ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.69K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

63) บทที่ ๖๓: ย้อนอดีต รสเลือดคาว หวานคราวรัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๖๓

[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]

ย้อนอดีต รสเลือดคาว หวานคราวรัก

                หนูมองไปข้างหลังเขาที่มีขันตกลงพื้นเมื่อครู่ก่อนจะเลื่อนมามองเขา ดวงตาสีทองอมน้ำตาลที่ฉายความกระหายราวสัตว์ร้ายทำให้หนูหวาดผวา …คิดว่าจะไม่ได้เจอกันแล้วในช่วงปิดเทอมแต่ทำไมถึง…

                “พอได้รู้ว่าเธอจะมาที่นี่ฉันก็ทิ้งงานมาหาเธอก่อนเลยรู้ไหม?”

                “ไม่…” หนูพยายามตอบเสียงแข็งแต่เสียงที่ออกไปนั้นสั่นแผ่วเบา หนูแทบไม่กล้าหายใจยามสบตาเขา …มีไม่กี่คนที่จะทำให้หนูกลัว ยิ่งกว่าความเย็นเยียบของวิญญาณ คมเขี้ยวสัตว์ร้าย แต่ให้เทียบกันแล้ว

                เด็กชายตรงหน้าหนูเป็นยิ่งกว่านั้น

                “มากับฉันเถอะ”

                หนูส่ายหน้าแรงๆ เป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะกลับมานิ่งหนูก้มหน้าก้มตา เขาเองก็ไม่เอ่ยอะไรเพียงแต่จับมือหนูไว้ ความหวาดกลัวทำให้หนูไม่กล้าสะบัดมือออก

                .

                .

                .              

                ความซาดิสม์ของเขาทำให้หนูกลัวยิ่งกว่าอะไร แม้เขาจะไม่ได้โหดร้ายขนาดฆ่าใครมากมาย แต่บรรยากาศเย็นเฉียบที่แผ่ออกมาทำหนูตัวสั่นเทามากกว่าเจอภูตผี …ชายตรงหน้ามีชื่อว่า อสุเรนทร์ เรียกสั้นๆ ว่าเรนทร์ เขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กตอนอนุบาล ๑ ในตอนนั้นเขาไม่มีเพื่อนเลยคล้ายกับหนู แต่หนูมีเฉาก๊วยแล้วนอกนั้นก็ไม่มีอีก

                หนูเห็นเขานั่งบนชิงช้าท่ามเสียงหัวเราะและเพื่อนๆ วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ด้วยความที่เห็นว่าเป็นคนแบบเดียวกันหนูจึงเห็นใจเขาเลยเข้าไปทัก หนูยิ้มอย่างร่าเริงหวังจะชวนเขาไปเล่นด้วย …แต่ผลตรงกันข้าม เขาไม่เอ่ยอะไรนอกจากลุกขึ้นยืนแล้วกอดหนู เขาซุกหน้าเหมือนจะหาความอบอุ่นและคลายเหงา เขาซุกเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงซอกคอ ทีแรกหนูสะดุ้งเพราะความเย็นตัวเขาผิดกับหนูที่ตัวอุ่น ผิวกายเขาเย็นเฉียบจนหนูนึกว่าเขาตายไปแล้ว

                “เป็นของฉันนะ”

                ตอนนั้นหนูยังเด็กเลยไม่นึกเอะใจอะไร ได้เพียงแต่ยิ้มซ่อนความสงสัย คิดเพียงแต่ว่าเขาคงอยากให้หนูเป็นเพื่อนเลยพูดอย่างเอาแต่ใจแบบเวลาที่อยากได้ของเล่น เขาจูงมือหนูไปนั่งเล่น เขาไม่เอ่ยอะไรอีกเพียงแต่นั่งแกว่งขาไปมา หนูเองก็ไม่เอ่ยอะไรเพียงแต่กอดตุ๊กตาไว้แล้วซบไหล่เขา หากสงสัยว่าทำไมตอนนั้นหนูถึงซบไหล่ผู้ชายทั้งๆ ที่ตอนนี้สงวนตัว เหตุผลคือตอนนั้นยังเด็กอยู่เลยไม่ใส่ใจอะไร

                ไม่ว่าจะทำอะไรตอนนั้นหนูก็ไปไหนมาไหนกับเขาเสมอ บอกตามตรงเลยว่าหนูมีความสุขมาก แม้จะมีเพื่อนไม่มีเพื่อนนอกจากเขาและเฉาก๊วยแต่พออยู่แบบนี้มันกลับอบอุ่น ตื้นตันจนบอกไม่ถูก

                เรนทร์เป็นคนเงียบๆ แบบหนู แต่เขาไม่ค่อยชอบยิ้ม หนูจึงต้องเป็นฝ่ายชักชวนเขาเล่น ก่อนจะเล่นอะไรเขามักจะกอดหนูเสมอ ยิ่งโตเวลาผ่านไป อนุบาล ๑ อนุบาล ๒ จนถึงอนุบาล ๓ ท่าทีของเขาแปลกไปค่อนข้างมาก เขามักจะส่งสายตาเกรี้ยวกราดให้เพื่อนที่เข้ามาหาหนู

                ก่อนจะทำอะไรเขาก็จะกอดหนูแน่นกว่าเดิมจนเกือบหายใจไม่ออก ท่าทางของเขาเหมือนหวงหนูแบบหวงของเล่น เวลาหนูขัดใจหรือหนูจะไปทำอะไรเขาก็จะกระชากตัวหนูแล้วถาม

                แม้จะเริ่มไม่น่าไว้ใจแต่หนูก็ยังจะอยู่เล่นกับเรนทร์ เพราะเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญของหนู

                พอใกล้จะจบอนุบาล ๓ มีอยู่วันหนึ่งที่เรนทร์โกรธมากเพราะหนูไปเล่นกับเฉาก๊วยในวันหยุด เขากระชากหนูออกมาพร้อมกับเฉาก๊วยที่จะมาห้าม แต่ไม่ทันแล้ว เรนทร์กัดคอหนูจนมีเลือดซึมออกมา มันไหลมากกว่าเดิมจนหยดซึมในเสื้อ แบบนี้ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ? เด็กอะไรฟันจะคมจนเลือดออกขนาดนั้นแต่เขาเป็นตัวเฉพาะ เมื่อเขี้ยวโง้งจากปาก มุมปากมีลายไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของยักษ์ หนูร้องไห้สะอึกสะอื้นและร้องโอดครวญเพราะความเจ็บปวดเกินจะทานทน

                โชคดีที่ตอนนั้นพี่อสุรามาเห็น ท่านกระชากเรนทร์ออกแล้วชกท้องเขาจนสลบไป เฉาก๊วยมองเห็นเหตุการณ์นิ่งๆ ดวงตาเบิกโพลง เขาคงจะตะลึงกระมัง

                หลังจากนั้นพี่อสุราก็ไปบอกพ่อแม่ให้หนูย้ายห้องเรียนเพื่อที่จะลดโอกาสพบเจอเรนทร์ ตอนแรกจะให้ย้ายไปเรียนโรงเรียนเดียวกับเฉาก๊วย แต่หนูดื้อจะเรียนต่อที่นี่ แม้หนูจะเสียใจกับเหตุการณ์นี้แต่หนูก็คิดว่าเรนทร์อาจจะควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดี

                แต่หนูคิดผิด เพราะเมื่อสบโอกาสที่พบกันเขาจะเข้ามาทำท่าทีหวงมากกว่าเดิม ความเยือกเย็นเปลี่ยนเป็นรังสีสังหารแผ่ออกมา นี่คืออีกสาเหตุที่ไม่ค่อยมีใครอยากเล่นกับหนูนอกจากข่าวลือที่หนูเป็นยักษ์

                จนกระทั่งมาถึง ป. ๔ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ วันลอยกระทงในปีนั้นหนูหลงทางกับครอบครัว รพิ ครอบครัวของพสณะและตัวเขา หนูเห็นเรนทร์ยืนนิ่งท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่านราวกับเขาไม่มีตัวตน หนูพยายามทำใจกล้าไปหาเรนทร์ แม้จะหวาดหวั่นแต่เพราะด้วยความที่เคยสนิทสนมกันมาก่อนเลยวางใจได้ระดับหนึ่งว่าเขาจะไม่ทำร้ายหนูในที่สาธารณะ

                ทว่าเหตุการณ์กลับซ้ำรอย เมื่อเรนทร์กระชากร่างหนูให้ไปในที่ลับตาคนบริเวณหลังห้องอาบน้ำสำหรับผู้ที่มาเล่นทะเลตอนนี้เงียบวังเวง หนูสบตากับเรนทร์ที่ยืนก้มหน้า เส้นผมบดบังจนหนูไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าอย่างไรแต่บรรยากาศรอบๆ นั้นบ่งบอกได้ดี

                “ศรี เป็นของฉันเถอะ” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบนานสองนาน สีหน้าหนูตอนนี้คงจะมีความสงสัยบอกชัดเขาถึงเอ่ยพึมพำต่อ “ฉันรักเธอ”

                คำสารภาพรักทำให้หนูเผลอกลั้นหายใจ แทนที่จะดีใจที่มีใครสักคนมาบอกรัก แต่หนูกลับกลัวกว่าเดิม น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบจนขนลุกไปทั้งตัว  ความเงียบที่คืบคลานเข้ามาแทนที่จะมีเสียงภายนอก เสียงทะเลไม่ก็เสียงแมลงออกหากินกลางคืน แต่นี่ไม่เลย ราวกับโลกนี้สลายไปเหลือเพียงเราสองคนที่ยังอยู่

                “เป็นอะไรไปล่ะ? ตัวสั่นเชียว” เขายื่นมือมาจับมือหนูเบาๆ อย่างอ่อนโยนช่างขัดกับน้ำเสียงและเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายความเย็นชา รัก หลง โกรธ และครอบครองทำให้หนูไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ไม่กล้าจะปริปากตอบ

                “ร่ะ เรนทร์ อย่าล้อเล่นฉันอย่างนี้สิ ฉัน…”

                ตึง!

                เขาผลักหนูจนไปกระแทกพิงกับกำแพง หนูร้องครวญทว่าเสียงหายเมื่อเรนทร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แสงไฟเล็กๆ ที่มีแมลงตัวน้อยบินวนไปวนมาถูกบัง เขากัดริมฝีปากหนูแรงจนเลือดซึม หนูเบิกตาโพลง ร้อนรนจะผลักให้ห่างแต่ถูกรวบข้อมือไว้ด้วยกัน พันธนาการไม่ให้หนี ฉากนี้ทำให้หนูเผลอนึกถึงในละคร …เขาคงเลียนแบบมา

                ไม่รู้จะบรรยายกับความเจ็บปวดนี้ แม้จะไม่ขนาดเท่าตอนที่ถูกกัดคอ แต่มันเจ็บที่ใจ คำว่าเพื่อนในอดีตกลายเป็นเพียงลมปากในปัจจุบัน

                 …หนูหมดความเชื่อใจกับเขาแล้ว……

                ได้ยินเสียงลิ้นแลบ ไล้เลียเลือดอย่างอ่อนโยน การกระทำที่ไม่อาจคาดเดาในอารมณ์ทำให้หนูสับสน น้ำตาไหลริน สีหน้าทะเล้นของพงสณะพลันผุดขึ้นมา ถึงเขาจะชอบฉวยโอกาส ลามก แต่เขาก็ไม่เคยทำร้าย ตามใจ ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้หนูสมปรารถนา พงสณะไม่เหมือนกับอสุเรนทร์ …เขาดีกว่า

                ผัวะ!

                “แกทำอะไรศรี!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับที่เรนทร์ถูกคนที่หนูนึกถึงชก น้ำตาไหลพราก ในที่สุดเขาก็มา

                …พงสณะ

                “แกเป็นใครวะ!”

                “เป็นใครไม่สำคัญ ที่รู้ๆ เมื่อกี้แกทำร้ายคนสำคัญของฉัน!!” พงสณะโกรธจนหน้าคล้ำ เขาหอบหายใจ ดูจากเหงื่อที่ไหลก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงวิ่งตามหาหนูโดยไม่หยุดพัก

                “แก!!”

                เรนทร์เดือดขึ้นมาบ้าง เขากับพงสณะชกต่อยกันจนช้ำ หนูจะเข้าไปห้ามแต่ถูกพี่อสุราที่มาตอนไหนไม่รู้จูงมือหนีไปก่อน

                “พี่คะ พงสณะเขา…”

                “ปล่อยไว้ มันไม่ตายหรอก!” ตอนนี้พี่อสุราคงโกรธไม่แพ้พงสณะ หนูปาดน้ำตาออพร้อมกับวิ่งต่อไป

                .

                .              

                .

                “นายยังกล้าพาฉันไปอีกเหรอ?” หนูถามเสียงสั่นเบา เขาไม่ตอบอะไร มือเย็นเฉียบนั้นบีบแน่น หนูทำใจกล้า สะบัดมือเขาออก

                “ฉันรักเธอจริงๆ เชื่อฉันเถอะ”

                “ฉันไม่อยากฟัง! ทำร้ายฉันไม่รู้กี่ที แล้วนายยังกล้าพูดอีกเหรอว่ารักฉันน่ะ!!” ดวงตาสีทองอมน้ำตาลฉายความรู้สึกมากมาย หนูหันหน้าหนีก่อนจะลงจากอ่างอาบน้ำ คิดจะทิ้งเขาไว้ให้อยู่คนเดียว

                “ก็เธอ… สนใจคนอื่นกว่านี้ ฉันแค่ไม่อยากเสียเธอไป” เหตุผลงี่เง่า ฟังไม่ขึ้น! หนูถลึงตาใส่เขา บัดนี้ความโกรธแทนที่ความกลัว หนูหยิบขวดสบู่เหลวหนักพอสมควรเขวี้ยงใส่เขา เขาไม่ปัดป้องอะไร ทำท่าจะเข้ามากอดหนูเพื่อรั้งไว้แต่ถูกหนูชกจนหน้าหัน

                “หยุด! ต่อให้อธิบายด้วยเหตุผลสวยหรูแค่ไหนมันก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกดีๆ กับนายเหมือนแต่ก่อนแล้ว!!!” หนูแผดเสียงจนก้องในห้องน้ำ หนูหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาคลุมไหล่และหยิบชุดนอนมาด้วยก่อนจะเปิดประตูแล้วออกไป

                ปัง!

                เรื่องนี้หนูจะไม่สาวความว่าเขาเข้ามาในห้องน้ำ ขอเพียงแค่เขาออกไปก็พอ!!

                หนูเข้ามายังอีกห้องน้ำที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก คราวนี้หนูลงกลอนประตู เขาอาจจะมีวิชาอาคมในการลอบเข้ามาได้แต่ทำแบบนี้ก็พอวางใจได้ระดับหนึ่ง หนูสวมชุดนอนอย่างรวดเร็ว เปิดประตูออกไปแล้วมุ่งหน้ากลับไปยังห้องนอน

                พอมาถึงก็ได้ยินเสียงหวีดร้อง ทะเลาะกันลอดออกมา เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไปก็มีหมอนใบหนึ่งลอยมากระทบใบหน้า หนูเซไปเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัวกับแรงนั้น ดีนะที่เป็นหมอนเลยไม่รู้สึกเจ็บ

                “อ๊ะ ท่านพี่ศรี” ว่าวหยุดการปาหมอน ก่อนจะเข้ามาหาหนูอย่างเป็นห่วง พอสำรวจว่าหนูไม่มีรอยช้ำอะไรก็ขว้างหมอนใส่แววไพร

                “หมอนโดนท่านพี่ศรีเลย เห็นไหม!”

                “ต๊าย! กล้าโทษฉันเหรอยายเด็กเหลือขอ!”

                และแล้วสงครามปาหมอนก็ดำเนินต่อ หนูถอนหายใจ เผลอไปสบตากับบรรพตที่ส่ายหน้าไปมาเหมือนจะบอกว่าไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นกับเหตุการณ์ เสียงเอะอะโวยวายดังไม่หยุดจนหนูอดเป็นห่วงตนเอง บรรพตและยุพินกับแป้งมันที่นอนแล้วเสียไม่ได้

                เฮ้อ… เคลียดกับเรื่องอสุรเรนทร์ไม่พอยังต่อมาเจอแบบนี้อีก หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ

               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา