ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.69K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ ๗: ประลองมวยเมื่อรุ่งอรุณมาเยือน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๗

[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]

ประลองมวยเมื่อรุ่งอรุณมาเยือน

                เหมือนกับถูกทาบทับด้วยก้อนหิน

                หนูมองเพดานอย่างเหม่อลอย ที่โลกนี้ช่างพิสดารนัก อะไรๆ ก็ดูแปลกไปหมดแต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่เลวร้ายเสียจนต้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเกลียดชัง กลิ่นดอกไม้ที่ออกกลิ่นยามค่ำโชยมากับสายลม เปลือกตาเปิดๆ ปิดๆ จนน่ารำคาญอยากนอนก็มิอาจข่มตาหลับได้เพราะไม่สบายใจ หนูพลิกตัวไปมาด้วยความลำบาก

                …นี่ หนูหายตัวไปตั้งนานแล้ว พ่อคะ แม่คะ พี่คะ--- หนูขอโทษค่ะ… ที่ทำให้เดือดร้อน

                เป็นห่วงพ่อแม่จังเลย ป่านนี้ท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้างนะ หนูผิดเองที่หลับตาพลางเดินจนโดนใครบางคนสาปแช่ง

                เฮ้อ… ทำไมกันนะ ทำไมกัน… กรรมอะไรที่เราก่อไว้

                ก๊อกๆ

                แอ๊ด…

                มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาด้วยเสียงเงียบเชียบ หนูสลัดความคิดที่ฟุ้งซ่านอย่างน่าเวทนา รีบพลิกตัวไปมองพบกับเด็กหญิงผมประบ่าสวมแว่น เธอยิ้มบางๆ ให้หนูก่อนจะถาม

                “คืนนี้ฉันขอนอนด้วยคนจะได้ไหม”

                “อ่ะ ได้สิ”

                หนูตอบด้วยความยินดี มีใครสักคนมานอนด้วยจะได้ลืมเรื่องอื่น แววไพรยิ้มดีใจก่อนจะขึ้นเตียงเข้ามาแทรกตัวใต้ผ้าห่มที่คลุมร่างหนูด้วยความรวดเร็วเสียจนหนูตกใจ เธอโผล่หน้าจากใต้ผ้าห่มมือเล็กบางที่ขาวสมกับเป็นคนภาคเหนือนั้นโอบกอดเอวหนูไว้แน่น จนรู้สึกปวดกระดูกขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยร้องประท้วง ปล่อยให้เธอกอดต่อไป

                “ฉันคิดถึงศรีมากเลยนะ… อา… ตัวเธอยังอุ่นเสมอเลยนะศรี อยากกอดแบบนี้ไปตลอดจัง” ใบหน้านั้นเปี่ยมสุขด้วยความปรารถนา แววไพรซุกคอของหนูจนรู้สึกจั๊กจี้ หนูดิ้นเล็กน้อยเพื่อบอกว่าให้พอ แววไพรรับรู้ความรู้สึกของหนูก่อนจะเอาหน้าออกห่างแล้วเอ่ย

                 “ศรีรักฉันมั้ย”

                “รักสิ รักมากๆ เลยนะ…  เพื่อนรักของฉัน”

                “ฉัน… เอง ก็รักศรีเหมือนกันนะ” ริมฝีปากนั้นสั่นระริกแต่น้ำเสียงยังคงมั่นคง แววตาที่ฉายความยินดี ปวดร้าวและปรารถนานั้นมองมายังหนู จนอดที่จะรู้สึกกดดันไม่ได้ หนูไม่เข้าใจความรู้สึกที่ฉายออกมาเลย

                ---เธอรู้สึกยังไงกับหนูนะ

                “…”

                “…”

                ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีกมีเพียงแต่แรงที่โอบกอดกระชับและแน่นขึ้น

                เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดหนูกับแววไพรก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

 

                วันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

                เช้า

                จ้อกแจ้กๆ จอแจๆ

                เสียงดังเซ็งแซ่ก้องไปทั้วค่ายมวย วันนี้แววไพรไม่มีกิจอะไรจึงขอมากับหนูด้วย ก่อนจะมาเธอถามว่าจะไปไหน หนูตอบว่าจะไปที่ค่ายมวย แววไพรสงสัยแล้วถามหนูจึงจำใจต้องตอบพลางกล้ำกลืนความรู้สึกที่หวาดหวั่นและเกรงกลัว วิตกว่าการประลองชกมวยนี้หนูจะคว้าชัยได้หรือไม่ สายตาหลายคู่ตามจับจ้องมาที่หนู ว่าวที่มาด้วยขมวดคิ้วกังวลแววไพรเองก็มีอาการเช่นเดียวกัน

                เมื่อวานที่ว่าวบอกว่าจะลองไปปรึกษากับท่านพินทุหรือแม่ของว่าวนั้นว่าวบอกว่าท่านพินทุไม่อยู่ ในตอนนั้นที่เธอพูดน้ำเสียงเต็มไปด้วยความวิตก หนูจึงยิ้มให้เธอ

                “พร้อมหรือไม่”

                ท่านชนกเดินมาจากข้างในที่ค่อนข้างมืด ช่างแตกต่างกับตรงที่หนูยืนอยู่อย่างสิ้นเชิง แสงยามเช้ารำไรลอดส่องมา ดวงตาสีดำคมกริบนั้นจ้องหนูราวกับจะกรีดผิวให้เลือดไหลอาบร่าง หนูเจ็บอกขึ้นมาในบัดดลกับสายตานั้นที่มองมาอย่างชิงชัง

                ทำไมกันนะ หนูไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า น่าแปลก ทั้งๆ ที่เราเองก็เพิ่งพบกันนี่ แล้วทำไมล่ะ

                หนูกล้ำกลืนความรู้สึกที่เริ่มจะเอ่อล้นแล้วตอบ “พร้อมค่ะ”

                “งั้นไปกัน”

                “…”

                หนูรอประโยคต่อไป

                “ที่เวทีมันแคบ งั้นไปที่ลานด้านหลังก็แล้วกัน”

                “…………ค่ะ”

                ท่านชนกเดินนำหนูไป ผ่านต้นไม้หลากพันธุ์ สมาชิกในค่ายมวยก็ตามมาด้วยรวมทั้งว่าว เพื่อนใหม่และธันนะ หนูเหลือบตาไปมองเขากล้าๆ กลัวๆ คนอะไรปั้นหน้านิ่งได้ตลอดเวลา เยือกเย็นนัก แววตาเขาไม่สนใจอะไรเลย เย็นชาจริงๆ

                ในขณะที่หนูเหลือบตาจนมองเพลินนั้นเองเขาก็ทักหนู

                “มองอะไร”

                “หึ! มองนายนั่นแหละ เจ้าชาชัก”

                “ชาชักอะไรของเธอ”

                ธันนะขมวดคิ้วและเบือนสายตาไปทางซ้ายที่เป็นบ่อน้ำค่อนข้างใหญ่มีดอกบัวหลากสีบานอ้ารับแสงแดดยามเช้า น้ำใสสะท้อนนภาที่สดใสเหมือนกับนภายามคิมหันต์ฤดู เป็นภาพที่สะท้อนเข้าสายตาแล้วชื่นใจยิ่งนัก หนูมองเพลินจนกระทั่งมาถึงที่หมาย ท่านชนกพูด

                “เถาวัลย์ ข้ามอบหมายให้เจ้าเป็นผู้ตัดสิน”

                “ครับ”

                เถาวัลย์ตอบรับหน้าที่ตามบัญชา เขาไม่กล้าสบตาท่านชนก เพียงแต่ลอบมองหนูอย่างกังวล หนูตอบรับสายตาด้วยการยิ้มแม้จะต้องกล้ำกลืนความไม่สบายใจแต่เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกังวลหนูก็ต้องยิ้ม เถาวัลย์เดินไปด้านข้างกึ่งกลางระหว่างหนูกับท่านชนก เขายกมือขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ

                “เริ่ม”

                “ประเดี๋ยว”

                มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้น ทุกสายตาต่างหันไปมองต้นเสียง ท่านพินทุก้าวเดินมาจากไหนก็ไม่อาจทราบได้ ว่าวตะลึงที่เห็นผู้เป็นแม่ที่เมื่อวานหายตัวไปมีกิจโดยที่เธอไม่ทราบ มองนางด้วยความสงสัย ร่มที่พาดบ่านางยกเลื่อนมายืนปลายร่มชี้หน้าท่านชนก เขาตะลึงที่นางมามองด้วยความสงสัยและแปลกใจ พินทุขยับริมฝีปากสีอ่อน

                “สู้ให้ศรีชกกับเจ้าแล้วเจ้าจะชกถนัดฤๅ สัดส่วนต่างกันนะ มิสู้ให้ศรีประลองกับเถาวัลย์มิดีกว่าฤๅ”

                หนูและคนอื่นๆ ตกใจและสงสัยกับคำพูดของพินทุ ประโยคนั้นไร้ความเมตตา

                ---แต่ยังไงซะ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา

                “ศรี--- นางเด็กนี่น่ะฤ เถาวัลย์…” ท่านชนกเลื่อนสายตาจากท่านพินทุไปมองเถาวัลย์ เด็กชายผิวสีแทนสะดุ้ง ท่านชนกพินิจก่อนจะเอ่ย

                “นั่นสินะ”

                ตึก…

                “เถาวัลย์--- ประลองกับศรีซะ” น้ำเสียงนั้นอำมหิต เถาวัลย์อ้ำๆ อึ้งๆ แล้วเปิดปากร้อนรน “ท่านชนก ผม---”

                “จะทำฤไม่ทำ”

                เถาวัลย์กัดริมฝีปากแล้วมองหนูเหมือนจะถาม หนูรู้ว่าเขาไม่อยากประลองซึ่งเหมือนเป็นการทำร้ายหนู แต่หากเขาขัดคำสั่งไม่รู้เหมือนกันว่าต้องรับโทษอะไรบ้าง หนูยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนแก่เขา เถาวัลย์เห็นดังนั้นจึงยิ้มแล้วเงยหน้าตอบ

                “ทำครับ” เขาตอบรับพร้อมกับก้าวจากตำแหน่งเดิมมาประจันหน้ากับหนู ท่านชนกเข้ามายืนแทนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน เถาวัลย์มองหนูก่อนจะถาม “ใครเริ่มก่อนล่ะ”

                “นาย… เริ่มก่อนเลยจ้ะ”

                ฟึ่บ!

                เถาวัลย์รุกเข้ามาชกด้วยหมัดตรงซ้ายพร้อมกับเท้าซ้ายที่สืบไปข้างหน้า หมายชกบริเวณใบหน้าของหนู หนูรับด้วยการก้าวเท้าขวาหลบไปทางกึ่งขวา ๑ ก้าวพร้อมทั้งโน้มตัวเอนไปทางขวา น้ำหนักตัวอยู่บนเท้าขวา ขาขวางอเล็กน้อย ศีรษะและตัวหลบออกวงนอกของหมัด ในทันใดหนูใช้มือขวาจับกำคว่ำที่แขนท่อนบน ของเถาวัลย์ มือซ้ายจับกำหงายที่ข้อมือของเถาวัลย์              

                “!”

                “!”

                ตอนนี้แววตาของเถาวัลย์ไม่มีความลังเลฉายอยู่อาจเพราะเขาฝึกมวยเพื่อที่จะต่อกรกับศัตรูบ่อยจนลืมตัว แต่หนูไม่โกรธแต่อย่างใดออกจะโล่งใจที่เขาหายกังวลที่จะประลองกับหนู

                เมื่อกี้สลับฟันปลาสินะ

                งั้นต่อไป---

                คราวนี้หนูจะเป็นฝ่ายรุก หนูชกใบหน้าด้วยหมัดซ้ายตรงพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า เถาวัลย์เบี่ยงหน้าหลบก่อนจะเหวี่ยงขาขึ้นเป็นวงโค้งเข้ากับคอหนู แล้วชกที่ใบหน้าอย่างแรง

                การประลองดำเนินต่อไปกินเวลาไม่นานนักแต่หนูกลับรู้สึกว่ามันนายราวกับ ๑ ชั่วโมง เหงื่อเริ่มไหลทีละน้อยเถาวัลย์เองก็เช่นกัน พินทุวาดริมฝีปากบางเป็นเส้นโค้งที่แสนสนุก

                ในชั่วจังหวะหนึ่งที่หนูใจลอยนั้นเถาวัลย์ก็ชกเสยคางจนหนูเอนไปด้านหลังแล้วล้มลง หนูยันตัวขึ้นก่อนที่จะได้ยินเสียงแตกตื่นจากใครบางคน หญิงสาวเกล้ามวยผมเป็นจุกหนึ่งแล้วที่เหลือปล่อยลงมา นางถือซอสามสายก้าวเร่งรีบแล้วตวาด “นี่มันเรื่องอันใด บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ!”

                ท่านชนกขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ที่มาขัดจังหวะการประลองพลางเอ่ยเสียงแข็ง

                “ฮึ ต้อนรับเด็กใหม่น่ะเลยให้ลองประลองมวยดู”

                “ประลองน่ะฤที่เรียกว่าต้อนรับ สารภาพมาเสียเถิดแล้วข้าจะลดโทษ” ท่านซอไม่เชื่อในวาจาที่ขมขื่นนั่น นางเหลือบมาทางหนู คิ้วของนางก็ตก ท่านชนกเอ่ยเสียงเรียบ

                “ก็ได้ ข้าแค่อยากเห็นความสามารถของนางเด็กใหม่เลยให้สู้กับเถาวัลย์” ประโยคนั้นฟังยังไงก็เป็นเรื่องเท็จในสายตานางสินะ ท่านซอถึงได้มีแววตาที่เป็นประกายไฟที่โชติช่วง นางกำมือแล้วแผดเสียงใส่ท่านพินทุ

                “พินทุ แล้วท่านล่ะ!”

                “หึๆ… มิเป็นไรดอก ท่านวิตกเกินไปแล้ว” ท่าทางทองไม่รู้ร้อนของท่านพินทุเปรียบเสมือนน้ำมันที่ราดแถวบริเวณไฟ จู่ๆ ก็มีบางสิ่งบาองย่างพุ่งจากทางด้านซ้าย

                ฉึก!

                ลูกธนูปักเข้าไปที่ลำต้นของต้นราชพฤกษ์ที่กลีบดอกร่วงโรย ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ลูกธนู หนูเบือนสายตาไปทางด้านซ้าย ร่างคนสี่คนสะท้อนนัยน์ตา

                เม็ดแตง ดอกเข็ม ดินขาว ขนมชั้นและพงสณะ ทั้งสี่ลอยตัวในอากาศ นั่นเองที่ทำให้หนูตกตะลึงมองตาแทบจะไม่กะพริบ เม็ดแตงดึงสายเข้ากับลูกธนูอีกดอกพร้อมที่จะยิงได้ทุกเมื่อ

                ท่านพินทุวาดเส้นโค้งบนใบหน้างาม

                “มาแล้วฤ พอดีเลย มีเรื่องสนุกให้พวกเจ้าดูแล้วล่ะ”

                “มันมิใช่เรื่องบันเทิงเลยค่ะท่านพินทุ”

                เม็ดแตงกล่าวเสียงเรียบ พงสณะมีสีหน้าที่กังวลเห็นได้ชัดเมื่อเขาสังเกตถึงบาดแผลของหนูและรอยฟกช้ำ แววตาเขาบอกว่าหัวใจของเขาถูกบีบ ขนมชั้นเองก็เช่นกัน คาดว่าเพราะด้วยความเป็นห่วงในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของหนู เม็ดแตง ดอกเข็มและดินขาวความรู้สึกของทั้งสองก็ไม่ต่างกันเลย แววตาของทุกคนบอกหนูแบบนั้น

                นั่นเองที่ทำให้หนูตื้นตัน

                ---น้ำตาเหมือนจะไหลออกมา

                “ศรี…” เขาพึมพำแผ่วเบา หนูได้ยิน

                ท่านพินทุไม่เอ่ยอะไร นางเดินจากที่ตรงนี้อย่างเงียบเชียบพร้อมกับร่มที่พาดบ่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา