Rotten

5.8

เขียนโดย GasMask

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 00.30 น.

  7 chapter
  1 วิจารณ์
  9,317 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557 00.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ROTTEN / CHAPTER 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

จะทำอย่างไรเมื่อโลกทั้งใบที่คุณเคยรู้จัก เปลี่ยนไปเป็นโลกที่มีแต่ความตายและความเน่าเปรื่อย เมื่อผีดิบออกอาละวาดไปทั่วทุกมุมโลก ไม่มีที่ไหนปลอดภัย ไม่มีใครช่วยคุณได้ และไม่มีใครที่คุณเชื่อใจได้นอกจากตัวคุณเอง 

"บางทีสิ่งที่เน่าเฟะที่สุดอาจจะไม่ใช่พวกมัน แต่คือพวกเราเอง"

 

ROTTEN

เวลา 20.56 น.

            ผมเกลียดรถติด ผมเกลียดฝน ผมเกลียดพี่ผม ผมเกลียดน้องผม ผมเกลียดพ่อแม่ผม ผมเกลียดการไม่มีงานทำ ผมเกลียดสังคมที่บังคับให้เราหางาน ผมเกลียดเงิน ผมเกลียดซื่อเสียงเงินทอง ผมเกลียดแม่งทุกอย่าง....

.....แต่ที่ผมเกลียดที่สุด....คือตัวเอง....และผมหวังว่าทุกอย่างที่ผมเกลียดจะหายไป

....ผมเกลียดมัน.....

ครืนๆๆๆ.......

ฝนยังคงตกปอยๆ เหมือนจะไม่มีวันหยุด ถึงแม้จะบางเบาแต่ก็มากพอที่จะทำให้ถนนในเมือง ชะงัก ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

“ถนนนี่ติดชะงักเหมือนอนาคตของมึงเลยวะไอ้เก่ง” พีเขาเอ่ยอย่างขบขัน ในขณะที่น้องเขายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่มีการห้ามปรามหรือซ้ำเติมประโยคดูถูกถากถางนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาเกลียดมันเขาเกลียดเสียงหัวเราะนั้นและถึงแม้พี่เขาจะพยายามทำให้มันน่าขบขันเพียงใด เขาก็ยังรู้ดีว่าพี่เขาจงใจดูถูก และสิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือมันพูดถูก

เขาอายุ 22 ปีแล้วแต่ยังหางานทำไม่ได้ ยังทำตัวเหละแหละ และไม่มีทีท่าว่าจะปรับปรุงชีวิตเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเขาควรทำอะไรสักอย่างกับชีวิต กับอนาคตของตน แต่เขาควรจะทำอะไรดีละ เขาไม่รู้และเขาเกลียดการไม่รู้ เพราะมันทำให้เขาเกลียดตัวเองที่ช่างโง่เขลา

“.......” เขาอยากจะโต้เถียงหรือตอกกลับ ทว่าไม่มีคำพูดไหนหรือความคิดใดเข้ามาในหัวเลย ได้แต่เงียบและยอมรับการถากถางนั้นแต่โดยดี และมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยเหมือนคนตาย ที่ไร้อนาคต ไร้จุดหมายชีวิต กินแล้วก็นอนและก็ตื่นขึ้นมาทำแต่สิ่งซ้ำๆ เหมือนซอมบี้

พี่เขายังคงถากถางเขาต่อไป น้องเขายังคงทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเหมือนทุกวันที่แสนบัติซบ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น

บนหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ส่องแสงขึ้นมานั้น มีตัวหนังสือคำว่า พ่อ ปรากฏขึ้น เขารับมันอย่างเหนื่อยใจ พ่อ เป็นอีกคนหนึ่งที่คาดคั้นเอาอนาคตจากเขา ซึ่งคงไม่ได้ผิดอะไรนักเพราะพ่อได้เสียเงินลงทุนจำนวนมาก(แต่น้อยกว่าน้องหลายเท่านัก)เพื่อให้เขาได้มีงานทำและดูแลตัวเองได้ ทว่าสิ่งที่เขากำลังทำคือเกาะพ่อเขากิน(เหมือนที่พี่เขาเคยทำเมื่ออายุเท่าเขา)

“ฮัลโหล” เขาตอบ

“นี่....พวกแกอยู่ไหน ตอบมาซิ”พ่อเขาพูดจาอย่างร้อนใจ

สงสัยพ่อเขาจะหิวข้าวจนเริ่มหงุดหงิดแล้วกระมังเขาคิด ทำไงได้ละรถมันติดนี่ “ยังไม่ได้ไปไหนเลย รถมันติด”

“ตอบมาเร็วพวกแกอยู่ไหน ยังอยู่หน้าห้างรึเปล่า”พ่อเขาเริ่มตะคอกมันเริ่มทำให้เขาหงุดหงิด

“อืม นี่จะรีบไปไหนเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว....”

“รีบออกมาจากที่นั้นซะเร็วเข้า ที่นั้นมันอันตราย”

“อันตราย”น้องสาวกับพี่ชายหันมามองทางเขาทันทีเมื่อเขาเอ่ยคำนั้นอย่างตกใจ

“นี่ พวกแกรีบออกมาจากที่นั้นเร็วพ่อกับแม่ก็จะออกจากบ้านเหมือนกัน”

“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนพ่อมันเกิดอะไร.....ขึ้น”โทรศัพท์ได้ถูกตัดสายไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ความเงียบงันที่น่ากลัว เขารีบเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ

“....ตอนนี่ได้เริ่มยิงกันแล้วค่ะ(เสียงปืนดังขึ้นจากข้างหลังรถ ไกลออกไป)....เดี๋ยวก่อนนะค่ะ....ดูเหมือนว่าเขายังไม่ตายค่ะ ระวัง  เขาเริ่มกัดเจ้าหน้าที่แล้ว โอ้ไม่นะ....โอ้ไม่ ทุกคนหนีเร็ว....” เขาเริ่มเปลี่ยนสถานีแต่ทุกช่องสถานีกลับรายงานข่าวเดียวกัน...มันเกิดอะไรขึ้น…เสียงปืนดังถี่ขึ้นเรื่อยๆจากทางด้านหลัง

ตึง!

“ว้าย/เฮ้ย”ทุกคนในรถตะโกนด้วยความตกใจ เขารีบหันไปมองยังต้นเสียงที่ริมหน้าต่าง สิ่งที่มากระแทกนั้นคือมือ มือที่เต็มไปด้วยเลือด จากชายคนหนึ่งซึ่งมีบาดแผลทั่วตัว

“หนี เร็ว หนี”เขาตะโกนก่อนที่จะไปกระแทกใส่รถอีกคัน เขาบอกทุกคนให้หนี หนีจากอะไรละ

“แม่ง เกิดเหี้ยอะไรขึ้นวะ”พี่เขาสบถอย่างขวัญเสีย เขามองไปข้างหลังซึ่งท่ามกลางแสงไฟจากหน้ารถนับร้อยดวง มีกลุ่มเงาดำกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาด้วยความเร็ว เมื่อสายตาของเขาปรับเข้ากับแสงที่ส่องเข้ามาแล้วเขาจึงมั่นใจว่านั้นคือกลุ่มคน กลุ่มคนที่กำลังวิ่งเข้ามา

“พระเจ้า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขาอุทานขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวก่อนที่จะเปิดประตูรถออกไป ฝนนับร้อยเม็ดโปรยปรายลงมาบนตัวเขา ในขณะที่มันตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ ภาพตรงหน้านั้นยากนักที่จะอธิบาย ไฟนับร้อยสาดส่องกระทบโดนเงาดำนับสิบซึ่งกำลังคืบคลานเข้ามาเหมือนคลื่นมนุษย์และกลืนกินแสงสว่างทุกดวงที่กระทบถูกมัน….เหมือนความหวังที่กำลังถูกกลืนกิน มันคือหายนะ

....หายนะ....

 

ROTTEN

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

CHAPTER 1

เวลา 21.10 น.

 

 

            “นี่ พี่! ทำอะไรนะ เข้ามาข้างในเร็ว” น้องเขาเปิดหน้าต่าง และดึงแขนเขาให้เข้ามาข้างใน ทว่าเขากลับไม่รู้สึกถึงแรงดึงนั้นหรือขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย เพราะภาพตรงหน้าได้ทำให้ขนแขนของเขาลุกชูชันไปด้วยความกลัว หัวใจของเขาเต้นแรงแบบไร้สาเหตุ สัญชาตญาณของเขามันสั่งให้เขาวิ่งหนีสุดชีวิต

            “ออกมาจากรถเร็วเราต้องหนีแล้ว” เขาพูดอย่างตะกุกตะกักด้วยความกลัว พี่กับน้องเขาต่างมีสีหน้าที่ฉงนสงสัยว่าเขากำลังหมายถึงอะไรกันแน่ หนีอะไรกันแน่ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สัญชาตญาณเขาบอกให้หนีและเขาเชื่อมันตลอดมา และไม่มีครั้งไหนที่มันดังและทำให้ใจเขาเต้นแรงด้วยความกลัวอย่างนี้มาก่อน

            เขาดึงประตูให้เปิดออก “เชื่อ....เชื่อฉันสิ บางอย่างกำลังมาแล้วถ้าเรายังขังตัวเองอยูในรถนี้ละก็ .....เราไม่มีทางหนีได้เลย”

            “หนีอะไรละ นายบ้าไปแล้วหรือไง”พี่เขาเริ่มต่อว่า

            “บางอย่างกำลังมานายออกมาดูเองสิ มันกำลังมาเร็วเข้า”เขายังคงยืนยันคำเดิมทั้งๆที่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่า อะไร กำลังมา

            “หึ นายมันบ้าไปแล้ว มันบ้าไปแล้ว....”พอพี่เขาออกมาจากรถ สิ่งที่เขาเห็นอยู่เบื้องหลังไกลออกไปนั้นยากอธิบาย แต่มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกขวัญผวา

            “อะไรวะนั้น”พี่เขาอุทาน น้องเขาจึงออกมาจากรถด้วยเช่นกัน โดยไม่สนใจเลยว่าฝนจะตกหรือไม่

            “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าฉันจะไม่อยู่รอดูมันแน่ เราหนีกันเถอะ”

            “แล้วรถละ”น้องเขาเอ่ยด้วยความกลัวว่ารถจะถูกขโมยพี่เขาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี่

            “ไม่ต้องห่วงหรอก ล็อคไว้ละกันรถติดอย่างนี้มันขโมยไปไหนไม่ได้หรอก....ที่เราควรห่วงตอนนี้คือสิ่งนั้นต่างหาก มันกำลังใกล้เข้ามา” หลังจากเขาพูดจบคนอีกหลายคนซึ่งแอบฟังบทสนทนาของครอบครัวนี้อยู่นั้นเริ่มออกจากรถเช่นกัน

            ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังโทรศัพท์ ตะโกนขึ้นจนทุกคนได้ยิน “เพื่อนผม เพื่อนผมที่อยู่แถวที่เกิดเหตุโทรมาบอกผมว่า....อะไรนะ....มีคนกำลังไล่กัดคนอื่น...กลุ่มคน...กัด....อะไรนะ...กัดกินเดี๋ยวก่อน....หมายความว่าไงยิงไม่ตายเดี๋ยวก่อน....เดี๋ยว...สาย สายหลุดไปแล้ว” ผู้คนแถวนั้นเริ่มส่งเสียงโต้เถียงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทันไดนั้นเองชายคนหนึ่งในกลุ่มก็เริ่มออกวิ่ง ทำให้คนที่เหลือเริ่มทยอยกันวิ่งหนี คนที่อยู่ข้างหน้าก็เริ่มวิ่งเช่นกัน ไม่มีใครที่ห่วงรถยนต์ของตนอีกแล้ว

            พวกเขาเองก็เช่นกันโดยพี่เขาวิ่งไปก่อนเป็นคนแรกโดยทิ้งพวกเขาไว้ พี่เขาวิ่งไปโทรศัพท์ไปโดยไม่สนใจพวกเขาเลย และเขามั่นใจคนที่พี่เขาโทรหาต้องไม่ใช่ คนในครอบครัวอย่างแน่นอน ในขณะที่น้องเขายังคงยืนตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น

            “เร็วเข้า รออะไรอยู่เล่า วิ่ง”เขาตะโกนสั่งน้องของตนด้วยเสียงอันดัง ทำให้น้องเขาเริ่มออกวิ่ง แต่ยังช้ากว่าคนอื่นนักเพราะน้องเขาเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอและไม่ค่อยออกกำลังกาย เขาเองก็ไม่ต่างกันนักถึงกระนั้นเขาก็เป็นผู้ชาย เขาจึงวิ่งชะลอความเร็วอยู่ข้างหลังน้องของตน

            คนที่อยู่ข้างหลังวิ่งชนเขากับน้องโดยไม่สนใจเลยว่า พวกเขาจะล้มหรือต้องเจ็บตัว ไม่แปลกใจนักสำหรับเขาเพราะถึงยังไงมนุษย์มันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว จนกระทั่ง

            “โอ๊ย...”น้องเขาโดนชนจนล้มไปกองกับพื้น ทำให้เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยขี้ดินบนท้องถนน ในขณะพี่เขาวิ่งหายลับตาไปแล้วเพราะไม่สนใจพวกเขาทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

            “ไอ้เหี้ย”เขาตะโกนด่า แต่คนๆนั้นแค่หันมามองก่อนที่จะวิ่งต่อไป น้องเขายังคงนอนอยู่ตรงนั้น เขาพยายามดึงเธอให้ลุกขึ้น แต่เธอกับปัดมือเขาออก ท่ามกลางสายฝนห่าใหญ่เขาได้ยินเสียงเธอสะอื้นไห้

            “ฉันไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว”น้องเขาเริ่มโอดครวญ

            “ไม่เอาน่า เลิกงอแงได้แล้ว”เขาพยายามดึงเธอลุกขึ้นแต่เธอยังคงปัดมือเขาออก

            “ไม่...ฉันไม่เอาแล้วฉันเหนื่อย...แล้ว...แล้วทำไมเราต้องหนีด้วย”เขาเริ่มหงุดหงิดกับท่าทีของน้อง

            “ลุกขึ้นเถอะน่า! เดี๋ยวก็ทิ้งซะหรอก”เขาตะคอก ทว่ามันยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น น้องเขาร้องไห้หนักขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องเลยแม่แต่น้อย ตอนนี้มีแต่เขากับเธอเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้กลางถนนซึ่งมีรถนับร้อย

            “แม่งเอ้ย!”เขาตะคอกพร้อมกับอาละวาดด้วยความโมโห เขาทุบกระจกรถจนร้าว จนมือเขาเริ่มเจ็บ และความเจ็บปวดนั้นเองที่ทำให้เขาใจเย็นลงได้ เขาคุกเข่าลงพร้อมโอบกอดน้องของตน เพื่อปลอบประโลม

            “โอเค โอเคเราพักสักหน่อยก็ได้ แต่เธอต้องลุกขึ้นนะที่นี่มันอันตราย เข้าใจไหม”น้องเขาเริ่มเชื่อฟังอย่างว่าง่ายเธอลุกขึ้นด้วยขาที่สั่นไม่ยอมหยุดเขาพยายามพยุงเธอ เขาเห็นร้านอาหาร ฟาสฟู้ด แห่งหนึ่งข้างในไม่มีผู้คนแต่ไฟในร้านยังคงเปิดอยู่

            “เอาละ เราจะไปพักในร้านนั้นเข้าใจไหม แค่เดินไปถึงตรงนั้นนะ น้องต้องไหวนะ” น้องเขาไม่สามารถตอบอะไรได้ ได้แต่พยักหน้า พวกเขาทั้งสองจึงค่อยๆเดินไปยังร้านอาหารแห่งนั้น

            เมื่อเข้าไปในร้าน เขาได้ทิ้งตัวน้องเขาลง ในขณะที่พยายามหาไม้ถูพื้นเพื่อเอามาล็อคประตู เมื่อประตูนั้นได้ถูกล็อค เขาล้มลงทันที เพราะเขาเองก็กลัวเช่นกัน เขาไม่ใช่คนกล้าหรือคนที่เข้มแข็งพอเหมือนพวกพระเอกในหนัง เขาเป็นแค่คนธรรมดาที่ค่อนไปทางไม่เอาไหนเสียด้วยซ้ำ แต่เขาต้องเข็มแข็งต้องทำตัวให้เข็มแข็งเพื่อ ปกป้องน้องของตน

            “ทำไม ทำไมเราต้องหนีด้วย เราหนีจากอะไร ทำไม”น้องเขาเริ่มโอดครวญอีกครั้ง

            “.....”เขาไม่ตอบอะไรเพราะเขาเองก็ไม่รู้

            “นี่ได้ยินไหม ฉันถามอยู่นะ แล้วพ่อแม่เป็นไงบ้าง พ่อกับแม่ละ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่...”

            “ไม่รู้โว้ยยยยยยยยยย”เขาตะคอกอย่างหมดความอดทน ทำให้น้องเขาถึงกับตะลึงงัน จนเธอฟุบหน้าลงกอดเข่าร้องไห้อีกครั้ง เขารู้สึกโกรธตัวเองที่ใส่อารมณ์กับน้องของตนอย่างนั้น เพราะถึงแม้มันจะชอบทำตัวอวดดีและเย่อหยิ่งแค่ไหนน้องเขาก็อายุแค่ 18 ปีเท่านั้น ทว่าในขณะที่เขาจะเข้าไปปลอบนั้น เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเหมือนมีคนกำลังเคี้ยวอะไรสักอย่าง ดัง กรุบ...กรับ...กรุบ....กรุบ

            “ชู่ว...ได้ยินไหม”น้องเขาหยุดร้องทันที เธอพยายามตั้งใจฟัง แล้วเธอเองก็ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน มันดังมาจากหลังเคาร์เตอร์เก็บเงิน

            เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆแล้วเดินไปตามต้นเสียง

            “นี่ มีไครอยู่ตรงนั้นหรอ” ไม่มีเสียงไดตอบกลับมา เขาเดินใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เสียงกร้วม เคี้ยวดังขึ้นเรื่อยๆ กรุบ....กรุบ....

            “นี่ ใครอยู่ตรงนั้นนะ” เมื่อเขาเดินใกล้เข้าไป เขาเริ่มสังเกตเห็นศีรษะและเสื้อรูปตารางหมากรุกของคนๆ นั้นซึ่งกำลังก้มลงกินอะไรบางอย่าง อย่างจดจ่อ เขาเริ่มเห็นน้ำสีแดงๆไหลนองมาจากสิ่งที่มันกิน ทันไดนั้นชายคนนั้นเริ่มเงยหน้าขึ้น เขาเริ่มจำได้ว่าเขาเห็นคนๆนี้จากที่ไหน ใช่แล้วเป็นคนเดียวกับที่ วิ่งมา เตือนให้พวกเขาวิ่งหนี ซึ่งตอนนี้ กำลังกิน...กินคน เนื้อสีแดงยังคงคาปาก มันถูกฉีกกระซากจนส่วนที่ถูกฉีกออกยังคงห้อยย้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วง

            “พระเจ้าช่วย นายอย่าเข้ามานะ...”น้องเขาสะดุ้งตื่นอย่างตกใจ เธอพยายามเดินเข้ามาหาเขา ในขณะที่เขากำลังเดินถอยหลังออกมาอย่างช้าๆ เมื่อชายคนนั้นหันหลังกลับมา ยิ่งทำให้เขาตื่นตระหนกและหวาดกลัวเพราะดวงตาของชายคนนั้นแดงก่ำ ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือดและในปากของเขานั้นมีเนื้อซึ่งถูกฉีกกระชากจาก “อาหาร” ที่มันกิน

            เขาก้าวถอยหลังด้วยความหวากกลัว จนสะดุดล้มกับเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างหลัง ในขณะที่มันลุกขึ้นอย่างช้าๆ เหมือนซากศพไร้วิญญาณและหันมาทางเขา น้องสาวเขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่ด้วยความกลัวทำให้เธอก้าวขาไม่ออก ถึงแม้เธออยากจะช่วยพี่เขาแค่ไหน แต่เธอก็กลัว กลัวเกินกว่าจะทำอะไรได้

            เขาพยายามคลานหนี เพราะขานั้นมันช่างทรยศและไม่เชื่อฟังคำสั่ง ทันไดนั้นเองเขารู้สึกถึงเงาดำที่กำลังคืบคลานเข้ามาอยู่เหนือหัวของตนเขาหันไปอย่างรวดเร็ว และก่อนที่มันจะพุ่งเข้ามากินเขา เก้าอี้ที่อยู่ใกล้มือที่สุดได้ถูกใช้เป็นโล่ขวางกั้นระหว่างเขากับมัน เลือดในปากของมันไหลย้อยลงมาจนถึงตัวเขา ใบหน้าและเขี้ยวอันเต็มไปด้วยเลือดของมันพยายามพุ่งเข้ามากัดเขาให้จนได้ เขาจนตรอก ถ้าเขาพยายามผลักเก้าอี้ออกไป เขาจะแน่ใจได้ไงว่าเขาจะพุ่งตัวหลบทันก่อนที่มันจะเข้ามากัดอีกครั้ง เขาจะแน่ใจได้ไงว่าขาเขาจะเชื่อฟังเขา แต่ถ้าเขายังอยู่อย่างนี้ต่อไปเขาจะต้องหมดแรงลงอย่างแน่นอนและเมื่อนั้น เขาเองก็จะถูกกินเป็นรายต่อไป

            มีเพียงน้องเขาเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้

            “ช่วยด้วย....พี่จะไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย”น้องเขายังคงนั่งตัวสั่นเทาด้วยน้ำตานองหน้า

            “ช่วยด้วย มัวทำอะไรอยู่เล่า ทำอะไรสักอย่างเซ่!”เขาเริ่มตะคอก แต่คราวนี้เขาเป็นฝ่ายร้องไห้เสียเอง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะบ่นว่า ชีวิตตัวเองนั้นไร้ค่า ควรตายๆ ไปซะ แต่ตอนนี้เขากลับกลัว กลัวที่จะตาย เขายังไม่อยากตาย ไม่ใช่โดยการถูกกัดกินเหมือนอาหารอย่างนี้!

            โครม!

            น้องเขาฟาดเก้าอี้ไปที่หัวของมันอย่างแรง จนมันชะงักลงแต่แค่ชะงักเท่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยเขารีบถีบเก้าอี้ยันมันออกทันทีจนมันกระเด็นล้มลงไปข้างหลังก่อนที่จะลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ

            โครมๆๆๆๆ!

            คราวนี้เขาเป็นฝ่ายฟาดเก้าอี้ลงไปที่ศีรษะมัน เขาฟาดลงไปไม่ยั้งจนเลือดได้ไหลออกมาจากหัวของมันกระเซ็นไปทั่วพื้น เขาฟาดอย่างไม่ยั้ง เขาฟาดด้วยแรงทั้งหมดที่มี เขาฟาดอย่างคลุ้มคลั่งพร้อมกับเสียงกรีดร้องราวกับสัตว์ร้าย เขาฟาดจนเขาหมดแรงแล้วเก้าอี้ในมือบุบเบี้ยวจนจำรูปแทบไม่ได้ พอๆกับศีรษะของมันซึ่งตอนนี้ได้หยุดนิ่ง

            เขาสูดลมหายใจแรงและถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและตื่นกลัว เขารีบทิ้งเก้าอี้ในมือของตนเมื่อเห็นรอยเลือดซึ่งชโลมทั่วมันจนแดงฉานซึ่งกำลังหยดลงถึงง้ามมือของเขา เขาพึ่งรู้สึกตัวว่าตนเองได้ทำอะไรลงไป เขาพึ่งรู้ตัวว่าตนเองได้....ฆ่า....คน

            “พี่ระวัง!” เขารีบเงยหน้าขึ้น และแทบจะไม่เชื่อภาพที่เห็นตรงหน้า มันยังไม่ตาย มันค่อยๆลุกขึ้น ในขณะที่ปากของมันห้อยย้อยลงและแกว่งไปมาเพราะกามที่หัก อะไรกัน ทำไม ทำไมมันยังไม่ตาย เขาคิดอย่างตื่นกลัวในขณะที่ตัวเองถอยไปข้างหลังและขว้างทุกอย่างที่คว้าได้ไปที่มัน แต่มันไม่รู้สึกเจ็บหรือสะทกสะท้านแม้แต่อย่างได มันเอื้อมมือทั้งสองออกมาทางเขา มันพยายามคว้าตัวเขาให้ได้

            แล้วเขาก็รู้สึกถึงของมีคมบางอย่างเขารีบคว้ามัน ในขณะที่มือของมันคว้าเขา แล้วทันไดนั้นเองเขาก็ได้

            ฉึก! แทง เขาแทงเข้าไปจนมิดด้าม เขาแทงเข้าไปที่สีข้าง....ของศีรษะมัน

            ดวงตาของมันห้อยย้อยลงในขณะที่เลือดสีแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมาจากทางที่มีดแทงเมื่อถูกดึงออก มือที่ยื่นออกมาตกลงไปแนบกาย ขาของมันอ่อนแรงและล้มลงไปเหนือเข่า ก่อนที่ร่างท่อนบนจะกระแทกลงไปกับพื้นและไม่ไหวติ่งอีกต่อไป

            มันตายแล้ว เขาฆ่ามันได้ เขาจ้องมองลงไปยังมือที่ถือมีดซึ่งเต็มไปด้วยเลือด แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ทิ้งมันลง เพราะเขามั่นใจแล้วว่าตนเองไม่ได้ฆ่าคน แต่กำลังฆ่าอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่รูปร่างเหมือนคน

            น้องเขาเดินเข้ามาใกล้ เธอจ้องมองลงไปยังมันที่ตอนนี้ศีรษะได้มีแผลเพิ่มขึ้นมาอีกรูหนึ่ง เธอเองก็มั่นใจเหมือนกันว่ามันไม่ใช่คนเพราะคนปกติคงตายไปแล้วตั้งแต่พี่เธอฟาดมันด้วยเก้าอี้อย่างไม่ยั้งแต่มันก็ไม่ตายจนกระทั่งพี่เธอแทงมันเข้าที่ศีรษะมันถึงจะตาย เหมือนในหนังที่เธอกับพี่เคยดู หนังที่สิ่งมีชีวิตตื่นขึ้นมาจากความตาย และมันจะตายอีกครั้งก็ต่อเมื่อ สมองถูกทำลาย

            ซอมบี้!

            แกร๊งๆๆๆ เสียงของถาดล่วงหล่นจากพื้นที่เคาร์เตอร์ พนักงานร้านซึ่งถูกกัดที่คอจนแหว่งไปกว่าครึ่งกำลังลุกขึ้นมา ดวงตาของเขานั้นแดงก่ำ ในขณะที่คอเกือบห้อยคว่ำลง 180 องศา

            “ว๊ากกกกกกกกกกกก”เขารีบพุ่งเข้าไปหามันพร้อมถาดเหล็ก แล้วฟาดไปที่ศีรษะของมันสุดแรงจนหัวมันทิ่มไปกับพื้น เขากระโดดข้ามเคาร์เตอร์นั้นไปเหมือนสัตว์ร้าย แล้วฟาดไปที่หัวของมันแบบไม่ยั้ง เสียงเหล็กกระทบพื้นดังก้องไปทั่วห้องนั้น น้องสาวเขายืนจ้องมองสะเก็ดเลือดที่สาดกระเซ็นมาจากหลังเคาร์เตอร์ด้วยดวงตาเบิกโพลง ถึงแม้พวกมันอาจจะเป็นผีดิบ แต่มันก็แค่อาจจะ เท่านั้นพี่เธอไม่ควรที่จะต้องทำขนาดนั้นที่สำคัญ ทำไมพี่เธอต้องมีสีหน้าแบบนั้น สีหน้าที่ดุร้ายและเกลียดชังเหมือนฆาตกรในหนัง มันทำให้เธอรู้สึกกลัว

            เวลาล่วงเลยไปหลายนาที จนกระทั่งเขาทิ้งถาดเหล็กในมือซึ่งยุบลงและเต็มไปด้วยคราบเลือด เมื่อเขาหยุดลงด้วยความเหนื่อยล้า เขาก็ต้องตกใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้าหัวของมันได้เละและแตกกระจายไปบางส่วน เลือดไหลนองไปทั่วพื้นและนองมาถึงรองเท้าของเขา เนื้อตัวเขานั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษเลือดและเศษเนื้อ มือของเขาสั่นเทาไม่หยุดเพราะความล้า นี่เขาทำมันหรือ เขาโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้หรือแล้วที่เขาทำมัน เขาทำมันด้วยความกลัวใช่ไหม ใช่ไหม....

            แต่น่าแปลกที่ใจเขารู้สึกโล่งปลอดโปล่ง เมื่อเขามั่นใจว่ามันได้กลับไปตายอีกครั้ง ไม่รู้สึกผิด กังวล หรือกลัว อีกต่อไป

            และเมื่อเขาหันไปหาน้องของตน ซึ่งกำลังมีสีหน้าที่หวาดผวา เขาจึงพยายามเข้าไปใกล้เพื่อบอกเธอว่ามันจบแล้ว ทว่าเธอกลับรีบถอยออกห่างแล้วตะคอกไล่เขา

            “อย่าเข้ามานะ”เธอกรีดร้อง ในขณะที่เนื้อตัวยังสั่นเทา

            “ไม่ต้องห่วงนะ มันตายแล้ว”เขาพูดด้วยเสียงอ่อนโยน

            “ไม่อย่าเข้ามา”แต่เขาไม่ฟังเขาพุ่งไปคว้าแขนเธอ ซึ่งพยายามสะบัดมือเขาออกแต่ไร้ผล เพราะเขาแข็งแรงกว่า

            “นี้....”

            “ปล่อยนะ...”

            “นี้ หยุดได้แล้ว นี้”

            “ปล่อยซี่ ปล่อย”

            “หยุด!”เขาตะโกนด้วยเสียงอันดังจนน้องเขาหยุด

            “ดูดีๆสิ ดูพี่ดีๆ”เธอจ้องมองพี่ชายของตนที่มีเม็ดเลือดอยู่เต็มตัว

            “ฟังพี่นะ พี่ไม่ได้บ้า และพี่จะไม่มีวันทำร้ายเธอโอเคไหม แต่ตอนนี้เราไม่มีเวลาที่จะมาอ้อยอิ่งอยู่ที่นี้แล้ว น้องก็เห็นแล้วใช่ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนั้น....คนที่พี่แทง เขาไม่ใช่พวกเราแล้ว เข้าใจไหมและถ้าเขาวิ่งมาจากทางข้างหลังเราละก็นั้น แปลว่าอาจจะมีพวกมันมาอีกก็ได้...มันต้องมาจากทางที่เขามาแน่ๆ เพราะฉะนั้นเราจะต้องหนีแล้ว”เมื่อเขาพูดจบ น้องเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น ในดวงตานั้นยังแฝงด้วยความกลัว

            “เข้าใจนะ พี่จะปล่อยมือแล้วนะ แต่น้องต้องช่วยพี่ ทำใจเย็นๆไว้ แล้วทำตามที่พี่สั่ง พี่จะปกป้องน้องเองเข้าใจไหม”ถึงแม้น้องเขายังไม่ตอบอะไร แต่เธอก็พยักหน้าน้อยๆเพื่อบอกว่าเข้าใจแล้วเขาก็ปล่อยมือเธอ เขาเดินไปที่หลังเคาร์เตอร์อีกครั้ง เขาจ้องดูมือของตนและพึ่งรู้สึกว่าตนเองก็สั่นด้วยความกลัว เหมือนกัน

            “แล้วเรา เราจะทำไงดีรถก็ไม่มี”

            “ไม่ต้องห่วงพี่เคยเรียนขับมอไซต์”

            “แล้วเราจะหามอไซต์จากไหนละ” เมื่อน้องเขาถามเขาก้มลงไปยังซากศพหลังเคาร์เตอร์ เสื้อที่ใส่นั้นเขาจำได้ว่าเป็นเสื้อของพนักงานส่งของและเมื่อเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าของมัน เขาก็เจอกุญแจรถจริงๆ จะด้วยเพราะความโล่งใจหรืออาจจะเป็นเพราะภาพอันสยดสยองตรงหน้าที่ตนได้ก่อไว้ก็มิทราบได้ เมื่อเขาลุกขึ้นยืนจึงได้อาเจียนออกมา และเมื่อน้องเขาเห็น เธอก็อาเจียนออกมาเช่นกัน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา