ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

72) บทที่ ๗๒: ประโยชน์ที่ซ่อนด้านไม่ดี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่๗๒

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ประโยชน์ที่ซ่อนด้านไม่ดี

                ธันนะนั่งเงียบๆในศาลาที่ไม่ค่อยมีใครอยู่ในหัวคิดแต่เรื่องของศรีและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจากวันแรกที่เจอกันที่กรุงเทพฯในโลกเดิมและมาที่โลกนี้ตอนแรกศรีก็ดูจะคุยเล่นกับเขาเหมือนเพื่อนสนิทแต่ไปๆมาๆดันกลายเป็นว่าศรีเริ่มห่างเหินกับเขาจนกลายเป็นว่าแทบเหมือนไม่เคยรู้จักกัน

                หรือมันเป็นความผิดของเขาเอง? ศรีคงจะทำถูกแล้วเพียงแต่เขาไม่ยอมรับความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นและกำลังพัฒนาแต่เพราะเขาที่เคยชินกับนิสัยตนเองเลยทำเป็นเย็นชาไม่สนใจเธอ

                สรุปรวมๆก็คือ…ธันนะทำตัวเขาเอง

                ธันนะถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ไม่มั่นใจความรู้สึกตอนนี้ว่าเป็นอย่างไรแต่ที่ตอบได้ชัดเจนคือเขาเจ็บเจ็บมากด้วย…

                 เขานั่งคิดทบทวนนานแล้วก็ได้สรุปว่าตนเองนั้นไม่ได้รักศรีเชิงชู้สาวแต่เขารู้สึกผูกพันกับศรีอย่างบอกไม่ถูกคิดแล้วเขาก็ยิ้มมุมปากสมเพชตนเองที่รู้สึกผูกพันกับคนที่เจอกันรู้จักกันไม่กี่ครั้ง …แต่ชีวิตเขาที่แทบจะไม่มีใครนั้นพอมีใครก้าวเข้ามามันก็กลายเป็นเส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง

                หรือว่าตอนนี้เราอาจจะไม่ได้รักศรีแต่ถ้ารู้จักกันไปเรื่อยๆก็คงจะรักสินะ?

                ธันนะสรุปไว้เท่านี้เขาเผลอเหลือบเห็นเสไพรที่เดินมากับคาตานะซึ่งกำลังคุยกันอยู่ระหว่างเดินธันนะละความสนใจเท้าคางกับพนักพิงมองดอกบัวบนผิวน้ำเสไพรพูดอะไรบางอย่างกับคาตานะก่อนจะเดินเข้ามาในศาลาธันนะเหลือบมองชั่วหนึ่งก่อนจะหันไปมองดอกบัวต่อเสไพรยิ้มบางๆก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆ

                “นายหัดเล่นกับคนอื่นๆบ้างสิ”

                “ไม่”

                “ที่ไม่ยอมนี่กลัวจะโดนแบบที่โลกเดิมเหรอ?”เสไพรถามพลางเท้าแขนกับพนักพิงธันนะเปลี่ยนมานั่งหันหลังให้เสไพรแทนเพราะรำคาญจะออกไปก็คงไม่ได้อีกในเมื่อที่นี่มีดอกบัวให้ชมแถมเงียบอีกต่างหาก

                “…เปล่า”ธันนะเองก็อธิบายไม่ถูกแต่เขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเลยตอบส่งๆเสไพรครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ย

                “อย่าบอกนะว่ากลายเป็นคนเข้าสังคมไม่เป็น?”หากนั่นไม่ใช่คำพูดธันนะคงจินตนาการไปเองว่ามันคือมีดที่ทิ่มแทงใจ …แทงใจดำมากเพราะสิ่งที่เสไพรถามมันคืออุปนิสัยของธันนะซึ่งเป็นคนเข้าสังคมไม่เป็นเพราะถูกคนรอบข้างรังเกียจ

                “…”

                “เอ่อ…ฉันพูดแรงไปเหรอ?”เสไพรเห็นธันนะนั่งนิ่งมากจนเผลอคิดว่าเป็นรูปปั้นเขาเขย่าไหล่ธันนะทว่าไม่มีการตอบรับจากผู้ถูกกระทำเสไพรใจเสียจึงลุกขึ้นเดินไปจ้องหน้าอีกฝ่ายตรงๆ

                “ไม่…”เสียงที่ตอบไปเบามากธันนะก้มหน้าไม่พูดไม่จาจนเสไพรชักรำคาญจึงจับหน้าอีกฝ่ายไว้แล้วทำให้เงยหน้าขึ้นธันนะเบิกตาด้วยความตกใจที่จู่ๆเสไพรก็ทำแบบนี้และสีหน้าที่เคยดูขี้เล่นกลายเป็นจริงจังขึ้นมานั่น

                “เฮ้อ…”เสไพรถอนหายใจรู้สึกว่าธันนะเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่ประสีประสาอะไรธันนะฉายความสงสัยผ่านสีหน้าเสไพรเห็นดังนั้นเลยกล่าว

                “ฉันเข้าใจว่าการถูกคนรอบข้างรังเกียจอาจทำให้นิสัยบางคนเปลี่ยนไปอย่างนายเองก็คงจะเหมือนกันใช่ไหม?”ธันนะเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าออกแล้วพยักหน้าช้าๆ

                “งั้น…นายลองดูศรีสิจากที่ฉันเคยไปคุยกับเฉาก๊วยมาเธอโดนหนักกว่านายอีก …เกือบจะตายตั้งหลายครั้งไม่เหมือนนายที่โดนรังแกมีเรื่องเตะต่อยแต่ก็ไม่ทีท่าจะตายสักครั้งศรีเคยเกือบจมน้ำตายเกือบถูกรถชนโดนเล่นของใส่บ้างล่ะถูกพวกวิญญาณตามฆ่าบ้างล่ะแต่เธอก็ยังยิ้มได้พยายามเล่นกับเพื่อนบ้างแล้วลองดูตัวนายสิ? นับวันยิ่งจะเก็บตัวเองไว้ในโลกของตนเองแล้วเล่นกับน้องชายท่าทางก็ยังเย็นชาจนไม่มีใครเข้าใกล้อีก”

                “…” ธันนะเผลอสบตาเสไพรโดยไม่รู้ตัวเพิ่งเห็นสิ่งที่คล้ายกันระหว่างตนเองกับศรีแม้จะคล้ายกันแต่ก็แตกต่างกันอยู่ดี

                เสไพรหยุดไว้เท่านั้นตามจริงศรีก็เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆแต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอกเพิ่มเติมคือแม้ศรีจะยิ้มได้และพยายามทำให้ตนเองมีความสุขและเล่นกับเพื่อนๆทว่าจิตใจด้านมืดอีกด้านก็คอยสั่งการให้สังหารผู้ที่ทำร้ายตนเองร่ำไปแต่เขาไม่กล้าพูดเพราะอยากใช้เรื่องนี้เป็นการสอนธันนะให้เห็นการใช้ชีวิตที่กำลังพัฒนา

                แม้จะเป็นการพัฒนาที่ซ่อนด้านไม่ดีไว้ก็ตาม

                ธันนะละการสบตามามองตักตนเองเสไพรใช้โอกาสนั้นมองคาตานะที่ซ่อนตัวอยู่อีกฝ่ายพยักหน้าเสไพรเห็นสัญญาณนั้นก็หันกลับไปเอ่ยกับธันนะ

                “ไปเดินเล่นไหม? นั่งๆแบบนี้อุดอู้จะตาย”กล่าวจบเสไพรก็จับข้อมือธันนะแล้วดึงขึ้นโดยไม่รอคำตอบจากธันนะว่าจะไปหรือเปล่าธันนะทำท่าจะโวยวายแต่พอเห็นเสไพรยิ้มอย่างร่าเริงขึ้นมาก็ไม่กล้าทำคาตานะมองทั้งสองเดินไปพลางยิ้มไปด้วย

                หวังว่าจะมีอะไรให้ธันนะจำเรื่องในชาติก่อนบ้างล่ะนะ

 

                ณ โรงเรียนศาสตราราชพฤกษ์วิทยาคม

                “สุดท้ายแล้วทั้งนักเรียนของเราและโรงเรียนฟิคซาก้อนก็ไม่ได้ช่วยทำภารกิจสินะ?” เด็กชายร่างเล็กใส่ชุดประถมผมสีน้ำเงินกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย โดยมีชายหนุ่มผมสีน้ำตาลออกส้มยิ้มอย่างสบายใจเป็นคู่สนทนา

                “ว่าตามจริงเรื่องนี้เหล่าท่านนายิกาก็จัดการได้อยู่แล้ว”

                “ถ้างั้นแกจะส่งพวกเด็กๆ ไปทำไม?” เด็กชายขมวดคิ้วจนแทบจะทำให้มีรอยย่นบนหน้าผาก ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย

                “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำหน้าเคลียด เดี๋ยวหน้าก็ย่นเป็นหมาพันธุ์ปั๊กหรอก รู้ก็รู้ว่าตัวเองถึงวัยกลางคนแล้วยังจะเคลียดให้เสียสุขภาพอีก” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ เด็กชายคนนั้นหยิบแฟ้มตบหน้าชายหนุ่มไม่ยั้งมือ

                กล่าวตามจริงเด็กชายคนนี้ไม่ได้อยู่ประถมแล้ว เขามีอายุประมาณห้าสิบกว่าปี แต่เขาใช้อาคมในการจำแลงร่างให้เป็นเด็ก เหตุผลเพราะเขารู้สึกอยากย้อนวัยไปอีกครั้งคงจะทำให้นึกถึงเรื่องตอนอยู่ประถม (และจะได้เข้ากับเด็กๆ) แต่คนที่รู้คงจะแปลกใจว่าทำไมถึงไม่จำแลงร่างตอนอยู่มัธยมเพราะน่าจะเป็นวัยที่มีสีสันกว่า แต่เขาให้เหตุผลว่าวัยมัธยมเป็นอะไรที่รุนแรงกว่า (ในความคิดของเขา) เลยกลัวว่าจะนึกถึงเรื่องในวัยนี้

                …แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าจะวัยในของมิติผกายก็ล้วนรุนแรงทั้งสิ้น

                หลังจากที่ตบไปแล้วเด็กชาย (ร่างจำแลง) ก็ไม่กล่าวอะไรอีก เขาจิบกาแฟเผื่อว่าจะใจเย็นลงโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา ที่ไม่ตอบคำถามของเขาแต่คงจะตอบได้หรอกโดนตบขนาดนั้น… พลางนึกถึงเรื่องภารกิจของคดีลักมีดอรัญญิก

                ก่อนหน้าที่จะส่งนักเรียนไปทำภารกิจทั้งประถมและมัธยมเขาก็ไม่สบายใจเอาเสียเลย เพราะมันอันตรายเกินไป แม้นักเรียนในมิตินี้จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่อันตรายมากกว่านี้แล้วก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครเจ็บอะไรเวลาเห็นคนที่รักเจ็บแม้จะเป็นสายเลือดอมตะก็ตาม การตัดแขนตัดขา ควักอวัยวะภายในออกมาก็เป็นเรื่องปรกติ (แต่ทำได้กับสายเลือดอมตะ)

                สำหรับเด็กชาย (ร่างจำแลง) แล้วที่เกิดและโตที่มิติสามัญก็ทำใจไม่ค่อยได้กับเรื่องนี้ แต่ด้วยที่พ่อของเขาเป็นคนมิติผกายเลยถูกพามาที่มิตินี้และฝึกการใช้ชีวิตแม้จะรับไม่ได้เพียงใดก็ตาม แม้ตอนนี้เขาจะอยู่มาหลายปีกระทั่งถึงวัยที่จะแต่งงานแล้วจนพอที่จะชินได้กับเรื่องแบบนี้ แต่ลึกๆ ก็รังเกียจอยู่ดี

                และเรื่องที่พวกเขาคุยกันถึงการส่งนักเรียนไปช่วยทำภารกิจเขาคิดว่าไม่น่าจะส่งไปเพราะได้ข่าวมาว่าแรงจูงใจก่อคดีเป็นความแค้นกับเหล่านายิกาเลยไม่อยากให้นักเรียนไปตายในห้วงความแค้นของคนร้าย แม้ประมาณ ๙๕ เปอร์เซ็นต์จะเป็นสายเลือดอมตะแต่ก็ไม่อยากให้พวกเขาต้องบาดเจ็บ

                ด้วยความที่เขาคิดแบบนี้แหละ คิดมากกับเรื่องที่ยังไงก็ธรรมดาอยู่แล้วของมิติผกายจนคนส่วนใหญ่ในมิตินี้มองว่าเขาคิดมากจนขั้นน่าเป็นห่วง ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลย

                …ถ้า… งั้นลองมาเจอแบบนี้สิ ใช้ชีวิตแบบที่ไม่ค่อยเห็นอวัยวะภายในแล้วมาเจอแบบนี้เป็นใครก็แทบจะลมจับ ที่เขาไม่สลบไปตั้งแต่ครั้งแรกที่มามิตินี้ก็ถือว่าบุญแล้ว

                เด็กชาย (ร่างจำแลง) หรี่ตามองอ่านเนื้อหาเอกสารบางแผ่นพลางจิบกาแฟ หยุดครุ่นคิดเรื่องนี้ไปพักหนึ่ง…

               

                หลังจากทานอาหารและพักผ่อนพอแล้วก็กลับมาที่การประลองอีกครั้งโดยประลองกันทั้งหมด ๓ คู่ การแข่งนายิกานั้นจะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะนายิกา ๑ คนก็ต้องประลองกับนายิกาอีก ๕ คน โดยจะเวียนจนกว่าทุกคนจะได้ประลองกับอีก ๕ คนจนครบ รองนายิกาเองก็เช่นเดียวกัน

                ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือมองการประลองอย่างเหม่อลอยพลางนึกถึงอดีตนายิกาคนนั้น

                อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ …อดีตนายิกา

               

                มณฑายืนมองกินรีตนหนึ่งซึ่งถือหอกอยู่ สักพักนางก็ถาม

                “สมุนผู้ลักมีดสินะ?”

                “ใช่”

                “อยากฆ่าฉันไหม?” นางถามเหมือนถามเด็กว่าอยากได้ของเล่นไหม คำถามนั้นสร้างความหงุดหงิดให้กับกินรีไม่น้อย ทว่าเจ้าตัวก็ยังทำใจเย็นแล้วตอบ

                “หึ นั่นมันงานของข้านี่นะ”

                “ตอบมิตรงคำถามเลยนะ”

                มณฑายิ้มมุมปากช่างขัดกับคำพูดที่น่าจะเป็นอารมณ์โกรธ นางกวักมือเชื้อเชิญให้กินรีโจมตีก่อนซึ่งอีกฝ่ายก็เชื่อฟังเหมือนเด็กๆ ในสายตานางจริงๆ ขาที่เป็นนกนั้นถีบพื้นแล้วพุ่งเข้ามาก่อนที่คมหอกจะหวดเข้ามา มณฑาสะบัดพัดที่ยังไม่คลี่ตีมันออกไปอย่างแรง จนดูเกินคุณสมบัติของพัดที่ไม่น่าจะปัดของมีคมได้อย่างง่ายดาย นางสะบัดพัดอีกครั้งจนกลไกในพัดเรียกแท่งเล็กออกจากที่ยึดของผ้าพัดก่อนจะหวดแท่งเหล็กใส่กินรี อีกฝ่ายรับด้วยหอกจนเกิดเสียงดังเคร้ง!

                ย้อนหลังกลับไปก่อนที่มณฑาจะมาเจอกินรีตนนี้ นางออกมาเดินเล่นและสำรวจในเวลาเดียวกัน จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณเลยลองเรียกเจ้าของมัน …จึงพบกับกินรีตนนี้นั่นแหละ

                ตามจริงก่อนที่นางจะมาที่ภาคใต้นางก็ไปกับพินทุได้นั่นแหละ แต่เพราะคิดว่าพอไปถึงคงไม่มีอะไรทำนอกเสียจากจะต้องรอให้อดีตนายิกามาเผยโฉม

                มีอยู่วันหนึ่งที่มณฑาไปที่ทำการนายิกา นางเข้าไปที่ห้องเก็บศพ ได้คุยกับโคมรัตติกาลซึ่งกำลังสั่งให้วิญญาณของตนตรวจสอบศพอยู่ ในร่างศพทุกร่างนั้นพบว่ามีสารบางอย่าง… ไม่สิ เหมือนเป็นน้ำที่ผ่านพิธีกรรมบางอย่างมา นางถามโคมรัตติกาลว่ามันมีคุณสมบัติอย่างไร ซึ่งอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเป็นเชิงตอบไม่ทราบก่อนจะตอบ

                ‘คุณสมบัติที่น่าจะเกี่ยวข้องในการทำงานของพวกมันข้ามิรู้ดอก แต่ตอนนั้นมีนายิกาคนหนึ่งทำมันหกลงดิน กลายเป็นว่าดินมีความเหนียวนุ่มมากกว่าเดิม แถมต้นไม้โตในชั่วพริบตาอีก’ มณฑาได้ฟังดังนั้นก็ยกพัดปิดปากแล้วหัวเราะกับคุณสมบัติที่ใช้ได้ดีในการทำเกษตร จะบอกว่าดีหรือไม่ดีก็ตัดสินไม่ได้ ซึ่งนางก็ได้ขอน้ำนั่นมาใส่ขวดหนึ่งนำกลับไปด้วยก่อนจะออกจากที่ทำการนายิกา

                ไหนดูซิ ว่ากินรีตนนี้จะมีน้ำนั่นฤๅไม่?

                มณฑายิ้มมุมปากพลางรับหอกและจู่โจมกลับ ใจของนางเริ่มปรารถนาน้ำที่ผ่านพิธีกรรมนั่นมากขึ้น

                ไม่ได้หวังเป็นอะไรพิเศษหรอก แค่จะนำไปฝากธัญ นายิกาแห่งจังหวัดลพบุรีก็เท่านั้นเอง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา