ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.71K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

78) บทที่ ๗๘: อดีต เพื่อน องก์ที่ ๕

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๗๘

[บรรยายโดยเด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]

อดีต เพื่อน องก์ที่ ๕

                หมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่หนูไม่รู้จัก หนูคิดว่าคงจะมีคนติดต่อมาผิดเลยลองกดรับสายก่อนจะกล่าว

                “สวัสดีค่ะ ที่นี่บ้านวีรสังฆะ ไม่ทราบว่าจะคุยกับใครเหรอคะ?” หนูพยายามกล่าวให้สุภาพ ไม่แน่ใจว่าถูกตามหลักมารยาทในการคุยโทรศัพท์หรือเปล่าแต่หนูคิดว่าแบบนี้สุภาพแล้วล่ะ

                “…”

                “…” พอปลายสายไม่กล่าวอะไรหนูก็เริ่มลังเล ไม่รู้ว่าต้องกล่าวว่าอะไร “ขออนุญาตถามอีกครั้งนะคะ ติดต่อหาใครเหรอคะ ถ้าเป็นคนในบ้านหนูจะได้ไปเรียกให้มาคุยค่ะ” กล่าวแบบนี้ดีหรือเปล่านะ? ท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัดเว้นแต่เสียงลมที่พัดอยู่ภายนอกดังหวีดหวิวกว่าเดิมพร้อมกับเสียงน้ำกระทบหลังคาและพื้นเป็นสัญญาณบอกว่าฝนตกแล้ว…

                ทว่าไม่นาน คำพูดของปลายสายก็แทบจะทำให้หนูทิ้งโทรศัพท์ทันที อาจเพราะตกตะลึงและกลัวร่างกายเลยไม่ขยับแต่สั่นเล็กน้อย

                “นี่ฉันเอง อสุเรนทร์”

                “!” หนูเผลอกลั้นหายใจ เหงื่อไหลลงมาทั้งๆ ที่อากาศหนาว “นี่ ตัดสายทิ้งแล้วเหรอ? ---หืม? ก็ไม่นี่ นี่ศรี อย่าเงียบไปสิ”

                “ฉัน… นาย มีธุระอะไร เมื่อวันศุกร์นายไม่มาโรงเรียนนี่เลยจะมาถามการบ้านใช่ไหม? ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปหยิบสมุดจดการบ้านก่อนนะ จำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง”

                “ศรี ในวันปีใหม่เธอรวมกลุ่มกับใคร?” หนูนิ่งไปสักพักเมื่อเขาไม่ได้คุยเรื่องที่หนูบอก หนูไม่ใส่ใจ และลังเลว่าจะตอบดีไหม แต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเลยตอบเขาไป “ก็มีเฉาก๊วย คิมหันต์ เหมันต์และก็ชลจรน่ะ” หนูกลัวขึ้นมาเมื่อเริ่มคิดได้ว่าที่เขาถามเขาอาจจะมารวมกลุ่มกับหนูก็ได้ แม้เขาจะอยู่ห้องอื่นแต่ในงานแบบวันปีใหม่สากลนักเรียนสามารถไปห้องอื่นได้ในช่วงบ่าย หนูรู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นแรงขึ้น ขนลุก ทำไมหนูถึงต้องกลัวเขาขนาดนั้นด้วยนะ?

                “ถะ ถ้าจะมารวมกลุ่มด้วยฉันก็ไม่ว่านะ หลายๆ คนก็น่าสนุกดี” หนูพยายามพูดให้อสุเรนทร์ไม่เสียใจ น่าแปลกนะ บางครั้งหนูก็ทำท่ากลัวใส่เขา รังเกียจ พยายามผลักไส แต่พอมาแบบนี้แล้วรู้สึกเห็นใจเขา …วันปีใหม่เขาคงไม่มีกลุ่มอยู่ด้วย อีกอย่างในเทศกาลแบบนี้เขาก็คงอยากอยู่กับคนที่เขารัก…

                ซึ่งนั่นก็คือหนู… หนูกล่าวแบบนี้อาจจะดูคิดไปเอง หลงตัวเองและอวดดี แต่หนูรู้มาตลอดว่าเขารักหนู …เขาเคยบอก หนูไม่เคยเห็นเขาทำท่าจะสนใจใครเลย จะคิดว่าหนูมองผิวเผินก็ได้ แต่หนูกล้ายืนยันว่าเขาเป็นเช่นนั้นจริง

                วันปีใหม่สากล… หนูจะเปิดโอกาสให้เขามีความสุขบ้าง ไม่มากก็น้อย…

                “เธอ… ไม่ได้ฝืนพูดใช่ไหม?” อสุเรนทร์ถามด้วยเสียงที่ออกจะเหงาๆ และหวัง หนูเผลอยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว “ใช่ ฉันอยากให้โอกาสนายวันหนึ่ง …แค่วันนั้นและก็เทศกาลอื่นๆ นะ”

                โอกาสที่เขาจะได้อยู่กับหนูมีเพียงน้อยนิดนัก แต่เขาผิดเองที่ทำให้หนูรู้สึกไม่ดีต่อเขา กระนั้นแม้จะพยายามคิดในแง่ดีว่าเขาทำไปเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเพราะเขาควบคุมตนเองไม่ได้ ทว่าเขาทำหนูหลายครั้งแล้ว มันทำให้ความเชื่อใจของหนูลดลงไปทีละนิด ทีละนิด…

                ไม่รู้ว่าทำไม พอสังเกตดีๆ มันก็มีนะที่เขาเอาใจใส่ ถึงมันอาจจะเป็นเพียงความคิดไปเองของตัวหนู

                หนูจะพยายามเปิดใจรับเขา …อสุเรนทร์

                “…”

                “นี่…” ในขณะที่หนูจะเรียกให้อสุเรนทร์พูด จู่ๆ เขาก็กล่าวขึ้นมา “ฉัน จะพยายามทำให้เธอเปิดใจรับฉัน”

                “…”

                “เรื่องในตอนบ่าย… ฉันขอโทษนะ”

                “…”

                น้ำเสียงที่แสดงความเศร้าสร้อย เหงาและรู้สึกผิดทำให้หนูที่จะว่าอสุเรนทร์เริ่มเศร้าตามไปด้วย

                “จะทำอย่างไรก็ควบคุมไม่ได้ เห็นศรีทีไรใจมันสั่งให้คอยแต่จะทำร้ายเพื่อครอบครอง พอรู้ตัวอีกทีฉันก็ทำร้ายเธอไปแล้ว…”

                “…”

                …หนูยังคงเงียบต่อไป

                “ฉันมีเรื่อง… จะคุยเท่านี้แหละ หลับฝันดีนะ”

                ติ๊ด

                ยังไม่ทันที่หนูจะกล่าวอะไรอสุเรนทร์ก็ตัดสายไปก่อน หนูเปลี่ยนตำแหน่งโทรศัพท์มากดเพื่อติดต่อเขาแต่ไม่ว่าจะติดต่อกี่ครั้งเขาก็ไม่ยอมรับสาย

                …ทำไมกัน รู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนจะเป็นความรู้สึกผิด แต่ก็ไม่น่าใช่ เมื่อหนูทวนสิ่งที่เขากล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า …เหมือนกับว่าเขาสื่อสารให้หนูรับรู้ได้ถึงความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจและความโดดเดี่ยว

                ถึงอสุเรนทร์จะผิด แต่หนูเห็นใจเขาจนรู้สึกเจ็บแทน…

 

                วันพฤหัสบดีที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

                บ่าย

                หลังจากรอให้คาบเช้าผ่านไปในที่สุดคาบบ่ายก็มาถึง หนูยิ้มแป้นด้วยความดีใจโดยในมือมีปิ่นโตอยู่… อย่านึกว่าเป็นปิ่นโตแบบที่คุ้นเคยนะ เพราะของหนูเป็นแบบพลาสติกมีลวดลายดอกไม้ …ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงชุดภาชนะของเด็กก็แล้วกัน ตอนแรกจะใส่ในกระอับธรรมดาแต่นึกได้ว่าต้องใส่ขนมที่จะให้เพื่อนด้วยเลยต้องใช้ปิ่นโตแทน

                มองไปรอบๆ ดูเพื่อนกำลังทอดอาหารจานด่วนอย่างเฟรนฟราย ไม่ก็น่องไก่ กลิ่นคาวหอมอมน้ำมันทำให้รู้สึกหิว หนูเห็นว่าเฉาก๊วยกำลังช่วยเพื่อนใส่อาหารลงในหม้อ หนูยิ้มบางๆ กับภาพความสุขเบื้องหน้า ลูกโป่งและของประดับตกแต่งอย่างสวยงาม มีป้ายแขวนอยู่บนกระดานดำพิมพ์ว่า สวัสดีปีใหม่ เพื่อนบางคนเปิดเพลงแล้วเต้น บางคนก็ร้องตามเนื้อเพลง บางคนก็ทานอาหารของตนเองและของเพื่อนทั้งในห้องและต่างห้อง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจพองโตบอกไม่ถูก

                …ทว่า พอมองกลับมาที่ตนเองแล้วก็เศร้า เพราะคนอย่างหนูไม่ค่อยมีใครอยากสังสรรค์ด้วย…

                “ศรี มานี่สิ เฟรนฟรายได้ที่แล้วนะ” ในขณะนั้นเฉาก๊วยก็ตะโกนบอกหนู หนูยิ้มให้เขาแล้วทำท่าจะไปแต่พอเห็นเพื่อนบางคนแสดงสีหน้าลำบากใจก็เลยนั่งเฉยๆ พลางส่งยิ้มให้เขา

                “ขอบคุณนะ แต่ไม่เป็นไรจ้ะ”

                “น่าเสียดายจัง… งั้นเดี๋ยวฉันเอาไปให้นะ”

                “ขอบคุณจ้ะ” หนูตอบไปก่อนจะมองไปนอกหน้าต่าง ตรงที่หนูนั่งอยู่ในช่องแคบๆ ระหว่างโต๊ะที่เรียงชิดกันเป็นสองฝั่งเพื่อให้มีพื้นที่ฉลองเลยให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกของตนเอง …ไม่มีใครเล่นด้วย ไม่มีใครคุยด้วย

                ระหว่างที่คิดด้วยความโดดเดี่ยว จู่ๆ ก็มีใครบางคนเรียก

                “ศรี ไปนั่งรวมกลุ่มกันเถอะ ได้เวลาแล้วนะ” พอหันกลับไปก็พบว่าเป็นชลจร หนูนิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มบางๆ ให้

                “จ้ะ” ระหว่างที่หนูกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นแล้วเดินออกจากช่องระหว่างโต๊ะ ก็เหลือบเห็นว่ามีเด็กผู้หญิงโผล่แวบหนึ่งจากหลังประตูบานด้านหลัง มีช่วงหนึ่งที่เธอโผล่ออกมาสบตากับหนูโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นหน้าของเธอก็แดงแล้วก็กลับไปที่หลังประตูอีกครั้ง

                …ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็คือเธอนี่เอง

                “ลิลลี่ เธอมาหาใครเหรอ?” หนูถามหลังจากที่เดินเข้าไปหา เธอชื่อลิลลี่ อยู่ห้อง ๒ เราเคยคุยกันแม้จะไม่บ่อยแต่พักหลังๆ นี้ไม่รู้ว่าหนูคิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกเหมือนว่าเธอพยายามเข้าหาหนู

                “ก็… วัน… วันนี้ปีใหม่นี่ จะเข้าออกห้องไหนก็ได้ใช่ไหมล่ะ? ฉันเองก็อยากมาฉลองแล้วแกล่ะ อยู่กลุ่มกับใครบ้าง?”

                “ก็… เอ่อ ฟังแล้วอย่าคิดว่าฉันเป็นพวกแบบนั้นนะ กลุ่มที่อยู่มีแต่ผู้ชายน่ะ”

                “อ๋อ…” ฟังดูไม่มีอะไรแต่จริงๆ แล้วมันขัดกับแววตามาก ดวงตาของลิลลี่ฉายความไม่พอใจและหวง…

                หวง?

                “จะมานั่งด้วยก็ได้นะ ฉันกำลังอยากให้เพื่อนผู้หญิงมาด้วยพอดีน่ะ” หนูยิ้มเมื่อนึกได้ว่าลิลลี่อาจจะมารวมกลุ่มสังสรรค์กับหนู ลิลลี่มีท่าทางเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย มองไปทางโน้นทีทางนี้ทีเหมือนกำลังกระวนกระวาย ตื่นเต้นบอกไม่ถูกกระมัง

                “งั้นฉันนั่งไปนั่งล่ะ กลุ่มอยู่ไหนล่ะ?”

                “ตรงที่เฉาก๊วยนั่งอยู่น่ะ” หนูมองลิลลี่ที่เริ่มมีท่าทางไม่ตื่นเต้นแล้วและหันไปมองเฉาก๊วยที่ยิ้มแฉ่งพลางกวักมืออยู่ หนูจูงมือลิลลี่เดินมาก่อนจะนั่งลง

                …ไม่รู้ว่าหนูคิดไปเองหรือหรือไม่ ที่คิ้วของชลจรย่นเหมือนจะไม่พอใจบางอย่าง เขาก็ไม่กล่าวอะไรแต่เปิดฝากระอับแทน สีหน้าของเขาเริ่มเรียบดังเดิม คนอื่นๆ ก็นำอาหารกับขนมออกมา หนูเองก็เช่นกัน

                “หืม? ของศรีเรียกว่าอะไรเหรอ?” เฉาก๊วยถามในขณะที่หยิบขนมออกจากถุง “คานาเป้จ้ะ นี่ฉันทำมาให้ทุกคนเลยนะ” ทุกคนในกลุ่มเริ่มเงยหน้าจากภาชนะมามองหนูเมื่อหนูพูดคำว่า ทุกคน เอ๊ะ? หนูพูดอะไรผิดหรือเปล่า?

                “มีอะไรเหรอ?”

                “เปล่าๆ”

                ลิลลี่ตอบแทนคนอื่น หนูมองเธออย่างฉงน พอมองลึกๆ เข้าไปในแววตาหนูเห็นความดีใจฉายอยู่ หนูละความสนใจมาหยิบชั้นปิ่นโตออกทีละชั้น ระหว่างนี้เพื่อนๆ ก็คุยกับคุณครูประจำชั้นอย่างขบขัน เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นบางครั้ง เฉาก๊วย ลิลลี่หัวเราะตามเพื่อนๆ ไปด้วย จะมีเพียงแต่หนู คิมหันต์ เหมันต์และชลจรที่ยิ้มๆ บ้าง เอ่อ… ต้องกล่าวว่าเป็นหนูกับชลจรน่าจะถูกกว่าเพราะใบหน้าของเพื่อนแฝดสองคนนี้ไม่มีรอยยิ้มเลย

                พอคุณครูออกจากห้องเพื่อไปฉลองกับคุณครูท่านอื่น เพื่อนๆ ก็กลับมาเล่นอย่างเต็มที่อีกครั้ง หนูใช้มือหยิบคานาเป้หน้ารสต้มยำกุ้งแจกให้เพื่อนๆ คนละ ๑๐ ชิ้น เหมันต์ที่ได้แล้วบอกว่ามากเกินไป ๕ ชิ้น ก็พอแล้ว แต่คิมหันต์ทีได้ยินดังนั้นก็หยิบคานาเป้ไปใส่กระอับตนเอง จากนั้นทั้งสองคนก็มองตากัน หนูรู้สึกว่าบรรยากาศอึมครึมบอกไม่ถูก แม้จะพอมองออกว่าทั้งสองคนไม่ได้ไม่พอใจอะไรหรือโกรธแต่เหมือนแค่มองเฉยๆ

                “พี่นี่กินจุเสียจริง” เหมันต์กล่าวเสียงเรียบ คิมหันต์ตอบกลับมา “แล้วจะทำไม? แค่สิบชิ้นหาว่าพี่กินจุเหรอ?”

                “ก็… จริงๆ แล้วถ้าพี่อยากได้ก็ไปขอศรีเพิ่มสิ มาหยิบจากผมมันดูไม่ดีเลยนะ”

                “แล้วจะทำไม? แหม! ทีพอกินข้าวด้วยกันไม่เคยบ่นเลยนะแต่พอต่อหน้าศรีนี่คนละเรื่องเลย!” บรรยากาศเริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม ไปๆ มาๆ ทั้งสองทะเลาะกันแบบจิกกัดมากกว่า เห็นแบบนี้แล้วหนูก็อดหัวเราะไม่ได้ซึ่งเฉาก๊วยกับลิลลี่ก็หัวเราะตามไปด้วย

                “นี่ ทั้งสองคนกลับมากินต่อดีกว่านะ” หนูไม่ชอบการทานอาหารแบบเป็นกลุ่มคือจะคุยกันสนุกๆ จนไม่มีกระจิตกระใจจะทานอาหารแล้วพอกลับมาทานอีกครั้งจะรู้สึกว่าอาหารชืดสนิท หนูคิดในแง่ขำๆ นะ

                ในขณะที่ทานอาหารและคุยกับเพื่อนๆ ไปด้วย (ซึ่งสองพี่น้องฝาแฝดหยุดทะเลาะกันแล้ว) หนูก็เผลอนึกถึงอสุเรนทร์ขึ้นมา…

                อ้าว? ทำไมไม่มาล่ะ?

                หนูอธิบายความรู้ไม่ถูก ใจหนึ่งก็ดีใจแต่อีกใจก็หวังให้เขามาจริงๆ ไม่เข้าใจว่าตนเองหวังอะไรอยู่กันแน่

                “นี่ ขอร่วมวงด้วยสิ” น้ำเสียงออกจะเย็นชาถามจากด้านหลัง รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา หนูหันไปมองข้างหลังอย่างรวดเร็ว …เป็นไปตามที่คาดไว้

                คือเขาจริงๆ ด้วย...

 

                    

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา