ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

98) บทที่ ๙๗ : ศึกษาเตรียมสอบเข้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๙๗

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ศึกษาเตรียมสอบเข้า

               เนระพูหายไปไหน? หรือว่าจะพวกโรงเรียนอื่นจะจับไปเป็นตัวประกัน?

               เด็กชายผมสีดำเกล้ามวยผมปล่อยส่วนที่เหลือลงมาเล็กน้อย ประดับด้วยพู่กันกับปิ่นปักผมที่ไม่หรูหรามากนัก เป็นรูปดอกราชพฤกษ์ที่เจียระไนจากอัญมณี เขานั่งอยู่ใต้ต้นราชพฤกษ์ที่ออกดอกบานสะพรั่งงดงามอย่างสดใส ช่างตรงข้ามกับจิตใจของเขาตอนนี้ที่เต็มไปด้วยความมัวหมอง มือถือดอกเนระพูสีไทย[1]ที่ปลูกในที่ชื้น …ยิ่งมองก็ยิ่งนึกถึงเด็กชายที่ตนเองชอบซึ่งมีชื่อตามพืชไม้พันธุ์นี้ พอเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ถูกดอกราชพฤกษ์บดบังเกือบมิดก็รู้สึกว่าใจของตนเองตอนนี้เป็นสีดำเหมือกับดอกเนระพูสีไทย ในขณะที่อย่างอื่นกำลังสดใสโดยไม่มีความมัวหมองแปดเปื้อน

               “ดอกราชพฤกษ์ฤ? …สดใสดีจังนะ”

               เขาพึมพำในขณะที่น้ำตาเริ่มคลอตามขอบตา ในใจเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ว้าเหว่ที่ไม่ได้อยู่กับคนที่ตนเองชอบ นึกโทษตนเองเงียบๆ ที่ไม่สามารถช่วยอีกฝ่ายได้ เขาเผลอกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจและรู้สึกผิด …ถ้าเกิดเขาระวังตัวมากกว่านี้คนที่ตนเองชอบก็คงไม่ถูกจับไปเป็นตัวประกัน ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง เด็กชายเช็ดน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นอย่างไร้ชีวิตชีวา แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังห้องที่ตนเองกับเด็กชายเจ้าของนามเนระพูที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันอาศัยอยู่ระหว่างเรียนที่โรงเรียนศาสตราอาคมราชพฤกษ์วิทยาคม ปีนี้เขาก็จะกำลังจะขึ้นชั้น ม.๑ ตอนนี้ก็รอให้ถึงวันเปิดเทอมมาถึง… พร้อมกับรอเนระพูด้วย

               พอมาถึงเขาก็ต้องเบิกตาด้วยความแปลกใจที่เห็นนักเรียนชายที่อยู่หอพักเดียวกัน ต่างออกมาอยู่นอกห้องที่ตนเองอาศัย เขามองไปรอบๆ และพยายามฟังว่าพวกเขาคุยอะไรกันอยู่ ที่จับใจความได้ก็มีดังนี้

               “โชคดีว่ะ อ้ายสิรไพรมันจับตัวผู้นำทางแห่งวายชนม์ได้ด้วย”

               “แต่จับสัมผัสได้ว่าเป็นวิญญาณมิติสามัญไม่ใช่เรอะ?”

               “ทีนี้ทางโรงเรียนนั่นต้องส่งเนระพูกลับมาแน่”

               เสียงเอะอะนั้นดังไปทั่วโดยไม่กลัวว่าผู้คุมหอจะมาให้โทษ ตอนนี้จากที่เขากลัวว่าจะเป็นเช่นนั้นก็กลับลืมมันไป เมื่อได้ยินว่าเนระพูอาจจะกลับมา เขาเข้าไปถามเด็กชายคนหนึ่งด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น

               “เนระพู เนระพูจะกลับมาฤ?”

               “ไม่แน่ใจน่ะ แต่อาจจะเป็นไปได้ เพราะตอนนี้สิรไพรมันจับผู้นำทางแห่งวายชนม์ได้ ทีนี้ก็ต้องรอดูต่อไปแหละว่ะ งานนี้ยื่นหมูยื่นหมา” เมื่อได้ฟังคำตอบดังนั้นเขาก็ยิ้มกว้างมากขึ้น แม้จะไม่สามารถมั่นใจได้นัก แต่ก็ยังพอมีหวังว่าเนระพูจะกลับมา เขารีบเดินไปตามหาสิรไพรเพื่อจะสนทนาเรื่องนี้

               ยังพอมีหวัง โชคดีจริงๆ

               .

               .

               .

               “อืม… หน้าตาเหมือนมาก แต่ไม่มีรอยสักยันต์นั่นเลย วิญญาณในร่างเป็นของมิติสามัญอีกต่างหาก” โคมรัตติกาล นายิกาประจำจังหวัดชลบุรีกล่าวอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาสีดำเพ่งจิตเพื่อตรวจสอบว่าใบโพธิ์ใช่ผู้นำทางแห่งวายชนม์จริงหรือไม่ ตอนนี้นางกับเขาอยู่ห้องแห่งหนึ่งที่ใช้เรียนวิชาไสยศาสตร์ ภายในห้องนี้มีคุณครูและนักเรียนคนอื่นๆ อยู่ด้วยรวมทั้งสิรไพรกับขนมฟูที่มารอดูผลการตรวจสอบ

               “ใช่หรือเปล่าคะ?” เสียงถามจากคุณครูผู้ช่วยระดับชั้นมัธยมต้น เป็นหญิงสาวผมหยักศกสีดำสนิท แต่งหน้าเข้ม สวมชุดนักศึกษาทับด้วยเสื้อแขนยาวสีดำ หน้าอกใหญ่นั้นดึงดูดสายตาได้ยามถอดเสื้อนอกออก ถึงลักษณะของเธอจะเหมือนเป็นสาวเปรี้ยวแต่ถ้าได้คุยกันจะทราบทันทีว่าเป็นหญิงสาวที่เรียบร้อยมาก แถมใจดีอีกต่างหาก ชื่อของเธอคือ ผกามาลย์ ชมพูนิลกาฬ โคมรัตติกาลมองผาอย่างกังวลพลางตอบ

               “มิแน่ใจ ถึงใบโพธิ์จะมีวิญญาณเป็นของมิติสามัญ แต่ก็มิแน่ว่าผู้นำทางแห่งวายชนม์จะมีวิญญาณของมิติสามัญ ประวัติที่ว่ามีวิญญาณเป็นของมิติผกายอาจจะโกหกก็ได้ ส่วนยันต์ข้าเปิดดูแล้วมิเจอ แต่ก็ต้องรอดูไปก่อน บางทียันต์อาจจะซ่อนอยู่ก็ได้” สิรไพรจ้องโคมรัตติกาลอย่างใช้ความคิด ขนาดนายิกายังดูไม่ออกเลยว่าใบโพธิ์เป็นอย่างไรกันแน่ แล้วจะมีนายิกา รองนายิกาหรือบุคคลอื่นๆ ที่เก่งบ้างมาตรวจสอบแล้วทราบที่ไหนอีกล่ะ

               “แต่ช่างก่อนเถิด ถ้าเกิดเป็นผู้นำทางแห่งวายชนม์จริงล่ะก็ ลองไปยื่นหมูยื่นแมวกับโรงเรียนที่จับตัวบุตรชายของมฤตยูแห่งสรวงสวรรค์ดู ก็จะเป็นผลดีต่อโรงเรียนพวกเจ้า”

จากที่นางกล่าว โรงเรียนในมิติผกายนี้จะค่อนข้างโหดร้าย เพราะในแต่ละโรงเรียนนั้นจะมีบุคคลหนึ่งที่เป็นผู้เก็บวิญญาณเพื่อนำมาเป็นพลังหรือไม่ก็ใช้ประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อโรงเรียน ถึงแม้นักเรียนคนอื่นจะทำได้แต่บุคคลที่กล่าวมานั้นจะเป็นผู้ที่เคยผ่านพิธีแห่งความตายมาแล้ว และจะต้องมีความสามารถด้านการวิชาและต่อสู้สูง เสมือนว่าเป็นแม่ทัพ ส่วนนักเรียนคนอื่นก็เหมือนกับทหาร แต่หากถูกจับตัวไปก็จะต้องบอกคาถาลับของโรงเรียน มอบวิญญาณส่วนหนึ่งของตนเองและวิญญาณที่เก็บมาได้ …ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับเชลย

               “อืม…” เสียงครางอย่างใช้ความคิดนั้นมาจากหญิงสาวผมลอน สวมเสื้อแขนตุ๊กตากับกระโปรงระบาย เธอเป็นคุณครูสอนระดับชั้นมัธยมต้น วิชาอังกฤษ ชื่อของเธอคือ วารีญา ฑีรณี สีหน้าที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิดนั้นทำให้ผกาอดถามไม่ได้ เผื่อว่าญาจะทราบบางอย่าง

               “พอจะทราบอะไรไหมคะ?”

               “ไม่เลย” ญาตอบพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ใบหน้าที่แต่งหน้าเข็มแสดงสีหน้าหมดหวัง โคมรัตติกาลมองไปรอบๆ ทั้งนักเรียนและคุณครูต่างแสดงสีหน้าหมดหวังเสียส่วนใหญ่ เห็นดังนั้นก็รู้สึกผิดที่ช่วยตรวจสอบไม่ได้ว่าใบโพธิ์เป็นใคร นางเลยตัดสินใจกล่าวแนะนำไปก่อนเผื่อจะดีขึ้น

               “สลดเชียว ก็บอกแล้วอย่างไรว่ามิแน่ใจ มิได้หมายความว่าจะมิใช่เสียหน่อย ระหว่างนี้ก็ลองให้ใบโพธิ์เรียนกับพวกเจ้า ไหนๆ ก็ความจำเสื่อมแล้วคงมิน่าจะเป็นภัย สังเกตไปก่อนแล้วกันเผื่อว่าจะได้ความมากขึ้น” ระหว่างที่นางกล่าวอยู่นั้น ก็มีเด็กหญิงสวมเสื้อแบบฮู้ดสีส้มอมแดง สวมกางเกงที่ป่องเล็กน้อยกับรองเท้าผ้าใบ ผมสีเขียวยาวนั้นถูกเกล้าแล้วถักเป็นเปีย เธอชื่อ ลออ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนศาสตราอาคมราชพฤกษ์วิทยาคม ซึ่งตามจริงเธอมีอายุมากแต่เพราะอยากกลับไปเป็นเด็กก็เลยจำแลงร่างเป็นเด็กวัยประถม …เหตุผลจริงๆ ก็มีมากกว่านี้ แต่เจ้าตัวไม่ค่อยบอกใครสักเท่าไหร่นัก

               “มีเด็กเพิ่มมาแล้ว ดีจังเลย รับมาเป็นศิษย์โรงเรียนเราด้วยดีกว่า” ลออกล่าวด้วยความยินดี ดวงตาเขียวฉายความเอ็นดูแฝงไปด้วยความสนุก จนใบโพธิ์สังหรณ์ในใจไม่ดี ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขารู้สึก เมื่อญากล่าวอย่างเบื่อหน่ายกับอุปนิสัยของลออ

               “บางครั้งหนูก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าครูลออเปิดโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กกันแน่น่ะค่ะ”

               “คนเป็นครูก็ต้องดูแลเด็กนักเรียนด้วย ก็มิต่างอะไรกับพี่เลี้ยงดอก” ลออกกล่าวอย่างไม่รู้สึกอะไร กลับกันใบหน้ามนมีรอยยิ้มกว้างแย้มอยู่ ใบโพธิ์มองเธอด้วยสายตาแบบเดียวกับญาและคนอื่นๆ บางคน อีกใจก็รู้สึกยินดีที่อาจจะได้เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียเงิน เพราะที่ลออบอกว่าจะรับเป็นศิษย์โรงเรียนนี้ ก็น่าจะพอทราบว่าเขาความจำเสื่อม แน่นอนว่าย่อมไม่รู้ที่อยู่ของตนเอง ฉะนั้นแล้วเรื่องเงินยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง …ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้บางส่วน

               “แต่… ถึงจะให้เข้าเรียนฟรีๆ ก็ใช่ว่าจะมิต้องสอบเข้านะ” ลออกล่าวต่อ หลังจากนั้นดวงตาของทุกคนก็เบิกตาด้วยความฉงนและแปลกใจ …เพราะถ้าเกิดใบโพธิ์เป็นคนมิติสามัญจริง หลักสูตรเนื้อหาเรียนถึงมิติผกายจะเหมือน แต่ก็มีบางอย่างเพิ่มมาด้วย อาทิ วิชาภาษากัมพูชา วิชาไสยศาสตร์ วิชาการต่อสู้ อย่างมวยไทย ดาบ ธนู ซึ่งแน่นอนว่าทุกโรงเรียนในมิติผกายต้องมี แต่มิติสามัญไม่มี ถ้าเกิดจะเรียนก็ต้องไปสถานศึกษาที่เขารับโดยเฉพาะ …จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ใบโพธิ์น่าจะไม่เคยเรียน

               “หนูต้องรับบททดสอบ ทั้งการเรียนและวิชาต่อสู้” ลออบอกกับใบโพธิ์ที่หน้าซีดเมื่อเธอกล่าวจบ ในใจสังหรณ์อีกว่าต้องไม่ง่ายแน่ เขาคาดได้จากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของลออ

               “ตอนแรกว่าจะให้สอบแบบธรรมดา แต่พวกคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อังกฤษ อะไรอย่างนี้ก็คงจะง่ายไปกับการเข้าเรียน ฉะนั้นแล้ว… ครูจะให้เธอสอบวิชาภาษากัมพูชา และสอบภาคปฏิบัติอย่างการต่อสู้ มวย ดาบ ธนู แต่ไม่ต้องห่วงไป ครูจะให้ข้อสอบวิชาภาษาไทยด้วย ซึ่งมีโจทย์ทั้งหมดร้อยกว่าข้อ ถ้าทำได้เกิน ๑๐๕ ข้อ บวกกับวิชาอื่นที่ได้น้อยก็จะมิต้องจ่ายอะไรจนถึง ม.๓”

               กล่าวจบ ทั้งห้องก็เงียบเป็นเป่าสาก บรรยากาศไม่ชอบมาพากลจากลออที่ยิ้มแฉ่งราวกับไม่ได้กล่าวอะไรผิด เธอก็ไม่ได้กล่าวผิดจริงๆ นั่นแหละ แต่เพียงแค่ว่าทำให้เด็กชายคนๆ หนึ่งยืนเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงราวกับมันจะเด้งออกนอกอกเสียให้ได้ เขากลืนน้ำลายอย่างลำบากก่อนจะถามด้วยเสียงแผ่วเบา

               “คงไม่ใช่ว่าจะให้สอบวันนี้หรอกนะครับ”

               “สอบวันนี้จ้า” ลออมีสีหน้าที่เบิกบานมากขึ้น ราวกับเด็กได้ของเล่น แต่กับเด็กชายแล้วรู้สึกเหมือนภูเขาพังทลายลงมาทับเขา บดบังแสงสว่างแห่งความหวังไว้จนมิด สิรไพรเห็นสีหน้าของใบโพธิ์ก็หัวเราะเยาะ ทำให้คนถูกหัวเราะได้สติกลับมาแล้วหันไปตวาดใส่

               “สิรไพร นายลองมาเจอแบบฉันบ้างไหมล่ะ?!”

               “ฮ่ะๆๆ ก็เอาสิ แต่อย่าลืมตัวเองด้วยละกัน ผอ. เมตตาเอ็งมากแล้วนะ ทำข้อสอบที่ตนเองไม่เคยเรียนแลกกับค่าเรียนโดยที่เอ็งมิต้องหาเงินมาจ่าย รวมทั้งค่าไฟ ค่าอาหาร อุปกรณ์การเรียน และหนังสือกับสมุด จนถึง ม.๓ มิมีอะไรจะคุ้มไปกว่านี้แล้ว” ใบโพธิ์ครุ่นคิดหลังจากฟังจบ รู้สึกว่าคุ้มจริงๆ นั่นแหละ

               “แหมๆ ครูยังมิได้บอกเลยว่าจะให้สอบบัดเดี๋ยวนี้เลย นับจากชั่วโมงนี้ไปอีก ๓ ชั่วโมงค่อยมาสอบก็ได้ ไปศึกษาเนื้อหาวิชาละหนึ่งชั่วโมง ดีไหมจ๊ะ?” ลออกล่าวต่อ ใบโพธิ์พยักหน้าก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก อย่างน้อยเขาก็ยังพอมีเวลาเตรียมตัวอยู่

               “เอาล่ะ ไปศึกษาเนื้อหาได้แล้ว” กล่าวจบก็เดินออกจากห้อง คุณครูและนักเรียนคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันด้วยความกังวลและเป็นห่วงในตัวใบโพธิ์ ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนอื่น แต่เขาเสียความทรงจำไปเลยอดรู้สึกสงสารไม่ได้ คนอื่นๆ เดินออกจากห้อง บางคนผ่านหรือแวะมาหาก็ให้กำลังใจ หลังจากนั้นสิรไพร ใบโพธิ์และขนมฟูก็ออกจากห้องไปด้วย

               เฮ่อ… เราจะทำได้ไหมนะ?

 

               “ท่องและเขียนคำว่า ซัวสไดย ซกสบายดี เรียนซันเฮย ออกุน [2]ได้แล้วก็มาทบทวนพยัญชนะต่อ”

               ขนมฟูกล่าวหลังจากช่วยสอนให้ใบโพธิ์ ซึ่งก็มีสิรไพรมาช่วยด้วย แต่จะกล่าวว่าช่วยก็คงไม่เหมาะนักเพราะเขาจะเยาะเย้ยและดูถูกใบโพธิ์เสียมากกว่า แต่ใบโพธิ์ทำเป็นไม่สนใจ เพราะมีเวลาจำกัดในการเรียนเลยไม่อยากโต้เถียงให้เสียเวลา ทว่าจากตอนแรกที่เขาคิดว่าไม่ได้เพราะนึกว่าตนเองไม่เคยเรียนก็ต้องผิดใหม่ เมื่อลองอ่านคร่าวๆ เขาก็รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเห็น คราแรกที่ขนมฟูลองให้อ่านและเขียนโดยไม่ต้องเปิดหนังสือดูหลังจากอ่านไปเพียงสามครั้ง ใบโพธิ์ก็สามารถเขียนได้อย่างถูกต้อง ถึงจะมีหยุดลังเลด้วยความไม่แน่ใจบ้างก็ตามที ยิ่งอ่านก็ยิ่งจำได้อย่างรวดเร็ว จนตัวเขาเองยังตกใจจนอดคิดไม่ได้ว่า ความจริงแล้วตนเองอาจจะเคยเรียนมาก่อน แต่พอสูญเสียความทรงจำไปเลยลืมเลือน ทั้งๆ ที่อ่านไปเพียงสามครั้ง อ่านยังไม่เท่าไหร่แต่เขียนด้วยนี่สิ เขาเหลือเชื่อในตัวเองจริงๆ ขนมฟูเองก็เช่นกัน

               “บางทีเอ็งอาจจะเคยเรียนมาก็ได้นะ …อืม เอาอย่างนี้ไหม? ไหนลองเขียนคำศัพท์ทั้งหมด ๒๐ คำ นี่ดูซิ ข้าให้เวลา ๕ นาที” สิรไพรกล่าวอย่างไม่มีความเมตตา เพราะ ๕ นาที สำหรับอ่านแล้วจำว่าต้องเขียนอย่างไร ๒ คำยังไม่เพียงพอเลย แล้วนี่จะให้ใบโพธิ์เขียน ๒๐ คำ เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้ ใบโพธิ์นึกเคืองสิรไพร ถึงจะอยากบอกว่าเวลามันน้อยไป แต่ก็คิดในแง่ดีว่าจะได้ฝึกตนเองไปในตัวด้วย เขาเลยต้องทำใจ พลิกหน้ากระดาษอ่านอย่างตั้งใจ

               เมื่อหมดเวลาแล้วเขาก็รีบหยิบดินสอขึ้นมาก่อนจะเขียน เสร็จแล้วก็ส่งไปให้ขนมฟูซึ่งรอตรวจอยู่ก่อนแล้ว

               “ดีจัง ถูกหมดทุกคำเลย …ฉันว่านายต้องเคยเรียนมาก่อนอย่างที่สิรไพรบอกก็ได้” ขนมฟูยิ้ม ใบโพธิ์ยิ้มแห้งๆ อย่างไม่รู้จะตอบอะไร

               หลังจากนั้นจนหมดชั่วโมงแล้ว ก็ไปเรียนมวยตามด้วยวิชาอื่นที่ลออบอก มีเพื่อนคนอื่นๆ มาช่วยสอนด้วย ซึ่งใบโพธิ์ก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อ สิรไพรที่ยืนยิ้มหยันนั้นซ่อนความรู้สึกบางอย่างใต้แว่นตาดำที่ฉายผ่านแววตา ในขณะที่โห่ร้องเมื่อใบโพธิ์แพ้เพื่อนที่ช่วยเป็นคู่ซ้อม ในใจก็คิดไปด้วย

               เรียนรู้ได้เร็วถึงเพียงนี้ ถ้ามิใช่ว่าเคยเรียนจริงๆ ก็ต้องเป็นอัจฉริยะ …ฤๅว่าจะเป็นผู้นำทางแห่งวายชนม์จริงๆ?

 

               ใบโพธิ์ สิรไพร ขนมฟูและเพื่อนบางคนที่ช่วยสอนก็มายังห้องแห่งหนึ่งในเรือนไทย ขนมฟูส่งสายตาอย่างกังวลพร้อมกับโบกมือเล็กน้อยให้กำลังใจ คล้ายกับกระต่ายยกขาหน้า รวมทั้งเพื่อนคนอื่นๆ ที่ส่งท่าทางให้กำลังใจด้วย ใบโพธิ์มองภาพนั้นก่อนจะยิ้มด้วยความดีใจที่รู้ตัวว่าตนเองยังไม่ได้อยู่เพียงลำพัง พอเข้าไปในห้องก็พบว่าลออนั่งไขว่ห้างรออยู่ก่อนแล้ว ดวงตาสีเขียวเป็นประกายน่าหวาดหวั่นแม้จะอยู่ในที่สลัวก็ตามที ใบโพธิ์ยืนนิ่งตรงประตู กลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนจะเดินไปหาลออ เธอหัวเราะในลำคอก่อนจะหยิบกระดาษที่พิมพ์โจทย์กับข้อเลือก-ข้อเขียน

               …ถึงเวลาที่ต้องผ่านการทดสอบเสียแล้วล่ะ

 

               “เฮ่อ ดีนะที่เคยเรียนมาบ้างแล้ว ภาษากัมพูชายังพอไหวนะ แต่คาถาและยันต์ที่ใช้ด้วยนี่สิ” ศรีกล่าวหลังจากพักการอ่านเพิ่มเติมจากที่เคยเรียนมาตอนเยาว์วัย เฉาก๊วยหัวเราะก่อนจะยื่นแขนเพื่อคลายความปวดเมื่อยบ้าง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงยานๆ

               “นั่นน่ะสิ… ถึงจะเคยเรียนแต่พอมาดูอีกทีมันก็ลืมๆ บ้างแล้วอะ” อสุรามองทั้งสองคนด้วยแววตาเหม่อลอย ศรีสังเกตเช่นนั้นเลยถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรเหรอคะ?” อสุราสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบ

               “เปล่าจ้ะ” เธอยิ้มบางๆ ทว่าแฝงไปด้วยความไม่สบายใจ ศรีเห็นว่าถึงจะถามไปพี่สาวของตนเองคงไม่ยอมบอกแน่ ดวงตาสีดำฉายความเป็นห่วง เธอคิดว่าไว้ให้อสุราบอกคงจะดีกว่า ฝืนให้เจ้าตัวบอกก็อาจจะทำให้กดดันมากขึ้น

คงกังวลเรื่องที่เราต้องไปเรียนที่มิติผกายกระมัง          

 

 

 

 

[1] ชื่อวิทยาศาสตร์    Tacca chantrieri Andre    วงศ์  TACCACEAEชื่อภาษาอังกฤษ    Bat flower

ชื่ออื่น  -  ว่านนางครวญ (ใต้), ว่านค้างคาวดำ, เนระพูสีไทย (กลาง), เนียมฤาษี (เชียงใหม่), ดีงูหว้า (เหนือ), ว่านหัวฬา (จันทบุรี),ว่านพังพอน (ยะลา),  ละเบ๊าะบูเก๊ะ (มลายู), ม้าถอนหลัก (ชุมพร), ดีปลาช่อน (ตราด) เนระพูสีไทย เป็นไม้ล้มลุกมีเหง้าเจริญตามแนวราบใต้ดิน  ชอบขึ้นในที่ชื้น  ระบายน้ำได้ดี และมีแดดรำไร โดยธรรมชาติจะพบในป่าดงดิบชื้น ในระดับความสูง ๕๐๐-๑,๕๐๐ เมตร   ใบรูปหอกแกมรูปไข่  ขอบใบเรียบปลายเรียวแหลม   กว้างประมาณ ๑๐ ซม. ยาวประมาณ๔๐ ซม. โคนใบมน หรือเฉียง  แผ่นใบสีเขียวเข้มกว่าท้องใบ  ก้านใบสีเขียวคล้ำชูขึ้นสูง ออกดอกปลายฝน  ดอกของเนระพูสีไทยมีสีม่วงดำ ก้านดอกชูขึ้นมาสูงจากกลางกอช่อดอกเป็นแบบช่อกระจุกดอกออกแน่นล้อมรอบด้วยใบประดับรูปไข่ ๒ ใบ ตรงกลางดอก มีเกสรตัวผู้และตัวเมียสีดำสนิท  มีกลีบดอก ๒ กลีบ  ลักษณะรีรูปทรงกลม รังไข่ใต้วงกลีบ ดอกด้านใน จะเป็นเส้นยาวคล้ายด้าย ยื่นห้อยลงมา   เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว  ดอกของ

[2]ซัวสไดย แปลว่า สวัสดี ซกสบายดี แปลว่า สบายดีไหม เรียนซันเฮย แปลว่า ลาก่อน  ออกุน แปลว่า ขอบคุณ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา