ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

37) บทที่ ๓๗: ความเป็นเพื่อน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๓๗

[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]

ความเป็นเพื่อน

                ในวันนั้นที่หนูเรียนวิชาศิลป์ ต้องไปเรียนอีกอาคารหนึ่งด้านหลังตึกอาคารที่หนูเรียนประจำชั้น หนูไปช้าสุดเลยหาที่นั่งลำบาก ซึ่งที่นั่งว่างก็ต้องนั่งกลางระหว่างเพื่อนชาย

                มันน่าเกลียด

                ด้วยความที่หนูเป็นพวกหัวโบราณ เลยพยายามถกเถียงกับเพื่อนชายจนสุดท้ายก็ได้นั่ง เขาด่าหนูสารพัดให้ได้ยินกันแค่โต๊ะนี้ หนูพยายามยิ้มและทำเหมือนเป็นบ้า …น่าแปลก มือหนูมันสั่นจนเขียนแย่กว่าเดิม หนูจึงพยายามกดปากกาเพื่อให้มันดีกว่าเดิม เพื่อนชายคนนั้นก็ด่าไปแล้วกล่าวว่า ‘ฉันจะนั่งกับเพื่อน’

                 ‘มาทีหลังมีที่นั่งก็อย่าเรื่องมากสิ’

                ‘ไอ้ควายเอ๊ย!’

                ‘เดี๋ยวถึงทีฉันเมื่อไหร่ฉันเอาคืนแน่’

                หนูยิ้มไปและถกเถียงไปมา

                ‘อย่างน้อยควายมันก็ฉลาดกว่าตัวเงินตัวทองนะ’ หนูยิ้มมุมปากอย่างถือดี แต่มันไม่ยี่หร่ะ ยังคงเถียงหนู

                ‘งั้นแกก็เคยกินหญ้าสินะ ฮ่ะๆๆ!!’ มือหนูสั่นกว่าเดิม รู้สึกใจหาย สักพักน้ำตามันก็ไหล หนูแสยะยิ้มแล้วหัวเราะพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย เพื่อนพากันพูดว่าหนูซึ้งจนร้องไห้

                ‘ไอ้ปีศาจอย่างแกร้องไห้เป็นด้วยเหรอวะ? ฮ่ะๆๆๆ!!’ เพื่อนๆ ส่วนใหญ่หัวเราะไปด้วย

                ท่ามกลางเสียงหัวเราะ หนูเห็นว่าเฉาก๊วยและชลจรมองหนูอย่างเป็นห่วง

                ดีจัง

                หนูขำไปเรื่อยๆ พร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า …ไม่รู้ว่าหนูตาฝาดไปหรือเปล่า หนูสังเกตว่าดวงตาสีดำของชลจรถึงใส หนูก้มหน้าก้มตาเขียนแล้วหัวเราะอย่างน่าสมเพชไปด้วย

               

                เย็น

                หนูเดินอ้อมเพื่อกลับหลังจากโรงเรียนเลิกไปยังสวนสาธารณะ …สถานที่เกิดอุบัติเหตุ ที่นี่เงียบมาก มันน่ากลัวว่าจะมีใครมาจับไป แต่หนูไม่สน ขอแค่ตอนนี้ได้อยู่คนเดียวก็พอใจแล้ว

                คิดอะไรไปเรื่อยพร้อมกับเช็ดน้ำตาไปพลาง …น่าสมเพชจริงๆ

                “ศรี!” เสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังจากด้านหลัง หนูเร่งฝีเท้าและทำเป็นไม่สนใจ จะมาเยาะเย้ยฉันเหรอ จะมาล้อฉันเหรอ

                “ศรี! ช่วยหยุดก่อนได้ไหม?!” เขาดึงแขนหนู หนูพยายามสะบัดแต่เหมือนเขารู้ว่าจะทำแบบนี้เลยกำแขนหนูมากกว่าเดิม เมื่อหันไปประจัญหน้าตรงๆ ก็พบว่าเป็นเฉาก๊วย คิ้วเขาตกลง แววตาไม่มีความเสแสร้ง

                “ฉันรู้ว่าฉันผิด! แต่ถ้าจะให้ฉันไปขอโทษฉันทำไม่ได้หรอก!”

                “ไม่ใช่เรื่องนั้น!”

                “…” หนูเบิกตากว้างทั้งๆ น้ำตาที่นองหน้า เฉาก๊วยถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือมาปาดน้ำตาเบาๆ แล้วกล่าวไปด้วย

                “ศรี… ฟังนะ ฉันเข้าใจเธอดี เธอผิดฉันไม่บังคับให้ขอโทษ ฉันเข้าใจ เธอเป็นคนแบบนี้ฉันรู้ดี …แต่ ฉันขออย่างนะ อย่าฆ่าใครอีกเลย”

                “…”

                “ฉันขอร้องล่ะ…”

                 เสียงของเขาเริ่มแผ่ว หนูพยายามกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้น …หลายครั้งที่เฉาก๊วยเห็นหนูทำพิธีสาปแช่งจนเพื่อนที่หนูเกลียดเสียชีวิตไปหลายคนแล้ว แต่เขาไม่เคยด่าหรือว่าหนูเลย มีแต่จะตักเตือนและอยู่คอยปลอบ หนูหายร้องไห้สนิทเขาก็จะจากไปเพราะมีงานต้องทำ

                “ฉัน…”

                “ไม่รีบกลับบ้านล่ะ …ศรี เฉาก๊วย”

                หนูพอจะหายเศร้าแล้วน้ำตาเลยค่อยๆ หยุดไหลแล้วแห้งซึมเข้าผิวหนังจนเหนียว หนูกับเฉาก๊วยหันไปมองบุคคลที่สาม พบว่าเป็นเพื่อนชายร่วมชั้น ดวงตาของเขาข้างหนึ่งพันด้วยผ้าพันแผลสีหม่นๆ ดวงตาสีดำอีกข้างของเขาจดจ้องหนูกับเฉาก๊วยอย่างไร้ความรู้สึก

                “รัชนีกร…” หนูพึมพำ เฉาก๊วยยิ้มทำท่าจะเอ่ยแต่ก็โดนรัชนีกรขัดก่อน

                “กลับไปได้แล้ว แถวนี้มันอันตราย ที่เงียบๆ เปลี่ยวๆ ไม่น่าไว้ใจ แถมเมื่อวันนั้นยังเกิดอุบัตเหตุอีก เผลอๆ ผีฉุดลงสระน้ำไม่รู้ด้วยนะ”

                “ว้าย! น่ากลัวอะตัวเอง” เฉาก๊วยทำท่าเสแสร้งจนน่าถีบ รัชนีกรถอนหายใจก่อนจะยื่นเอกสารรายงานที่ใส่เข้าสันสีส้มตบหน้าเฉาก๊วยอย่างหน้าตาย หนูมองภาพนั้นพลางขำไปด้วย รัชนีกรหันมามองหนูก่อนจะถาม

                “หายเศร้าแล้วใช่ไหม?”

                “จ้ะ” หนูเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อสักพักตนเองร้องไห้เลยเผลอเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะหยิบสมุดการบ้านมาให้หนู หนูมองสมุดสลับกับใบหน้าเขาอย่างฉงน

                “ช่วงนี้คุณครูที่สอนดนตรีไม่สบาย ล่าสุดวันที่ท่านสอนเธอก็ไม่ได้มาด้วยเลยยังไม่ได้ตามงาน …อันนี้ฉันเลยให้เธอไปลอกไง”

                “ขะ ขอบคุณจ้ะ” หนูรับมาด้วยความดีใจ รัชนีกรพยักหน้าก่อนจะเดินกลับบ้านต่อ หนูหันไปมองเฉาก๊วยที่ยืนหน้าเศร้า (แต่ไม่เคลียด) พร้อมกับยิ้ม

                “ขอตัวลานะ ฝันดีจ้ะ”

 

                พอนึกถึงวันนั้นก็อดที่จะยิ้มไม่ได้จริงๆ เฉาก๊วยเป็นเพื่อนที่ดีมากเลยนะ สำหรับหนูน่ะ คอยอยู่เคียงข้างแล้วยิ้มให้กำลังมาตลอด วันไหนหนูเหงาก็มาเล่น วันนั้นเศร้าก็จะนั่งเป็นเพื่อนแล้วฟังความรู้สึกของหนู

                “ร้านนี้อร่อยอะ! ศรี สั่งน้ำตกเส้นใหญ่ให้ฉันหน่อยสิ!” เฉาก๊วยเอ่ยพลางตักลูกชิ้นใส่ปาก หนูขำกับท่าทางนั้นก่อนจะหันไปบอกพนักงานที่เดินผ่านมาพร้อมด้วยชามที่ไม่ใช้แล้ว

                “เอ้อ ว่าแต่ก่อนหน้านี้เธอหายไปไหนมาเหรอ? ฉันหาจนเกือบจะทั่วงานไม่เห็นเจอเลยน่ะ ดีนะที่ดอกเข็มกับกลีบเย้าไปเจอมาน่ะ” หนูมองเขาที่ดูดน้ำจากหลอดตาปริบๆ ก่อนจะยิ้ม

                “อ๋อ ในงานมันเสียงดังเลยไปนั่งที่เงียบๆ น่ะจ้ะ”

                “แต่ที่นั่นก็เงียบไปนะ โดนฉุดขึ้นมาใครจะช่วยล่ะเนี่ย” เฉาก๊วยมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาจนหนูแอบสะดุ้งน้อยๆ หนูยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเอ่ย

                “อย่ากังวลไปเลย”

                “หยุดเลยๆ เพราะประมาทอย่างนี้แหละในข่าวถึงมีบ่อยๆ น่ะ”

                “นายก็ผู้ชายนี่ ดีไม่ดีแอบคิดอะไรกับฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้” หนูเริ่มจะหงุดหงิดกับความกังวลของเขา …แต่รู้สึกดีใจบอกไม่ถูกที่เขาเป็นห่วงหนู

                “เฮอะ! แต่ฉันก็จริงใจกับเธอในฐานะเพื่อนนะ” เฉาก๊วยเทน้ำอัดลมรสส้มลงในแก้วก่อนจะดูดมันจากหลอด หนูยิ้มบางๆ ก่อนจะยื่นมือไปบีบจมูกเขา เฉาก๊วยเบิกตาเพราะความตะลึง หนูยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยไปด้วย

                “ฉันล้อเล่นน่า …นายดีกับฉันมากๆ เลยนะ”

                “…” เฉาก๊วยยิ้มเหวอแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

                “ขอบคุณจริงๆ นะ”

                พร้อมกับเอ่ยคำนั้น พนักงานก็เข้ามาวางก๋วยเตี๋ยวน้ำตกแล้วเดินไปทำอย่างอื่นต่อ เฉาก๊วยอึ้งไปสักพักก่อนจะยิ้มกว้างแล้วหยิบช้อนมาตักก๋วยเตี๋ยวทาน

                ตื๊ด… ตื๊ด…

                มีเสียงดังขึ้นจากในกระเป๋า หนูเปิดซิบก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาซึ่งห้อยด้วยพวงกุญแจช้างตัวเล็กๆ เมื่อกดรับสายอีกฝ่ายก็เอ่ยอย่างดีใจ

                “[ศรี ตอนนี้อยู่ไหนแล้วเหรอ? นี่ๆ ฉันไปป่าโป่งได้ตุ๊กตามาด้วยล่ะ ตัวใหญ่มากๆ เลยนะ!]” …พงสณะนั่นเอง หมอนี่ก่อกวนได้ทุกเวลาจริงๆ หนูยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อเฉาก๊วยเงยหน้ามองพลางงาบเส้นใหญ่ที่ยังทานไม่หมด

                “จ้าๆ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือตรงโซนที่มีร้านอาหารเยอะๆ ที่ใกล้กับร้านอาหารตามสั่งน่ะ”

                “[ครับ! แล้วผมจะไปหานะที่รัก]”

                อ้ายนี่

                หนูสบถในใจก่อนจะตัดสายแล้วหยิบหนังสือมาอ่าน เลี่ยนได้ตลอดจริงนะพงสณะ คราวหน้าเดี๋ยวหลอกป้อนขนมที่มีบอระเพ็ดอยู่ดีกว่า เผื่อความหวานมันจะทุเลาลง

                “พงสณะเหรอ?” เฉาก๊วยถามอย่างใคร่รู้ หนูพยักหน้าเป็นเชิงว่าใช่ เฉาก๊วยคงเคยเห็นหนูคุยกับพงสณะผ่านโทรศัพท์บ่อยตอนอยู่ที่มิติเดิมเลยพอจะจับลักษณะการพูดของหนูได้ว่าถ้าเอ่ยแบบนี้หนูจะคุยกับใคร

                “เจ้านั่นมันจะให้ตุ๊กตาถ้าเจอฉัน ก็ดีใจอยู่หรอกนะ แต่ทำแบบนี้คนอื่นจะคิดอย่างไรกันน่ะ”

                “น่าๆ จะมีผู้ชายสักกี่คนล่ะที่ตามจีบแล้วยอมทำตามที่ผู้หญิงบอกอย่างโงหัวไม่ขึ้นแบบนี้ พงสณะเขาก็ดีนะ นิสัยออกจะกะล่อนก็เท่านั้นเอง” เฉาก๊วยหัวเราะ หนูมองอย่างฉุนๆ พลางเอ่ย

                “…มันก็ดีหรอกนะ”

                “อยู่นี่เองเหรอ เป็นยังไงบ้างครับที่รัก”

                โอ๊ยตาย! มาเร็วจริงเชียวนะพงสณะ!

                หนูเงยหน้ามองคนข้างหลังเฉาก๊วยที่ยืนยิ้มแฉ่งเป็นพระอาทิตย์อย่างเหนื่อยใจ เอาตุ๊กตามาจริงๆ ด้วยแฮะ หนูมองตุ๊กตาช้างสีชมพูที่ผูกโบใหญ่ๆ ด้านหลัง

                ก็น่ารักนะ แต่แบบนี้มันก็ไม่ไหวอะ!

                “ปายังไงถึงได้มาล่ะเนี่ย!” หนูเอ่ยพร้อมกับจ้องเขาตาไม่กะพริบ พงสณะหัวเราะแล้วยืดอกอย่างภาคภูมิในตน

                “ความรัก ‘ไงล่ะ”

                ตาหนูแทบจะเป็นสี่เหลี่ยมแบบในการ์ตูน ช่างกล้าจริง!

                หนูหันไปมองรอบๆ มีลูกค้าและพนักงานร้านซุบซิบพลางยิ้มขบขันไปด้วย …มันไม่ตลกเลยนะคะ!

                “เออ…”

                “โอ้! มาได้จังหวะเลยเพื่อน ขนมถังแตกเจ้านี้อร่อยนะ มาลองกินสิ!” เฉาก๊วยหันหน้ามาหาพงสณะพร้อมกับจะชูถุงพลาสติกใส่ขนมถังแตกให้ พงสณะตาเป็นประกายก่อนจะลากเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ ที่ว่างมานั่ง

                “ต้องอย่างนี้สิ!” กล่าวจบก็หยิบขนมถังแตกมากัดแล้วเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย หนูมองอย่างฉงน …โดนเมินแล้ว

                จะว่าไปธันนะหายไปไหน? ตั้งแต่ที่ขอตัวไปซื้อลูกชิ้นปลาทอดแล้วกลับมาหาเขาก็ไม่ได้เจอกันอีก

                เย็นชาจัง

                ‘คิดถึงฤๅ?’ เสียงแหบแห้งดังใกล้หู หนูหันไปมองกลุ่มควันที่มีหนูคนเดียวที่เห็น

                “อื้ม เป็นเพื่อนกันนี่”

                ‘หึๆ หัวใจเจ้าคิดเช่นนี้ฤ?’

                “เอ่อ…”

                อยู่ในความสัมพันธ์ที่อธิบายยาก

                จู่ๆ ควันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ก็ดีแล้วล่ะ

                หนูคิดพร้อมกับอ่านหนังสือต่อ ที่รวมเนื้อหาย่อของวรรณคดีและวรรณกรรมไทย …ยอดไปเลย คิดได้อย่างไรกันนะ หนูว่าถ้าวรรณคดีได้รับความนิยมคงจะดีมากแน่ๆ การพรรณนาก็ประทับใจ ความเศร้าและความสุขก็ซาบซึ้งยิ่งนัก

                อยากไปอยู่ยุคสมัยที่ผู้ประพันธ์เกิดจังเลย

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา