ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.68K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

114) บทที่ ๑๑๓ : เรื่องวิวาทจากเด็กชายผู้ชอบหาเรื่อง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               

บทที่ ๑๑๓

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

เริ่มเรื่องวิวาทจากเด็กชายผู้ชอบหาเรื่อง

               วันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙

               เช้า

               มิติผกาย

               “เปิดเรียนแล้วสินะ”

               วันนี้หิมะไม่ตก …แปลกจัง เป็นอย่างนี้ทุกวันเลยเหรอ? แล้วทำไมถึงตกล่ะ?

               ศรีพึมพำเบาๆ ก่อนจะคิดด้วยความแคลงใจ รู้สึกว่าช่วงเวลาในวันปิดเทอมสั้น ณ ตอนนี้เธอยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนศาสตราอาคมราชพฤกษ์วิทยาคม  ซึ่งมีหน้าจั่วประตูเหนือขึ้นไปแบบเรือนไทย มีสัญลักษณ์ของโรงเรียนนี้ และชื่ออยู่ใต้ล่าง ข้างๆ เธอมีเฉาก๊วยกับอสุราซึ่งกำลังแหงนหน้ามองหน้าจั่วนั้น ผ่านไปสักพักทั้งสามก็เดินย่ำพื้นหิมะเข้าไป

               เช้านี้คึกคักเป็นพิเศษ นักเรียนทุกระดับชั้นต่างเดินกันขวักไขว่ พูดคุยเรื่องในวันปิดเทอม รวมทั้งการเรียนที่กำลังจะเริ่มต้นในวันนี้ ศรีเห็นว่ามีบางคนที่ใช้ดาบฟาดฟันกัน จากที่เคยอยู่ที่มิตินี้ ทำให้เธอคิดว่าการใช้อาวุธเป็นเรื่องปรกติ จึงทำเป็นไม่ใส่ใจ แม้บางทีจะอดเป็นห่วงไม่ได้ก็ตาม

               “อ้าว ศรี เฉาก๊วย พี่อสุรา มาเรียนที่มิตินี้ด้วยเหรอ”

               ทั้งสามคนหันไปตามเสียงเรียก พบว่าเป็นแววไพรกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่เคยร่วมพักอาศัยด้วยกันเมื่อปีที่แล้ว แววไพร ว่าว บรรพต ขนมชั้น ดินขาว ปักเป้าดอกเข็ม เม็ดแตง และรพิ ทุกคนเข้ามาหาทั้งสามและซักถามความเป็นอยู่ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แววไพรกับว่าวต่างกอดแขนศรีคนละข้าง พอเป็นเช่นนั้นแหละ สงครามสายตาพิฆาตจึงถือกำเนิด (?) ศรียิ้มอย่างยินดีที่ได้พบกับทุกคนอีกครั้ง พอไล่สายตาไปมองทีละคน ก็พบว่าพงสณะไม่ได้มา เมื่อทราบเช่นนั้นสีหน้าของเธอก็หงอยลง แม้จะรำคาญเขาก็เถอะ แต่พอเป็นเช่นนี้แล้วใจหายบอกไม่ถูก

               “นึกว่าจะมิได้พบกันเสียแล้ว เป็นไงมาไง ถึงได้มาเรียนที่นี่ล่ะ?” บรรพตถาม ศรียิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ “มิตินี้เรื่องอมนุษย์เป็นเรื่องปรกติ เฉาก๊วยเลยชวนฉันมาเผื่อชีวิตจะดีขึ้น”

                “ดีแล้วล่ะที่ยอมมา รับรองว่ามีเรื่องสนุกๆ รอเจ้าอยู่มากแน่” บรรพตตบหลังศรีเบาๆ เจ้าตัวเองก็ยิ้มด้วยความยินดี เธอเองก็หวังว่าจะเป็นตามที่อีกฝ่ายกล่าว

               “จะว่าไปปักเป้าสายตาไม่ดีเหรอจ๊ะ คราวที่แล้วยังไม่เห็นใส่เลยนี่” ศรีมองปักเป้าซึ่งสวมแว่นตากรอบดำบางๆ ด้วยความเป็นห่วง เจ้าตัวยักไหล่ก่อนจะตอบ

               “เป็นมานานแล้วล่ะ ปรกติพอมิได้อ่านพวกหนังสือหรือดูอะไรที่มันเล็กๆ น้อยๆ ข้าจะมองมิค่อยเห็น วันนี้มาเรียนเลยต้องใส่น่ะ” ศรีพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว

               “เรื่องสนุกๆ … อ้ายมีก็มีอยู่ดอก แต่เรื่องหนักๆ เข้ามามิแพ้แน่” ขนมชั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทุกคนหันไปมอง ก่อนที่ดินขาวจะถามแทนทุกคน

               “เรื่องอันใด?”

               “ไว้ข้าเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกัน อีกอย่างศรีเพิ่งรู้จักมิตินี้ไม่มาก ต้องอธิบายให้รู้ก่อนเข้าสู่เรื่อง”

                ขนมชั้นเอ่ยพร้อมกับออกเดิน ทุกคนจึงเดินตาม จนกระทั่งมาถึงลานราชพฤกษ์ ซึ่งมีอีกฝั่งเป็นลานต้นไทร ที่นี่มีโต๊ะไม้ตั้งวางหลายโต๊ะ พวกเขาเลือกที่อยู่ตรงที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน ก่อนที่ขนมชั้นจะเริ่มเรื่อง

               “ข้าจะอธิบายให้ศรีฟังก่อนแล้วกัน …เจ้าพร้อมฤๅไม่?”

               ศรีพยักหน้า เมื่อเป็นเช่นนั้นขนมชั้นจึงกล่าว

               “เจ้าคงจะรู้สึกบ้าง ว่าการใช้อาวุธตั้งแต่ยังเป็นเด็กประถม แถมพกไปไหนมาเสมือนเป็นของธรรมดา เป็นเรื่องปรกติของมิติผกาย รวมทั้งการต่อสู้ ฆ่า หั่น เชือดพวกนี้ยิ่งปรกติเข้าไปใหญ่ ข้าเองก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใด แต่สาเหตุหลักๆ คือต่อให้ทำร้ายก็มิถึงฆาต เพราะคนมิตินี้ส่วนใหญ่เป็นสายเลือดอมตะ

               ด้วยเหตุนั้น การก่อสงครามจึงมิใช่เป็นเรื่องยาก เพราะตั้งแต่กาลก่อนและปัจจุบันนี้มี               สงครามระหว่างโรงเรียน ซึ่งจะมีการต่อสู้กัน ทั้งนักเรียนและนักศึกษารวมทั้งคุณครู จุดประสงค์ในการทำสงครามมีมีใครรู้ เพราะเป็นคำสั่งจากผู้อาวุโสประจำทิศทั้งสามเมื่อนานมาแล้ว ด้วยเหตุนั้นการที่ใครตายไป มิว่าจะเป็นฝ่ายไหนของแต่ละโรงเรียนตาย จะมิใช่เรื่องผิดกฎหมาย เว้นเสียแต่เป็นสายเลือดปรกติถึงจะถูกจับกุม

               ในแต่ละโรงเรียนจะมีผู้เป็นตัวแทนยมทูต ซึ่งต้องผ่านพิธีกรรมเพื่อเชื่อมต่อวิญญาณกับปรโลก และภพอื่นที่มีวิญญาณรวมทั้งนรกมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งจะได้รับการฝึกฝนที่หนักกว่าคนทั่วไป และเป็นผู้เก็บดวงเปลวไฟวิญญาณ ถ้าให้เปรียบกับกองทัพแล้ว ก็เสมือนเป็นแม่ทัพนั่นแล

               แน่นอนว่าเป็นบุคคลสำคัญ ย่อมมีคนหมายหัวมาก หากโรงเรียนไหนจับมาเป็นตัวประกันได้จะได้คะแนนซึ่งเป็นสิทธิ์ในการที่จะได้ชัยชนะ

               นี่แหละเรื่องที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ว่า เรื่องหนักๆ ก็เข้ามามิแพ้กัน …เพราะตอนนี้เนระพูสีไทย ตัวแทนยมทูตของโรงเรียนเราถูกจับเป็นตัวประกัน”

               “!” ทุกคนยกเว้นศรีกับอสุราที่เพิ่งมาเรียนที่นี่ (กระนั้นอสุราก็พอรู้เรื่องพวกนี้มาบ้าง) และเม็ดแตงที่ดูเหมือนจะทราบดีแล้วเลยไม่แปลกใจ ต่างแสดงสีหน้าแตกตื่นและตกตะลึง

               “หมายความว่าอย่างไร เนระพูสีไทยถูกจับไปตอนไหน?” ดอกเข็มถาม ขนมชั้นส่ายหน้าก่อนจะกล่าว “ข้าเองก็มิรู้เหมือนกัน คงต้องไปถามดอกคูนที่อยู่ในเหตุการณ์”

               “ข้าไปถามมาแล้ว ว่าถูกจับไปตอนไหน” เม็ดแตงเอ่ยขึ้น ทุกคนพร้อมใจหันไปมองเธอ “หลังจากสอบเสร็จ พวกโรงเรียนประดูแดงฯ ก็เข้ามาโจมตี ดูเหมือนว่าเนระพูฯ จะพลาดท่าเลยถูกจับไป”

               “คนอย่างเนระพูฯ น่ะฤจะพลาดท่า?” บรรพตเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ เม็ดแตงพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะกล่าว “ข้าเองก็มิอยากเชื่อ แต่คนอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยก็เห็นกับตา”

               “แล้วเจ้าพอจะรู้ไหมว่าใครจับตัวไป?” ขนมชั้นถาม เม็ดแตงหันมามอง เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยเบาๆ “คมไพร …ผู้นำทางแห่งวายชนม์ ตัวแทนยมทูตโรงเรียนประดู่แดงศาสตราพิชัย”

               “ว่ะ ว่าอย่างไรนะ” ปักเป้าเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ ถึงแม้การที่ผู้ที่มีระดับและฝีมือเท่าเทียมมาสู้ด้วยกัน จะเป็นเรื่องปรกติ แต่ก็ไม่นึกเลยว่าตัวแทนยมทูตของฝ่ายโรงเรียนอื่นจะมาเยือนเอง

               “ก็อย่างที่พูด …แต่อย่าได้วิตกไป เราเองก็ได้ตัวประกันมาเหมือนกัน”

               “ใคร?” ดอกเข็ม บรรพต ปักเป้า และแววไพรถามพร้อมกัน “ผู้นำทางแห่งวายชนม์น่ะ”

               “อ้าว ไหนเจ้าว่าคมไพรจับเนระพูไปอย่างไรเล่า” บรรพตถามด้วยความไม่เข้าใจ ขนมชั้นพยักหน้าก่อนจะตอบ

               “ก็จริงอยู่ แต่ในช่วงปิดเทอมสิไพรมันไปเจอศพที่ป่าหลังโรงเรียน จะว่าไปจริงๆ แล้วก็มิแน่ใจว่าใช่ฤๅไม่ เพราะพอตรวจพลังวิญญาณแล้วเป็นของมิติสามัญ รวมทั้งเลือดที่เป็นสายเลือดปรกติ พอไปเทียบกับประวัติแล้ว มิตรงตั้งแต่เป็นวิญญาณของมิติสามัญ เพราะตามประวัติคมไพรมีวิญญาณเป็นของมิติผกาย รวมทั้งเป็นสายเลือดอมตะ”

               “มิใช่ว่าประวัตินั่นเป็นประวัติที่สร้างปกปิดดอกนะ” ดินขาวตั้งข้อสังเกต ขนมชั้นเบิกตาขึ้นกว่าเดิมด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหรี่ลงมองโต๊ะแทน แล้วเอ่ยเบาๆ

               “อาจใช่ เพราะมีข่าวลือถึงความเป็นมาที่มิชัดเจนของคมไพร”

               ศรีที่นั่งฟังเงียบๆ อยู่ แม้จะยังไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง แต่ก็พอปะติปะต่อเรื่องราวว่าเป็นอย่างไร

               …ดูท่าว่าการมาเรียนต่อที่นี่จะหนักกว่าที่โรงเรียนเดิมเสียแล้วสิ

 

               หลังจากสนทนากันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ขึ้นไปบนชั้นเรียน เว้นแต่อสุราที่ไปยังเรือนมัธยมปลาย ส่วนว่าวและรพิไปยังเรือนประถมปลาย ซึ่งรูปแบบเป็นเรือนไทย เพียงแต่ดัดแปลงให้มีมากกว่าสองชั้น กระนั้นก็ยังคงมีใต้ถุงอยู่ และมีบันไดซึ่งเป็นแผ่นๆ ทำให้บางครั้งเดินไม่สะดวก แต่พอขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชิน สีน้ำตาลของไม้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นกว่าโรงเรียนเดิม (ซึ่งก่อสร้างฉาบด้วยปูน) ผนังทำเป็นฝาปะกน [1] พอมาถึงห้องแล้วก็พบว่ายังคงลักษณะเดิมของเรือนไทยไว้ ทุกคนเดินข้ามธรณีประตู[2]เข้าไป

               ภายในห้องมีนักเรียนกำลังนั่งเล่น สนทนา และตบตีต่อย (?) ด้วยความสนุกสนาน ศรีกับเพื่อนคนอื่นๆ ต่างวางกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้เพื่อจองโต๊ะ ซึ่งศรีได้นั่งกับแววไพรตรงริมหน้าต่าง แถวแนวนอนที่ ๓  โดยเธอได้นั่งริมหน้าต่าง แววไพรนั่งกลาง ส่วนบรรพตนั่งใกล้ทางเดิน ระหว่างที่นั่งพูดคุยหัวเราะ ก็มีเด็กหญิงผมสีเขียวเกล้าสูงเดินมาหาศรี …ยังจำได้หรือไม่ เธอคนนี้คือนาคที่ยืมปากกาศรีในวันสมัครเข้าสอบนั่นเอง

               “อรุณสวัสดิ์ ดีจังนะที่ได้เรียนห้องเดียวกัน” ศรีเผลอเงียบไปพักหนึ่ง เพราะจำไม่ได้ว่าเป็นใคร พอนึกได้ถึงจึงยิ้มแล้วพยักหน้า “สวัสดีจ้ะ ฉันเองก็ดีใจที่ได้เรียนห้องเดียวกับเธอนะ …ฉันชื่อสังรศรี ชื่อเล่นชื่อ ศรี ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ”

               “ข้าชื่อ ผณิณ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ผณิณยิ้มบางๆ ก่อนจะถาม “ว่าแต่เจ้ามาจากมิติสามัญฤ? กลิ่นกายและวิญญาณมิเหมือนเช่นมิติผกายเลย”

               “ใช่จ้ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาเรียนที่นี่”

               ระหว่างที่สนทนากันอยู่ แววไพรก็เหลือบมองด้วยความไม่พอใจที่ผณิณมาตีสนิทด้วย ส่วนบรรพตก็พูดคุยกับเฉาก๊วยอย่างขบขัน ด้านข้างเขาคือปักเป้าซึ่งสวมเฮดโฟนครอบหูเพื่อฟังเพลง พร้อมกับอ่านหนังสือไปด้วย ถัดไปเป็นขนมชั้นที่กำลังนั่งกอดอก แสดงสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง

               ผ่านไปสักพักเสียงออดบอกเวลาเข้าแถวก็ดังขึ้น ทุกคนไม่รีบร้อนไปเข้าแถวนัก ศรีเดินพร้อมกับเพื่อนๆ พลางคิดไปว่า เด็กสมัยนี้ยิ่งโตยิ่งไม่ได้เรื่อง

               .

               .

               .

               หลังจากทำกิจกรรมหน้าเสาธงเสร็จแล้ว นักเรียนก็เดินเป็นแถวกลับสู่ชั้นเรียนตนเอง พอเข้ามาก็คุยกันจ้อกแจ้กจอแจราวกับนกกระจอกแตกรัง แต่ศรีก็พยายามทำใจเพราะคิดว่าเปิดเทอมวันแรก ก็คงอยากพูดคุยถึงวันปิดเทอม รวมทั้งกาการเรียนทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติว่าจะเป็นอย่างไร …แต่ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะให้ความสนใจกับเธอมากกว่า

               “นี่เจ้ามาจากมิติสามัญฤ?”

               “ชื่ออะไรเหรอ?”

               “นี่ รู้จักมิตินี้ได้ยังไงเหรอ”

               ฯลฯ

               คำถามจากหลายๆ คนทำให้ศรีรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมา ระหว่างนั้นเองสิรไพรก็เดินเข้ามา ทำให้คนอื่นๆ หลีกทางให้เขา ไม่ใช่เพราะเกรงใจหรือหวาดกลัว แต่เพราะหากไปขัดเจ้าตัวจะถูกตอกหน้าเข้า พอสิรไพรเดินมาถึงโต๊ะของศรี เขาก็ยืนจังก้าอย่างกับตนเองเหนือกว่าผู้ใด แววไพรมองด้วยความไม่พอใจ ร่มบ่อสร้างถูกอัญเชิญออกมาเตรียมจะฟาดฟันกับอีกฝ่ายได้ถูกเมื่อ

               “ชื่ออันใดล่ะ? เด็กใหม่เรอะ?” แม้จะมองไม่เห็นแววตาเพราะแว่นสีดำบัง แต่ศรีพอจะคาดได้ว่าสิรไพรกำลังมองอย่างหาเรื่อง เธอเองก็ใช่ว่าจะยอมให้อีกฝ่ายข่มอยู่คนเดียว จึงยืนนิ่งๆ ทำเป็นไม่ทุกข์ร้อนอะไร ดวงตาสีดำฉายความเย็นชาแฝงด้วยความรำคาญ

               “ฉันชื่อศรี เพิ่งมาเรียนที่มิติผกายเป็นครั้งแรก หวังว่านายคงจะไม่หาเรื่องฉันแต่เช้า ในวันเปิดภาคเรียนแรกหรอกนะ” สิไพรแสยะยิ้มอย่างนึกสนุกเมื่อได้ฟังดังนั้น ในขณะที่แววไพรกระซิบข้างหูศรี

               “ศรี ต่อจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ” ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบ แววไพรก็เดินออกไปประจันหน้ากับสิไรแทนศรี เด็กหญิงเกล้ามวยผม ปล่อยส่วนที่เหลือลงมาแสดงสีหน้าวิตก เธอไม่อยากให้เพื่อนของตนเองเดือดร้อน

               “ไปนั่งที่ซะ แกนี่มันจริงๆ เลย หาเรื่องเพื่อนแต่เช้า แล้วศรีเพิ่งเข้ามา ต้อนรับดีๆ บ้างก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ”

               “ยายสี่ตา ใส่แว่นเฉิ่มแล้วยังจะเสนอหน้าอีกนะ” แววไพรแทบจะกรีดเสียงด้วยความเจ็บใจ แว่นที่เป็นปมด้อยของเธอนั้นแก้ไม่ได้จริงๆ ให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อเธอสายตาสั้น

               “อ้ายนี่! พูดยังกับตนเองไม่ได้ใส่แว่นงั้นแหละ แถมไม่ใช่สีใสด้วยนะ สีดำใส่แล้วอย่างกับคนตาบอด ดูเวทนากว่าฉันอีก ว่าใครหัดดูตนเองเสียบ้างเถอะ!!” แววไพรโต้กลับ คำพูดจี้ปมของสิรไพรทำให้เพื่อนๆ ที่ไม่ชอบเขาหัวเราะด้วยความสาแก่ใจ แต่เจ้าตัวไม่ทุกข์ร้อน ยังคงพูดอย่างสบายอกสบายใจ

               “แล้วที่เอ็งมาเสนอหน้าแทนยายศรีนี่ คงมิใช่เพราะว่าชอบมันดอกนะ ถึงมาปกป้อง แต่ข้ามิสนใจดอก เพราะเช้านี้ข้าจะต้อนรับเด็กใหม่ด้วยการออกกำลังกาย”

               พอกล่าวจบสิรไพรก็พุ่งเข้าหาศรีพร้อมกับมือที่กำเตรียมชก ก่อนที่แววไพรสะบัดร่มใส่สิไพรเพื่อป้องกัน ทว่าไม่ทันไรศรีก็จับปลายร่มของเพื่อนสาวตนเอง แล้วชกเข้าที่หน้าของสิไพร กริยาที่คาดไม่ถึงนั้นทำให้เพื่อนๆ บางคนอ้าปากค้างหรือเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เพราะส่วนใหญ่คิดว่าผู้ที่มาจากมิติสามัญจะไม่มีความสามารถการต่อสู้มากนัก (เว้นเสียแต่แบบแววไพร พงสณะ รพิ เฉาก๊วยที่เคยมาอาศัยที่มิตินี้บ่อยครั้ง)

               “หึๆ ผิดจาดที่คิดไว้มาก อยู่มิติสามัญเรียนวิชาต่อสู้มาบ้างฤ?”

               “ก็นะ ฉันเองก็ไม่ได้ฝึกมานานแล้ว ได้เจอคู่ประลองแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

               สิไพรเหยียดยิ้มมากกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

               “โฮ้! ใจกล้าดีนี่ พูดอย่างนี้แสดงว่าอยากตายเร็วมากสินะ”

               กล่าวจบสิไพรก็ตั้งท่าจะรุก ส่วนศรีเองก็ตั้งท่ารับและโต้ตอบ แต่ยังไม่ทันที่จะถึงเนื้อถึงตัว ประตูไม้ก็ถูกเปิดออกก่อน ผู้ที่มาใหม่สองคนทำให้เพื่อนๆ ส่วนใหญ่หน้าซีด …โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ถือแฟ้มเอกสาร

               “ครูวีนะ…”

 

 

----------------------------------------------------------------------------------

[1] ไม้ลูกสกัดฝาเรือนสําหรับเอากระดานกรุ ลูกปะกน ก็เรียก

[2] ไม้รองรับกรอบล่างของประตู มีรูครกสําหรับรับเดือยบานประตู และมีรูสําหรับลงลิ่มหรือลงกลอน เช่น ธรณีประตูโบสถ์ ปัจจุบันเรียกไม้กรอบล่างประตูว่า ธรณีประตู

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา