกโบยเฆี่ยนเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๒๐ ครา...และถูกถอดยศและบรรดาศักดิ์ลงไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง...รับโทษทำงานอย่างหนักในทุกๆวัน!! "

 

      " แย่ล่ะสิ...อำนาจที่หนุนหลังท่านอยู่มันไม่เพียงพออย่างนั้นรึ?! อย่างนั้นที่ข้าทำไปทั้งหมดก็สููญเปล่าน่ะสิ! "  ออกญาอนุชิตชาญไชยครางออกมาเบาๆอย่างตกใจทันที แต่ไกรกลับถอนหายใจเฮือกอย่างชักเริ่มรำคาญคำว่า ตัวกู ของกู ...ที่ออกมาจากปากของสหายทางธุรกิจของเขาเต็มทนแล้ว...ชายหนุ่มลอบเหลือบหันมามองเล็กน้อยก่อนจะกระซิบตอบกลับไปเรียบๆว่า

 

      " เย็นใจไว้ ท่านออกญาอนุชิตฯ... "

 

      " ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ? "  ก่อนที่ออกญาอนุชิตชาญไชยจะได้ทันพูดอะไรต่อ พระเจ้าเอกทัศน์ก็ตรัสต่ออีกครั้ง นั่นทำให้ทุกคนในที่นี้ได้รู้ว่าคำตัดสินยังไม่ได้จบแค่เท่านั้น...ในคราวนี้พระองค์ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะดำรัสออกมาโดยที่ไม่กลั้วไปด้วยเสียงสรวล...จนพระองค์ต้องตรัสออกมาอย่างช้ายิ่งว่า

 

      " ...ท่านจะต้องรับโทษและถูกถอดลงเป็นตะพุ่นหญ้าช้างเป็นเวลารวมทั้งสิ้น ๓ เดือน...ก่อนจะหมดสิ้นซึ่งโทษทัณฑ์และกลับคืนสู่ยศศักดิ์ขึ้นเป็นเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี จางวางหัวหน้าทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ตามเดิม...อย่างที่ควรจะเป็น!! "

 

        ทุกคนเข้าใจแล้ว ว่าทำไมพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ถึงเกือบจะหลุดสรวลออกมา...

 

        เพราะนี่เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์แห่งการตัดสินพิพากษาอรรถคดีโดยเหล่าคณะลูกขุน...ที่มีการลงโทษทัณฑ์แบบชั่วคราวเช่นนี้!!

 

 

 

 

 ...................................................

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา