ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

86) บทที่ ๘๖: ฉลองส่งอำลา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๘๖

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ฉลองส่งอำลา

                “จะกลับพรุ่งนี้ฤๅเจ้าคะ?”

                ว่าวถามศรีตรงระเบียงที่ไม่มีใครอยู่นอกจากทั้งสองคน หลังจากที่เล่นอีตักจนจบไม่นาน ศรียิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง

                “จ้ะ พี่อสุราไม่สบายใจหากพี่อยู่ที่นี่ พลังของพี่มีคนหลายคนที่ต้องการ หากไปอยู่ที่มิติสามัญน่าจะพอช่วยได้บ้าง และพี่เองก็อยู่ที่นี่ค่อนข้างนานแล้วก็อยากรีบกลับไปเหมือนกันเพราะพ่อแม่คงไม่สบาย แม้พี่อสุราจะบอกท่านทั้งสองแล้วแต่หากกลับไปก็คงทำให้สบายใจมากขึ้นน่ะจ้ะ”

                “หนูเข้าใจเจ้าค่ะ กลับไปแล้วก็อย่าลืมหนูและพี่ๆ ที่อยู่มิตินี้นะเจ้าคะ”

                “ไม่ลืมหรอกจ้ะ” ศรีส่งยิ้มให้ ว่าวเองก็เช่นกัน เธอเข้าไปกอดศรีไว้แน่นๆ ราวกับว่าหากเผลอปล่อยแม้แต่วินาทีเดียวศรีจะหายไป ศรีมองอย่างเอ็นดูพลางลูบศีรษะเด็กหญิงถักเปียเดียวอย่างอ่อนโยน

                มิอยากให้พี่ศรีกลับไปเลย

 

                เย็น

                เด็กๆ เข้ามาในห้องทำงานของมณฑา ซึ่งขณะนี้นางละความสนใจจากงานมาคุยกับเด็กๆ เรื่องที่ศรีจะกลับในวันพรุ่งนี้ บรรยากาศความเศร้าหมองเพราะเพื่อนจะกลับแล้วในขณะที่บรรยากาศสดใสจากคนที่วางแผนจะจัดงานเลี้ยงอำลานั้นเข้าปะทะกัน

                “อาหารทะเล หมูกระทะ ใครเลือกอาหารทะเลยกมือขึ้น”

                พรึ่บ

                “เม็ดแตง ธันนะ ขนมชั้น รพิ ดินขาว ศรี พงสณะ ว่าว แววไพร เฉาก๊วย อสุรา” กาสะลองเอ่ยขึ้นในขณะที่จำชื่อแต่ละคนไว้ เมื่อเห็นว่ากาสะลองนับเสร็จแล้วก็กล่าวต่อ “ใครเลือกหมูกระทะ”

                พรึ่บ

                “ดอกเข็ม ปักเป้า บรรพต”  กาสะลองนับต่อ เมื่อเสร็จแล้วมณฑากล่าวจึงสรุป “เป็นอันว่าไปทานอาหารทะเลนะ”

                “มิยอม!” ปักเป้าประท้วง ตามด้วยบรรพตที่ดึงดันจะทานหมูกระทะให้ได้ ส่วนดอกเข็มนั้นเธอก็ยิ้มแห้งๆ เพราะรู้ดีว่าต่อให้นำดาบมาจี้คอมณฑาก็ไม่เปลี่ยนใจอยู่ดี อีกอย่างนี้ก็เป็นงานเลี้ยงส่งอำลาศรี ก็ถือว่าเป็นเจ้างาน

                “เอาล่ะๆ เงียบได้แล้ว ต้องฟังเสียงส่วนมากสิ อีกอย่างนี่ก็เป็นงานเพื่อศรีนะ” กาสะลองปราม ปักเป้ากับบรรพตที่โวยวายอยู่นั้นถึงเงียบลงพร้อมกับเสียงเฮของเพื่อนๆ ที่เลือกอาหารทะเล

               

                กลางคืน

                หลังจากนั้นทุกคนก็ไปยังร้านที่มีลักษณะเป็นเรือนไทย โคมไฟแสงสีส้มนั้นช่วยทำให้ร้านดูอบอุ่นท่ามกลางความมืดมิด มณฑาเลือกโต๊ะตัวยาวเพื่อที่จะได้นั่งทานร่วมกัน ที่เก็บเอกสารซึ่งใส่รายการอาหารนั้นถูกส่งต่อกันไปเมื่อเลือกเสร็จ โดยที่กาสะลองนั้นฟังไปด้วยแล้วบอกพนักงานที่ยืนรอจดอยู่ ในขณะนั้นพนักงานบางคนก็จัด จาน ชาม ช้อน ส้อมและแก้วน้ำให้แต่ละคน

                ระหว่างนั้นก็มีรถเทียมม้ามาจอดตรงที่จอด ซอกับอรัญญิกเดินลงจากรกเทียมม้าก่อนจะเดินเข้าข้างในร้านที่เต็มไปด้วยเสียงเฮฮา หัวเราะและสนทนา ซอนั่งแถวๆ ช่วงหัวโต๊ะที่มณฑาเว้นไว้ให้

                “นึกว่าจะไม่มาตามที่นัดเสียอีก งานเสร็จแล้วฤ?” มณฑาถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่ตนเองติดต่อชวนนั้นนั่งลงแล้ว สีหน้าของซอไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด จนมณฑาอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

                “เป็นอันใดฤ?”

                “…ทำไมเจ้าถึงชวนข้ามาล่ะ? หายแค้นข้าแล้วฤ?” ซอถามกลับ มณฑายิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ “ตั้งแต่เหตุการณ์ในมิติความฝัน ภาพอดีตที่ฉายของฉันเองและกาสะลองมันทำให้ฉันคิดได้ว่า อดีตถึงแม้จะแก้มิได้ แต่เราก็สามารถสร้างอนาคตได้ เลยปล่อยวางเรื่องที่เธอสังหารท่านแม่น่ะ” ได้ยินดังนั้นริมฝีปากบางของซอก็แย้มยิ้ม ดวงตาสีดำสบกับดวงตาสีส้ม ฉายความรู้สึกที่มีให้แก่กัน

                สายสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อเชื่อมต่อกันแล้ว…

                หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะตัวยาว กลิ่นหอมกรุ่นลอยอบอวบให้ความรู้สึกอยากทานมากขึ้น โดยเฉพาะปักเป้าที่ตอนนี้ท้องร้องจนเพื่อนๆ บางคนขำอย่างล้อเลียน ซึ่งเจ้าตัวก็หัวเราะปกปิดเพราะอาย

                “น่าใจหายนะ อยู่มิถึงเดือนก็ต้องไปแล้ว” บรรพตกล่าวในขณะที่กำลังตักอาหาร เพื่อนๆ บางคนก็พยักหน้าเห็นด้วย “พ่อแม่ของศรีเองก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน กลับไปก็มาเยี่ยมหันได้นี่นะ จริงไหม?” ดอกเข็มกล่าวพลางมองศรี ศรีพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้ม

                “พี่อสุราเป็นห่วงฉันน่ะ แล้วฉันเองก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องกังวลไปมากกว่านี้ ไว้ปิดเทอมเมื่อไหร่จะกลับมาเยี่ยมแน่นอนจ้ะ”

                “เฮ้อ ก็ช่วยมิได้นะ แต่เจ้าต้องมาเยี่ยมจริงๆ ด้วยล่ะ มิเช่นนั้น…” กลีบเย้าวาดมือผ่านคอเป็นเชิงว่าจะเชือด ศรีหัวเราะในขณะที่ใจหวาดหวั่นว่ากลีบเย้าอาจจะหยิบลูกธนูมาเฉือนจริงๆ ดอกเข็มเห็นท่าไม่ดีเลยตักอาหารให้หลีบเย้าทานก่อน

                “น่ากลัวนะ กลีบเย้านี่ก็พูดเกินจริงจังเลย”

                “อยากลองไหมล่ะ?”

                “เกรงใจจัง” ดอกเข็มตอบแล้วมาทานอาหารของตนเองต่อ กลีบเย้าถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ทว่าพอสบโอกาสเธอกลับยิ้มบางๆ ด้วยความเอ็นดูก่อนจะตักอาหารให้ดอกเข็ม ซึ่งเจ้าตัวก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ที่ผ่านมามีแต่เธอนี่แหละที่ตักให้กลีบเย้าฝ่ายเดียว

                “ดีใจจริงๆ ที่เจ้าตัวตักให้ข้า”

                “เงียบไปเลย” กลีบเย้าบอกก่อนจะหันไปมองทางอื่นในขณะที่แก้มขาวๆ นั้นแดงระเรื่อ จนดอกเข็มนึกอยากจะหอมแก้มขึ้นมา แต่ก็ต้องอดใจไว้ก่อนเพราะไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง หลังจากนั้นก็ทั้งสองก็ไม่คุยกันอีกเว้นเสียแต่จะตักอาหารให้และสบตามองกันบ้าง

                “ท่านพี่ ทานนี่สิเจ้าคะ” ว่าวบอกกับศรีพร้อมกับยื่นช้อนที่ตักอาหารจ่อปากศรี แววไพรเองก็เช่นกัน แย่งว่าวจะป้อนอาหารให้ได้ “ขอบคุณนะทั้งสองคน แต่ค่อยๆ ก็ได้ ยังไงฉันก็ทานอยู่แล้ว”

                “กินของฉันด้วยนะ” พงสณะเข้ามาร่วมด้วย หากศรีเผลอเปิดปากเมื่อใดช้อนสามคันพร้อมใจกันจะเข้าปากเธอแน่ๆ

                “นี่ เดี๋ยวก่อนสิ… อุบ”  บอกไม่ทันขาดคำพงสณะก็ป้อนโดยไม่รอฟัง ตามด้วยแววไพรและว่าวที่ตักเอาๆ จนศรีแทบจะสำลัก เฉาก๊วยเห็นเพื่อนสนิทตนเองไม่ดีเลยห้ามไว้ “นี่ ไม่เห็นเหรอว่าศรีสำลักน่ะ เดี๋ยวก็ได้ติดคอตายหรอก”

                “อ๊ะ” ว่าวและแววไพรอุทานอย่างนึกขึ้นได้ เฉาก๊วยถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายที่เด็กหญิงสองคนนี้ไม่สังเกตอาการของคนที่ตนเองชอบ ก็ไม่อาจทราบได้ว่าไม่ทันสังเกตหรือแสร้งกันแน่

                งานฉลองดำเนินต่อไป เต็มไปด้วยบรรยากาศสดใสแห่งความสุข เฉาก๊วยมองศรีที่ยิ้มด้วยอย่างมีความสุขจริงๆ …นานเพียงใดกันนะที่เขาไม่ได้เห็นเธอหัวเราะและยิ้มราวกับว่าจะไม่มีเรื่องใดมาทำให้เธอมีความทุกข์อีก แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อมีความสุข

                …ทว่าคนเราไม่ค่อยจะตระหนักถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก

 

                ค่ำคืนนี้เด็กๆ มณฑา กาสะลอง ซอและอรัญญิกก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน ทีแรกอรัญญิกจะไม่เล่นด้วยแต่พอซออ้อนเลยใจอ่อนยอมเล่น การเล่นกับเด็กๆ นั้นทำให้นายิกาและรองนายิกาที่ผ่านช่วงวัยเด็กมาหลายร้อยปีแล้วรู้สึกว่าตนเองได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

                “นานแล้วที่เรามิได้เล่นเช่นนี้” มณฑากล่าวพร้อมกับยิ้ม กาสะลองก็เช่นกัน “นั่นสินะเจ้าคะ” ซอที่ได้ยินทั้งสองคุยกันก็อดจะเป็นหัวข้อสนทนากับอรัญญิกเสียไม่ได้ “รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลย”

                “ผ่านมาเป็นร้อยๆ ปี ได้เล่นอย่างนี้ก็สนุกดีไปอีกแบบนะเจ้าคะ”

                “ใช่” ซอเอ่ยในขณะที่ใบหน้านั้นฉายความสุขอย่างเห็นได้ชัด อรัญญิกมองนายิกาของตนเองโดยที่ตนเองนั้นเผลอยิ้มตามไปด้วย

                เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงเที่ยงคืน กระนั้นก็ยังไม่นอนกันเพราะอยากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด แม้จะไม่ได้จากกันตลอดกาล แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าศรีจะมาเยือนเมื่อใด เพราะฉะนั้นแล้วก็ต้องเล่นให้เต็มที่…

 

                วันจันทร์ที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

                เช้า

                “ไปแล้วฤ?”

                “ไปจริงๆ ฤ?”

                “อีกสัปดาห์ค่อยกลับได้ไหม?”

                ตุบ!

                อรัญญิกทุบศีรษะบรรพต ปักเป้าและดอกเข็มอย่างแรง จนทั้งสามคนต้องกุมด้วยความเจ็บปวด ดวงตาสีดำฉายความดุดันเจือเอ็นดู “เจ้าพวกนี้นี่! ศรีมิได้จะจากไปตลอดเสียหน่อย ว่างๆ บัดเดี๋ยวก็คงมาแหละน่า”

                “ใจจะขาดรอนๆ …” บรรพตพึมพำ ในขณะที่เพื่อนบางคนยิ้มด้วยความขบขันซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีศรีด้วย จากนั้นเธอก็ยกมือไหว้ มณฑา กาสะลอง ซอและอรัญญิก “ขอบพระคุณจริงๆ ค่ะ ที่ดูแลหนู ให้ที่พักอาศัยและอาหาร รวมถึงอาหารเมื่อคืนด้วยนะคะ”

                “ขอบคุณค่ะ” อสุรากล่าวต่อจากศรีพร้อมกับยกมือไหว้ “ผมเองก็ต้องขอบคุณด้วยนะครับ” ธันนะที่ไม่ค่อยจะพูดอะไรก็กล่าวขึ้นจนศรีอดจะหันไปมองเสียไม่ได้ ซึ่งธันนะก็ทำตาดุใส่จนศรียอมหันกลับไปตามเดิม กาสะลองหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

                “มิเป็นไรดอก ฉันยินดีจะดูแลเธอสองคนอยู่แล้ว”

                “ใช่ อีกอย่างพวกข้าก็ต้องดูแลพวกนี้ที่ชอบมาอยู่นอนกินอยู่แล้ว”

                ซอกล่าวยืนยัน ศรียิ้มด้วยความดีใจก่อนจะยกมือไหว้อีก ซึ่งทั้งสี่คนก็ยกมือไหว้รับพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ บางคนก็ประท้วงว่าไม่ได้มาอยู่นอนทานทั้งๆ ที่ในใจรู้อยู่เต็มอก ระหว่างนั้นอรัญญิกก็ลดมือลงก่อนจะหันไปวาดมือในอากาศพร้อมกับท่องคาถาไปด้วย ปรากฏเป็นคลื่นวงในอากาศที่ข้างในนั้นเป็นสีดำ  ศรีกับธันนะมองด้วยความตื่นเต้น เธอหันไปมองเพื่อนๆ ก่อนจะโบกมือลาให้ ซึ่งเพื่อนๆ เองก็โบกมือให้เช่นกัน

                “เอาล่ะๆ ทีนี้ก็กลับได้แล้วนะ เดินทางโดยสวัสดิภาพล่ะ”

                “ค่ะ/ครับ” ศรี ธันนะและอสุรารับคำก่อนจะเดินเข้าไป ธันนะที่เข้าไปเป็นคนสุดท้ายเห็นว่า เฉาก๊วย พงสณะและแววไพรที่ตามด้วยก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “อ้าว ไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ?”

                “ใช่” เฉาก๊วยตอบพร้อมกับยิ้มให้ ธันนะมองเฉาก๊วยพักหนึ่งก่อนจะข้ามไหล่อีกฝ่ายไปมองพงสณะ ซึ่งเจ้าตัวก็มองกลับอย่างไม่วางตา ธันนะเล่นเกมจ้องตากับพงสณะจนคนกลางอย่างเฉาก๊วยเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ หวังให้ใครสักคนมาหยุดเกมนี้

                “ไปซะทีสิยะ!” แววไพรเป็นผู้ยุติเกมนี้ ซึ่งก็ได้ผลเมื่อธันนะและพงสณะต่างเชิดหน้าใส่ให้กันและกัน ก่อนที่ธันนะจะเดินเข้าไปตามด้วยเฉาก๊วย พงสณะและแววไพร พอเข้าไปจนครบแล้วประตูมิติก็ค่อยๆ สลายหายไป ทุกคนที่อยู่มิติผกายมองตรงที่ประตูมิติเปิดเมื่อครู่ก่อนจะแยกย้ายกันไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

                ในขณะนั้นเองพินทุก็มองลงมาจากที่ไหนสักแห่ง ร่มบ่อสร้างที่บังแสงอาทิตย์ทำให้เงาทาบทับร่าง ริมฝีปากบางนั้นแย้มที่มุมปากก่อนจะขยับเอ่ยเบาๆ

                “กลับแล้วฤ… มิเป็นไร นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา