หงส์ปีกหัก

-

เขียนโดย กันตพงศ์

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.01 น.

  5 ตอนที่ 1
  0 วิจารณ์
  9,099 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 20.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ตอนที่สาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ตอนที่สาม

ไม่ต่างจากทุกเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ของวันทั่วๆ ไปของนักเรียนทุกคนที่จะต้องตื่นนอนแต่เช้าเพื่อที่จะไปโรงเรียน ใครที่โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านก็สบายตัวไปเพราะไปต้องเร่งรีบที่จะออกจากบ้านไปเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมากที่เตรียมจะไปทำงานหรือเด็กๆ ที่ไปโรงเรียน โรงเรียนบางโรงเรียนขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพว่าสามารถทำให้นักเรียนของตนสอบติดเข้ามหาวิทยาลัยได้มากก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะเรียกเหล่าบรรดานักเรียนที่ต้องการสังคมที่ดีมีแต่เด็กรักเรียนรวมอยู่กันเป็นจำนวนมากได้ โรงเรียนอยู่ไกลจำเป็นที่จะต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ บางคนอาจนอนดึกดื่นเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือสอบเก็บคะแนนในชั้นเรียนและบางคนนอนเช่นเธอคนนี้ที่นอนน้อยเพื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระงานของบ้านที่ดูท่าว่าจะไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นนานแล้วแต่ร่างของสาวน้อยวัยสิบเจ็ดปี ยังคงนอนงัวเงียอยู่บนเสื่อเก่าไม่มีทีท่าว่าจะยอมลุกไปไหนอันเป็นผลมาจากการที่ต้องช่วยเจ๊หมอนร้านอาหารตามสั่งเสิร์ฟอาหาร แล้วต้องล้างจานช่วยเก็บร้านกว่าจะเสร็จปาเข้าไปเที่ยงคืนตีหนึ่ง

“ตื่นโว้ย...ตื่นได้แล้วเดี๋ยวไปโรงเรียนสายหรอก” เสียงแม่ตะโกนดังมาแต่ไกลหลังจากที่ไปเก็บของเก่าตั้งแต่เช้ามืด หญิงสาวที่กำลังงัวเงียจากการนอนเริ่มกระสับกระส่าย

“จะตะโกนทำไม...คนกำลังนอนจนฟินเลย” หญิงสาวนอนตอบมารดาทั้งๆ ที่ตาไม่ลืม

ผู้เป็นแม่ได้ยินอย่างนั้นออกมาจากปากลูกสาวสุดที่รัก หมั่นเขียวอย่างจะไปกระชากให้มันตื่นนัก แต่ผู้เป็นแม่มีวิธีเด็ดกว่านั้นที่เคยใช้แล้วได้ผลชะงักใช้กี่ทีก็ได้ผล

ผู้เป็นแม่ถือถังน้ำใบพอขนาดถือได้ใส่น้ำพอประมาณเข้ามาที่มุ้งที่ลูกสาวนอนอยู่

“กรี๊ด” ลูกสาวร้องด้วยความตกใจสุดขีด

“แม่เอาทำมาสาดใส่ทำไม” หญิงสาวลุกขึ้นยืนทั้งๆ ที่อยู่ในมุ้ง

“ไม่ทำอย่างงี้แล้วเอ็งจะลุกไหม” ผู้เป็นแม่ยืนเท้าเอวตอบลูกสาวก่อนสวดใส่ลูกสาวยกใหญ่

“ก็นาฬิกาปลุกตั้งนาน ข้าก็เรียกเอ็กตั้งนาน ทั้งแหกปากทั้งเรียก เอ็งก็ยังไม่ยอมตื่น” แม่ของสาวเจ้าต่อว่าอย่างรุนแรง “นี่มันกี่โมงแล้ว เจ็ดโมงกว่าแล้วโว้ย” พูดไปแม่ของสาวเจ้าก็โมโหจนเกิดบันดาลโทสะจิกหน้าหนังผมของหญิงสาว “เจ็บนะแม่” หญิงสาวคราง

“เออดีแล้วเจ็บบ้างจะได้จำ” สายใจพูดแล้วปล่อยมือจากผม

ช้อนรีบวิ่งไปห้องน้ำอาบน้ำแปรงฟันอย่างว่องไว สายใจก็บ่นช้อนไปด้วยความโมโหที่ลูกสาวตัวดีไม่รู้จักปรับปรุงทั้งๆ ที่เธอเคยบอกแม่ลูกสาวตัวดีมาหลายครั้งแล้วว่าทำงานที่ร้ายยัยหมอนให้ทำแต่พอดีไม่ต้องทำเยอะมันจะเสียเวลาเรียนอ่านหนังสือหมด แต่ช้อนก็เถียงกลับมาทุกทีว่า

“แล้วจะเอาเงินจากไหนมาอยู่มาใช้...แค่วันๆ ที่เอาไปโรงเรียนก็จะไม่พออยู่แล้ว” แล้วทุกครั้งที่ช้อนไปทำงานที่ร้านเจ๊หมอน เมื่อเวลาไม่มีคนมาสั่งอาหารจากร้านเธอเองก้ได้รับความเมตตาจากเจ๊หมอนให้ไปช่วยลูกชายของแกติวหนังสืออย่างสม่ำเสมอและเป็นประจำ

“ช้อนว่างๆ ไปช่วยกันติวหนังสือกับลูกป้าก็ได้ไม่ต้องมานั่งเฉยๆ เฝ้าร้านหรอกป้าเฝ้าเองก็ได้” เจ๊หมอนร้านอาหารตามสั่งแนะช้อนด้วยความเอาใจใส่ที่เห็นว่าโตมากแล้ว และใกล้เวลาสอบด้วย ติวหนังสือกันนี่เองทีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ช้อนกลับบ้านดึกด้วยไม่ใช่แต่เพียงว่าทำงานอย่างเดียวเท่านั้นอย่างที่สายใจเข้าใจ

ขณะสายใจเดินออกไปที่รถเข็นเก็บของเก่าคู่ใจของเธอพลางเก็บขวด เศษกระดาษพับเตรียมไว้ไปชั่งกิโลขายที่ขายของเก่า

“แม่สายใจจ้า” เสียงหวานตรงข้ามชัดเจนกับใบหน้าแลรูปร่างอันอวบอ้อน สายใจยิ้มรับไม่เห็นหน้าแค่ได้ยินเสียงก็รู้ได้ทันทีว่าคือใคร สายใจหน้าซีดเซียวลงทันที

“พี่นั้นเอง...วุ้ยใครจะลืมได้ละจ้ะ มาแต่หัววันเชียว” สายใจทำไม้ทำมือประกอบการสนทนาไปด้วย

“แหม่รู้ใจฉันจังเลยนะเธอ ฉันยังไม่ได้พูดสักหน่อยว่าเธอลืมอะไร ความจำดีนิจ้ะแม่สายใจ” คู่สนทนารู้แกวสายใจอย่างดี สายใจผละงานที่กองอยู่ตรงหน้าที่มีกระดาษลังกองจำนวนมาก แต่มีงานขนาดมหึมายิ่งกว่ามาแทนที่แล้ว

“ว่าไงแม่สายใจ” คู่สนทนาถามซ้ำเพรารู้ว่าคู่เจรจาของเธอจะว่าอย่างไร

สายใจรีบวิ่งไปดูปฏิทินที่ติดอยู่ฝาบ้าน ก่อนจะวิ่งหน้าตาตื่นออกมาหาผู้ที่สนทนาด้วย

สายใจยิ้มเจือนๆ ตอบไปว่า “จริงด้วย วันนี้ครบเดือนต้นเดือนพอดี”

“ไม่ต้องมาทำไขสื่อ แม่สายใจ” คู่สนทนาของสายใจคือเจ๊เจ้าของบ้านเช่าที่ซุกหัวนอนของสายใจกับลูก เจ๊คนเดินที่ทำเสียงอ่อนหวานเมื่อครู่เปลี่ยนโทนเสียงที่แหลมออกมาแทน ดวงตาทั้งคู่เบิ่งจิกสายใจ

“แหม่เจ๊ละก็ทำเป็นบนไปได้ ไม่ต้องดุขนาดนี้ก็ได้” สายใจเสียงหวานใส่

“นิแม่สายใจ เธอติดค่าเช่าบ้านมากี่เดือนแล้ว” ไม่ทันที่เจ๊จะพูดจบ

“สี่” สายใจรีบตอบกลับด้วยโทนเสียงที่เบาลงเกรงคนในห้องน้ำจะได้ยิน

“เออ” เจ๊ตอบแบบไปทีทำตาพองใส่ลูกหนี้ “ก็รู้นิ ทำไมถึงยังไม่จ่ายเมื่อก่อนก็ไม่ยังงี้นะแกนะ”

สายใจไม่เคยส่งค่าบ้านเช่าช้ากว่ากำหนด โดยปกติแล้วสายใจจะส่งค่าเช่าบ้านอย่างตรงเวลาเสมอมีมาช่วงหนึ่งปีให้หลังที่ส่งไม่ตรงตามกำหนดก่อนที่จะขาดส่งไปสามสี่เดือนมานี้ เจ๊แปลกใจว่าเหตุใดสายใจผู้ตรงกำหนดจึงผลัดผ่อนเอาเสียดื้อก่อนขาดส่งจนหายไป วันนี้มีโอกาสจึงเข้ามาดูหลังจากที่มาแลเวหลายครั้งแต่ก็ไม่เจอใครสักที

“แล้วมันด้วยเรื่องอะไรทำไมถึงขาดส่ง ชาวบ้านชาวช่องแถวนี้ทำไมเขาถึงหามาจ่ายได้” เจ๊คาดคั่นเอาความจริง

สายใจตอบไปด้วยความซื่อทำหน้าเจือนๆ ใส่ “ถามฉันแล้วฉันจะรู้ไหมละจ้ะว่าทำไมชาวบ้านแถวนี้เขาถึงมีส่งได้” “อย่ามายียวยฉันนะ นังสายใจ” เจ๊พอจะรู้ทางอยู่บ้างว่ารายได้ของสายใจไม่พอที่จะส่งค่าบ้านได้แต่ยังมีรายได้อีกทางที่มาจากลูกของสายใจด้วย “ลูกแกน่ะมันชื่ออะไร” สายใจรีบบอก

“ช้อนจ้ะ”

“ลูกแกมันก้ทำงานอยู่ที่ร้านแม่หมอนเขาไม่หรือ เห็นทำงานตั้งแต่เช้ายันเขาเก็บร้านมันไม่ได้ช่วยออกอะไรเลยหรือ” เจ๊เจ้าหนี้ถามกลับแม่สายใจ สายใจเงียบไป

“มันจะพออะไรเงินเล็กๆ น้อยๆ จากมันเอาไปกินอยู่ที่โรงเรียนยังไม่ค่อยจะพอ ทุกวันนี้มันยังกู้ กยศ. เรียนอยู่เลยจ้ะเจ๊” เจ๊มองเห็นแล้วว่าวันนี้คงไม่ได้ค่าเช่าจากสายใจเป็นแน่

“เออ” เจ๊ถอนหายใจออกมา “แต่ครั้งนี้มันนานกว่าครั้งก่อน ยังไงก็ต้องหามาจ่ายให้ได้”

“อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วจ้ะ” สายใจให้คำ

“ให้มันได้จริงอย่างที่แกพูดแล้วกัน” เจ๊รับคำ

หญิงสาวที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินตัวเปียกออกมาจากห้องน้ำ

“เสียงดังเอะอะอะไรแม่” พูดไปพลางเช็ดผมที่เปียกไป

“ไม่มีอะไรหรอก” สายใจพูดผ่านๆ ก่อนเสริม “ยัยเจ๊นะสิ เดินผ่านมาทางนี้พอดีเลยแวะมาคุยด้วย”

ช้อนผิดสังเกต “คุยกันเสียงดังเชียว แน่นะว่าคุยด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไร”

“เออนั้นและ” สายใจกลับไปนั่งใช้เชือกฟางมัดลังกระดาษอีกครั้ง

“แม่ให้เงินค่าบ้านเดือนนี้เขาไปแล้วหรือยัง” ช้อนถามพร้อมแต่งตัวไปด้วย เสียงพูดลอดออกมาจากหน้าต่างหน้าบ้านไปหาแม่ที่ทำงานอยู่

“ให้แล้ว ให้แล้ว” สายใจตอบปัด ช้อนเห็นแม่มีพิรุธถามแม่ต่อไปอีกเพื่อแม่จะพูดความจริงออกมา เพราะก่อนหน้านี้หลายครั้งที่แม่มักจะโกหกเธอในหลายๆ เรื่องไม่ว่าเรื่องที่เคยสัญญากับเธอในวัยเด็กว่าจะเลิกเล่นการพนันทุกชนิดหากเธอสามารถสอบได้เลขตัวเดียวจากครั้นนั้นเธอเชื่อเสมอว่าแม่จะทำตามสัญญาที่ให้กับเธอได้ แต่มาเช้าวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นเมื่อสามปีก่อน เธอตื่นขึ้นมาเรียกหาแม่ที่หายออกไปจากบ้านหาทั่วบ้านแล้วก็ยังหาไม่พบเธอคิดว่าแม่คงออกไปเก็บของเก่าตามเคยตามที่แม่ทำมา เผอิญยายเข่งเพื่อนของแม่เดินผ่านมาหน้าบ้านพอดี ยายเข่งเห็นช้อนเดินออกไปช่วยเจ๊หมอนที่ร้านอาหารตามสั่ง

“ช้อนเอ้ย เอ็งเห็นแม่เอ็งแล้วยัง” ยายเข่งทำตาโตใส่ช้อน

“ทำไมหรอจ้ะป้าเข่ง” ช้อนใจไม่ดีนึกว่าแม่เป็นอะไรไปหรือเป็นลมหมดสติที่ไหน

“แม่เอ็งนะสิเข้าบ่อนอีกแล้ว” นังนั้นไม่ชวนไปอีกแล้ว นังนั้นที่ยายเข่งพูดถึงคือนังพร้อมเพื่อนผีพนันตัวดีที่ชอบชวนแม่ไปเข้าบ่อนเสมอๆ ส่วนหนึ่งที่ไม่ของเธอไม่อาจสามารถทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเธอได้ ช้อนคิดว่าน่าจะมาจากยายพร้อมคนนี้ด้วยเพราะน้าแกมาเล่นชวนแม่ไปบ่อนด้วยทุกวี่ทุกวัน แม่เองก็บอกปัดไปหลายครั้งเมื่อมาบ่อยครั้งขึ้นแม่ของไม่อาจต้านทานความอยากของตนเองได้เช่นกันข้อนี้จึงไปใช่เรื่องแปลกใจเลยสำหรับวิมุตต์กัญญ์

“แน่ใจนะว่าไม่ได้เอาเงินไปบ่อนอีกนะ” ช้อนถามทีเล่นทีจริง

สายใจนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะปล่อยความจริงมา

“เออ...ข้าเอาเงินไปเข้าบ่อน” สายใจพูดเสียงลั่น

ช้อนตกใจ “แม่อย่างงี้อีกแล้วนะ”

“เดี๋ยวข้าก็หามาจ่ายเอ็งได้และ” สายใจแสดงความรับผิดชอบ

“แม่...แม่ไม่เมื่อก่อนแล้วนะ”

หญิงสาวเตือนมารดาด้วยความเป็นห่วง เพราะมารดาเริ่มมีอาการไม่ค่อยจะดี สภาพร่างกายย่ำแย่ร่างกายอ่อนแอลงอันเนื่องจากอายุที่ชราภาพมากแล้ว สายใจได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหวังดีของลูก

“ข้ารู้แล้ว...เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” สายใจปัดบอก

สายใจบอกความจริงกับลูกไป ลูกสาวมิหายระแวงสงสัยยิ่งทำให้สงสัยเพิ่มากขึ้นไปอีก

“แม่...ที่เจ๊แกมาทวงค่าเช่าบ้านเราแสดงว่าแม่คงค้างมาหลายเดือนแล้วใช่ไหม” เจ้าหล่อนรู้ดีว่านิสัยของเจ๊จะไม่มาทวงค่าเช่าแน่ๆ หากไม่ติดค้างมานานหลายเดือนเพราะหล่อนจำได้ว่าเคยเหตุเจ๊จะมาทวงเงินเองก็ต่อเมื่อลูกหนี้ค้างหนี้มาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว

สายใจค่อยพูดออกไป ใจหนึ่งก็คิดว่าจะบอกดีหรือไม่บอกดี ลูกสาวเห็นดังนั้น

“บอกมาเถอะ บอกความจริงนะ” ดูติดตลกแต่หญิงสาวจริงจัง

“สี่เดือน”

“แม่” หญิงสาวนิ่งเงียบคิดว่าจำนวนเงินสี่เดือนนั้นคิดแล้วหลักหมื่นเพราะค่าเช่าบ้านเดือนละสามพันบาทรวมเป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันบาท

“สาม สี่เดือนเลยนะแม่ ค่าเช่าตกเดือนหนึ่งสามพันเป็นหมื่น”

“รู้แล้ว เอ็งจะให้ค่าทำยังไง” สายใจพูดจาเหมือนที่ไร้ความรับผิดชอบ ทั้งที่ความจริงเธอเป็นแม่เธอต้องรับผิดชอบเรื่องภายในบ้านกลับกลายเป็นว่าภาระทุกอย่างกลับตกไปอยู่กับสาวน้อยตัวเล็กอย่างช้อนซึ่งภาระทั้งหมดมันหนักเกินกว่าที่เด็กสาววัยสิบเจ็ดจะแบกรับไว้ได้ การออกไปทำงานที่ร้านอาหารตามสั่งของเจ๊หมอนทุกบ้านทุกสตางค์ที่หมั่นเพียรเก็บหอมรอมริบ เพื่อเงินทั้งหมดที่ได้มาช่วยจุนเจื้อช่วยเหลือทางบ้านที่เธอรู้ดีว่ามันไม่มีวันพอหากแม่ของเธอยังมีพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ที่ดูไม่มีวันแก้หาย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา