Kingdom Guardian

8.7

เขียนโดย mimosa

วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 23.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  22.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน พ.ศ. 2557 21.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) Kingdom Guardian: THE Guardian League Motherhood 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

    

 

THE Guardian League: Motherhood

...ลูกแม่...

      ...แม่ขอโทษ...

...เราแต่ละคนล้วนมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง...

...เรื่องราวของลูก...ชะตาของลูก...มันเจ็บปวด...แม่รู้ดี...

...ชะตาของคนที่แม่รัก...มันเจ็บปวด...แม่ไม่หวังให้มันเป็นเช่นนั้น...

...ดังนั้น...ให้แม่...เจ็บปวดแทนลูกเถอะนะ...

...ให้แม่...เจ็บปวดแทนคนที่แม่รักเถอะนะ...

...เพื่อลูก...แม่ทำได้ทุกอย่าง...

...เพื่อคนที่แม่รัก...แม่ทำได้ทุกอย่าง..

. ...แม่อยากอยู่อย่างมีความสุขกับลูกๆทุกคน...

...แม่อยากอยู่อย่างมีความสุขกับคนที่แม่รัก...

...ครอบครัวของพวกเรา...แม่จะปกป้องเอง...

...ความสุขของพวกเรา...แม่จะปกป้องเอง...

...เพื่อการนั้น...แม่จำเป็น...

...ต้องมีชะตาแบบนี้...

“แล้วเรา ค่อยเจอกันใหม่ แม่รักลูกๆทุกคนนะ”

...รอสัญญาณ...

...เมื่อสัญญาณปรากฏ...วันนั้น...

...จะเป็นวันที่พวกเราได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง...

...เพราะฉะนั้น...

“ไม่ต้องร้องไห้ ลูกรักของแม่ ทุกๆอย่างจะต้องเรียบร้อย พวกเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก”           

                    แรงเขย่าอย่างบ้าคลั่งของพี่สาวฝาแฝด เจนน่า ฮาวเล็ตต์ ทำให้ โอฟีเลีย ฮาวเล็ตต์ ที่กำลังหลับสบายต้องลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เธอหันไปมองหน้าพี่สาวฝาแฝดของเธอจนคอแทบเคล็ดและยังไม่ทันจะได้ถามอะไร พี่สาวของเธอก็เอามือของหล่อนมาปิดปากของเธอไว้เสียก่อน

“ชู่ว์ พวกไอเซอร์” เจนน่า พูดด้วยเสียงกระซิบ ในตอนนี้พวกเธอทั้ง 2 คนกำลังนั่งอยู่บนรถเมลล์ที่มุ่งหน้าไปนิวยอร์ก โอฟีเลีย ไม่แน่ใจว่าพวกเธอมาถึงนิวยอร์กหรือยัง แต่ที่แน่ๆตอนนี้พวกเธอกำลังใกล้จะเผชิญกับปัญหาใหญ่แล้ว        

                 ไอเซอร์ องค์กรรักษากฎแห่งทรวงสวรรค์แห่งราชอาณาจักรการ์เดียนกำลังตามล่าพวกเธออยู่ ภายใต้การนำ ของ วิลลาร์ด H. ไรท์ เบอร์นาดัส พ่อเมื่อชาติที่แล้วของโอฟีเลีย เหตุผลที่ตามล่าก็ไม่มีอะไรมาก ตามประสาพ่อที่เป็นห่วงลูกสาว ถึงแม้ในชาตินี้เธอจะเกิดมาเป็นลูกของคนอื่น แต่โดยจิตวิญญาณเธอยังคงเป็นลูกสาวของวิลลาร์ด ประมาณนั้น ดังนั้น...ถ้าเขาจะเป็นห่วงเธอจนเกินเหตุมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก...         

                สำ หรับชาวการ์เดียน ดินแดนมนุษย์นั้นอันตาย และเพราะเหตุนั้น เด็กๆอย่างพวกเธอจึงไม่สมควรออกมาเดินเพ่นพ่านในดินแดนมนุษย์แบบนี้ ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงยิ่งอันตรายใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็อันตรายพอกันทั้งคู่นั้นแหละ...ถึง กระนั้น...ในมุมมองของโอฟีเลียและเจนน่า...พวกเธอคิดว่าที่อันตราย น่ะ...มันตัวพวกเธอเองต่างหาก...

“น้องอำพรางพวกเราได้มั้ย?” เจนน่าถามพลางกดตัวโอฟีเลียให้ก้มตัวลงต่ำเช่นเดียวกับตัวเธอ เพื่อให้พ้นจากรัศมีการมองเห็นของพวกไอเซอร์...รัศมีการมองเห็นในระดับมนุษย์น่ะนะ...

“มันเสี่ยงเกินไป ถ้าหนูหรือพี่ใช้พลัง เราได้จบเห่ก่อนเจอพ่อแน่คะ” โอฟีเลียตอบ จากที่เธอเห็น พวกไคเซอร์ที่อยู่ใกล้พวกเธอนั้นมี 2 คน บนรถ 1 คนและข้างนอก ใกล้ๆกับหน้าต่างที่พวกเธอนั่งอีก 1 คน

“แล้วเราควรจะทำยังไงดีล่ะ? ถ้าเราหนี มันก็จะมีพิรุจพวกนั้นก็จะจับได้ จะให้นั่งอยู่เฉยๆ รอพวกมันมาเจองั้นเหรอ? แบบนั้นไม่เอานะ” เจนน่าขมวดคิ้ว ดวงตาของเธอบ่งบอกถึงความกังวลใจและหวาดหวั่นอย่างชัดเจน โอฟีเลียจับมือของพี่สาวฝาแฝดมาบีบเบาๆ หวังให้เจนน่าใจเย็นลง

“ใจเย็นๆคะ พวกมันจะไม่เจอเรา” โอฟีเลียเอ่ย ดวงตาสี อเมทิสของเธอเป็นประกายเพียงชั่วครู่ก่อนจะเกิดเสียงระเบิดขึ้นด้านนอก

“บอกฉันทีว่าเราไม่ได้กำลังอยู่กลางสงครามกลางเมืองน่ะ?”

“พี่ไม่ได้ถามกะให้หนูขำใช่มั้ยคะ?” โอฟีเลียถามกลับและได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มขี้เล่นของพี่สาวฝาแฝดซึ่งมันทำให้เธอหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย

“เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อนจะมีใครจับได้ว่าเราแปลก” เจนน่าพูดพร้อมกับดึงโอฟีเลียให้วิ่งตามเธอลงไปจากรถเมลล์ที่เริ่มกลหน

“พี่แน่ใจนะคะว่าจะใช้คำว่าแปลก เพราะว่าโดยหลักการแล้ว คำว่า แปลกน่ะมัน...”

“เออ!!ประหลาด!!!พอใจมั้ย!!!เลิกถกเรื่องคำในการสื่อสารแล้วเผ่นไปจากที่นี่กันเถอะโว้ย!!!!!”

โอ ฟีเลียยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกพี่สาวฝาแฝดจับกดลงกับพื้นอย่างรุนแรงพร้อมกับ การพูดขัดของเจนน่าและเสียงยิงปืนกับเสียงระเบิดที่ดังสนั่น เธอรู้สึกเหมือนหูของเธออื้อไปครู่หนึ่ง ภาพทุกๆอย่างเปลี่ยนมุมองศาจากการที่จู่ๆเธอก็ถูกกดให้นอนลงกับพื้นจนดูแปลก ตา แต่เธอก็ยังพอประมวลผลในสมองได้ และสมองเธอกำลังประมวลผลว่า...พวกบ้าที่ไหนโผล่มาก่อการจารชนแถวนี้กัน? ...และจากป้ายรถเมล์ที่เธอเห็นในมุมเอียง...พวกเธออยู่ในนครบรุกลิน!!!...

“เวรจริงๆ! โอฟีเลีย เป็นอะไรมั้ย?” เสียงของเจนน่าเรียกสติของโอฟีเลียที่รู้สึกมึนๆให้กลับมาสู่โลกความจริงแบบ HD    มาตอนนี้ เธอคิดว่าความเสี่ยงที่พวกเธอจะถูกจับได้ว่าเป็นพวกแปลกประหลาดนั้นมัน 90% “หนูสบายดี” โอฟีเลียสะบัดหัวไล่ความมึนก่อนจะตอบผู้เป็นพี่ไปเพื่อไม่ให้พี่ของเธอเป็นห่วง เธอสังเกตเห็นบางอย่างบนแผ่นหลังของพี่สาวเธอ “เจนน่า มีเหล็กปักหลังพี่น่ะ”

“เฮ้ย!!เวรแล้ว!!” เจนน่าอุทานเมื่อเธอเพิ่งสังเกตเห็นเหล็กเส้นเขื่องบักอยู่กับหลังของเธอและเธอมั่นใจว่ามันต้องมาจากเศษซากของตึกที่ตกลงมาแน่นอน

“ดึงออกให้หน่อยโอฟีเลีย”

“เราหาที่หลบมุมกันก่อนเถอะคะ”

เสียงของระเบิดแทบจะกลบเสียงคุยของพวกเธอไปจนหมดสิ้น ผู้คนก็พากันวิ่งหนีจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด ไม่มีใครทันสังเกตเห็นพวกเธอ ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดี โอฟีเลียลากพี่สาวของเธอมาตรงซอกตึกในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ผู้คนวิ่งไป และมันดูเงียบสงบ...เงียบสงบจนเหมือนท้องฟ้าก่อนพายุเข้า...

โอฟีเลียค่อยๆจับแท่งเหล็กแล้วดึงมันออกจากแผ่นหลังของเจนน่าก่อนจะขว้างมันออกไปยังถนน บาดแผลบนแผ่นหลังของเจนน่าหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันไม่เคยมีบาดแผลอยู่ตรงนั้นมาก่อนซึ่งมันเป็นผลมาจากพลังในการรักษาหรือพลังในการฟื้นตัวที่เรียกว่า “Healing factor” ...หนึ่งในพลังที่เธอมีเหมือนกับพ่อ...

“บ้าจริง แล้วเราจะเอาไงต่อล่ะ” เจนน่าถาม หากแต่โอฟีเลียกลับเงียบ ดวงตาสีม่วง อเมทิสของเธอเป็นประกายอีกครั้ง เธอค่อยๆถอยหลังอย่างช้าๆ“โอฟีเลีย?”

“ชู่ว์ มีอะไรบางอย่างกำลังมาทางเรา และ...มันไม่เป็นมิตรกับเรา” โอฟีเลียอธิบาย พลางค่อยๆก้าวถอยหลังพร้อมกับดันเจนน่าให้ถอยตามเธอไปด้วย หากแต่ตรงที่พวกเธออยู่นั้นคือซอกตึก ต่อให้สามารถถอยได้ แต่ก็ต้องเจอทางตันอยู่ดี

“เราควรสู้”

“เราไม่ควร”

ถึง จะพูดแบบนั้น แต่โอฟีเลีย ก็เห็นด้วยกับพี่สาวฝาแฝดอย่างเต็มที่ เธอรู้สึกได้ถึงอาการสั่นของเจนน่า...พี่สาวของเธอกำลังกลัวหรือตื่นเต้นกัน แน่นะ...เป็นที่รู้กันทั้งครอบครัวว่าในบรรดาพี่น้องทั้ง 9 คนซึ่งมีโอฟีเลียเป็นคนเกือบสุดท้อง เจนน่านั้นชอบเสแสร้ง แกล้งทำเป็นคนโหด ชอบการต่อสู้...ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เธอกลัวอยู่เสมอ...พลังของเธอ มันเจ็บทุกๆครั้งที่ใช้ เหมือนกับพ่อของเธอ... เธอพยายามทำให้ตัวเองดูเข้มแข็งและน่าเชื่อถือ ทั้งๆที่ความจริง เธอเป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดาที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น...แต่เพราะเลือด ของพ่อนั้นแรงมาก...ไม่แน่...เจนน่าอาจกำลังรู้สึกทั้งกลัวและตื่นเต้นก็ เป็นได้...

เจนน่าก้าวออกมาข้างหน้า ใช้ร่างที่สูงกว่าโอฟีเลียเล็กน้อยบังน้องสาวฝาแฝดจากสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา เธอได้กลิ่นบางอย่างที่ชวนระคายเคืองอวัยวะภายในสุดๆ ซึ่งเธอจำได้ดีว่านั้นคือกลิ่นของรังสีกับสารเคมี

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าอยู่ห่างพี่นะ โอฟีเลีย” เจนน่ากล่าว เธอขยับมือสองสามครั้งทำให้เกิดเสียงดังเหมือนกระดูกหัก แต่ความจริงแล้วกระดูกของเธอยังอยู่ดี โอฟีเลียทำเพียงแค่ครางขานรับแล้วจับเสื้อเเจ็คเก็ตสีดำของพี่สาวแน่น เสียงเท้าหนักและเสียงครางที่ฟังดูน่าขนลุกดังขึ้น เงาตระคุมๆตรงทางเข้าซอกตึก ชวนให้รู้สึกเหมือนปีศาจกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้สาวพรหมจรรย์ที่จักต้องเป็นเหยื่อของมัน...แต่อาจไม่ใช่กับสองสาวน้อยนี้ก็เป็นได้... ความเงียบครอบงำพื้นที่ในบริเวณนั้น...มันเงียบเสียจนรู้สึกวังเวงใจ...

                         ...จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอต่อจากนี้?...

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

                    ณ ประเทศญี่ปุ่น     เมืองนามิโมริ             

                เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กหญิงร่างเล็กอายุราวๆ 5-6 ขวบ ตรงหน้า ทำให้ ซูซาน เลโอเน่ ยิ้มด้วยความสุขใจ ไม่รู้ว่าตัวเขานั้นมาอยู่ในช่วงเวลานี้นานเท่าไรแล้ว อาจ 10 หรือ 20 ปี เขาไม่อาจรู้ได้ เพราะความทรมานที่ได้รับมานาน มันทำให้เขาลืมคืนวันและช่วงเวลาไปแทบจะหมดสิ้น...ไม่สิ...น่าจะเป็น เขาทรมานจนไม่ใส่ใจเวลาเสียมากกว่า เพราะว่าเขาต้องนึกถึงเรื่องดีๆเข้าไว้ เพื่อประคองจิตใจไม่ให้ตกลงสู่ความชั่วร้าย แต่จนแล้วจนรอด ความทรมานเหล่านั้นมันก็ทำให้ผลึกพลังในตัวเขาแตก จนเกินจะควบคุม...ถ้าขืนเขายังคงอยู่กับพวกนั้นต่อไป...เพียงแค่คิด...พวกนั้นจะต้องตายง่ายๆ...โดยไม่ได้ชดใช้บาปของพวกมัน

“แม่จ๋า” เสียงใสของเด็กหญิง พร้อมกับร่างเล็กที่เดินเตาะแตะมาหาเขา ทำให้ซูซานหลุดออกจากห้วงความทรงจำอันแสนทรมานกลับมาสู่โลกของเขา...โลกที่เขาสร้างขึ้นเอง...โลกที่มีเพียงแค่เขากับยูนิ...

ซูซานรับร่างของยูนิที่เดินเข้ามาซุกตักของเขา ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าแม่ของเด็กคนนี้ เขายกร่างเล็กขึ้นมานั่งบนตักพลางลูบหัวลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนด้วยความรักใคร่

“เดินเก่งขึ้นเยอะแล้วนี่” ซูซาน พูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะหอมแก้มนุ่มนิ่มของลูกสาวไปหนึ่งฟอด ในขณะที่เด็กหญิงก็ทำเพียงแค่หัวเราะคิดคักแล้วหอมแก้มผู้เป็นแม่กลับ

“พอหนูเดินได้แล้ว พวกเราก็จะได้ไปหาพวกพี่ๆกันใช่มั้ยคะ” ยูนิพูดด้วยรอยยิ้มซึ่ง ซูซานก็ยิ้มตอบเธอเช่นกัน

“จ้ะ เราจะได้ไปหาพวกพี่ๆกัน แต่กว่าจะถึงวันนั้นคงอีกนาน ในระหว่างนั้น ยูนิก็ฝึกเดินไปก่อนนะ” ซูซานกล่าวพร้อมกับลูบผมสีนิลของลูกสาว เด็กหญิงพยักหน้าแล้วบีบลงไปจากตักของซูซานเพื่อหัดเดินให้คล่องแคล้วมากกว่านี้

ซูซานนั่งมองลูกสาวตัวน้อยหัดเดินด้วยรอยยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม สายลมพัดผ่านทำให้เส้นผมสีน้ำตาลยาวของเขาพลิ้วไสวไปตามสายลม เช่นเดียวกับความคิดของเขาที่ล่องลอยไปตามสายลม หวนไปถึงคืนวันในอดีตอันไกลโพ้น สำหรับเขา ในคืนวันที่เขาหนีจากความทุกข์ทรมาน ไปอยู่กับครอบครัวของเขา ลูกๆทั้ง 8 คนของเขา พี่ชายพี่สาวของยูนิ และสมาชิกในครอบครัวอีก 17 คน           

               ในช่วงเวลานั้น ราวกับความฝัน มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากๆ เขามีลูกๆ เพื่อน พี่ชายและหลานๆ ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพวกเขามันช่างเป็นความสุขที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาบรรยายได้   มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ประคองจิตใจของเขาไว้ ไม่ให้ตกลงสู่ความชั่วร้าย

...ไมเคิล...แซมซัน...โจซิส...สยาม...วิช...เจนน่า...โอฟีเลีย...และโฮป ลูกสาวที่ไม่เคยได้เห็นหน้าเขา... ลูกๆที่รักของเขา หนึ่งในความสุขในชีวิตของเขา...

...ลีโอนาโด...ราฟาเอล...ดอนนาเทลโล...ไมเคิลแองเจโร่...คาราย...เลทเตอร์เฮด...และ สปริ้นเตอร์ ...เหล่าสมาชิกใหม่ในครอบครัวของเขาที่เขาอยากจะกลับไปอยู่ด้วย...ครอบครัวที่รัก...

...ไซม่อน...โยชิ...เมย์โกะ...เดวิด...นาธานกับอีธาน...โมนาริซ่า...มาดอนน่า...วีนัส และวินนี่...หลานๆที่น่ารักของเขา ครอบครัวที่รักของเขา ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน มันราวกับเทพนิยาย...และเขาหวังว่าจะได้อยู่แบบนั้น ตลอดไป...

มาตอนนี้...เพื่อรักษาช่วงเวลานั้นไว้...เพื่อปกป้องคนที่เขารัก...เขาจึงต้องถูกขังอยู่ที่นี่... ในเขตแดนของประเทศญี่ปุ่น ในเมืองนามิโมริ...         

               น้ำตา ค่อยๆไหลลงมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่งาม จากความทรงจำทั้งสุขและทุกข์ เขาหวังจะปกป้องคนที่เขารัก...ปกป้องครอบครัวของเขา...ความสุขของเขา เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องถูกทรมาน แต่ทว่า...เขาไม่อาจทนถูกทรมานได้อีกต่อไป...เพราะยูนิ...เพราะเด็กคนนี้ กำลังจะเกิด...เขาจึงไม่อาจทนถูกทรมานได้...       

               จาก การถูกทรมานครั้งที่ผ่านๆมานับไม่ถ้วน ทำให้เหล่าเด็กๆที่กำลังจะเกิดมาเป็นลูกของเขาหลายๆคน...ตายไป...พอมาถึง คราวที่ยูนิกำลังจะเกิด...เขาจึงตัดสินใจที่จะปกป้องลูกน้อยของเขา...เขาไม่ อาจตอบได้ว่าพ่อของยูนิคือใคร...แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...เขาจะเลี้ยง ดู...ปกป้องดูแลลูกคนนี้ของเขา...ปกป้องจากความทุกข์ทรมานและความตาย...ปก ป้องความสุขของเขา...         

               ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มโดยฉับพลันก่อนจะกลับมาเป็นสีฟ้าครามเมื่อผู้กระทำรู้สึกตัวว่าเขาได้เผลอปล่อยพลังออกมาอีกแล้ว ซูซานได้แต่ถอนหายใจ เมื่อผลึกพลังในตัวของเขาแตกหมด การควบคุมมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียเท่าไรในเมื่อพลังในตัวเขานั้นช่างมหาศาล

“สีส้ม ท้องฟ้าสีส้ม” ยูนิร้องพร้อมกับกระโดดไปมา รอยยิ้มของเด็กหญิงช่างสดใสและไร้เดียงสา ทำให้ผู้เป็นแม่ยิ้มด้วยความเอ็นดู ซูซานยกมือขวาขึ้นมาแล้วทำการขยับมือสักสองถึงสามทีก่อนจะปรากฏก้อนเมฆสีม่วงขนาดเล็กบนฝ่ามือของเขา ซูซานเป่ามันให้ลอยไปทางยูนิซึ่งเมื่อมันลอยมาทางเด็กหญิง ก้อนเมฆก้อนนั้นก็ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มันลอยมาหยุดอยู่เหนือหัวของเธอ ฉับพลัน จู่ๆก็มีหิมะสีฟ้าอ่อนตกลงมาจากก้อนเมฆสีม่วงก้อนนั้น ยูนิหัวเราะด้วยความดีใจแล้วเล่นหิมะนอกฤดูที่ผู้เป็นแม่เสกมาให้ด้วยความสนุกสนาน

“ขอบคุณคะแม่” ยูนิพูดด้วยความดีใจในขณะที่เกล็ดหิมะสีฟ้างามนั้นมารวมตัวกันกลายเป็นมงกุฎขนาดเล็กอยู่บนหัวของเด็กหญิง

“ด้วยความยินดีจ้า ลูกรักของแม่” ซูซานพูดด้วยรอยยิ้ม

...อีกไม่นาน...เขาจะติดต่อไปหาลูกๆของเขา...ไปหาครอบครัวของเขา...

...แล้วสักวัน...พวกเขาก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง...

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

                    ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา  ในมหานครนิวยอร์ก       

               เสียงขลุ่ยที่ล่องลอยมาตามสายลม ฟังดูไพเราะและทำให้รู้สึกเศร้าไปในเวลาเดียวกัน บทเพลงนั้น บ่งบอกถึงอารมณ์ของผู้บรรเลงได้ดีว่าเขานั้นรู้สึกเช่นไร ความรู้สึกถวิลหาใครคนหนึ่งนั้นมิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้...หากแต่มันสามารถแสดงออกมาผ่านทางดวงตา และการกระทำได้ โดยเฉพาะ การบรรเลงเพลง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรีหรือว่าการขับร้อง มันก็สามารถสะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้บรรเลงได้ทั้งนั้น และในยามนี้ แซมซัน เลโอเน่ กำลังคิดถึงแม่ผู้ให้กำเนิดของเขา ความอบอุ่นและความรักของผู้เป็นแม่ที่มีให้เขาตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั้น... มันล่ำค่าและเป็นสิ่งที่คอยค้ำจุนเขามาจนถึงทุกวันนี้...       

               น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาสีทับทิมราวกับสีของหยาดโลหิต ผมสีนิลแซมขาวปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่าน สายลมจากแดนอาทิตย์อุทัย ดินแดนที่ผู้เป็นมารดาถูกกักขังอยู่ ...ความรู้สึก ความนึกคิด เรื่องราวต่างๆของผู้เป็นมารดา...พวกเขาทุกคนต่างรับรู้มันทั้งหมด...     

               ใน ตอนนี้ น้องสาวฝาแฝดต่างพ่อของเขากำลังออกไปตามหาพ่อที่แคนนาดา ข่าวล่าสุดที่ได้รับคือพวกเธอกำลังจะกลับมาตั้งหลักที่นี่ แต่ก็ยังไม่กลับมาเสียที ในขณะที่ วิช น้องสาวต่างบิดาอีกคนของเขาก็ออกไปตามหาพ่อและพี่สาวฝาแฝดที่ไม่เคยเจอหน้า อีกคน...ดูเหมือนพวกเขาแต่ละคนจะมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง...     

               แซมซันในตอนนี้อยู่กับพี่ชาย น้องชาย เพื่อนๆ ภรรยาและลูกๆ...ถึงเขาจะเป็นชู้...แต่ครอบครัวของเขาไม่ถือเรื่องการมีชู้หรือการมีสามีภรรยาหลายคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...                พวกเขาทุกๆคน ในตอนนี้ล้วนมีความสุขดี หากแต่ก็ยังมีความทุกข์อยู่ และความทุกข์นั้นก็คือการที่ต้องอยู่ห่างไกลจากมารดาผู้เป็นที่รัก     

                สำหรับพวกเขาทุกคน แม่คือพระเจ้าผู้ให้กำเนิด และการที่ต้องมารับรู้ว่าพระเจ้าของพวกเขานั้นถูกทรมานยังไงบ้าง มันทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าเสียใจ แต่เหนืออื่นใดเลยคือความโกรธ...โกรธไอ้พวกเศษเดนที่บังอาจมาทำร้ายพระเจ้าของพวกเขา...พวกมันจะต้องได้ชดใช้อย่างสาสมเขาสาบาน...     

               เขาอยากพบแม่ นั้นคือความรู้สึกทั้งหมดที่แซมสันมี ตั้งแต่เป็นเด็กเขาไม่เคยรู้สึกอะไร...ไม่รู้สึกเลย นอกจากความรักที่มีให้แม่ และมันจะเป็นเช่นนั้น ตลอดไป... แม่ทำให้เขามีความรู้สึก เรียนรู้ที่จะรักผู้อื่น จนกระทั่งมาตอนนี้ เขามีครอบครัวที่อบอุ่น และเขาอยากจะอยู่กับครอบครัวนี้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา...ทำให้ได้แต่หวังว่าวันที่แม่จะกลับมาอยู่กับพวกเขาจะมาถึงในเร็วๆนี้...

“เสียงเพลงของนาย มันจะทำให้คนอื่นเขาร้องไห้กันหมด” เสียงที่เอ่ยขึ้นทำให้การบรรเลงเพลงของแซมซันหยุดลง เขาหันไปตามต้นเสียง ก็พบกับ ไมเคิล โซโลม่อน-เลโอเน่ พี่ชายต่างบิดาของเขาและเป็นเจ้าชายลำดับที่ 2 แห่งราชอาณาจักรการ์เดียน...ลูกขององค์จักรพรรดิกาเบลียกับสนมซูซาน...หรือก็คือแม่ของพวกเขา... ไมเคิลอาจไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่ด้วยความสามารถที่มีมากมาย เขาจึงเป็นผู้นำกลุ่มหรือผู้นำครอบครัวของเขาในตอนนี้ ...จนกว่าแม่จะกลับมา...

“...” แซมสันไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่นั่งเงียบในขณะที่พี่ชายของเขาเดินมานั่งข้างๆแล้วหยิบกีตาร์ออกมาจากอากาศอันว่างเปล่า(?) แล้วเริ่มบรรเลงดีดเพลงที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานและเมามันส์ขึ้นมา

“ฉันรู้ว่านายคิดถึงแม่ พวกเราทุกคนล้วนคิดถึงแม่ แต่พยายามอย่างทำให้คนอื่นร้องไห้จะดีกว่านะ” ไมเคิลพูดไปพลางดีดกีตาร์ไปพลาง แซมสันทำเพียงแค่นั่งเงียบ น้ำตายังคงไหลลงมาจากดวงตาของเขา และเมื่อเขาสังเกตดีๆ ก็พบกับรอยคราบน้ำตาแม้เพียงเล็กน้อยบนใบหน้าของพี่ชายต่างบิดาของเขา ไมเคิลเองก็รักแม่มากไม่ต่างจากเขา แต่ไมเคิลเลือกที่จะเข้มแข็ง พยายามดูแลสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ ถึงจะร้องไห้แต่เขาก็ยังมีความหวัง แซมสันเข้าใจความรู้สึกของพี่ชายดี เขาคงจะจมอยู่กับคิดถึงแม่มากไปจนลืมที่จะมองสิ่งรอบข้าง เขาไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าเป็นการกระทำล่ะก็... แซมสันนิ่งเงียบสักพักก่อนจะเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงให้เข้ากับเพลงของพี่ชาย

“มัน ต้องแบบนั้นน้องชาย” ไมเคิลกล่าวด้วยรอยยิ้ม พวกเขาร่วมกันบรรเลงเพลงที่ฟังดูสนุกสนานด้วยกัน ช่วยสร้างสีสันต์ให้กับบ้านหลังนี้...บ้านของพวกเขา...ที่สักวัน แม่จะกลับมาอยู่กับพวกเขา...

 

 

 

 

 

 

 

TBC.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา