หงส์ปีกหัก

-

เขียนโดย กันตพงศ์

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.01 น.

  5 ตอนที่ 1
  0 วิจารณ์
  9,097 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 20.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

หงส์ปีกหัก

ตอนที่ หนึ่ง

 

     ในย่านชุมชนใจกลางเมือง ไม่น่าเชื่อว่ายังมีความยากจนอันค้นแค้นของคนยากจนชนิดที่เรียกได้ว่าลำบากสาหัสสากันหาเช้ากินค่ำ ที่แทบไม่พอเลี้ยงปากท้องของตนเอง แม้ว่าค่าแรงขั้นต่ำจะสามร้อยบาท แต่ในสังคมนี้ก็ยังมีคนที่มีอาชีพที่ไม่มีการกำหนดค่าแรงที่แน่นอนทำไปวันๆ ให้พอเพียงเพื่อประทังชีวิตได้เงินมาวันหนึ่งๆ อย่างสายใจที่เก็บขยะและของเก่าขายกินวันหนึ่งได้เงินมาเพียงไม่กี่บาท ไหนยังต้องเลี้ยงลูกที่เกิดมาร่วมชะตากรรมอีกหนึ่งคน ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการหาเศษขยะและของเก่า

“โอ้ย...ลำบากจริงโว้ย ชีวิตนี้กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทแต่ละสตางค์เก็บแทบตายได้มาเท่านี้” พลางดูธนบัตรสีแดงในมือสามใบที่ไม่รู้ว่าจะพอให้กินอย่ประทังชีวิตไปวันๆ ของสองแม่ลูกยาจกคู่นี้

“แล้วเอ็งจะไปทำมาหากินอะไร...ความรู้ก็ไม่มี...ผัวติดคุกหัวโต...มีลูกเด็กอีกตั้งคน” หญิงมีอายุคู่สนทนาและร่วมอาชีพเดียวกันกล่าวไปพลางเอาเท้าหยีบขวดน้ำอัดลมพลาสติกที่คุ้นเก็บได้ในถังขยะ

“ฉันบ่นอย่างงี้ทุกวันยังไม่ชินเองหรอพี่” สายใจหันไปพูดใส่ทำหน้ายิ้มแย้ม

“ชินน่ะมันชินอยู่หรอก...แต่เอ็งนะอีสายใจ ข้าได้ยินเอ็งบ่นอย่างงี้ตลอดว่าเงินไม่พอ เงินไม่พอ...เอ็งก็เอาเงินที่ไปเข้าบ่อนเล่นไพ่พนันของเอ็งเอามาเก็บออมมันไม่ดีกว่าหรือไงให้มันเพราๆ บ้างเถอะ” ยายเข่งพูดแบบทีเล่นทีจริง

ยายเข่งยังเตือนอีก “เดี๋ยวก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่เห็นลูกมันได้ดิบได้ดีหรอก”

สายใจที่นิ่งฟังอยู่นาน และยังใคร่คิดตามด้วยย้อนไปว่า “ฉันบ่นนิดเดียว” ทำมือจีบตาม “พี่เทศน์ฉันยังกับเทศน์มหาชาติ”

สายใจนิ่งคิดอีกครู่ “ไอ้ฉันมันความรู้น้อย...ฉันก็อยากส่งเสริมให้นังช้อนมันได้เรียนให้มันเป็นเจ้าคนนายคนอย่างคนอื่นเขา แต่จะให้ทำไงได้ไอ้เรามันมีแค่นี้ให้มันเรียนเท่าที่แม่จนๆ อย่างฉันจะมีปัญญาหาได้...เท่าไหน เท่านั้น” แม่คนเดิมกล่าวเสริมอีก

“ไอ้ช้อนมันหัวไม่ค่อยดี...ตั้งแต่มันเรียนมาเนี่ยนะมันสอบได้แต่เลขสองตัวไม่เคยได้เลขตัวเดียวอย่างลูกพี่นิ...อีกคนลูกนังหมอนอาหารตามสั่ง” ร้านอาหารตามสั่งนังหมอนหรือน้าหมอนที่เด็กๆ ในชุมชนแออัดหรือสลัมกลางกรุงรู้จักดีในความจิตใจดีมีเมตตาหลายครั้งที่สายใจหรือใครหลายมักไปซื้อ จะเรียกให้ถูกบอกว่าไปเชื่อของดีกว่าสำหรับสายใจ ของที่ร้านนี้มิได้ขายแต่อาหารตามสั่ง แต่ยังเปิดร้านโชห่วยให้บริการคนในชุมชนด้วย

“ลูกยัยหมอนวันๆ ไม่เห็นมันทำอะไรป็นชิ้นเป็นอัน มันยังเรียนดีสอบได้เลขขตัวเดียวตลอด...ยังว่าและมันเรียนพิเศษด้วยสมัยนี้...ไอ้ช้อนฉันอย่าหวังเลย” ถอนหายใจพูดก่อนจะโดนยายเข่ง

“เอานั้นมันลูกเขา...ลูกเราเอ็งบอกอยู่นิว่าจะส่งเสียมันสุดความสามารถขของเอ็งนิ...อะไรเมื่อกี้นี้เอ็งยังพูดอยู่เลย” ยายเข่งย้อนมา

 

“แม่...แม่” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ ผิวคล่ำ ตาโตหน้าคมเนื้อตัวดูมอมแมมหลังจากการไปวิ่งเล่นอยู่กับ ฉงน เพื่อนต่างเพศห้าวเป้งสุดรัก กว่าเด็กน้อยจะกลับมาก็เกือบจะพลบค่ำ แววตาอันใสซื่อยังคงเรียนมารดาที่ยังคงนอนงัวเงียนไม่รู้ตื่น แต่เมื่อตื่นเท่านั้นและ

“จะเรียนอะไรนักหนาวะ...ข้าจะนอน” สายใจเพลียแดดมาแต่บ่ายจากที่ออกไปคุ้ยเขี่ยจากกองขยะอันป็นกิจวัตรที่เธอทำมาตลอดหลายสิบปี

“หนูหิว...มีอะไรกินบ้างละจ้ะ” สายใจตอบลูกสาวบบไปที “ไม่มี”

“เอ็งก็ไปขอแม่ชีที่วัดท่านซิ...รักมากนิเห็นไปหากันตลอดเลยไม่ใช่หรอ” เด็กน้อยได้ยินคำตอบเช่นนั้นจึงนิ่งเงียบ เพราะการที่แม่สายใจตอบเช่นนี้นั้นก็หมายความว่าต้องไปขอหาอาหารของวัดเข้ามากินอีกเหนื่อยใจป่วยการไปเปล่าที่จะมาเรียกปลุกแม่ที่เป็นอย่างที่เห็น แต่เด็กน้อยก็ยังมองโลกในแง่ดีว่าเธอก็มีแม่ แม้จะไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรเท่าไรก็ตามอย่าน้อยก็ชี้ทางสว่างที่ทำให้ท้องไม่ต้องร้อง จ๊อก จ๊อก

แต่น่าเห็นใจผู้เป็นแม่เช่นกันบ่อยครั้งที่เธอไม่สามารถหาเงินได้ ด้วยการที่ขยะนั้นไม่พอเก็บ เนื่องด้วยบริเวณที่เธอหาของเก่าเก็บขยะขายอยู่นั้นมีเพื่อนร่วมอาชีพมากมายนัก เป็นเหตุให้สายใจต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่หรือบ้างครั้งตีสาม เพื่อไปหาขยะที่พอจหาได้มีราคาก่อนคนอื่นจำพวก กระป๋อง ขวดน้ำ ขวดแก้ว พลาสติกเอย

แม้แต่วันที่ฝนตกสายใจจำต้องออกไปเก็บขยะช่วงเวลาเดียวกัน บางครั้งทำให้ล้มป่วยนอนซมด้วยพิษไข้จาหกที่ไปต่างฝนเป็นเวลานาน ไม่มีเงินซื้อข้าวปลาอาหารหรือยารักษาโรค สายใจจะให้ลูกสาวไปขอข้าวที่วัดพระหรือแม่ชีที่อาศัยอยู่ถัดออกมาหน่อยอยู่เป็นประจำ รวมไปถึงยารักษาโรคด้วย

ผ่านไปนานช้อนกลับมาพร้อมกับข้าวใส่ถุงแกง แกงถุงต่างๆ ที่ใส่ถุงมามากมาย อาหารพวกนี้ทางวัดได้มาจากการใส่บาตรของคนทั่วไปตอนที่พระออกไปบิณฑบาต

สายใจลุกขึ้นจากพื้นบ้านที่เป็นไม้จากที่นอนมานานหลายชั่วโมง “ช้อนไปหยิบจานหยิบช้อนมาเร็ว” สายใจเร่งลูกปัดมือให้ลูกเข้าไปในครัว เด็กหญิงรีบวิ่งไปตามแม่สั่งอย่างแข็งขันไปที่ครัวนำช้อน จาน แต่ไม่มีส้อมเพราะมันไม่จำเป็น มีช้อนตักแกงมีจานไว้กินข้าวก็ดีแล้วสำหรับคนอย่างสองแม่ลูก ช้อน จานที่ว่านี้ล้วนแต่เป็นของวัดทั้งสิ้น ซื้อที่ไหนไม่มีตังค์จะซื้อ ส่วนครัวนั้นอย่าเรียกว่าเป็นครัวเลย

บริเวณบ้านทั้งหมด็แทบจะเป็นบริเวณเดียวกันทั้งหมดมีสังกะสีผุล้อมบ้านไว้ทั้งสี่ด้าน แต่ละส่วนของบ้านห้องนอน ห้องครัว ที่นั่งเล่นกลางบ้านห้องที่ว่ามานี้ถูกแบ่งด้วยตู้หรือสังกะสีที่เหลือจากการล้อมบ้านมาทำ บ้านแบบที่ว่าชุมชนแออัดก็อยู่ติดๆ กันเป็นหลัง หหลังคาที่ขึ้นสีแดงอมน้ำตาลนั้นก็คราบสนิมที่เกิดในเนื้อสังกะสีหลังคา เมื่อเวลาฝนตกลงมาทีต้องเอาถ้วย ชาม ที่มีอยู่ในครัวมารองน้ำฝนที่ไหลหยดลงมาบนพื้นบ้าน การหาอาหารกับข้าวกับปลามากินนับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว การที่มีบ้านโกโรโกโสนับว่าบุญแล้ว การซ่อมหลังคาจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นรูรั่วบางรูที่ไม่เกินความสามารถของเด็กน้อยได้ในช่วงท้ายของวิชาศิลปะที่เรียนเกี่ยวกับการปั้นเด็กน้อยจะหยิบดินน้ำมันติดมือมาอย่างตั้งใจเอามาอุดรูรั่วหลังคาบ้าน

“แม่จ๋า...ทำไมบ้านเราถึงได้จนอย่างนี้” คำพูดสีหน้าอันใสซื่อของเด็กหญิงทำให้มารดานิ่งไปครู่หนึ่งขณะตักข้าวกินอย่างรีบร้อนหิวโหย

“จนแล้วมันไม่ดียังไง...ไหนบอกมาสิว่ายังไง...ไอ้ความจนนะ” สายใจวางจานที่ถือขึ้นมากินอย่างตะกรุมตะกราม พลางกินน้ำที่อยู่ในขันข้างถาดอาหารกินข้าวคำน้ำคำก่อนที่จะต่อว่าลูกน้อยกึ่งเตือนว่า

“เอ็งไปจำคำใครเขามาพูดจนเจินอะไร...เออจริงอยู่หรอกจนมันไม่ดี แต่ถ้ามันมีคงไม่มาขอข้าววัดกินหรอก” สายใจทำหน้าจริงจังมากในการพูดเรื่องแบบนี้เพราะความจนเหมือนเป็นเครื่องคอยย้ำเตือนที่ทำให้ตนต้องทะเยอทะยานก้าวไปข้างหน้าแต่สายใจไม่สามารถพูดถ้อยคำเช่นนี้ให้ลูกขของตนฟังได้เพราะแม้แต่ตัวของสายใจเองก็ยังเล่นพนันเข้าบ่อนเป็นหนี้เป็นสิน ได้แต่นั่งถอนหายใจโดยไม่รู้ว่าชะตาของตนและลูกในวันข้างหน้าจะพานพบกับสิ่งใดบ้าง

เด็กหญิงวิมุตต์กัญญ์ไม่มีทางล่วงรู้ความในใจของแม่ผ็ที่เลี้ยงดูหล่อนมาแต่ครั้นจำความได้ว่าแม่ตนนั้นคิดเช่นไร ความทรงจำของเด็กน้อยรู้ก็แต่เพียงว่า สายใจผู้เป็นแม่ไม่ค่อยเลี้ยงดูหรือเลี้ยวดูให้ดีอย่างลูกคนอื่นๆ ที่เธอเคยเห็นในงานวันแม่นั้นเป็นเป็นภาพที่ประทับใจที่อยากจะมีความทรงจำดีๆ แบบนั้นบ้างอย่างที่เพื่อนๆ ที่โรงเรียนของเธอมีกัน

อีกหนึ่งเหตุผลที่วิมุตต์กัญญ์ตัวน้อยห่วงแม่มากคือแม่ของเธอนั้นเมื่อเก็บหายขยะของเก่านานวันเกิดความเหนื่อยหน่ายอย่างหาความสุขสำราญที่พอจะให้หญิงยาจกอย่างเธอเข้าถึงได้ สายใจคงจะแลเห็นว่ามีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นคือบ่อนการพนันที่อยู่ในชุมชนแออัด ซึ่งนักพนันที่เข้าบ่อนนี้เป็นประจำก็มีแต่จำพวกคนที่ว่างงาน เสเพล่ จริงๆ แล้วสายใจไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้จะเข้ามาอยู่ในวงจรอุบาทว์การพนัน ทั้งๆ ที่เธอเองก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีลูกน้อยก็เคยเตือนมารดาผู้เขลาปัญญาบ่อยครั้ง แต่ความเขลาที่เธอมีแท้จริงคือความไม่รู้ต่างหาก ไม่รู้ว่าเมื่อลองมันจะติดเมื่อติดมันเลิกยากเรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นหรอกว่ามีการศึกษาหรือไม่มีแล้วจะไม่รู้ความดีความเลวล้วนมีอยู่ในทุกตัวคน เพียงเราจะยับยั้งมันได้หรือไม่ สำหรับสายใจแล้วไม่อาจห้ามได้ผลจึงออกมาเป็นเช่นนี้ เงินที่ได้มาจากการเก็บขยะจึงสูญไปไม่เหลือหลอ

“เอ็งอยู่เฝ้าบ้านเดี๋ยวข้าเป็นเล่น...นั้นและเอ็งก็รู้” สายใจกินข้าวด้วยเร่งรีบก่อนบอกลาเด็กน้อยใหอยู้เฝ้าบ้าน แม้จะเตือนผู้เป็นแม่มาหลายครั้งแล้วก็ตามแต่เห็นได้ด้วยตาและความเยาว์วัยของช้อนที่รู้ว่าแม่นั้นไม่เคยนำพาความคิดของตนเองเลย เพียงการกระทำเดียวเท่านั้นที่ทำให้เธอปลดปล่อยความอัดอั้นที่มีอยู่ในหัวใจออกมาได้นั้นคือการถอนหายใจแรงๆ “เฮ้อ...แม่กู”

ยังมีอีกหนึ่งที่พึ่งที่เด็กหญิงพอจะนึกออกยามที่เธอไม่รู้ว่าจะไปหาที่พึ่งยามร้อนใจร้อยกาย บริเวณลานโพอันวิเวกเย็นสงบเหล่าบรรดาชีนุ่งห่มขาว หญิงสาว สาวใหญ่ก็มากต่างจะเดินจงกลมหาที่ทางสงบจิตใจจากสิ่งแวดล้อมอันเลวร้ายที่ต้องพบเจอตลอดวัน เวลา หรือกระทั้งชีวิต บางครั้งหากลานโพธิ์ที่แผ่กิ่งก้านสาขาก็ถือว่าป็นลานกระโดดโลดเต้นอย่างดีของเด็กน้อยและบรรดาเพื่อนพ้องที่ชุมชนแออัดไม่อาจสามรถจะหาที่กว้างกวางพอที่จะเล่นได้ เด็กๆในชุนชนมักจะเล่นสนุกสนานตามภาษากันที่แห่งนี้

“ช้อนๆ ข้าเห็นเอ็งยืนมองต้นโพธิ์มาตั้งนานแล้วมันมีอะไรดีวะ” เพื่อนตัวกระเปี๊ยกของเด็กหญิงสงสัยว่าทำไมเพื่อนตัวดำๆ คนหนึ่งถึงได้ยืนมองต้นโพธิ์อยู่เป็นนานสองนาน

“ เย็นนะ สงบดี อากาศก็ดีอย่างมีที่กว้างๆ เอาไว้วิ่งเล่น ยืนเล่นแบบลานโพธิ์นี้บ้างอะหงน” เพื่อนตัวน้อยยิ้มไปทำตาปอยราวกับซึมซับความเย็นจากลมแผ่วเย็นแถวนั้นเข้าไปเต็มจนชุ่มชื่นปอด

“เอ็งก็แปลกนะ คนอื่นเข้าเล่นขายของ กระโดดยาง แต่เอ็งกลับมายืนเฉยอยู่คนเดียวประหลาดแท้” ช้อนหันหน้ามาหลังจากที่ยืนมองใบโพธิ์ที่ห้อยติดบนก้านกิ่งราวกระดิ่งที่ต้องลม

ไม่เห็นแปลกเลย คนอื่นเขาทำอะไรก็เรื่องของเขาสิ ฉันจะยืนเฉยไม่ได้หรือไง” ช้อนมีสีหน้าเรียบๆตอบเด็กชาย

“อุตสาห์ชวนออกมาเล่นก็ไม่เล่น” ฉงนทำหน้ามุ่ย เด็กหญิงหัวเราะ “เล่นเสร็จฉันขอไปหาแม่ชีหน่อยนะ อยากจะคุยกับท่านตั้งหลายเรื่องแน่ะ” ช้อนยิ้ม

“นั้นไงแม่ชีกวาดใบไม้อยู่ลิบนั้น” เด็กชายทำปากสูงชี้ไปทางด้านข้างที่อยู่ไกลออกไป

แม่ชีผู้นี้เป็นคนที่ช้อนเคารพนับถืออย่างมากเพราะแม่ชีคือคนที่สอนให้หล่อนอ่านออกเขียนได้เป็นคนแรกก่อนที่จะไปเข้าโรงเรียน ช้อนระลึกถึงความดีที่แม่ชีผู้นี้ทำไว้กับตัวของเธอเอง และแม่ชีผู้นี้และที่นำมาเธอมาให้รู้จักโรงเรียน เพื่อนที่ดีอย่างเจ้าฉงน เพราะแม่ชีคือคนที่พาเธอไปเข้าเรียนในโรงเรียน อีกยังคอยพร่ำสอนเด็กหญิงให้รู้ในทางที่ชอบที่ควร เด็กหญิงวิ่งปรี่เข้าไปไหว้แม่ชี แม่ชีที่ก้มๆ เงยๆอยู่กับการกวาดพื้นปูน แม่ชีเห็นช้อนดังนั้นแล้วมองดูช้อนและฉงนที่เข้ามา

“ไงเรามีอะไรหรือถึงได้วิ่งมาขนาดนี้” น้ำเสียงดั่งกระดิ่งใสของแม่ชีทำให้ช้อนรู้สึกดีและสงบลงจากที่ได้รับลมเย็นและความร่มรื่นของต้นโพธิ์ ช้อนตอบไปด้วยความซื่อไม่มีสิ่งใดเจือปนใจของเด็กน้อยเลย

“แม่ไปเล่นบ่อยมาก...คิดๆ แล้วหนูก็กลุ้มใจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงคะแม่ชี มาได้ยืนใต้ต้นโพธิ์นี่ละค่ะทำให้สบายใจขึ้นมาหน่อยนึงลืมเรื่องไม่ดีไปบ้าง” สาวตัวน้อยพูดจาฉะฉานอย่างผู้ใหญ่ทำให้เด็กชายที่ยืนอยู่ข้างๆ อดแซวไม่ได้ว่า

“ตัวแค่นี้มีเรื่องต้องให้กลุ้มใจด้วย” สิ้นคำพูดสองเกลอต่างก็หัวเราะ

“หัวเราะจนเห็นฟันขาวสามสิบสองเชียวนะเราสองคนว่ายังไงช้อนมีเรื่องอะไรบอกแม่ชีได้นะ แม่ชีช่วยได้ถ้าหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง” เด็กสาวนั่งเล่าเรื่องราวที่เกิดที่บ้านให้แม่ชีฟังทุกอย่างแบบละเอียดชนิดที่ฟังต้องจดจำทุกลายละเอียด

แม่ชีนิ่งเงียบไปครู่นึงเพื่อคิดถึงหนทางแก้ไขปัญหา

“แม่ชีคิดว่าควรทำอย่างไรดีคะ” ช้อนเงยหน้ามองแม่ชีที่กำลังยืนครุ่นคิด

“มันก็ไม่ได้ต่างจากที่ช้อนเอามาเล่าให้แม่ชีฟังเลยนี่...ถึงได้ไปเกือบทุกวันบางวันถึงขนาดไม่กลับบ้านกลับช่องงานการไม่ทำ”

“จะทำยังดีคะ หนูเคยพูดเตือนไปหลายครั้งก็แล้วแต่แม่ไม่ได้นำพาคำพูดหนูเลยคะแม่ชี” ช้อนตัดพ้อให้แม่ชีและฉงนฟัง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วแม่ชีก็คิดได้ว่า

“หนูอย่าไปคิดเช่นนั้นสิ” แม่ชีจริงจังหลังจากได้ยินคำพูดของเด็กที่ว่า “มิได้นำพา”

“ทำไมหรอคะแม่ชี” ช้อนสงสัย

“เราอ่านใจแม่เราออกหรือถึงได้บอกว่าแม่เขาไม่ได้นำพาความคิดดีที่รู้พร่ำบอกแม่” แม่ชีกลับไปนั่งลงที่เดิมที่นั่งคุย “แม่เราเขาคิดหรือไม่เราไม่มีทางรู้ได้ แต่เราได้แต่เพียงภาวนาให้เขาคิดได้เท่านั้น คนเรารู้ผิดชอบชั่วดีได้อยู่แล้วมันอยู่ที่ความคิดจิตใจเราเลือกเองว่าจะกระทำดีหรือไม่” แม่ชีมองหน้าอันใสซื่อของเด็กน้อย

“แม่ชีสอนให้เราคิดแบบนี้มันดีอย่างไรรู้ไหม” แม่ชีถามกลับเด็กหญิงที่กำลังตั้งใจฟัง

“ดีอย่างไรคะ คือบอกตามตรงนะคะสิ่งที่แม่ชีพูดเหมือนหนูจะเข้าใจแต่ไม่เข้าหัวนะคะ” เด็กน้อยกลับพูดติดตลกทำให้ฉงนอดอมยิ้มไม่ได้

แม่ชีจึงบอกด้วยความเมตตาและอ่อนโยน “มองโลกไงแง่ดียังไงละช้อน”

“มองโลกในแง่ดี” เด็กตาดำที่ตั้งใจฟังทวนคำซ้ำอย่างเบา “มองโลกในแง่ดี”

“ใช่แล้ว เพราะการเรามองผู้อื่นแต่เพียงภายนอกมันเป็นการมองใครคนใดคนหนึ่งที่ตื้นเขินเกินไป เราต้องมองให้ลึกกว่านั้น ทุกอย่างย่อมมีเหตุและปัจจัย”

เด็กน้อยอีกคนก็มีดวงตาดำแววขึ้นมา “อริยสัจสี่” ฉงนที่นั่งอยู่ข้างหลังพูดใกล้ๆพูดเบาๆ

“ใช่แล้วฉงนอริยสัจสี่” แม่ชีทวนคำจากปากเด็กชาย

“จริงด้วยครูเกษรเพิ่งสอนมามาดๆ เลย” ครูเกษรที่ช้อนว่าคือครูที่สอนในวิชาพระพุทธศาสนาระดับประถมต้น

“ทุกมีที่มาที่ไปมีเหตุและผลของการกระทำ การที่แม่เราเข้าบ่อนนั้นอาจจะเป็นเพราะอาจเครียดหรือรู้ถึงโทษของอบายมุขก็เป็นได้ ลองคิดดูสิว่าเด็กตัวน้อยๆ อย่างเราจะช่วยแม่ได้อย่างไร คิดดู” แม่ชีทิ้งปริศนาความคิดให้เด็กน้อยคิด

ช้อนเริ่มคิดโดยมีฉงนนั่งอยู่ข้างพร้อมช่วยเด็กหญิงหาทางแก้ไข สำหรับฉงนที่บ้านของเขาพ่อและแม่ไม่มีปัญหาแบบที่ช้อนพบเจอ แม้ว่าพ่อแม่ขของเขาจะไม่ร่ำรวยและยังมีความเป็นเป็นอยู่ที่ลำบากอยู่บ้าง แต่พ่อแม่ของฉงนทั้งคู่ต่างตั้งใจทำงานแม้จะป็นการรับจ้างงานเล็กๆ น้อยๆ ก็ตามไม่เคยเกี่ยงน่าชื่นชมจริงๆ ในความบากบั่นของท่านทั้งสองของเด็กชาย ทันใดหญิงสาวก็หาทางที่เด็กคนหนึ่งพอจะช่วยสายใจผู้เป็นแม่ของตนได้

“หนู่ว่าที่แม่เขาไปเล่นไพ่บ่อยอาจจะเป็นความไม่รู้นะคะแม่ชี ที่เขาม่รู้เพราะเขาไปเล่นจนชินในครั้งแรกที่แม่ไปหนูจำได้ว่า แม่เล่นได้ตลอดถึงเป็นเงินเล็กน้อยแต่มันสามารถไปซื้อข้าวมันไก่ได้ แม่ซื้อมาให้หนูยังจำได้ แม่ยังคงติดอยู่ตรงว่าเคยเล่นได้มาก่อนเมื่อถึงคราวมันเสียก็เกินความอยากอยากที่จะได้คืน เพราะเคยเล่นได้มันอาจจะได้อีก”

“แล้วยังไงต่อ” แม่ชีถามต่อ

เด็กน้อยคิดสักพักแล้ว “หนูคงต้องพูดให้แม่เห็นความจริงในข้อที่ว่ามันใช่ว่าจะเล่นได้ตลอด พอได้ก็ยินดี แต่ความยินดีนั้นมันเป็นสิ่งไม่จริงมันไม่เที่ยง เมื่อเกิดทุกขข์ก็เครียดวุ่ยวายอยู่ในใจ ถ้าแม่เข้าใจแม่ก็คงคิดได้บ้าง”

ทุกอย่างย่อมมีทางออกทุกปัญหาย่อมมีความหวังมีแสงสว่างที่ปลายทาง หากเรารู้ใช่สิ่งที่เรียกว่าปัญญา

“ดีแล้วที่คิดได้เช่นนั้น...” แม่ชีนิ่งไป “หนูคิดว่าการพูดบอกเช่นนี้จำทำให้แม่กลับใจกลับตัวได้ไหม แม่ชีอยากให้หนูคิดหาวิธีที่จะลงมือทำบางอย่างที่ทำให้แม่เห็นว่าเราทำได้จริง ทำให้แม่เห็นความตั้งใจดีของเรา”

“หนูสัญญาคะแม่ชี” แม่ชีผายมือออก

“อย่ามาสัญญากับแม่ชีไปบอกแม่เรานู้น”

ช้อนยิ้มอย่างมีความหวังว่าสิ่งที่ได้พูดในวันนี้แม่ของตนจะเชื่อและลงมือทำให้จงได้

 

ระหว่างทางที่เดินกลับมาบ้านหญิงสาวมีความหวังว่าตนจำทำสิ่งที่ดีงามมาเปลี่ยนแปลงตัวแม่ของหล่อนเองให้จงได้ สองข้างทางที่เธอเดินผ่านปีแล้วปีเล่าไม่ต่างจากสภาพเดิมๆ ที่เห็นและเป็ยอยู่เช่นอย่างทุกวันนี้เศษซากขยะทั้งเปียกและไม่เปียกจะแห้งหรือกึ่งไม่แห้งส่งกลิ่นเหม็นไปทั้วบริเวณ ทางเดินที่เป็นหลุมเป็นบ่อแล้วยิ่งฝนตกไปหมาดๆ หลุมบ่อเจิ่งนองได้วยน้ำบางหลุบหลุมน้ำขังเป็นแอ่งนานจนยุงวางไข่เพาะพันธุ์ได้ภาพบรรยากาศที่อยู่รอบตัวหญิงสาวตัวน้อยช่างหน้าขยะแขยง ต่อให้รอบตัวเลวร้ายเพียงใดหากมองและชื่นชมมันจากใจจริงและบริสุทธิ์ดลกใบนี้จะสดใสน่าอยู่อย่างไม่น่าเชื่อเพียงแค่เปลี่ยนความคิดของตัวเองเท่านั้นแค่นี้ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วของเด็กตัวน้อยกับความหวังอันยิ่งใหญ่องภารกิจอันมหึมา เด็กตัวน้อยสองมือเล็กเธอจะสามารถหรือ

“ไงนังตัวดีไปไหนมาหายหัวไปทั้งวัน” เสียงตวาดดังออกมาจากในบ้านแม้จะไม่เห็นตัวแต่ก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าต้นเสียงนั้นคือผู้ใด

“กลับมาแล้วหรือจ้ะ” ช้อนถามด้วยเสียงอันอ่อนหวาน

“ทำซุ่มทำเสียงไปได้ของดีอะไรมาละ” แม่ตวาดกลับ แต่เด็กน้อยกลับยิ้มสู้ สายใจไม่เข้าใจกิริยาที่ลูกทำ

“แนะอีนี่ดูมันทำเข้า ข้าด่าเอ็งอยู่นะยังมายิ้มใส่ข้าอีก” เด็กน้อยยังคงยิ้มมองน่ามารดาต่อ “อีนี่วอนนักนะเมิง” สายใจพูดพร้อมทำมืองางจะตบเด็กน้อย ช้อนก็ยืนนิ่งอย่างไม่รู้ความก่อนเอื้อนเอ่ย

“แม่จ๋า” ยิ้ม “หนูมีเรื่องจะขอแม่ทำให้หนูได้ไหมจ้ะ” สายใจประหลาดใจว่านังลูกคนนี้มันมาไม้ไหนกันแน่

“ขออะไร...ถ้าขอเงินข้าไม่มีให้นะเว้ยอย่างมายิ้มสู้ข้าซะให้ยากเลย ยิ้มให้ปากฉีกถึงหูข้าก็ไม่ให้เว้ย วันนี้ข้าเล่นได้” พลางหยิบแบงค์ร้อยราวสี่ห้าใบขึ้นมานับ “ได้มาตั้งสี่ห้าร้อย” สายใจยื่นเงินจำนวนนั้นให้เด็กน้อยดู

“ไงละเมิงวันนี้ข้าอารมณ์ดีกลับมาจะมาอารมณ์เสียไม่เจอเองนิและ แต่ว่าวันนี้วันดีไม่เอาเรื่องเองก็ได้” สายใจเปฯชนิดที่ว่า โกรธง่ายหายไว พูดๆ บ่นๆ ไปเรื่อย แต่พอมีอะไรดีถูกใจตัวเองด้วยแล้วไอ้อารมณที่โกรธอยู่ก็หายไปเสียอย่างดื้อๆ “ไงละเอ็งวันนี้อย่างกินอะไรข้ามีตังค์นะเว้ยวันนี้”

“แม่แต่เงินพวกนี้มันได้มาในทางที่ไม่ถูกต้องมันเป็นอบายมุข” ช้อนผันเปลี่ยนมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันทีพานเอาให้สายใจอารมณ์เปลี่ยนตามแทบไม่ทัน

“อะไรของเอ็งอีกอีช้อน” สายใจหงุดหงิด “ข้าอุตสาห์พูดดีจะเลี้ยงซะหน่อยดันมาเปลี่ยนเรื่องคุยได้ไวจนกูตามไม่ทันเลยนะเมิง”

“เงินพวกนี้มันได้มามันก็หมดไปไว...แม่เลิกเล่นไพ่เข้าบ่อนเถอะก็รู้ว่ามันไม่ดีจะเข้าไปทำไหม” สายใจยิ่งงงใหญ่และยิ่งหงุดหงิดโมโหมากขึ้น “อะไรวะอีลูกคนนี้มันความสุขกูเมิงจะทำไม กุเล่นได้” เมื่อสายใจโกรธมักทำให้เธอหลุดสรรพนามสมัยพ่อขุนรามบ่อยครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน “ เมิงก็ได้ด้วยได้กินได้ใช้ไปโรงเรียน”

ลูกสาวเถียงกลับ “แต่เงินที่ไปหาของเก่าเศษกระดาษแค่นั้นก็พอเหลือหลายแล้วนะแม่”

สายใจไม่ยอมสู้ต่อ “เอ็งรู้ได้ยังไงว่ามันพอ กูแม่เมิงนะกูรู้ทุกอย่างอย่ามาสอนกู” สายใจพยายามให้ช้อนเห็นความจริงข้อหนึ่งว่าเงินที่มีมันไม่เพียงพอจริงๆ ที่จะใช้จ่าย “ถ้าอย่างงั้นเอ็งต้องไปขอข้าววัดมากินหรอ...ถ้ามันพอนะ”

“ในข้อนั้นฉันเข้าใจว่าบางทีมันไม่มีจริงๆ เงินที่ได้มันก็ไม่พอ” ก่อนจะเงียบ “แล้วยิ่งเอาเงินไปเล่นไพ่อย่างที่ทำ” “เรื่องของมึงกูขี้เกียจเถียงแล้ง เออกูขอโทษนะเจ้าคะ” ทำมือเหมือนไหวลูกแบบไปที “แม่นารีอภิชาตบุตรมาเกิดกูรู้ว่ามึงหวังดีกับแม่ แต่แม่บอกเอ็งไปหลายครั้งแล้วใช่ไหมว่าหอมปากหอมคอนะ” อารมณ์ของสายใจเริ่มเย็นลงเพราะทนไม่ไหวต้องทนสู้กับลูกนานไม่ได้ต้องใช้เหตุผลที่สายใจมีเข้าสู้กับความหวังดีของลูกแทน

“ นี่แค่หอมปากหอมคอ แม่ยังไปอยู่ได้เป็นวันๆ หนูพยายามจะเชื่อจริงๆ จ้ะ” ช้อนพูดจริงไม่ได้ประชด สายใจก็รู้ดูออกว่าลูกของตนนั้นซื่อเพียงใดและรู้ด้วยว่าเด็กหญิงวิมุตต์กัญญ์ไม่ซื่อจนบื้อ เด็กน้อยคิดได้นะเดี๋ยวนั้นว่าหากยกตัวอย่างใครบ้างคนที่แม่รู้จักดีแม่อาจเชื่อยอมคล้อยตามความคิดของตนได้

“แม่จำได้ยายแดงข้างบ้านเราได้ไหม” ยายแดงที่วิมุตต์กัญญ์พูดถึงคือยายแดงที่เคยอยู่อาศัยข้างบ้าน ที่ทุกวันนี้บ้านหลังนั้นเงียบเชียบไม่มีผู้คนอาศัยไร้ซึ่งที่เอะอะจอเจของเจ้าของบ้านผู้ล่วงลับที่จากไปอย่างที่ใครๆ แถวนั้นต่างไม่อยากจะให้เกิดกับตนเพราะยายแดงขึ้นชื่อว่าเป็นนักพนัน หรือผีพนันก็ว่าได้ ลือกันทั่วไปถึงความมัวเมา ตอนแรกๆ ที่ไปยายแดงเล่นนั้นก็มิได้ต่างจากนักพนันคนอื่นเล่นที่แรกๆ ไปเล่นได้เล่นดีได้เงินเป็นกำกลับมา นานวันเข้าเริ่มเล่นๆ แล้วเสียยิ่งเล่นเสียหนักเงินเริ่มฝืดมือจึงไปขอยืมกับเสี่ยสมยศเจ้าของบ่อน เสี่ยสมยศขึ้นชื่อเรื่องความโหดแล้วยิ่งทวีความความโหดมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องของการถวงหนี้ที่มีแก็งค์ทวงหนี้ที่ตามส่งตรงมาถึงบ้านแบบไม่ต้องโทรตาม ยายแดงในความทรงจำของช้อนที่จำได้ว่ายายแดงที่เจอกันล่าสุดนั้นขอบตาดำอย่างหมีแพนด้า ใบหน้ามีรอยพกช้ำอันเนื่องมาจากการถูกแก็งค์ทวงหนึ้ของเสี่ยสมยศตามมาทวงเงินที่เล่นเสียไปหลายพันบาท เงินหลักพันบาทป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนักที่จะหาได้ แต่เงินดอกเบี้ยนี่ละสิ มากโขดอกเบี้ยที่รีดเข้าขั้นรวมกับวิธีการทวงอันป่าเถื่อนยิ่งทวีความหฤโหดของเสี่ยสมยศหลายเท่านัก สายใจแค่เพียงได้ยินที่ลูกสาวพูดก็เงียบลง บ่อนที่มีความอับทึบมีไฟเพียงดวงที่ส่องอยู่บนหัวทำให้นึกย้อนเมื่อคราวเห็นหน้าเสี่ยสมยศที่เดินตรวจดูตามโต๊ะพูดคุยกับขาพนันทั้งหลายเป็นอย่างดี ใจของนังสายไม่ดีเลยเมื่อเจอนายสมยศที่เดินรายล้อมเขามันน่ากลัวอึดอัดจนบอกไม่ถูกจนทุกครั้งที่ไปอยากจะกลับเสียให้ไว้ แต่ไม่สามารถทำได้เพราะนังพร้อมนังเพื่อนตัวนี้ที่วันๆ ไม่ทำงานทำการ เวลาเสี้ยนจะเล่นแม่ก็ไม่เปล่ายังจะชักชวนเพื่อนฝูงอย่างนังสายใจไปเป็นเพื่อนด้วย บางครั้งอยากกลับบ้านก็กลับไม่ได้เหตุที่ว่าก็มาจากนังพร้อมเพื่อนตัวดี

“ได้ๆ ข้าจะไปให้น้อยลงข้าสัญญาพอใจแล้วยัง” สายใจจริงจัง เมื่อเห็นแม่พูดแบบนี้เด็กน้อยก็ได้แต่ตื้นตัน

“จริงหรือจ้ะแม่” ช้อนยิ้มเนื้อตัวเต้นดีใจ

“ก็เออนะสิวะ ตกลงจะสัญญาหรือไม่สัญญา” สายใจโน้มตัวลงมาหาลูกสาวถามอย่างจริงจัง

“จะให้ฉันสัญญาอะไรจ้ะแม่หนูไม่เข้าใจ” เด็กน้อยงงว่าตนต้องกระทำสัญญาอะไรที่จู่ๆ แม่ก็พูดให้ตนรับคำ

“สัญญาว่าเอ็งต้องตั้งเรียนเพราะตลอดที่ที่ผ่านมาเอ็งสอบได้เลขสองตัวมาตลอด ข้าอยากเห็นเอ็งสอบได้เลขตัวเดียวทำได้ไหม?” ผู้เป็นแม่ถามจากลูกสาวและหวังว่าลูกน้อยจะทำได้ แต่อีกใจก็ไม่รู้ว่าจะทำได้

“ได้สิยังไงก็ต้องได้ ฉันมั่นใจว่าต้องทำได้” ช้อนพยักหน้ารับคำพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักเน้นเพราะเชื่อมั่นว่าตนต้องทำได้

หลังจากวันนั้นช้อนต้องตั้งใจเรียนหนังสือมากขึ้น อีกทั้งยังต้องทำงาน้บ้านทุกอย่างเพราะว่าแม่สายใจต้องออกไปหาของเก่าทำงานมากขึ้นเพราะเห็นความตั้งใจ เจตนาดีและคำสัญญาที่ให้ไว้อย่างดีว่าจะไม่เข้าบ่อนอีก ทุกคืนก่อนนอนช้อนจะทำการทบทวนอย่างสม่ำเสมอบทเรียนที่เรียนมาทุกครั้งของในแต่ละวันเพื่อที่จะให้ความหวังที่ตัวเองคาดฝันให้เป็นจริงให้ได้ วันสุดท้ายในการสอบผ่านไปได้ด้วยดี

 

 

เด็กสาววิ่งกลับมาที่บ้านอย่างรวดเร็วราวกับจะมีสายฟ้าไล่ผ่าตามมาที่หลัง ใบหน้ามีแต่ความสุขปริ่มจนต้องรีบออกจากโรงเรียนแทนที่จะไปห้องสมุดอย่างที่เธอไปเป็นประจำ

“แม่จ๋า” เด็กน้อยรีบเรียกมาแต่ไกลก่อนที่ตัวจะเข้าบ้าน

สายใจกำลังง่วนอยู่กับการคัดแยกขยะที่ตนเก็บมาได้ในมือถือกระป๋องน้ำอัดลมที่เหยียบจนแบนพร้อมที่จะใส่รวมกันในถุงเพื่อนำไปขาย

“อะไรกันเสียงเนี่ยมาก่อนตัวอีก” สายใจยืนเท้าเอวคุยกับลูกสาวที่ตอนนี้ใบหน้ามีแต่ความเปี่ยมสุข

“ดีใจนะสิจ้ะ” เด็กน้อยตอบ

สายใจงงว่าลูกมันดีใจอะไรจนรีบวิ่งกระหืดกระหอบกลับบ้านมาอย่างนี้

“ฉันทำได้ ฉันทำได้” ช้อนกระโดดโลดเต้นอยู่ที่หน้าบ้างทั้งอย่างนั้น

“หรือว่าเอ็ง” สายใจค่อยๆ ยิ้ม

ช้อนหยุดโลดเต้น “ใช่จ้ะ ฉันทำได้สอบได้ที่แปด” สิ้นเสียง “เก่งจริงๆ โว้ยลูกข้าดีดี”

เด็กหญิงตัวน้อยยื่นสมุดพกให้แม่ดูและร่วมปลาบปลื้มเป้ฯกับความสำเร็จที่เล็กแต่ยิ่งใหญ่มากของเธอด้วย

“เอ็งทำได้ ข้าต้องทำให้ได้ตามที่ได้ให้สัญญาที่ข้าให้เอ็งไว้” สายใจยิ้มน้ำในตาเริ่มคอออกมา

เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นช้อนจึงให้กำลังใจแม่ “หนูทำได้ หนูก็เชื่อว่าแม่ต้องทำได้แบบหนูจ้ะ” สายใจโอมลูกน้อยด้วยมือทั้งสองเข้าชิดวงแค้นของตนมากขึ้น เด็กน้อยก็ไม่ได้รังเกียจในความสกปรกที่ติดเป็นคราบตามเนื้อตัวแม่แม้แต่น้อย สายใจดีใจมากกลับความพยายามของลูก แต่เธอเองก็เริ่มเป็นกังวลมากขึ้นว่าตนจะทำได้ตามสัญญากลับลูกเอาไว้หรือไม่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา