ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

108) บทที่ ๑๐๗ : ขาดเพียงหนึ่งก็มลายไปทั้งหมด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๐๗

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ขาดเพียงหนึ่งก็มลายไปทั้งหมด

                อสุราไม่ได้ตามศรีกับพงสณะไปด้วย หากยามปรกติเธอจะต้องไล่ตามให้น้องสาวอยู่ไม่เกินสายตาตนเอง แต่ตอนนี้อารมณ์หม่นหมองและความคิดมาก ทำให้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะตามไป

                วันนั้นต้องมาถึงแน่ๆ การแต่งงานของศรีกับพงสณะ หากเราสารภาพรักไปเรื่องจะเป็นยังไงต่อนะ?

               ระหว่างที่เดินพลางมองพื้นอย่างเหม่อลอยโดยไม่เกรงชนใครเข้า เสียงจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อสุราได้สติก็หยิบมันขึ้นมาแล้วทำท่าจะกดตัดสาย แต่พอเหลือบเห็นว่าใครติดต่อมาเธอก็กดรับก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

               “สวัสดีค่ะ ที่โทรฯ มาคงไม่ใช่จะมากวนหรอกใช่ไหมคะ?”

               “[เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่กล่าวเช่นนี้มันห่างเหินนัก เอาเถิด เจ้าคงเจออะไรมาหลายอย่างเลยมิมีกะจิตกะใจสินะ]” อสุรามีสีหน้าเคร่งขรึม ใจเคว้งคว้างเมื่อนึกถึงความอบอุ่นในครอบครัวที่แท้จริงซึ่งตนเองไม่เคยสัมผัส

               “ท่านคงไม่คิดหรอกใช่ไหม ว่าการไม่ได้อยู่กับครอบครัวจริงๆ ของตนเองจะมีความสุขน่ะ?”

               “[ข้ามิเคยคิด เจ้าก็เหมือนกับข้านั่นแล แทนที่จะได้แต่งกับคนที่ตนเองรักจริงๆ แต่ต้องมาแต่งกับคนที่มิได้รักเพราะปัญหาของตระกูล เช่นนั้นก็มิมีความสุข …เฮ้อ เรื่องนี้ก็นานมากแล้ว ขุดคุ้ยอีกก็มีแต่จะทำให้คิดมาก จะว่าไปตอนนี้เจ้ากับศรีทำอันใดอยู่ล่ะ?]”

               คำถามนั้นเสมือนมีดเฉือนหัวใจ เพราะสิ่งที่น้องสาวตนเองทำอยู่คือการเดินชมและซื้อของกับคู่หมั้นตนเอง ปลายสายรู้สึกว่าอีกฝ่ายเงียบนานจนผิดปรกติเลยเดาออกว่าอสุรารู้สึกเช่นไร และเหตุที่ทำให้เจ้าตัวเป็นเช่นนั้นเป็นเพราะอันใด เมื่อทราบด้วยตนเองเช่นนั้นจึงไม่ซักถามให้เสียความรู้สึกมากกว่าเดิม เขาเปลี่ยนเรื่อง

               “[มิคิดจะสารภาพฤ? ถึงรักอาจจะมิสมหวัง แต่อย่างน้อยเราก็ทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้วนี่? หากกลัวว่าศรีจะรังเกียจเรื่องนั้นเจ้าวางใจได้เลย]” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ ดวงตาสีดำของอสุราที่หม่นหมองแปรเปลี่ยนเป็นแวววาว ความหวังที่ริบหรี่ดุจไฟนั้นกลับมาโชติช่วงอีกครั้ง

               “ฟังดูมั่นใจจังเลยนะคะ อะไรเป็นสิ่งยืนยันว่าศรีจะยอมรับหนูเหรอคะ?”

               “[เจ้าทบทวนสิ่งที่ตนเองทำ และความเป็นไปได้ถึงอุปนิสัยของเจ้าตัวสิ แล้วจะรู้ว่าทำไมข้าถึงมั่นใจ]” อสุราฟังอีกฝ่ายไปพลางเดิน หลังจากที่หยุดจนขวางผู้อื่นมาสักพักแล้ว เธอยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าว

               “ไม่นึกเลยว่าท่านจะหวังดีต่อหนูด้วย”

               “[หลานทั้งคน ถ้ามิคิดทำอะไรที่ดีต่อกันก็คงจะไร้เยื่อใยเกินไป …ข้าขอตัวก่อนล่ะ มิมีอันใดจะคุยแล้วน่ะ]” กล่าวจบก็ตัดสายไป อสุราหงุดหงิดเล็กน้อยที่อีกฝ่ายทำเช่นนั้น นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป

               …แต่เอาเถิด อย่างน้อยก็มีเรื่องดีๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นล่ะนะ

 

               “สุดท้ายแล้วนางก็ทำมิสำเร็จสินะ?” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้กล่าวอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้นางกับผู้อาวุโสคนอื่นกำลังนั่งอยู่กับโต๊ะเตี้ยที่ทำจากไม้แกะสลัก ผู้อาวุโสแห่งพยักหน้าก่อนจะกล่าว

               “ใช้มิได้จริงๆ ด้วย คดีต่อไปที่กำลังเกิดขึ้นนี้ก็คือราชินีหิมะ หวังว่าจะมิทำให้ผิดหวังล่ะ”

               “ข้าก็หวังเช่นนั้น” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้กล่าว ดวงตาสีดำเหลือบมองหญิงสาวสวมหน้ากากคล้ายหุ่นกระบอกไทย ซึ่งกำลังเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ก่อนจะหรี่ตาอย่างพินิจ

               “จะว่าไปแล้วศรีล่ะ? เมื่อใดเจ้าจะนำดวงตามาให้พวกข้า?” หญิงสาวสวมหน้ากากแบบหุ่นกระบอกหันมาอย่างช้าๆ นางเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “ไฉนถึงต้องนำมาให้พวกเจ้าล่ะ แล้วอีกอย่าง… ข้าจะได้สิ่งใดตอบแทน?”

               “เจ้าได้อยู่แล้ว เพียงแต่มิให้ความร่วมมือเท่านั้นเอง อย่าลืมสิว่าเป้าหมายของพวกเราคืออันใด?” ผู้อาวุโสแห่งภาคอีสานกล่าวขึ้นมาหลังจากที่ฟังอยู่พักหนึ่ง หญิงสาวสวมหน้ากากหันไปมองก่อนจะเอ่ย

               “เป้าหมายหาได้สำคัญเท่าศรีไม่ หากทำเช่นนั้นมิเท่ากับข้าทำร้ายดวงใจตนเองฤๅอย่างไร?” ทุกคนเงียบไป เวลาผ่านไปพักหนึ่งในที่สุดผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือก็กล่าวขึ้นเบาๆ

               “ความรัก… เจ้าให้ความสำคัญกับมันมากไป ---อย่าลืมสิว่าสุดท้ายแล้วมันก็มิยั่งยืนเท่ากับสิ่งที่เรากำลังจะได้มันมาดอก” น้ำเสียงนั้นแฝงความรู้สึกบางอย่างที่สั่นคลอน …คนอื่นๆ ในห้องต่างเพิกเฉยต่อความรู้สึกนั้น

               …พวกนางเป็นเพียงผู้ร่วมงาน

               …ความรู้สึกของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรก็ช่าง

               …ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ทำอะไรให้ตนเองเดือดร้อน

               …จะเป็นอย่างไรก็ช่างอีกนั่นแหละ

               “เสียงเจ้าสั่นนะ เมื่อครู่น่ะ”

               เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่น่าแปลกนักที่ทุกคนกลับได้ยินชัดเจน ระหว่างนั้นเจ้าของวาจาก็เดินเข้ามาในห้อง เป็นหญิงสาวผมสีขาวเหลือบปลายสีชาดยาวเกือบถึงเอว เป็นลอนเกลียวใหญ่ทั้งๆ ที่ไม่ได้ดัด ใส่สร้อยคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวกลับด้านสีเงิน ผ้าสีชมพูอ่อนแก่มีสีขาวพาดเป็นลายเส้นๆ พันรอบอกและปล่อยชายซึ่งมีลายหางสะเปามาด้านหน้า แขนเสื้อที่เหมือนตัดมาจากชุดเสมือนปลอกแขน แบ่งเป็นชั้นสีได้แก่ สีเขียว สีเหลือง สีเขียว สีส้มและสีแดงที่มีลายไทย  นุ่งโจงกระเบนสีดำเลยเข่ามาเล็กน้อย ทับด้วยผ้าคลุมที่ไม่ยาวนักเสมือนกระโปรงลายไทยแบบอีสาน  ซึ่งชายผ้าเป็นเกลียวลดหลั่นจากที่ข้างหน้าสั้นไปข้างหลังที่ยาวจนถึงหัวเข่า ข้อเท้าข้างซ้ายใส่กำไลสีเงิน

               ดาบไทยที่มีสองด้ามในอันเดียวกันสอดใต้ที่คาดเอวซึ่งเป็นแผ่นสีเงินกลมๆ ตามด้วยห่วงสีเงินที่มีขนาดเล็กเรียงซ้อนกันสามชั้น ใบหน้าซีกขวาถูกบดบังด้วยหน้ากากผีตาโขนสีไข่ซึ่งสานจากไม้ไผ่ ตาที่ใหญ่เรียว ปากและจมูกที่ยาวโค้งสีน้ำตาลมีลายไทยด้วย เว้นเสียแต่ฟันและเขี้ยวเป็นสีขาวจากการทาสี ที่คาดหน้าผากซึ่งมีห่วงสีเงินเล็กๆ เรียงนั้นแทนเชือกสำหรับสวมใส่หน้ากาก

               ดวงตาสีม่วงที่มีรูม่านตาสีแดงนั้นมองไปรอบๆ ยังทุกคน ความเยือกเย็นฉายผ่านแววตา จับจ้องไปยังผู้อาวุโสประจำทิศทั้งสาม ก่อนที่ริมฝีปากสีซีดจะขยับเอ่ยเบาๆ

               “เพราะเป้าหมายของพวกท่าน จึงทำให้ท่านแม่ของข้าต้องเสียชีพ เมื่อใดถึงจะพอเสียที?”

               “เจ้า… เข้ามาได้อย่างไร อาคมนั้นมิน่าผ่านเข้ามาได้นี่” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้กล่าวเสียงเรียบ  ในใจหวาดหวั่นบางสิ่งบางอย่างในกายหญิงสาวผมสีขาวเหลือบปลายสีชาด ซึ่งก็ไม่อาจทราบว่าคืออะไร คนอื่นเองก็เช่นกัน เจ้าตัวแย้มริมฝีปากบางๆ  ทว่าแฝงไปด้วยยาพิษ

               “อาคมในการซ่อนและบังมิให้ใครเข้ามาของพวกท่านน่ะ กระจอกมาก ข้าล่ะยังมิหายคาใจเลยว่าทำไมท่านแม่ถึงปราชัย”

               น้ำเสียงเยือกเย็นสั่นไหวเล็กน้อย มือขาวซีดเอื้อมไปด้านหลังคลำๆ ดาบสองด้ามในอันเดียวกัน ระหว่างที่จะชักออกมาก็ถูกแท่งเหล็กของด้ามถือร่มบ่อสร้างตีก่อน ทุกคนรวมทั้งเจ้าตัวหันไปมอง พบว่าเป็นพินทุที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง สีหน้าที่มักจะฉายความเจ้าเล่ห์ ลับลมคมในและสนุกนั้นยากที่จะคาดว่านางคิด หรือรู้สึกอะไรอยู่

               “ใจเย็นก่อนสิ เรื่องยังมิถึงบทสรุปเลยนะ”

               “บทสรุป? ท่านหมายถึงอันใด” ริมฝีปากยังคงแย้มอยู่ คราวนี้นางเป็นฝ่ายหวั่นใจบ้าง เพราะด้วยความที่ทราบดีว่าพินทุมักจะทราบในสิ่งที่ผู้อื่นไม่รู้มากกว่าใครๆ

               …เท่ากับว่าพินทุเป็นผู้กุมทุกสิ่ง

               “รอให้เรื่องบางอย่างคลี่คลายก่อน แล้วต่อสู้กันเลยทีเดียวมิดีกว่าฤ? …หว่านเลือด”

               หญิงสาวผมสีขาวเหลือบปลายสีชาดเจ้าของนาม หว่านเลือด หรืออีกนามที่ผู้อื่นมักจะเรียกว่า สแบง มองพินทุอย่างฉงน เจ้าตัวเองก็ไม่อธิบายอะไร เดินไปหาคนอื่นที่นั่งล้อมโต๊ะไม้เตี้ยซึ่งมองตนเองอย่างระแวดระวังและไม่พอใจ

               “เจ้านี่สอดเรื่องคนอื่นจริง” ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือกล่าวพลางหรี่ตามองพินิจ “สอดอันใดกันเล่า ข้าเป็นผู้อ่านต่างหาก …โลกที่ผู้สร้างสร้างขึ้นมาน่าเบื่อเสียจริง ว่าไหม?” กล่าวไปก็เดินวนไปรอบๆ แม้บางคนที่นั่งอยู่จะไม่พอใจด้วยความที่พินทุเสียมารยาทและค้ำศีรษะ แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกมากกว่านั้นคือท่าทียียวนกับความมีลับลมคมในของเจ้าตัวต่างหาก

               “ผู้สร้าง… ดูเหมือนเจ้าจะรู้นะว่าผู้สร้างอยู่ที่ใด” อีกฝ่ายเลิกคิ้วก่อนจะถามกลับ “ทำไมจึงคิดว่าข้ารู้ล่ะ?”

               “เจ้ามักจะมีความลับเสมอ รู้ทุกเรื่องในสิ่งที่มิมีใครรู้”

               “แล้วทำไมถึงถามเหมือนกับว่าผู้สร้างยังอยู่ในโลกใบนี้ล่ะ?” พินทุยังคงถามต่อ พอผู้อาวุโสไม่กล่าวอะไรไปพักหนึ่งเลยทำให้ทั้งห้องเงียบเป็นเป่าสาก

               “…เดี๋ยวนี้ก็เริ่มรู้กันแล้ว โดยเฉพาะเหล่ายมทูต เรื่องที่ผู้สร้างการออกจากที่คุมขังในขุมนรกชั้นที่ลึกที่สุด เหล่าผู้คุม ยมทูตและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างตามหา แต่จนแล้วจนรอดก็มิเจอจนเวลาล่วงเลยมากว่าหลายพันปี กระนั้นก็ยังมีการสืบหาอยู่ ฉะนั้นแล้วผู้อาวุโสถึงยังคงอยู่ในโลกใบนี้” พินทุเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับริมฝีปากที่แย้มมากกว่าเดิม ก่อนจะกล่าวติดตลกซึ่งคนอื่นไม่ขำด้วย

               “บางทีอาจจะอยู่ในอวกาศก็ได้นะ”

               “เจ้านี่มันน่าจับไปขังแทนผู้สร้างจริงๆ” เสียความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก จากคราแรกที่ยังจริงจังก็กลายเป็นสบายๆ เมื่ออีกฝ่ายส่งมุกให้ ส่วนหว่านเลือดพอเพิ่งรู้สึกตัวว่าโดนเมินก็เลยกล่าวแทรกขึ้น

               “เช่นนั้นแล้วข้าขอตัวก่อนแล้วกัน ไว้เรื่องจบเมื่อใดจะมาสะสางล่ะ” จบคำหว่านเลือดก็เดินออกจากห้องไป คนอื่นๆ ในห้องมองตาม ก่อนที่พินทุจะกล่าวเรียกความสนใจใหหันกลับมา

               “พวกเจ้าก็ระวังเถิด ยึดติดกับอดีตมากไปก็มิดีนะ”

               “พูดไป ลึกๆ แล้วเจ้าชอบล่ะสิกับความรู้สึกนี้” ผู้อาวุโสแห่งภาคใต้กล่าว “หากมันทำให้ข้าหายเบื่อก็ชอบล่ะนะ” พินทุตอบในขณะที่ดวงตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวสวมหน้ากาก นางนึกอะไรได้จึงกล่าว

               “ว่าแต่เจ้าล่ะ มิคิดจะกลับไปหาฤ?” ถึงแม้จะไม่ได้ถามว่ากลับไปหาใครหญิงสาวสวมหน้ากากก็ทราบดี มือเกือบกุมหน้าอกเพราะปวดใจ ทว่านางยั้งไว้เพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น พยายามเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย

               “ถึงคิดก็ยังมิกลับไปดอก”

               “อ้อ มิกล้าสู้หน้าและรู้สึกผิดล่ะสิ? ระวังเถิด บางสิ่งที่คิดว่าดีอาจจะมิดีต่อเจ้าตัวก็ได้นะ …ที่มาวันนี้ก็เพราะเห็นหว่านเลือดเข้ามาเลยสนใจน่ะ …ข้าขอตัวก่อนล่ะ”

               พินทุกล่าวจบก็เดินจากไป ปล่อยให้ทุกคนในห้องอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง

               ศรี… หวังว่าจะให้อภัยนะ

               หญิงสวมหน้ากากภาวนาในใจแล้วออกจากห้องไปโดยไม่กล่าวลา

 

               นานเพียงใดแล้วนะที่เจ้ามิได้กลับมา …นี่น่ะฤครอบครัวที่เจ้าบอกว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

               เด็กชายพันผ้าพันแผลปิดตาข้างขวาถามในใจ ในมือถือสมุดเก็บภาพซึ่งเป็นรูปถ่ายเด็กหญิงวัยแรกเกิดและช่วงอนุบาล …น้ำตาของเขาไหลจากขอบตาโดยปราศจากเสียงสะอื้นไห้ ระหว่างนั้นคิมหันต์กับเหมันต์ก็เดินเข้ามาพอดี ทั้งสองมองหน้ากันหลังจากที่เห็นภาพอันน่าเวทนาของไพรสัณฑ์ ก่อนจะเดินเข้าไปหา

               “เจ้าก็ยังมีท่านหญิงศรีกับอสุรานี่ ไยถึงมิไปหาล่ะ มัวแต่รอคนที่มิให้ความสนใจตนเองแล้วก็มิมีความสุขดอก” คิมหันต์เอ่ยเบาๆ ทว่าฝังรากลึกลงไปในจิตใจได้อย่างดี ไพรสัณฑ์หันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะตอบ

               “ครอบครัวที่สมบูรณ์ …นั่นคือความสุขเพียงหนึ่งเดียวของข้า”

               “ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนี้ข้าก็มิรู้จะอธิบายอย่างไรดีแล้วล่ะ” คิมหันต์ถอนหายใจเช่นเดียวกับเหมันต์ ก่อนจะเดินจากมาทิ้งให้ไพรสัณฑ์รำลึกถึงความหลังในวันวาน

ไว้กลับมาเมื่อใดเราจะอยู่ด้วยกันนะ…

               .

               .

               .

               “ท่านพี่… เราบอกเรื่องนี้ให้ท่านหญิงศรีเลยดีไหม?” เหมันต์ถามระหว่างที่เดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งทั้งสองคน ไพรสัณฑ์และอสุเรนทร์อาศัยอยู่ร่วมกัน คิมหันต์ถอนหายใจก่อนจะตอบ

               “พี่เองก็อยากบอกดอกนะ แต่จะให้ทำเช่นไรได้ล่ะในเมื่อเป็นความต้องการของไพรสัณฑ์”

               “นั่นก็ส่วนความต้องการของเขา แล้วลองนึกถึงความรู้สึกของท่านหญิงสิ? มิว่าจะชาติไหนท่านก็ได้รับความทุกข์ระทมมาตลอด หากชาตินี้จะมีความสุขสักครั้งมันผิดฤๅ?” คำกล่าวนั้นสร้างความลำบากใจให้ผู้เป็นพี่มิใช่น้อย เขาเงียบไปพักหนึ่งโดยที่ผู้เป็นน้องจ้องด้วยความหวัง

               “มันมิผิดดอก …แต่… มันอย่างไรนะ ไว้รอเรื่องเริ่มคลี่คลายค่อยบอกก็คงทัน”

               “ข้าจะบอกท่านหญิงเอง”

               เหมันต์เอ่ยเบาๆ แล้วหันหลังเตรียมจะเดินแยกจากเพราะไม่อยากกล่าวให้มากความอีก ทว่าถูกคิมหันต์จับข้อมือรั้งไว้ก่อน

               “เหมันต์ อย่าขัดคำพี่!” คิมหันต์กล่าวเสียงแข็ง แต่เหมันต์หาได้กลัวไม่ เขาสะบัดมือออกก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “แล้วท่านพี่จะให้ท่านหญิงเป็นเช่นนี้ต่อไปฤ? สิ่งที่เราควรทำคือการมอบความสุขและความปลอดภัยให้ท่านหญิงนะ ลืมไปแล้วฤๅอย่างไร?!”

               “พี่มิได้ลืมและตระหนักได้ทุกขณะจิต เพราะอยากให้ท่านหญิงมีความสุขอย่างไรเล่าถึงมิบอก”

               “ความสุข… มิใช่เสียหน่อย ท่านพี่ทำไมถึงกลายเป็นคนมิมีเหตุผลแล้วล่ะ?” เหมันต์แสดงสีหน้าฉงน จ้องคิมหันต์อย่างจับผิดว่าทำไมเจ้าตัวถึงเปลี่ยนไป

               “…พี่มิมีเหตุผลก็จริงอยู่ แต่พอเรื่องคลี่คลายเมื่อใดเจ้าจะเข้าใจเอง” พอจบคำทั้งสองก็เงียบไป เหมันต์ไม่เอ่ยอะไรอีก เขาเดินจากไปทั้งอย่างนั้นโดยมีสายตาของผู้เป็นพี่มองตาม

               “…หวังว่าจะมีวันนั้น ที่เจ้าจะเข้าใจจริงๆ”

คิมหันต์พึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินจากตรงนี้ไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา