ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

96) บทที่ ๙๔: ตำนานและนิทานที่กำลังจะเป็นจริง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๙๕

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ตำนานและนิทานที่กำลังจะเป็นจริง

                เขามองไปรอบๆ แล้วหยุดเมื่อเห็นร่างเกือบโปร่งแสงยืนจับข้อมือเขาอยู่ สีหน้าฉงนเปลี่ยนเป็นอำมหิต เขาสะบัดมือออกก่อนจะดึงโซ่ให้ออกจากโลงศพ

               “จะมาเอาร่างคืนฤ? ฝันไปเถิด!” กล่าวจบโซ่หลายเส้นพุ่งไปมัดร่างโปร่งแสงไว้ หากไม่ใช่เพราะว่ามันลงอาคมไว้ก็คงไม่สามารถมัดวิญญาณได้ วิญญาณเด็กชายมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัว พยายามจะดิ้นให้หลุดแต่ดูเหมือนว่ายิ่งดิ้นมากเท่าไหร่อีกฝ่ายจะรัดโซ่ให้แน่นขึ้น

               …เราตายแล้ว? ตายแล้วจริงๆ เหรอ? แล้วหมอนี่มันเป็นใคร ทำไมถึงใช้โซ่มัดวิญญาณได้?

               “ยอมเสียเถิด จะไปภพหน้าดีๆ ฤๅจะมาเป็นทาสของข้า!” กล่าวจบเด็กชายผมสีขาวก็ดึงโซ่อย่างแรงส่งผลให้ร่างโปร่งแสงล้มลงนอน เด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์กัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ รู้สึกว่านานเข้าจะร้อนเพราะอาคมจากโซ่ เสมือนกับว่าโซ่นั้นดูดพลังวิญญาณไปด้วยถึงทำให้เขารู้สึกหมดแรง

               “นายเป็นใครกัน? ถึงต้องมาทำร้ายฉันด้วย!” ถามด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย อีกฝ่ายแสยะยิ้มก่อนจะตอบ “ข้าเป็นใครเอ็งมิจำเป็นต้องรู้ดอก ที่รู้ๆ ตอนนี้เอ็งจะได้มาเป็นของเล่นข้าแล้วล่ะ”

               “ของเล่นอะไร? อย่ามาทำเหมือนชีวิตคนอื่นเป็นของเล่นนะ!”

               “ก็นะ ช่วงนี้ข้าเบื่อๆ ด้วยเลยคิดจะหาใครสักคนมาทรมาน อีกอย่างนะ เอ็งน่ะตายไปแล้วนี่” กล่าวจบก็หัวเราะอย่างนึกสนุกที่จะได้อีกฝ่ายมาเป็นร่างให้ทรมาน ใจของเด็กชายที่ถูกมัดพลันเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว นี่เขายังไม่ได้ทำใจกับการตายของตนเองแล้วยังจะต้องมาถูกทรมานอีกหรือ?

               “เอาล่ะ ทีแรกว่าจะไปทำธุระก่อน แต่สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณของเอ็งเลยต้องหยุดมาเล่นด้วย เช่นนั้นกลับไปก่อนละกัน ค่อยมากินศพทีหลัง” เด็กชายผมสีขาวกล่าวไปก็ลากอีกฝ่ายมาด้วย ถึงจะไม่รู้สึกเจ็บสากเพราะพื้นผิวขรุขระที่พื้นแต่ก็เจ็บปวดเพราะพลังอาคม …พลังวิญญาณถูกดูดไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็หมดแรง ก่อนจะหลับไปด้วยความอ่อนล้า

               .

               .

               .

                         “อือ…”

          เด็กชายครางออกมาเบาๆ เมื่อลืมตาเต็มก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องแบบเรือนไทย ภายในห้องนี้มีอาวุธบางอย่างแขวนอยู่กับผนัง มองไปรอบๆ ก็เห็นว่าเด็กชายผมสีขาวกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ใบหน้าของเด็กชายพลันเปลี่ยนเป็นแปลกใจ ดูจากอุปนิสัยแล้วเด็กชายผมสีขาวไม่น่าจะอ่านหนังสือ ถ้าเห็นว่าเล่นเกมค่อยน่าชินตา คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่ทันไรอีกฝ่ายก็เงยหน้าจากหนังสือมามองผ่านแว่นตาสีดำพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม นี่ถ้าเกิดเด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์มีร่างป่านนี้ขนคงลุกซู่แล้วล่ะ

                    “ฟื้นแล้วเรอะ? ปวกเปียกว่ะ กะอีแค่โซ่ดูดวิญญาณ” เด็กชายผมสีขาวกล่าวไปก็เขย่าโซ่ไปด้วย เด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์ไม่เอ่ยอะไร จ้องอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง “ลองมาโดนบ้างไหมล่ะ”

                     “เฮอะ! ของแบบนี้ข้าโดนประจำแล้วล่ะ” เด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์มองอย่างแปลกใจและฉงน ที่ได้ฟังว่าอีกฝ่ายโดนประจำ “จะว่าไป นายใช่คนที่ฝั่งฉันหรือเปล่า?” เด็กชายผมสีขาวเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะแล้วตอบ “ใช่เสียที่ไหนกันเล่า ข้าเผอิญผ่านมาเท่านั้นแหละ”

                    “ฉันไปสร้างกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอคนแบบนาย” เด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์ถอนหายใจหลังจากกล่าวจบ “หึๆ … เอ็งสร้างกรรมแต่ดูท่าว่าข้าจะสร้างบุญ ถึงได้มาเจอกับวิญญาณของมิติสามัญ โชคดีจริงๆ” 

                    จากที่เขากล่าว วิญญาณมิติสามัญกับมิติผกายมีส่วนคล้ายคลึงกัน ตรงที่ว่าวิญญาณมิติสามัญจะบริสุทธิ์กว่าวิญญาณมิติผกาย ที่เป็นเพียงเศษวิญญาณจากการที่ผู้สร้าง …เมื่อบริสุทธิ์ก็ย่อมแปดเปื้อนง่าย ฉะนั้นแล้วเด็กชายผมสีขาวถึงถูกใจเด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์นัก อีกฝ่ายที่ถูกมัดด้วยโซ่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

                    “มิติสามัญ มิติผกาย คืออะไร นายคิดจะหลอกอะไรฉัน?”

                    “ขี้เกียจอธิบายว่ะ แต่เห็นแก่ที่เอ็งจะมาของเล่นข้าบอกให้เป็นบุญละกัน มิติสามัญก็คือโลกที่เอ็งอยู่ เป็นโลกธรรมดาๆ ในขณะที่มิติผกายเป็นโลกที่มีการใช้ไสยศาสตร์ เวทมนตร์ มีสิ่งมีชีวิตประหลาดในตำนาน อย่างพวกยักษ์ ครุฑ …อืม ดูท่าเอ็งจะมิเชื่อสินะ” เด็กชายผมสีขาวเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อจึงหยุดไว้ก่อนจะกล่าวต่อ

                    “ไปเขียนนิยายส่งสำนักพิมพ์ท่าจะดีนะ” เด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์กล่าวอย่างล้อเลียน ใบหน้าที่มีรอยยิ้มของเด็กชายผมสีขาวมีความไม่พอใจแฝงอยู่

                    “อยากตายมากนักใช่ไหม? …เอ็งดูตัวเองเป็นตัวอย่างสิ ลืมไปแล้วฤว่าตายไปแล้ว” ได้ฟังเช่นนั้นเด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์ก็เงียบไป ใจหายวาบเมื่อนึกถึงความตายที่มาพรากวิญญาณตนเองไปแล้ว เด็กชายผมสีขาวเห็นว่าอีกฝ่ายไม่กล่าวอะไรเลยอ่านหนังสือต่อ แต่อ่านได้ไม่กี่คำก็ต้องหยุดเมื่ออีกฝ่ายกล่าวขึ้นมาเบาๆ

                    “…จะว่าไป ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้เลย…”

                   “หืม? นี่เอ็งเป็นผีความจำเสื่อมเรอะ?” เด็กชายผมสีขาวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ คำพูดของเขาเสียดแทงจิตใจอีกฝ่าย ทว่าเจ้าตัวไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไร “ก็คงจะอย่างนั้น” เด็กชายผมสีขาวปิดหนังสือก่อนจะยกขามาไขว่ห้างแล้วกล่าว

                  “น่าสนุกดีนี่ …ตามล่าหาความทรงจำ จะว่าไปเอ็งก็เป็นคน--- มิใช่สิ วิญญาณมิติสามัญ ชักน่าสงสัยแล้วสิว่าศพมิติสามัญมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ดูท่าแล้วคงจะเป็นคนมิติผกายแน่ๆ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ เด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์แสดงสีหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดูมั่นใจนัก

                   “รู้ได้ไง?”

                  “ต้องอธิบายอีกแล้ว ให้ตายสิ” ถึงจะกล่าวเช่นนั้นแต่จำต้องบอก “มิติผกายมีกฎว่าห้ามฆ่าคนมิติสามัญ อย่างเอ็งก็เป็นคนมิติสามัญแต่ศพดันมาอยู่ที่นี่ ถ้ามิใช่เพราะว่าอยากหลบหนีจากการจับกุมของพวกตำรวจที่นั่นก็ต้องมาซ่อนไว้ที่นี่”

                 “ฟังแล้วขัดๆ จังนะ ในเมื่อห้ามฆ่าคนมิติสามัญก็ต้องไปซ่อนที่มิติสามัญสิ ไม่อย่างนั้นคนมิติผกายก็จะมาเห็นเข้าแล้วไปแจ้งความ” เด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์แย้งอย่างไม่เข้าใจ ได้ฟังเช่นนั้นเด็กชายผมขาวก็ชะงัก เพราะเพิ่งเห็นจุดบอดที่มองข้ามไป

                 “เออ จริงด้วยแฮะ” อีกฝ่ายถอนหายใจโดยไม่กล่าวอะไรอีก ส่วนเด็กชายผมสีขาวลุกขึ้นไปหาอะไรทานในตู้เย็นที่ห้องครัว เด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์ผ่อนคลายก่อนจะหลับโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่แกล้งอะไรอีก

 

                 หลังจากทำธุระเสร็จแล้ว เฉาก๊วย ศรีและอสุราก็จะกลับไปยังมิติสามัญ ซึ่งทีแรกเฉาก๊วยคิดว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนๆ และนายิกากับรองนายิกาที่ตนเองสนิทด้วยกัน แต่เพราะด้วยความที่แต่ละคนไม่ได้อยู่ในจังหวัดเดียวกันเลยทำให้การใช้อาคมไปนั้นเปลืองพลังวิญญาณไปค่อนข้างมาก เลยจำต้องกลับไปโดยไม่ติดต่อบอกกับคนอื่นๆ เพราะหากบอกไปแล้วเกิดตามมารับขึ้นมาทั้งสามคนจะรู้สึกเกรงใจมากๆ

                ในระหว่างที่กำลังเดินเล่นในโรงเรียน ศรีก็เหลือบเห็นเด็กหญิงหน้าตาลูกครึ่งเอเชียกับตะวันตก ผมสีฟ้าเกล้าเป็นทรงหางม้า ตาสีเดียวกับผม สวมชุดนักเรียน ศรีเหลือบๆ มองเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวพลางนึกไปด้วย ว่าเคยเจอเด็กหญิงผมสีฟ้าที่ไหนมา ก่อนที่ความทรงจำอันเลือนรางจะฉายในความคิด

                …เด็กหญิงคนนั้นคือเพื่อนที่เคยเรียนวิชามวยไทยกับศรีเมื่อครั้นยังอยู่ ป.๔

                “ฟรานี!” ศรีแยกทางไปหาเด็กหญิงคนนั้น อีกสองคนมองด้วยความแปลกใจก่อนจะเดินตามศรีไป เด็กหญิงผมสีฟ้าหันมามองศรีอย่างฉงนก่อนจะถาม “เธอเป็นใครน่ะ?”

                “ศรีจ้ะ จำได้ไหม? เราเคยเรียนมวยด้วยกันตอนปิดเทอมกลางภาค ป.๔ น่ะ” อีกฝ่ายมองไปทางอื่นอย่างใช้ความคิด พยายามขุดความทรงจำที่หลงเหลือไม่มากนัก เมื่อนึกได้แล้วจึงตอบ

                “เธอนี่เอง สังรศรี วีรสังฆะ ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”

                 เด็กหญิงเจ้าของนาม ฟรานี ยิ้มบางๆ หากไม่สังเกตดีๆ จะนึกว่าเธอยิ้มมุมปาก ศรีพอจะรู้จักนิสัยใจคอฟรานีได้ในระดับหนึ่ง ว่าเป็นคนที่ไม่ชอบแสดงสีหน้ามากนัก แถมรักสันโดษเหมือนเธอด้วย (ถึงแม้ช่วงนี้จะไม่ค่อยได้อยู่คนเดียวก็ตาม) ภาพฟรานีในวัยประถมต้นขี่จักรยานไปซื้ออาหารช่วงพักกลางวันของการเรียนมวย …การขี่จักรยานก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เธอชอบ

                “จ้ะ จากตอนนั้นรู้สึกว่านานมากยังไงไม่รู้ ว่าแต่เธอรู้จักมิตินี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอจ๊ะ มิตินี้วิเศษไปเลย ว่าไหม?” ศรีถามอย่างตื่นเต้น การได้พบเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานนั้น พอได้คุยอะไรแล้วก็รู้สึกว่าน่าตื่นเต้นไปหมด ฟรานีขำในลำคอก่อนจะตอบ

                “เธอนี่ไม่เปลี่ยนไปเลย มิตินี้ฉันรู้จักหลังจากเรียนมวยเสร็จได้ไม่นานเอง”

                “อืม จะว่าไปฟรานีติดต่อเพื่อนคนอื่นได้เปล่า ฉันไม่รู้ทางติดต่อกับกาญยะ เงาและปืนไกลได้เลยน่ะ” รอยยิ้มบนใบหน้าฟรานีหายไป เหลือเพียงความเรียบเฉยและเย็นชาที่แฝงอยู่เหมือนแต่เดิม

                “สามคนนั้น… อย่าไปสนใจเลย” เธอกล่าวเรียบๆ ก่อนจะเดินต่อ ศรีจับข้อมืออีกฝ่ายเพื่อรั้งไว้ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบายใจ “ฟรานีกับสามคนนั้นทะเลาะอะไรกันเหรอ? ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?” ถึงจะรู้สึกว่าล่วงเกินเรื่องส่วนตัว แต่เธอไม่สบายใจจริงๆ หากเพื่อนมาทะเลาะกัน ฟรานีมองศรีเล็กน้อยก่อนจะมองไปข้างหน้า

                “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอก”

                “ถ้ามีเรื่องอะไรเล่าให้ฉันฟังด้วยนะ เผื่อจะช่วยอะไรได้” ศรีกล่าวเบาๆ ฟรานีถอนหายใจก่อนจะยกมือมาวางบนบ่าของอีกฝ่าย “เฮ่อ… ทีเรื่องของคนอื่นเธอนี่เป็นกังวลจังนะ อย่าใส่ใจเลย ก็แค่เคืองนิดๆ หน่อยๆ เดี๋ยวก็คืนดีแล้ว” ได้ยินเช่นนั้นศรีก็เริ่มสบายใจ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะกล่าว

                “ดีจังเลย ถ้าอย่างนั้นฉันขอกลับก่อนนะ โชคดีจ้ะ” ศรีโบกมือให้ฟรานี อีกฝ่ายยิ้มบางๆ พร้อมกับโบกมือเล็กน้อย ก่อนจะแยกจากกัน ศรีเดินไปหาเฉาก๊วยกับอสุราพร้อมกับรอยยิ้ม

                “เจอเพื่อนด้วย ดีใจจัง”

                “เจอกันตอนเรียนวิชาต่อสู้ช่วงปิดเทอมสินะ ดีแล้วล่ะที่มีเพื่อนเยอะๆ” เฉาก๊วยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม อสุราพยักหน้าแล้วยิ้มบางๆ ผิดกับในใจที่หึงหวงศรี

                หวังว่าเด็กที่ชื่อฟรานีนั่นจะไม่ได้ชอบศรีนะ

 

                   ว้าเหว่… นั่นคือความรู้สึกของปักษธรยามมองหิมะโปรยปราย ตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่ตรงชานเรือนไทยแบบภาคเหนือ มือซ้ายถือร่มบ่อสร้างกางกันหิมะไม่ให้เปื้อนร่าง มือขวายื่นออกไปรองรับหิมะก่อนจะปล่อยให้มันหล่นสู่พื้นและวางมือไว้บนตัก ภาพนั้นอยู่ในสายตาของพินทุที่ยืนกางร่มบ่อสร้าง นางยิ้มบางๆ เดินไปหาปักษธรก่อนจะนั่งลง หญิงสาวผมสีครีมเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังเบื้องหน้า

                    “ตอนนั้นข้าไปเจอเด็กผู้หญิงผมสีฟ้าที่ชื่อ ฟรานี ที่โรงเรียนราชพฤกษ์มา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังธาตุน้ำที่สามารถแปรเป็นธาตุน้ำแข็งได้มากจนเกือบมหาศาล …เลยคิดว่าอาจจะเป็นบุตรสาวของราชินีหิมะ”

                    “ราชินีหิมะ?” ปักษธรหันไปมองพินทุด้วยความตกตะลึง ริมฝีปากสีดอก      นางพญาเสือโคร่งของพินทุแย้มอย่างนึกสนุก “ใช่… ข้าเพียงแค่คิดว่านะ …อืม จะว่าไปถ้าเกิดตัวละครในนิทานมาเจอกับสตรีในตำนานจะเป็นเช่นไรนะ?” พอได้ยินคำว่า สตรีในตำนาน ปักษธรก็เงียบไป พินทุทราบว่าอีกฝ่ายเป็นอันใดจึงกล่าวอย่างกดดัน

                    “ยูกิอนนะผู้หลีกหนีจากแดนอาทิตย์อุทัย กับตัวละครในนิทานซึ่งกลายมาเป็นว่ามีตัวตนอยู่จริง …ในฐานะที่เจ้าเป็น ยูกิอนนะ ฤๅ สตรีหิมะ ก็ช่วยทำอะไรกับราชินีหิมะหน่อยสิ” ปักษธรเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ

                    “ข้าจะช่วยเพราะเห็นแก่ที่คนอื่นเดือดร้อนนะ” พินทุได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา ไม่ใช่เพราะว่าดีใจที่ปักษธรให้ความช่วยเหลือ แต่เป็นเพราะว่าอยากดูเรื่องสนุกๆ ต่างหากล่ะ                     “ขอบคุณนะ”

                    “ที่ขอบคุณนี่เพราะอยากดูเรื่องสนุกใช่ไหม? เฮอะ!” ปักษธรลุกขึ้นก่อนจะเดินกลับในเรือนไป พินทุมุมปากก่อนจะพึมพำ “หิมะของใครจะเยือกเย็นกว่ากันนะ?”

 

                    ประเทศอังกฤษ

                    เด็กหญิงเกล้าผมสีทองซีด ต่ำ ดวงตาสีฟ้าอมเทา สวมเสื้อกันหนาวติดขนสัตว์รอบขอบ เดินพลางถือร่มท่ามกลางความหนาวเหน็บจากฝนที่โปรยลงมา ท้องฟ้ามืดครึ้มชวนหดหู่ เช่นเดียวกับจิตใจของเธอตอนนี้

                    “…หลังจากนั้นก็นานมามากแล้วนะ หวังว่าจะจบโดยไม่ยืดเวลาออกไปอีกล่ะ… สตรีหิมะ” พึมพำเบาๆ ในขณะที่เท้าย่ำกับพื้นที่ชื้นแฉะจนมีบางครั้งที่น้ำกระเซ็น ถึงแม้อากาศจะเยือกเย็นแต่ก็คงสู้กับจิตใจของเธอตอนนี้ไม่ได้หรอก

                    พลังธาตุน้ำในตัวเธอที่ไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งมาเนิ่นนาน อีกไม่นานนี้ก็จะได้ใช้แล้ว…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา