ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

106) บทที่ ๑๐๕ : มิใช่ความแค้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๐๕

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

มิใช่ความแค้น

               วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙

               เช้า

               ชายหนุ่มผมสีดำดุจกา ใส่ชุดราชประแตนทับด้วยเสื้อสูทแซงแซว นุ่งโจงกระเบนสีเข้มและสวมหมวกสีดำ ดวงตาสีเดียวกับผมมองไปยังร่างเด็กหญิงผมสีน้ำตาลอ่อนที่นอนอยู่บนเตียง แววตาตาเศร้าสร้อยแฝงด้วยความอาลัย เจ็บปวดยามนึกถึงความตายที่อาจมาเยือน ภาพนั้นอยู่ในสายตาของราชาวดีซึ่งกำลังยืนมองด้วยความเวทนาอยู่ด้านหลังไม่ห่างมากนัก เมื่อเห็นว่าเขาเป็นเช่นนี้มานานแล้วเลยกล่าวเบาๆ

               “ไยถึงกังวลขึ้นมาล่ะ? คราแรกที่เก็บคาโรสมาก็เพื่อจะใช้ประโยชน์มิใช่ฤ?” ริมฝีปากของนางแย้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อน ชายหนุ่มค่อยๆ หันมาก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

               “ถึงจะเป็นบุตรสาวมิแท้ก็เถิด แต่ข้าก็ผูกพันเสียแล้วแล้วล่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงมองชายหนุ่มอย่างผู้ที่ผ่านโลกมานานมากแล้ว ความรู้สึกที่นางเริ่มจะลืมไปเพราะเคยชินค่อยๆ ก่อเกิดความเจ็บแปลบเมื่อนึกถึงเรื่องที่นางเคยเป็นเช่นเดียวกับอีกฝ่าย ราชาวดีมองไปทางอื่นก่อนจะเอ่ย

               “นั่นสินะ ข้าเองก็เคยเป็น” นางไม่เล่าว่าตนเองเคยเป็นอย่างไร พยายามไม่คิดเรื่องในอดีตโดยมองไปยังร่างบนเตียง ชายหนุ่มมองตามพร้อมกับถาม “ท่านมิรู้จริงๆ ฤว่าจะรักษาเช่นไร”

               “หากรู้ข้าคงทำไปแล้วล่ะ” คำตอบนั้นเป็นเชิงว่านางเองก็ไม่รู้ ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะกล่าว “เรื่องในครานั้นน่าจะจบแล้วนี่ ไยถึงเกิดขึ้นอีกล่ะ”

               “คงจะเป็นความแค้นกระมัง …คดีลักมีดอรัญญิกยังมิจบดีคดีใหม่ก็มาเสียแล้ว …สตรีหิมะจะทำเช่นไรหนอ ราชินีหิมะก่อเรื่องแล้วนะ”

               กล่าวไปตาก็มองที่นอกหน้าต่างซึ่งกำลังมีหิมะโปรยลงมา ณ ที่ที่ทั้งสองอยู่เป็นเรือนแบบตะวันตกสมัยรัชกาลที่ ๕ ของธวัล  เหตุผลที่ทั้งสองคนและเด็กหญิงบนเตียงมายังประเทศไทยจากประเทศอังกฤษ ก็เพราะธวัลมีเรื่องอยากจะสนทนาด้วยเลยต้องมา …ท่ามกลางความเงียบนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงประตูดังแอ๊ดเบาๆ พร้อมกับที่ร่างหญิงสาวเจ้าของเรือนจะเข้ามา บุคคลที่อยู่ในห้องก่อนหน้าหันมามองก่อนที่ชายหนุ่มจะถามขึ้นก่อน

               “ท่านธวัล ที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยคืออันใดฤๅ?”

               “เรื่องพลังในตัวคาโรสและศรีน่ะเจ้าค่ะ” ธวัลตอบเสียบเรียบเช่นเดียวกับสีหน้า พอกล่าวจบก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่วางอยู่กับโต๊ะซึ่งอีกสองคนเองก็นั่งเช่นกัน “รู้ฤๅไม่ว่าคาโรสมีธาตุอันใดบ้าง?”

               “สี่ธาตุน่ะ…” พอกล่าวถึงเรื่องนี้ชายหนุ่มก็กังวลมากขึ้น เพราะตระหนักได้ถึงพลังธาตุที่น่ากลัวในตัวเด็กหญิง ธวัลดื่มกาแฟที่เพิ่งรินจากกาเมื่อครู่ก่อนจะเอ่ย

               “ผนึกไว้ฤๅยังเจ้าคะ? หากปล่อยไว้พลังธาตุจะต่อต้านกันเองนะ”

               “ผนึกแล้ว แต่ตอนที่ท่านมิอยู่ข้าลองตรวจสอบ พบว่าพลังธาตุน้ำกำลังแข็งตัวแปรเป็นธาตุผสมน้ำแข็ง ธาตุอื่นๆ เริ่มถดถอยจนพลังและร่างกายมิสมดุล” ธวัลพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ราชาวดีเห็นว่าคงจะเป็นการส่วนตัวเลยออกจากห้องโดยที่ทั้งสองไม่หันมามองแม้แต่น้อย เพราะกำลังสนใจแต่เรื่องที่สนทนากันอยู่

               “อืม… เพราะพลังของราชินีหิมะสินะเจ้าคะ”

               “…ท่านธวัล พอจะเล่าเรื่องคดีนี้ได้ไหมว่ามีความเป็นอย่างไรในแต่กาลก่อน ท่านราชาวดีบอกว่าคงจะมีความแค้นเลยก่อเรื่อง” ธวัลยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มพลางฟังไปด้วย พออีกฝ่ายกล่าวจบนางก็วางลงก่อนจะตอบ

               “เราเองก็มิค่อยรู้ดอก …พอจะฟังได้ไหมเพราะที่จะเล่ามันสั้นน่ะเจ้าค่ะ?”

               “ฟัง” เมื่อเป็นดังนั้นนางจึงดื่มกาแฟอีกครั้งเพื่อให้ชุ่มคอก่อนที่จะเล่า

                “มีสตรีนางหนึ่งซึ่งตายในคืนพายุหิมะ นางกลายเป็นวิญญาณที่มักจะปรากฏในช่วงนั้น ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าจะมีความผูกพันกับใครบางคนอยู่ หลังจากที่กลายเป็นวิญญาณก็เฝ้าถามผู้ที่เดินผ่านว่าเห็นคนที่มีหน้าตาตามที่นางบอกไหม พอตอบไม่ได้ก็ฆ่า …ช่วงเวลาที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ได้พบเจอกับชายคนหนึ่ง นางตกหลุมรักเขาจึงไว้ชีวิตแม้อีกใจจังยังมีความรักให้กับคนๆ หนึ่งก่อนที่จะตาย นางใช้ชีวิตอยู่กับเขาจนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ทว่าพออยู่ด้วยกันมิถึงปีชายผู้นั้นก็ตาย”

               “ท่านธวัล ที่เล่าคือความเป็นมามิใช่ฤๅ? แล้วเหตุผลที่แค้นล่ะ?” ชายหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจ ธวัลมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะละความสนใจไปที่ผิวน้ำกาแฟในถ้วย “เราจะบอกท่านว่าสตรีหิมะกับราชินีหิมะมิได้มีความแค้นใดๆ น่ะเจ้าค่ะ”

               “แล้วเรื่องที่เล่าเกี่ยวอย่างไร?”

               “ไว้เรื่องเริ่มคลี่คลายแล้วจะอธิบายให้อีกนะเจ้าคะ” ธวัล

               “ถ้ามิบอกก็มิต้องเล่าเสียแต่แรกก็ได้นะ” ชายหนุ่มรู้สึกว่าเสียเวลา ธวัลทำเป็นไม่สนใจ นางลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่กล่าวลาหรือส่งท้าย ปล่อยให้อีกฝ่ายถอนหายใจตามลำพัง พอออกมาแล้วก็พบว่าราชาวดียืนอยู่ด้านข้างประตู อีกฝ่ายยิ้มให้นางหลังจากพ่นควันที่สูบจากกล้องยาสูบอย่างสบายอารมณ์ ธวัลทำเป็นไม่สนใจอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป

               “ธวัล… อย่าลืมว่าตนเองอยู่ได้มินานนะ” คำนั้นแม้จะแผ่วเบาแต่ธวัลกลับได้ยินชัดเจนอย่างน่าแปลกใจ นางหยุดแล้วหันกลับไปมองด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา ราชาวดีหัวเราะในลำคอก่อนจะโบกมือไล่เล็กน้อย ธวัลเห็นดังนั้นจึงละความสนใจ เดินต่อไปโดยที่ใบหน้ายังคงเรียบเฉยทั้งๆ ที่ในใจกังวลจนคิดอะไรไม่ค่อยได้

               นั่นสินะ อย่างไรเสียเราก็เป็นวิญญาณอีกครึ่งของเธอคนนั้นนี่

               “…”

               “…”

               ความเงียบปกคลุมมาได้สักพักแล้ว ศรีถอนหายใจด้วยความกังวลเมื่อเห็นว่าเฉาก๊วยกับอสุเรนทร์ไม่ยอมสนทนากันเสียที ต่างฝ่ายต่างจ้องอย่างไม่มีใครยอมใคร

               …ก่อนหน้านี้เฉาก๊วยติดต่อทางโทรศัพท์ชวนศรีไปเดินเล่นเพราะเบื่อกิจวัตรในบ้าน ศรีเองก็เช่นกัน เธออยากไปเปลี่ยนบรรยากาศด้วยจึงขออนุญาตอสุราไป ทีแรกผู้เป็นพี่สาวก็จะคัดค้านแต่เห็นว่าช่วงนี้ศรีไม่ค่อยสดใสนัก เลยยอมเพราะอยากให้อารมณ์ดีขึ้น ถึงแม้ในใจกังวลด้วยความที่ว่าทั้งสองกำลังจะขึ้นมัธยมซึ่งเป็นวัยที่ความสัมพันธ์แบบเพื่อนไม่ค่อยมี ไม่แน่ว่าเฉาก๊วยจะคิดกับศรีเกินกว่านั้น ทว่าทั้งสองคบกันมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้รู้ว่าเฉาก๊วยเป็นอย่างไรเลยพอวางใจได้

               พอออกมาเดินเล่นแล้วก็แวะไปซื้อขนม ก่อนจะนั่งทานที่สวนสาธารณะร้าง ซึ่งไม่มีใครมาเพราะกลัวข่าวลือเรื่องผี เหตุผลที่เลือกก็เพราะไม่อยากอยู่ในที่ที่มีผู้คน …แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อเห็นว่าอสุเรนทร์อยู่ เขาขอนั่งด้วยซึ่งศรีก็ให้นั่งได้โดยไม่ถามความเห็นเฉาก๊วย เพราะทราบดีว่าเจ้าตัวไม่พอใจอสุเรนทร์มากหากถามไปคำตอบก็คงไม่พ้นว่า ไม่ …จนกระทั่งเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ ไม่พูดไม่จาทานขนมไปก็จ้องอีกฝ่ายไปด้วยโดยมีศรีคั่นกลาง

               “เฉาก๊วย นายเปิดใจรับอสุเรนทร์เถอะนะ เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ค่อยทำอะไรฉันแล้ว” ศรีกระซิบ พยายามไม่ให้อสุเรนทร์ได้ยิน คำนั้นราวกับน้ำมันที่ราดลงเพลิงที่ลุกโชน เฉาก๊วยเงียบพลางสงบจิตสงบใจไม่ให้เผลอตะคอกออกมา เขากระซิบพร้อมกับเหลือบมองอสุเรนทร์

               “ศรี เธอจะห้ามใจอ่อน บางทีมันอาจให้เธอเชื่อใจแล้วค่อยทำร้ายทีหลังก็ได้นะ”

               “…เฉาก๊วย…” ศรีพึมพำอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรให้เฉาก๊วยยอมรับ ขณะนั้นเขาก็หันไปสนทนากับอสุเรนทร์ด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “คิดจะทำอะไรอีก?”

               “ฉันกลับตัวกลับใจแล้ว”

               “แค่ชั่วขณะหรือแสร้งให้ศรีตายใจก็เท่านั้นแหละ ฉันไม่หลงกลหรอก …ไปที่อื่นกันเถอะศรี อยู่กับหมอนี่อันตราย”

               เฉาก๊วยจับข้อมือศรีและดึงให้ลุกขึ้น ก่อนจะเดินจากไปโดยที่เธอยังคงหันไปมองด้วยความอาลัย อสุเรนทร์จ้องไปยังร่างของทั้งสองด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา เขาลุกจากที่นั่งซึ่งเป็นยางรถยนต์ก่อนจะไปจับข้อมือศรีเพื่อรั้งไว้ ส่งผลให้เฉาก๊วยต้องหยุดไปด้วย เขาและเจ้าตัวปะทะแววตาที่เยือกเย็นจนศรีรู้สึกขนลุก จะเลี่ยงก็ไม่ได้เพราะถูกจับข้อมือไว้สองข้าง จะห้ามก็ไม่ได้อีกเพราะเกรงว่าจะไปจุดเชื้อเพลิง

               “ปล่อยศรีเดี๋ยวนี้!”

               “ไม่! ฉันพยายามไม่ทำร้ายศรีแล้วนายยังไม่วางใจอีก ฉันก็ชอบของฉันแล้วนายมีสิทธิ์ที่จะมาตัดสินด้วยเรอะ! หัดให้โอกาสคนอื่นบางสิ!!”

               “นายหลงต่างหาก อสุเรนทร์!”

               “ไม่ใช่! มาคิดอีกทีฉันไม่ได้ชอบแต่รักศรีต่างหาก!!” ทั้งน้ำเสียงและแววตาสื่อความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาจนศรีหวั่นไหว ในใจส่วนมากเชื่อว่าเขารู้สึกเช่นนั้นจริง แต่อีกใจส่วนน้อยก็ไม่เชื่อว่าเขาจะรู้สึกเช่นนี้ตลอด ศรีเงียบ เหม่อลอยโดยไม่ได้สนใจอีกสองคนที่เถียงกันอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด

               ในขณะที่เฉาก๊วยจะชกอสุเรนทร์ด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบ ศรีก็พุ่งตัวเข้าไปจับข้อมือเขาเพื่อรั้ง เจ้าตัวหันมามองด้วยความแปลกใจ ฉงนและเคืองที่เธอมายั้งไว้ ดวงตาสีดำดุจรัตติกาลละจากเบื้องล่างมาจ้องเฉาก๊วยสลับกับอสุเรนทร์ที่ตั้งท่าเตรียมรับหมัดค้าง เขาเองก็มองศรีด้วยความไม่เข้าใจ มีเหลือบสายตาไปทางอื่นบ้างเพราะรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนลุกโดยไม่แสดงท่าทีออกมา ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งก่อนที่ศรีจะเป็นคนทำลายความเงียบ

               “…อย่างนี้ละกัน ถ้าอสุเรนทร์ทำให้ฉันร้องไห้เมื่อไหร่ ยามนั้นที่นายจะต้องตายด้วยน้ำมือฉันไม่ก็เฉาก๊วย” คำนั้นราวกับไม่ได้มาจากศรี อีกสองคนจ้องเธอ แทบจะไม่เชื่อว่าศรีจะมีใจที่สังหารใครได้

               …อสุเรนทร์ไม่เชื่อเลยเพราะไม่เคยเห็นศรีทำเช่นนั้น แต่เฉาก๊วยที่เคยเห็นเธอทำมาหลายครั้งในสมัยเยาว์วัยพอจะเชื่อบ้าง …หากเป็นเด็กหญิงผู้นี้ล่ะก็… ใครทำให้เธอเจ็บดวงผู้นั้นต้องถึงฆาต

                เฉาก๊วยยิ้มมุมปาก สีหน้าเยือกเย็นจนดูผิดกับอุปนิสัยก่อนหน้าที่เป็นคนร่าเริงและขี้เล่น ในใจหวังว่าอสุเรนทร์จะยอมให้ตนเองหรือศรีฆ่าโดยไม่อ้อนวอนขอชีวิต…

 

                จังหวัดกรุงเทพฯ

               ที่หลังบ้านมีเด็กหญิงสองคนกำลังนั่งอยู่เงียบๆ …กาญยะมองฟรานีด้วยความอาลัย เบื้องหลังใบหน้าที่ดุดันของเธอซ่อนความหวั่นไหวไว้ เจ็บแปลบเพราะอีกฝ่ายจำอะไรไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะเงียบเช่นนี้เธอก็พยายามเล่าให้ฟังว่ารู้จักกันมาก่อนอย่างไร แต่เล่ายังไงฟรานีก็จำอะไรไม่ได้เลย

                “จำไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

                “…เธอโกหก เรื่องข้ามภพข้ามชาติมันจะไปมีได้อย่างไร” ฟรานีกล่าวเบาๆ โดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย กาญยะถอนหายใจด้วยความท้อ “ฉันเป็นทหาร ส่วนฟรานีเป็นเฉลย ในช่วงสงครามนั้นเราเจอกันโดยบังเอิญ พอรู้จักไม่นานเธอก็ตายเสียก่อนเพราะโรคและขาดอาหารมาก”

                “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะมาสนใจเฉลยอย่างฉันทำไม?” แผ่นหลังนั้นดูเย็นชานัก ฟรานีพยายามไล่ภาพที่ฉายในความคิดให้หายไป ศพ ทหารพร้อมอาวุธและไฟที่ลุกโชนนั้นน่าสลดยิ่งนัก โดยเฉพาะรถไฟที่คุ้นตานั้นติดในใจจนยากจะลบเลือน

                “ฉันอธิบายไม่ถูก”

               จบคำนั้นความเงียบก็เข้ามาแทนที่ ปล่อยให้จิตใจลอยละล่องสู่อดีต ฟรานีเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ภาพในอดีตยังคงฉายชัด เธอเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ฝันถึงมันบ่อยๆ จนร้องไห้โดยไม่รู้ตัว …กาญยะเองก็เช่นกันแต่หนักกว่า เธอยังคงมีความทรงจำที่หลงเหลือในชาติก่อน …อุตส่าห์ได้เจอแล้วแต่ก็ไม่ได้สนทนาเหมือนในวันวานเมื่อหลายร้อยปีก่อน

               “ไม่เป็นไร… ต้องมีสักวันแหละที่เธอจะจำได้”            

 

               หลังจากกลับมาแล้วศรีก็แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอกลับมาเป็นดังเดิม ความเยือกเย็นก่อนหน้านี้ราวกับภาพฝันอันโหดร้ายสำหรับอสุเรนทร์ ตนเองก็แทบไม่เชื่อว่าจะกลายเป็นเช่นนั้นได้ แต่อีกใจก็รู้ดีเพราะเคยเป็นมาก่อน เธอเผลอยกมือที่เคยเปื้อนเลือดมาหลายครั้ง เจ็บจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองเคยทำ …การสังหารคนที่มาทำร้าย ไม่ว่าครั้งไหนก็ยังคงติดตาอยู่เสมอ ท่ามกลางความเงียบนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ศรีค่อยๆ ยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาแล้วอ่านชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอว่าเป็นใคร เมื่อทราบว่าเป็นพงสณะก็ชักสีหน้า เธอเคยบอกเขาไปแล้วว่าจะไม่สื่อสารผ่านโทรศัพท์ แต่คิดว่าคงมีเรื่องเร่งด่วนเลยกดรับสาย

               “สวัสดี ที่โทรฯ มาหวังว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนนะ”

               “สวัสดีที่รัก ที่โทรฯ มานี่เป็นเรื่องเร่งด่วนอยู่แล้ว ฉันมีอะไรจะบอกเธอน่ะ” ศรีแสดงสีหน้าฉงน ไม่นานเกินรอพงสณะก็กล่าวต่อ “พรุ่งนี้ฉันจะมานะ”

               “นี่ล่ะเหรอเรื่องเร่งด่วน ทุกทีก็ไม่โทรฯ บอกอยู่แล้วนี่” ศรีถอนหายใจ นิ้วเตรียมกดวางสาย เหมือนพงสณะจะรู้แก่ใจดีอยู่แล้วจึงรีบกล่าว “น่า ก็ฉันคิดถึงเธอนี่ เดี๋ยวจะพาไปที่ตลาดน้ำกับพิพิธภัณฑ์ตามที่บอกไว้ แต่งชุดสวยๆ รอไว้เลยนะ”

               “พงสณะ ฉัน…”

               ติ๊ด

               กล่าวไม่ทันจบพงสณะก็ตัดสายไปเสียก่อน ศรีถอนหายใจอีกครั้งด้วยความระอา กระนั้นริมฝีปากก็แย้มขึ้นมาอย่างน่าฉงน แปลกใจจริงเชียวทั้งๆ ที่เธอไม่ชอบแต่กลับยิ้มไม่ยอมหุบเสียที

               อย่างน้อยนี่ก็เป็นข้อดีอีกอย่างของนายนะ …พงสณะ ยามเมื่อฉันเป็นอะไรก็จะทำให้ยิ้มได้เสมอ…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา