ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.76K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

110) บทที่ ๑๐๙ : อดีตยังคงไม่เลือนหายความรู้สึกก็มิมลาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๐๙

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

อดีตยังคงไม่เลือนหาย ความรู้สึกก็มิมลายไป

               ความเป็นอมตะทำให้ชีวิตดูไม่มีค่า

               เผือกทอดสายตาไปยังนอกหน้าต่าง ซึ่งมีตะวันกำลังลาลับนภาสีฟ้าไล่ไปเป็นสีชมพูอ่อนอมสีส้ม ต้นไม้ที่ย้อนแสงจนมองแทบไม่เห็นนั้น บดบังภาพเบื้องนอกส่วนหนึ่ง กระนั้นแสงจากพระอาทิตย์ก็ลอดตามแมกไม้ จนเกิดเป็นประกายวิบวับดูงดงาม

               …พอมองไปได้ครู่หนึ่งเธอก็หันกลับมามองรูปในหนังสือต่อ เป็นภาพสีน้ำมันซึ่งวาดเป็นชายในสภาพเหมือนผีดิบ …Picture of Dorian Gray นามของภาพอันน่ากลัวนี้ เรื่องราวของภาพคือ ชายรูปงามที่ชื่อ โดเรียน เกรย์ ซึ่งจับจิตวิญญาณของตนเองไว้ในภาพ จึงทำให้เขามีชีวิตเป็นอมตะ ทว่าหลายปีผ่านไปจิตวิญญาณของตนเองก็เน่าเปื่อยลงเรื่อยๆ

               ความหมายของภาพนี้ทำให้เผือกนึกได้ถึงความคิดเมื่อครู่นี้ ถึงแม้จะขัดกับความหมายของภาพก็ตาม กระนั้นเธอก็ไม่ได้ตีความจากภาพ แต่คิดความหมายอีกอย่างออกไปอีกต่างหากเล่า ฉะนั้นแล้วหากจะกล่าวว่าเธอเดาผิดเดาถูกก็คงไม่ใช่

               เผือกมองไปอีกทางที่ดอกคูนนั่งวาดเขียนอยู่ …สีดำ …สีแดง …สีขาว ถูกปาดบนผ้าใบซึ่งขึงกับกรอบไม้ และวางบนขาตั้ง ดวงตาสีดำของผู้วาดหม่นหมองยิ่งกว่าสีน้ำซึ่งวาด และปาดเป็นรูปเด็กชายคนหนึ่ง เนระพูสีไทย คือนามของผู้ถูกวาดเป็นแบบ หรือในที่บุคคลอื่นรู้จักคือตัวแทนยมทูต สมญานามคือ บุหงาปรลัย อันมีความหมายว่า ดอกไม้แห่งความตาย

               พอนึกถึงความหมาย และเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ของผู้ถูกวาดเป็นแบบ พลางมองภาพที่ดอกคูนวาด เผือกก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว ว่าทำไมถึงได้รับสมญานามนี้

               …รูปที่วาดบนผืนผ้าใบนั้น เป็นภาพเด็กชายผมสีม่วงอมดำ ผมปอยหน้านั้นโค้งเป็นลอนคลื่นแต่ก็ไม่ถึงกับหยักศก ใบหน้าครึ่งบนพันด้วยผ้าพันแผลสีหม่นขาดๆ สวมชุดนักเรียนเปื้อนเลือด รายล้อมด้วยดอกเนระพูสีไทยสีดำ ศศิธรซึ่งเปล่งแสงสีแดงนวลดุจโลหิตนั้น เด่นสง่า ณ ที่เบื้องบนและปราศจากดวงดารา มือข้างหนึ่งนั้นกำด้ามเคียวที่ชโลมเลือด ความตายแผ่ออกมาจากรูปราวกับตัวจริงมาอยู่ที่นี่ กระนั้นเผือกก็ไม่หวั่นใจ เธอมองภาพนั้นอย่างนิ่งๆ ดวงตาสีแดงดอกชบาฉายแววชื่นชมเพียงแวบเดียว

               “……นี่ เนระพูฯ ในความคิดของนายตอนนี้ เป็นอย่างในภาพจริงๆ เหรอ?” 

               น้ำเสียงนั้นแฝงความห่วงใยเล็กน้อย ช่างขัดกับทีแรกที่ชื่นชมบุคคลในภาพ ดอกคูนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีดำและสีแดงดอกชบานั้นสบกัน ก่อนที่เด็กชายจะเป็นฝ่ายหลุบตาลงเพราะอดกลั้นความรู้สึกบางอย่าง ถ้าให้คาดก็คงเป็นเพราะที่คนรักตนเองถูกจับไปเป็นตัวประกัน เรื่องนี้เผือกและคนอื่นๆ ทราบดี นับตั้งแต่วันนั้นที่เนระพูสีไทยถูกจับตัวไป ดอกคูนก็มีอาการซึมเศร้าขึ้นมา จนบางครั้งผู้ที่รู้จักเขาก็เป็นห่วง โดยเฉพาะเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะชวนทำหรือเที่ยวที่ไหนเจ้าตัวก็ไม่ยอมไป ซ้ำบางครั้งน้ำตาก็จะไหลงลงมา เลยต้องปล่อยไว้เช่นนี้

               “แล้วจะให้ข้าคิดเช่นไร? นั่นโรงเรียนประดู่แดงฯ นะ ถึงสิไพรจะจับคนที่น่าจะเป็นผู้นำทางแห่งวายชนม์มาได้ ก็มิได้หมายความว่าเนระพูสีไทยจะปลอดภัยนี่”

               น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง จนฟังแล้วรู้สึกเวทนา เผือกมองเขาสลับกับภาพเขียนก่อนจะกล่าว

               “ถ้าฉันเป็นเนระพูฯ ถ้ามาได้ยินที่นายพูดก็คงเสียใจมากแน่ๆ ที่คนรักไม่เชื่อตัวเขา” ได้ฟังดังนั้นดอกคูนก็เงยหน้าขึ้นมา เบิกตาด้วยความรู้สึกที่ตนเองไม่เคยคาดคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว ระหว่างนั้นเผือกก็เอ่ยต่อ

               “ถ้ารักกันจริงก็ต้องเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายสิ มิเช่นนั้นความสัมพันธ์ที่เป็นมาก็ไม่มีความหมาย”

               เผือกเองก็ไม่ได้ทราบเรื่องความรักนักหรอก เพราะแม้กระทั่งความรักในเชิงชู้สาวเธอก็ไม่เคยมีด้วยซ้ำ กระนั้นเธอก็พอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นบ้าง ดอกคูนหันไปมองภาพที่ตนเองวาดขึ้นมา ก่อนจะใช้มือแตะมันเบาๆ ทั้งๆ ที่สียังไม่แห้ง แล้วมองอย่างรักใคร่ราวกับตัวจริงมาอยู่ที่นี่ ริม               “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะลองเชื่อ …ขอให้ปลอดภัยนะ เนระพูสีไทย… บุปผาทมิฬของข้า…”

 

               กลางคืน

               ไฟจากตะเกียงซึ่งเปล่งแสงส่องเป็นสีส้มนั้น ทำให้ห้องที่มืดมิดเพราะถึงยามวิกาลอันเยือกเย็นแล้ว ดูอบอุ่นขึ้นมา เผือกเก็บอุปกรณ์เพื่อที่จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีของสีต่อ ระหว่างนั้นเธอก็เผลอนึกถึงความฝันที่ไม่ได้เห็นในยามนิทราค่อนข้างนานแล้ว …ภาพเขียนที่ถูกดาบไทยฟันจนปริเป็นรอยแยกน่าหวั่นใจ ทำให้เธอติดใจสงสัยว่ามีความหมายอย่างไร แถมศพของอิสสตรีนางหนึ่งที่นอนท่ามกลางหนองเลือด ซึ่งมีพู่กันลวดลายไทยงดงามวางทิ้งไว้ข้างๆ ยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปอีก

               เผือกส่ายศีรษะไปมาเผื่อจะไล่ความคิดฟุ้งซ่านไปได้ แล้วหยิบพู่กันมาวาดในอากาศหน้าตะเกียง ก่อนที่ไฟข้างในจะดับไป เธอหยิบเสื้อกันหนาวสีดำที่คลุมบนพนักเก้าอี้มาสวม และใส่รองเท้าบู้ทสีดำสูงเลยข้อมาเล็กน้อย จากนั้นก็เดินออกจากห้องแล้วผนึกแม่กุญแจ ภาวนาในใจว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นตามที่กังวลจริงๆ

                …ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืดมิดนั้น ก็มีกระแสจิตผ่านเข้าโสตประสาท เผือกหลับตาเพื่อทำสมาธิก่อนจะลืมขึ้น แล้วเอ่ยเบาๆ เพราะเกรงว่าจะมีใครเผลอมาได้ยินเข้า

                “…”

                “เป็นอย่างไรบ้าง ทางโรงเรียนประดู่แดงฯ ทำอะไรนายหรือเปล่า?” พอรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไร เผือกจึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

                “ทรมานบ้างอะไรบ้าง พวกนั้นพยายามให้ข้าบอกข้อมูลของโรงเรียนดอกคูน และวางแผนจะมาชิงตัวผู้นำทางแห่งวายชนม์ …แล้วทางโรงเรียนเราล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?”

                “ตอนนี้ก็วางแผนจะไปรับตัวนายมาเหมือนกัน แต่ช่วงนี้อย่างที่น่าจะรู้กันอยู่ว่ามีคดีเกิดขึ้น เลยยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม” เผือกเดินต่อพลางสนทนากับอีกฝ่ายไปด้วย เจ้าตัวเองก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถาม

                “หิมะสินะ ตอนนี้ก็ตกๆ หยุดๆ อยู่ …น่าพิสดารยิ่งนัก”

               พอเนระพูสีไทยเอ่ยมาถึงตรงนี้ เผือกก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เมื่อตอนเย็นที่มองออกไปนอกหน้าต่างหิมะก็ไม่โปรย พอมาตอนกลางคืนนี้กลับโปรยเสียอย่างนั้น ตกๆ หยุดๆ ตามที่เนระพูสีไทยกล่าวจริงด้วย

               “อืม แปลกจริงๆ ด้วย”

               “…”

               “อย่าเงียบไปดื้อๆ สิ …แล้วอีกอย่าง พยายามรักษาตัวไว้ให้ดีล่ะ ตอนนี้คูนเสียใจมากนะที่นายถูกจับตัวไป อย่างไรก็ขอให้กลับมาโดยสวัสดิภาพล่ะ”

               “ขอบคุณสำหรับคำอวยพร”

               น้ำเสียงจากทีแรกและในยามปรกติจะสงบนิ่งนั้น มาตอนนี้กลับแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยและเป็นห่วง เผือกทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเพราะเสียใจเล็กน้อยตามไปด้วย ระหว่างนั้นเนระพูสีไทยก็ตัดกระแสจิต พอเป็นเช่นนั้นแล้วเธอก็ถอนหายใจเบาๆ …ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่พอถอนหายใจแล้ว ก็รู้สึกว่าความอึดอัดในอกที่มีมีอยู่มลายไปหมด

               จะว่าไปคุยผ่านกระแสจิตก็ดีต่อเนระพูฯ เหมือนกันแฮะ

               กล่าวตามจริงแล้ว เนระพูสีไทยไม่สามารถพูดได้ เพราะอวัยวะที่ทำให้เกิดเสียงถูกทำลาย จึงกลายเป็นใบ้ รวมทั้งดวงตาที่ถูกควัก ซึ่งน้อยคนนักที่จะทราบว่าทำไมถึงโดน กระนั้นแล้วความพิการก็ไม่ใช่อุปสรรคต่อเขาสักเท่าไหร่ กลับกันพอใช้เสียงไม่ได้ ก็เลยทำให้ต้องฝึกจิตเพื่อที่จะได้สนทนาผ่านกระแสจิต แทนการเอ่ยด้วยปาก และต้องฝึกการใช้ญาณเพื่อที่จะได้มองเห็นเหมือนปรกติ เลยกลายเป็นว่าเขาฝึกจิตจนพลังแกร่งกล้ามากกว่าบุคคลทั่วไป ยิ่งฝึกการเคลื่อนไหวของร่างกาย และสัญชาตญาณเพราะด้วยความที่มองไม่เห็นเลยยิ่งดีมากขึ้นไปอีก จากทีแรกที่ถูกล้อว่าพิการก็ได้รับการเชิดชู

               พอนึกมาถึงตรงนี้เผือกก็ชื่นชมเนระพูสีไทยจริงๆ

               หวังว่าจะดูแลตำแหน่งนั้นของฉันได้ตลอดรอดฝั่งล่ะ

               เผือกยิ้มมุมปากเมื่อนึกอีกเรื่องขึ้นได้ บุคลากรโรงเรียนประดู่แดงศาสตราพิชัยถูกหลอกเข้าให้แล้ว…

 

               ประเทศอิตาลี

               ตอนนี้เป็นเวลาบ่าย ช้ากว่าประเทศไทย ๖ ชั่วโมง เด็กหญิงผมสีทองอมน้ำตาล ถักเปียตรงหน้าม้าเฉียงมาเล็กน้อย รวบผมที่เหลือไว้ด้านข้างต่ำๆ  และสวมหมวกเบเรต์[1] ใส่เสื้อสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำตาล และกางเกงทรงบอลลูนสีดำยาวเลยเข่าเล็กน้อย  ดวงตาสีแบบอัลมอนต์นมองสะพานทอดถอนใจ [2]…ขณะนี้เด็กหญิงกำลังนั่งพายเรือกอนโดลาอยู่ เธอหยุดมองมาได้สักพักแล้ว ดวงตาที่มักจะฉายแววสดใสหมองลงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงประวัติของสะพานนี้ และความทรงจำของตนเองที่มีต่อเด็กหญิงผมสีควายเผือก

               นี่ก็ผ่านมา ๒ ปีแล้ว เธอยังไม่ได้รับการติดต่อจากอีกฝ่ายเลย นึกถึงในตอนที่ยังอยู่ประถมซึ่งทั้งสองนั่งวาดรูปด้วยกัน ส่วนใหญ่จะวาดในเวลาเย็นเพราะท้องฟ้าเป็นสีส้ม แดง ชมพู ม่วง และฟ้า ผสมผสานกันดูงดงามมากกว่าช่วงเวลาใด น้ำในคลองที่มีเงาของท้องฟ้ากระเพื่อมเบาๆ แรงบ้างในบางทีพอมีใครพายเรือเร็วๆ ทำให้ภาพเงาดูมีชีวิตจนน่าใจหาย …ภาพ เวนิส เมืองแห่งสายน้ำจะยังหลงเหลือในความทรงจำของอีกฝ่ายไหมหนอ

               “อะ…”

               เด็กหญิงอุทานเบาๆ เมื่อมีเรือลำหนึ่งลอยมา กระนั้นเธอก็ไม่พายเรือหลบ ปล่อยให้อีกฝ่ายเบียดผ่านไป และสักพัก พอนึกอะไรได้ก็รีบพายเรือกลับ

               …วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ต้องกลับไปวาดรูป …ไม่มีใครบังคับ เธอทำเพราะใจรัก แต่พอนึกถึงเด็กหญิงผมสีควายเผือกขึ้นมาทีไร ก็อดไม่ได้ที่จะรีบกลับไป โดยเฉพาะเวลาเย็นเธอแทบจะไม่ไปไหนเลย

               ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะทำให้รู้สึกว่าใกล้กับอีกฝ่ายมากขึ้น

               กี่ภาพแล้วนะที่วาดอีกฝ่ายเป็นแบบ

               กี่ครั้งแล้วนะที่วาดด้วยความคิดถึง

               กี่ครั้งแล้วนะที่น้ำตาไหล เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงจะมีคนใหม่

                กี่ครั้งแล้วนะ ที่คิดว่าคนใหม่จะมาทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างเธอและอีกฝ่าย

                และ… กี่ครั้งแล้วนะ ที่เธอคิดจะถอนจิตวิญญาณของอีกฝ่ายขังไว้ในภาพ

                สำหรับเธอแล้ว นั่นเป็นภาพที่งดงามเหลือจะกล่าว

 

                “ไม่ไปดูเพื่อนตนเองหน่อยรึ?”

                น้ำเสียงนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนอนหนุนหมอนนุ่มๆ ทว่าความเยือกเย็นที่แฝงอยู่นั้นทำให้มันเย็นยะเยือกขึ้นมา เสียงนี้มาจากหญิงสาวผมยาวเลยสะโพกสีทองบริสุทธิ์ ประดับด้วยอัญมณีสีเงินออกฟ้าแกะสลักเป็นเกล็ดหิมะ สวมชุดแขนยาวสีฟ้า ทับด้วยเสื้อคลุมขอบขนสัตว์ลายเกล็ดหิมะอีกเช่นกัน ดวงตาสีฟ้าอมเทานั้นดูว่างเปล่าชอบกล มองไปที่เด็กหญิงผมสีเดียวกับตนเอง เกล้าด้านข้างต่ำๆ เยื้องมาด้านหน้า สวมเสื้อกันหนาวขอบขนสัตว์ทับเสื้อเชิ้ตแขนยาว กระโปรงจับจีบถึงเขานั้นชวนให้หวิวๆ ว่าจะถูกสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านจนลอยเผยให้เห็นต้นขาขาวออกซีด

                “…คาโรสน่ะเหรอคะ?”

                เธอถามกลับแทน พลางหยิบชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์น้ำแข็ง มาต่อตรงกำแพงด้านหนึ่งของปราสาทที่ทำด้วยน้ำแข็งเช่นกัน

                “ใช่”

                “…ก็คิดว่าจะไปดูหน่อย แต่คงไม่ใช่เวลานี้” ดวงตาสีเทาอมฟ้าถอดแบบมาจากผู้เป็นมารดา จดจ้องแต่ตัวจิ๊กซอว์โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองคู่สนทนา

                “เจ้าปรารถนาคำตอบถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

แม่ของเธอถามอีกครั้ง พลางเสกน้ำแข็งขึ้นมาเป็นรูปเกล็ดหลายแฉก เด็กหญิงหันมามองมารดาตนเองก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าแฝงด้วยความมุ่งมั่นที่ร้อนแรง ช่างขัดกับความสงบ และเยือกเย็นของปราสาทน้ำแข็งนี้นัก

“ค่ะ จะว่าไป ทำไมแม่ถึงต้องทำให้หิมะตกที่ประเทศไทยด้วยคะ?”

อีกฝ่ายเงียบไป ส่วนตัวเด็กหญิงก็ไม่กล่าวต่อ ในขณะที่กำลังหันหน้ากลับไปต่อจิ๊กซอว์แม่ของเธอก็กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา จนแทบจะกลืนไปกับเสียงสายลมที่พัดผ่านหวีดหวิว

                “เรื่องนี้เจ้าอย่ารู้เลย ต่อจิ๊กซอว์ต่อเถิด”

                “ค่ะ”

                การสนทนาจบลงตรงนั้น เด็กหญิงกลับไปต่อจิ๊กซอว์อย่างใจจดใจจ่ออีกครั้ง ในขณะที่ผู้เป็นแม่เหม่อมองหิมะที่โปรยปรายที่ภายนอกปราสาทอย่างเหม่อลอย เจ็บที่อกข้างซ้ายขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ นางนึกถึงอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน

                สตรีหิมะ คนรักของเจ้าก็คือคนรักของข้า ตราบใดที่เจ้ายังไม่สิ้นลม ข้าก็จะจองล้างจองผลาญอยู่เช่นนี้แหละ

 

 

 

 

 

 

[1] Beret (คำอ่าน เบเรต์) หมายถึง หมวกทรงกลมแบน ไม่มีปีกหมวก มีต้นกำเนิดในแถบยุโรปตั้งแต่ยุคโรมัน เดิมเป็นหมวกของคนเลี้ยงแกะแถบฝรั่งเศสและสเปน ต่อมามีการผลิตเป็นสินค้าและได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงและเหล่าศิลปิน

[2]  Bridge of sighs แปลว่า สะพานทอดถอนใจ , สะพานถอนหายใจ , สะพานร้องไห้ หรือ Ponte del sospiri แปลว่า สะพานแห่งความอาดูรและหวนหา ในอดีตเป็นสะพานที่นักโทษซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิตจะต้องข้ามผ่าน เพื่อเข้าไปรับการจองจำก่อนจะถูกตัดสินประหาร สะพานนี้ถูกตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ โดยท่านลอร์ด ไบรอน ผู้ที่สังเกตเห็นว่านักโทษลอบถอนหายใจกับชะตาชีวิตของตนเอง  เมื่อสิ้นระยะทางของสะพาน สิ่งที่รออยู่ก็คือห้องอับทึบที่แทบจะไม่มีช่องให้เห็นทัศนียภาพภายนอก ปัจจุบันนี้เป็นสถานที่คู่รักที่จุบในขณะนั่งเรือกอนโดลาลอดผ่านสะพานนี้ ในเวลาอาทิตย์อัศดง ความรักจะยืนยาวชั่วนิรันดร

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา