ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.68K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

70) บทที่ ๗๐: ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๗๐

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง

                ปักษธรนั่งปักผ้าเงียบๆ ภายในห้องนี้เหลือเพียงนางและศรี ส่วนคนอื่นๆ ไปข้างนอก นางหรี่ตาอย่างพินิจก่อนจะเอ่ย

                “การแข่งนี้จบเมื่อไหร่หลังจากนั้นอีกมิกี่วันเจ้าก็จะได้กลับมิติสามัญแล้วล่ะ” ศรีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่เธออ่านเมื่อครู่ เธอมองปักษธรอย่างฉงนก่อนจะถาม

                “เอ่อ… ท่านปักษธร… ทำไมท่านปักษธรกับท่านท่านพินทุถึงไม่ส่งหนูกับธันนะกลับล่ะคะ ไม่สิ ทั้งท่านซอ ท่านอรัญญิก ท่านมณฑาและท่านกาสะลองก็ไม่มีทีท่าจะส่งหนูกลับ ทั้งๆ การที่หนูกับธันนะอยู่ก็เป็นภาระให้ต้องดูแล”

                “เฮ้อ… ข้าอยากส่งเจ้ากลับดอกนะ แต่ยายพินทุมันมิยอมน่ะสิ …ส่วนเหตุผลข้าเองก็มิรู้นะ” คำท้ายปักษธรเอ่ยดักศรีที่กำลังอ้าปากถามต่อแล้วเธอก็ต้องหุบทันควัน ก้มหน้างุดก่อนจะอ่านหนังสือ ปักษธรเองก็ปักผ้าต่อไป

 

                มณฑาเหม่อมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกโหวงเหวง นึกถึงเรื่องของศรีที่พินทุเคยกล่าวไว้ ว่าไปแล้วนางเองก็รู้สึกเหมือนเคยเห็นศรีที่ไหน อย่างว่าแหละ นางอยู่มาตั้งนานแล้วการลืมอะไรบางอย่างไปบ้างจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

                เธอเป็นใครกัน…?

 

                อรรณพมองหญิงสาวสวมผ้าคาดหน้าอกพันด้วยผ้าบางๆ พันรอบมาเหน็บด้วยกันแล้วปล่อยชายพาดไหล่เป็นสไบยาว ปลายของมันบิดเกลียวราวกับคลื่น นุ่งโจงกระเบนพันด้วยผ้ารอบสะโพกลวดลายสวยงาม ผ้าผืนหนึ่งลวดลายไทยปลายบิดเกลียวเหน็บในขอบโจงกระเบนปลอยชายลงมาด้านซ้าน ผมยาวเรียบหยักศกช่วงปลาย เกล้าเป็นมวยส่วนหนึ่งประดับด้วยรัดเกล้าเปลวปักปิ่นปักผมด้วย ดวงหน้าเรียวมนอ่อนหวาน ริมฝีปากบางแย้มยิ้ม มือข้างขวาของนางจับด้ามดาบไว้ที่ใส่ในฝักซึ่งเหน็บกับเข็มขัดด้านหลัง

                นายิกาแห่งบูรพาพันแสง

                “ข้ามาแล้ว เริ่มกันแข่งเลยไหม?”

                “อืม”

                อรรณพตอบอีกฝ่ายก่อนจะเดินไป วิศิษฏ์เองก็ตามไปด้วย พอมาถึงวิศิษฏ์ก็ชักดาบออกแล้วชี้ปลายดาบไปทางอรรณพ อรรณพมองดาบที่สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายวาบไล้ไปตามดาบน่าหวาดหวั่น แต่นางไม่หวั่นเกรง ในสายตานางออกจะเหมือนเด็กเล่น มือขาวออกเหลืองนวลยื่นมือออกไปพลางสวดมนต์เบาๆ หลังจากนั้นก็มีน้ำมารวมตัวกันในมือ วิศิษฏ์รู้สึกว่ารอบกายชื้นเย็นพอมองไปรอบๆ ก็พบว่าน้ำทะเลม้วนตัวเป็นคลื่นสูงเลยศีรษะจนมองเห็นภายนอกเพียงรางๆ

                พอเริ่มน้ำก็แทบจะทะลักเลยนะ

                นางยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งตัวไปหาอรรณพ อีกฝ่ายร่ายมนต์ให้น้ำพุ่งเข้าไปหาทว่าไม่โดนเป้าหมายเมื่อวิศิษฏ์ใช้ดาบมีไอบางๆ ที่ลงอาคมฟันน้ำจนแยกเป็นสองฝั่ง นางพุ่งเข้าไปในช่องว่างระหว่างพวกมันแล้วฟันใส่อรรณพ กรีดผ่านผ้าและผิวเนื้อนุ่มนิ่มจนเลือดออกกระเซ็นใส่วิศิษฏ์ด้วย อรรณพพยายามข่มความเจ็บไว้ ตีหน้าเรียบเฉยก่อนจะร่ายมนต์เปลี่ยนน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำแข็งแล้วมันก็พุ่งเข้าไปหาวิศิษฏ์

                นางฟันน้ำแข็งจนแตกออกทว่าอรรณพไม่ได้หยุดเท่านั้น มันยังคงมาเรื่อยๆ จนวิศิษฏ์แทบตามไม่ทัน กระทั่งนางเผลอ แท่งน้ำแข็งจึงเสียบท้องทะลุไปอีกฝั่งหนึ่ง เลือดทะลักออกจากปาก วิศิษฏ์นั่งคุกเข่าพยายามข่มความเจ็บปวดไว้

                “…เจ้า เป็นธาตุน้ำฤ?” นางถาม อรรณพเงียบสักพักก่อนจะตอบ “ใช่” จากที่ทั้งสองคุยกัน ในโลกนี้มีทั้งหมด ๔ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ส่วนธาตุที่เป็นแก่นนั้นคือ ธาตุแสงและธาตุมืด

                วิศิษฏ์ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก ที่ชวนคุยเพราะเพียงแค่ถ่วงเวลาให้นางพักเท่านั้น อรรณพรู้สึกลางไม่ดีจึงถอยออกไป วิศิษฏ์พุ่งตัวเข้ามาพร้อมดาบที่เตรียมจะปลิดชีพได้ทุกเมื่อ อรรณพไม่รอช้าร่ายมนต์ให้น้ำพุ่งสูงขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งเพื่อบัง แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมืออีกฝ่ายอยู่ดี เมื่อวิศิษฏ์กระโดดขึ้นในความสูงที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เหยียบปลายแท่งน้ำแข็งที่แหลมคมกริบแล้วพุ่งตัวสูงขึ้น เงื้อดาบเหนือศีรษะ ร่างกายลงตามแรงโน้มถ่วง อรรณพรับดาบที่ปะทะลงมาด้วยดาบน้ำแข็งก่อนจะผละออกแล้วพุ่งเข้าไปฟัน ดาบปะทะกันเกิดเสียงดังเคร้ง! ก้อง การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสี อรรณพไม่คิดจะใช้ลูกไม้อื่นอย่างการบังคับน้ำ วิศิษฏ์หวดดาบหมายจะบั่นคอ อรรณพใช้จังหวะนี้ก้มลงก่อนจะฟันเข้าที่ท้องอีกฝ่าย นางสวดมนต์เบาๆ วิศิษฏ์รู้สึกว่าเรี่ยวแรงหายไป ดาบน้ำแข็งที่เสียบนั้นดูดเลือด อรรณพดึงออกมองดาบที่ครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีแดงเพราะมีเลือดอยู่ข้างในและเปื้อนอยู่ภายนอก นางยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจก่อนจะเลื่อนไปมองร่างอีกฝ่ายที่จมลงไปในน้ำ

                อรรณพคิดว่าคงจะมีรองนายิกาของวิศิษฏ์มาช่วยเหมือนอย่างคู่อื่นๆ ที่ประลองแต่ก่อนหน้า แต่มองไปรอบๆ ก็ไม่พบใครที่ทำท่าทีจะมาช่วย

                หายไปไหนนะ?

               

                เด็กๆ มานั่งทานอาหารหวานที่ร้านแห่งหนึ่ง ธันนะนั่งนิ่งๆ เขาไม่ได้ทานอะไรนอกเสียแต่ดื่มน้ำมะพร้าว ดวงตาสีดำมองตาพงสณะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่วางตา คนอื่นๆ ก็คุยกันอย่างสนุกสนาน เสมือนว่าตรงนี้ไม่มีทั้งสองนั่งอยู่ …ธันนะเผลอนึกถึงเรื่องของศรีที่เธอมีคู่หมั้นคือพงสณะ ในใจคิดไปว่าศรีอาจจะรักพงสณะเพราะอย่างไรเสียทั้งคู่ก็เคยเจอกันมาก่อนแถมพงสณะยังจีบอย่างเปิดเผยด้วย ต่างกับเขาที่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งแถมยังนานแล้วด้วย

                “พงสณะ…”

                “?”

                “นายรักศรีไหม?”

                “ถามอะไรแปลกๆ ถ้าไม่รักแล้วฉันจะตามจีบศรีอยู่อย่างนี้เรอะ?” พงสณะขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดก่อนจะตักไอศกรีมรสช็อกโกแลตใส่ปาก รสหวานอมขมเล็กน้อยทำให้ไม่เลื่อนพอจะดับไฟที่คุกรุ่นในอกได้ พงสณะไม่ชอบใจกับธันนะตั้งแต่แรกพบแล้ว เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีกับธันนะที่มีต่อศรี

                “แล้วศรีรักนายไหม?” น้ำเสียงของธันนะเยือกเย็นจนพงสณะขนลุกชั่วหนึ่ง พงสณะจะตอบว่าศรีก็เกือบจะรักเขาแต่เปลี่ยนใจตอบว่า “ศรีรักฉัน” เพราะอยากยุให้ธันนะตัดใจจากศรี

                “งั้นเหรอ” พงสณะชักสีหน้าเล็กน้อยเพราะเห็นว่าธันนะนิ่งเฉย พงสณะทานไอศกรีมต่อเพราะไม่อยากเสวนากับอีกฝ่ายให้หงุดหงิดกว่าเดิม

                เฮอะ!

               

                ปักษธรพาศรีไปหาเพื่อนๆ ในร้าน พงสณะเห็นเธอชั่วแวบหนึ่งก็รีบจูงเธอไปนั่งอีกโต๊ะที่มีเก้าอี้สองตัวก่อนจะสั่งไอศกรีมใส่สามลูกเพื่อมานั่งทานด้วยกัน เพื่อนๆ บางคนเข้ามาทักทายเธอ ในขณะที่ปักษธรเดินออกจากร้านแล้วพบว่ามณฑากับกาสะลองมายืนอยู่รอแล้วโดยมีรถเทียมม้าอยู่ข้างหลัง ทั้งสามคนขึ้นรถก่อนที่กาสะลองจะบังคับให้ม้าเคลื่อนตัวลากรถไป มุ่งหน้าไปที่ภาคใต้…

 

                ควันกลุ่มหนึ่งมาอยู่ในตอนนั้นได้อย่างไรก็มิรู้ ร่างของข้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้จมอยู่ในบ่อเลือด เลือดทะลักเข้าปากได้รสชาติคาวน่าสะอิดสะเอียน มือซีดขาวดึงขาข้าให้ลงสู่ก้นลึก ในตอนนั้นที่ความตายกำลังคืบคลาน ควันกลุ่มนั้นก็ลอยเข้ามาหา มิใช่สิ ต้องพูดว่าเป็นน้ำสีดำมากกว่า น้ำสีดำนั่นลอยวนรอบตัว มันมีชีวิต ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหญิงสาวผิวขาวซีด

                “ให้ข้าช่วยไหม?” ข้ามิตอบนางเพราะอยู่ในน้ำ แต่ยื่นมือออกไปซึ่งนางก็จับมือข้าไว้แล้วเอ่ย น่าแปลกนักทั้งๆ ที่อยู่ในน้ำจะพูดได้อย่างไร

                “เจ้าพูดได้ ข้าลงอาคมไว้แล้ว”

                “…”

                “เจ้าแค้นนายิกาไหม?”

                “แค้น… งั้นฤ?” ข้าทวนคำ นางพยักหน้าก่อนจะเอ่ย “มิแค้นบ้างฤ? ทั้งๆ ที่เจ้าถูกดึงลงไปโดยที่มิช่วยเจ้า …น่าสงสารเจ้าจริง ทำงานมาด้วยกันหลายปีแต่โดนหักหลังเช่นนี้น่ะฤ?” พอนึกถึงแล้วข้าก็ใจหายวาบ ความสับสนเข้ามาแทรกแซงก่อนจะเปลี่ยนเป็นความน้อยใจและ… ความแค้น

                ทำไมพวกนางถึงทิ้งข้าไป?

                “ข้าช่วยเจ้าแก้แค้นได้นะ” น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความตื่นเต้น …บัดเดี๋ยวก่อน นางตื่นเต้นฤ? ทำไมล่ะ ที่มาให้ความช่วยเหลือนางมีจุดประสงค์อันใดกัน

                “งั้น… ข้าควรจะทำอย่างไร” ข้าถาม ทิ้งความระแวงไว้ ตอนนี้ความแค้นมันบดบังจนข้าแทบมองมิเห็นความจริง นางยิ้มมุมปากก่อนจะตอบ “ลักมีดอรัญญิกและสมบัติราชวงศ์ในสยาม” คำตอบนั้นเหมือนสากทุบศีรษะ ข้ามองนางด้วยความฉงน แค่แก้แค้นไยต้องลักของด้วยล่ะ?

                “แล้วทำไมต้องลักสมบัติด้วยล่ะ? แค่ลอบสังหารก็เพียงพอแล้วนนี่”

                “หึๆ… จริงๆ แล้วข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าต่างหากแล้วตอบแทนด้วยการปลิดชีพอย่างไรล่ะ”

                “?”

                “ปั่นหัวพวกนายิกาแล้วเจ้าก็ส่งวิญญาณไปกำจัด แล้วพอถึงงานวันแข่งเจ้าก็ล่อให้พวกมันมาที่นี่สิ บ่อเลือดนี่ก็คือประตูสู่นรกอยู่แล้ว ทีนี้จะได้กำจัดทีละมากๆ อย่างไรล่ะ” หากมิผิดข้าจับใจความได้ว่านางจะให้ข้าลักมีดเพื่อที่จะล่อ มีดแห่งรางชวงศ์สำคัญมากเพราะฉะนั้นนายิกาทุกคนต้องให้ความร่วมมือในการจับหากข้าทำจริงแน่นอน

                หลังจากนั้นนางก็ดึงข้าขึ้นฝั่ง …แล้วเริ่มแผน

               

                ยิ่งมองก็ยิ่งปวดใจ

                อสุเรนทร์ล่องหน ยืนมองพงสณะกับศรีที่นั่งทานไอศกรีมด้วยกัน โดยพงสณะตักเนื้อไอศกรีมให้ศรี เขายิ้มอย่างร่าเริง ดวงตาสดใสนั้นฉายความรักอย่างล้นเปี่ยม แม้ศรีจะมีท่าทีไม่ยอมทานแต่ก็อ้าปากรับเนื้ออ่อนนุ่มนั่นเข้าไป ความเย็นแผ่ซ่านจนเสียวฟัน ดวงตาของเธอฉายความรำคาญทว่าไม่มีความรังเกียจ ยิ่งรู้สึกถึงแววตานั้นมันก็คับแคบในใจจนบีบเคล้นเป็นความแค้นและเจ็บใจ

                เขาขู่ ทำร้าย พยายามจะครอบครองอย่างโหดร้าย เรื่องนั้นเขารู้ดี …แต่ทำไม ความสัมพันธ์มันถึงตัดง่ายขนาดนี้? ทั้งๆ ที่อดีตแต่ก่อนยังสนิทกลมเกลียวกัน รักใคร่กันดี …แม้จะในฐานะเพื่อนก็ตาม

                ‘นายรีบร้อนเกินไป’ เสียงนั้นผุดขึ้นมา เฉาก๊วยเคยบอกเขาเช่นนั้นเมื่อครั้นตอนที่ทั้งสองเจอกัน

                ‘…’

                ‘นายต้องใจเย็นๆ สิ ไม่ใช่ว่าขู่บังคับทำร้ายจะได้เธอมาครอง แต่นายทำแบบนี้จะยิ่งทำให้ศรีเกลียดนายมากขึ้นนะ ดูสิ ขนาดพงสณะยังถูกศรีเขม็งใส่เขายังพยายามดูแลเธออย่างดี แม้จะมีทะลึ่งบ้างแต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายแบบที่นายทำ …ฉันมั่นใจว่าถ้านายเริ่มทำดีเสียแต่ตอนนี้ ศรีจะต้องรักนายแน่นอน’ ในตอนนั้นอสุเรนทร์ไม่เอ่ยอะไรต่อ เขาหันหลังกลับแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ เฉาก๊วยก็ไม่ตามมาพูดพร่ำอะไรอีก เขารู้ว่าหากยิ่งพูดมากเท่าไหร่อีกฝ่ายจะไม่ยอมรับมากเท่านั้น

                …เหมือนหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ …รวดร้าวไปหมด

                ในขณะนั้น ขนมชั้นที่กำลังว่าเฉาก๊วยที่แย่งลูกเชอร์รี่ไปทานก็เหลือบมาเห็น อสุเรนทร์มองอย่างแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมองเห็นเขาได้ แต่เขาก็ไม่ได้จากไปเพื่อหนีแต่มองตาขนมชั้นเหมือนจะรอว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยอะไรหรือเปล่า ขนมชั้นหรี่ตามองอย่างพินิจก่อนจะทำเป็นไม่สนใจแล้วทะเลาะกับเฉาก๊วยต่อ

 

                บุษราคัมนอนบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง เส้นผมสีดำขลับกระจัดกระจายยุ่งเหยิงทว่าก็ยังงดงามอยู่ดี ดวงตาสรดำนั่นเหม่อลอยเหมือนไร้วิญญาณ อรุโณทัยนอนข้างๆ พลางจับมือแม่ของตนอย่างเป็นห่วง

                หลังจากการประลองระหว่างอรรณพกับวิศิษฏ์จบลงนายิกาและรองนายิกาก็ได้กลับมาทานอาหารกลางวันและพักผ่อนเพื่อเก็บเรี่ยวแรงในตอนแข่ง ระหว่างกลับนั้นอรุโณทัยเห็นว่าบุษราคัมมีสีหน้าไม่ดีนัก พอถามเพื่อดึงสติบุษราคัมก็ส่งยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่การที่บุษราคัมตอบไม่คล้องกับสีหน้ามันทำให้ผู้เป็นลูกเช่นอรุโณทัยปวดใจที่ไม่สามารถ

ช่วยแม่ของตนได้ นางคาดว่าเหตุที่แม่ของตนเป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะว่าสมเพชตนเองที่เสียสมาธิเพราะคำพูดของคู่ประลองและจำเรื่องจุดอ่อนของสายควบคุมไม่ได้

                …ซึ่งที่นางคาดไว้ก็ถูก แต่มีอีกเหตุผลหนึ่ง

                ---บุษราคัมสับสนและทำใจไม่ได้ที่ลูกของตนอาจจะทรยศลอบสังหาร---

                “อรุโณทัย…” บุษราคัมเอ่ยเบาๆ อรุโณทัยดีใจมากที่บุษราคัมยอมเอ่ยกับตน ทว่าดีใจไม่นานคำพูดต่อมาของษุราคัมก็ทำให้อรุโณทัยหน้าซีด

                “อรุโณทัย จำได้ไหม? ในงานตอนนั้นลูกใส่ยาในอาหารที่ให้กินเพราะอยากให้แม่ตายฤ?”

                “…” อรุโณทัยเงียบ ที่นางใส่ยาเป็นความจริงแต่ที่ไม่จริงคือนางไม่ได้ใส่ยาที่ทำให้ตาย บุษราคัมเห็นว่าลูกของตนไม่แก้ตัวอะไรก็ใจเสียขึ้นมาเพราะคิดว่าอรุโณทัยจะกล้าฆ่านางจริงๆ

                “เงียบเช่นนี้ …อย่าบอกนะว่าลูกจะฆ่าแม่จริงๆ”              

                “ลูกยอมรับเจ้าค่ะ ว่าลูกใส่ยา แต่มันมิใช่ยาพิษนะเจ้าคะ” อรุโณทัยเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทา นางยอมโดนลงโทษดีกว่าให้แม่ตนเองเข้าใจผิด บุษราคัมฉายความฉงนผ่านแววตาที่สั่นไหว ปากเอ่ยเสียงสั่นปนสะอื้นเหมือนจะร้องไห้

                “แล้วลูก… ใส่ยาอันใดลงไป?”  อรุโณทัยเงียบยังไม่ตอบ นางหลุบตาลง นางกุมมืออีกฝ่ายแน่นพยายามข่มอารมณ์ไว้ ความคิดปนเปกัน หากนางตอบว่าใส่ยานั่นบุษราคัมจะทำใจ ยอมรับ และเห็นนางเป็นลูกอีกหรือเปล่า

                แต่ไม่ว่าจะเห็นเป็นลูกหรือไม่ ความรู้สึกของนางที่มีต่อบุษราคัมก็ไม่ใช่ความรักแบบครอบครัว

                “ยาปลุกอารมณ์เจ้าค่ะ…”

                “?!” บุษราคัมเบิกตาโพลงด้วยความคาดไม่ถึง ถ้าเป็นยาสลบ ยานอนหลับหรืออะไรก็ตามแต่นางจะไม่แปลกใจเลย …แต่ยาปลุกอารมณ์ เหนือความคาดหมายของนางจริงๆ

                “อรุโณทัย… ลูก……”

                “ลูกรักแม่นะเจ้าคะ แต่มิใช่แบบแม่ลูกแต่เป็นเชิงชู้สาวเจ้าค่ะ” อรุโณทัยกลั้นหายใจ เตรียมการตัดสายสัมพันธ์ด้วยใจที่สั่นไหวเพราะความหวาดกลัว ในใจนึกเคียดแค้นที่ภุชงค์เล่าความลับนั้น

                “แม่…” บุษราคัมมองอรุโณทัยนิ่ง ดวงตาของนางเบิกค้าง นางทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมาระหว่างตนเองกับอรุโณทัย นางก็รู้สึกแปลกๆ บางครั้งที่อรุโณทัยทำกับตน อย่างบางครั้งตอนนอนก็คลอเคลียอย่างลึกซึ้ง ไม่ก็ส่งสายตาที่ยากจะคาดเดา นางเองก็เตรียมใจไว้แต่แรกแล้วล่ะว่าเรื่องคงต้องมาบานปลายในท้ายที่สุด แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น อรุโณทัยก็เป็นลูกของนาง เลี้ยงดูตั้งแต่เป็นทารกจนโตเป็นสาว ให้ความรัก ความเอาใจใส่

                นางทิ้งลูกไม่ลงหรอก

                “…” อรุโณทัยหลับตา เหงื่อไหลย้อยราวกับจะระบายความกังวลที่พลุ่งพล่านในใจ

                ได้โปรด หวังว่าท่านแม่จะยอมรับและให้อภัยด้วยเถิด

                “โธ่ บอกแม่มาตรงๆ ก็ได้นี่” คำตอบนั้นทำให้อรุโณทัยลืมตาขึ้นแทบไม่ทัน นางแทบไม่เชื่อหูตนเอง

                บุษราคัมยอมรับความรู้สึกของนางแล้ว

                “ท่านแม่ มิเกลียดลูกฤๅเจ้าค?”

                “จะเกลียดได้อย่างไร ลูกของแม่ทั้งคนนี่ แม่ตกใจนะที่ลูกมิได้รักแม่แบบเดิมแล้ว” บุษราคัมยิ้มอย่างอ่อนโยน นางเขยิบเข้ามาใกล้ก่อนจะกอดอรุโณทัย ผู้เป็นลูกหลั่งน้ำตาซึมจนดวงตาใสราวกับลูกแก้ว บุษราคัมเอื้อมมือปาดเบาๆ

                “ท่านแม่มิรังเกียจฤๅเจ้าคะ ทั้งๆ ที่ลูกรักแม่เช่นนั้น”

                “มิรังเกียจดอก แม่เองก็พอยอมรับได้แล้วเพราะลูกแสดงออกเป็นบางครั้งแม่ก็เลยเตรียมใจ มิว่าลูกจะรักแม่แบบไหน ลูกก็ยังเป็นลูกรักของแม่อยู่ดี”

                “แล้ว… ท่านแม่รักลูกแบบนั้นไหมเจ้าคะ?” อรุโณทัยเหมือนจะได้ใจ นางถามอย่างมีความหวัง บุษราคัมยิ้มมุมปากก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้ สัมผัสอุ่นร้อนจากลมหายใจของทั้งสองเหมือนจะปลุกอารมณ์ให้แก่กันและกัน อรุโณทัยเคลิ้มจนไม่ทันตั้งตัว บุษราคัมประทับริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงอมชมพูกับริมฝีปากอรุโณทัยอย่างอ่อนโยน

                คงจะเข้าใจใช่ไหม อรุโณทัย… นี่คือคำตอบของแม่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา