คฤหาสน์เร้นรัก [[My Mansion Of Love]]

-

เขียนโดย Murasaki

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 21.27 น.

  8 chapter
  3 วิจารณ์
  10.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557 19.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) Fall In Love

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

สวนวงกต

Part :เอคิว

ใครจะคิดล่ะครับว่าผมต้องมาเดินเปลี่ยวจิตกับไอ้คนบ้ากามที่ชอบแตะเนื้อต้องตัวผมทุกนาทีที่มีโอกาส ใช่แล้ว! ตอนนี้ผมกำลังเดินเข้ามาในสวนวงกตที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดกับดาเมียนได้สักพักใหญ่ๆ ส่วนไอ้บ้านี่ก็จับมือผมไม่ปล่อยหลังจากโดนทั้งกัดทั้งทุบ ไม่รู้ว่าทำไมไม่หาโซ่มาล่ามผมซะเลยก็หมดเรื่อง มันจะได้เดินจูงผมไปด้วยชมวิวไปด้วยซะเลยรู้ไหมว่า..กูเครียดโว้ย!! กูคิดถึงพ่อ....(ใช่เวลาไหม?)

 

“นี่!!”ผมส่งเสียงเรียกไอ้คนที่เดินข้างๆที่กำลังมองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น หน้าตาดาเมียนมันดูตั้งใจเดินมากๆไม่ล่อกแล่กและไม่มองคนข้างๆ

 

“................”เอิ่ม! มนุษย์ต่างดาวมันยากจะเข้าใจภาษาคน ผมคิดว่าอย่างนั้น

 

“นี่!!” เผอิญผมเป็นพวกอุปกรณ์ล้างห้องน้ำอ่ะนะ ฉะนั้นมันต้องขัดขวางสมาธิในการเดินของไอ้บ้านี่ด้วยการเรียกซ้ำ แต่สิ่งที่ได้นี่สิ!

 

“................”ชิ้ง! ดาเมียนแค่ชำเลืองดวงตาอันมีเสน่ห์ของมันมองมาที่ผม เอ่อ!ด้ยินผมใช่ไหม? ทำไมไม่พูดฟระ!!

 

“เฮ้ย! ถ้าจะเงียบปากก็ปล่อยมือเลย กูเลวไม่เดินกับคนหูหนวก”ผมเริ่มหมดความอดทนก็โวยวายดาเมียนแล้วพยายามแกะมือมันอีกรอบจากที่พยายามมาตลอดการเดินทางเข้ามาในสวนวงกตนี้

 

“ผมเป็นคนมีพ่อมีแม่มีชื่อนะครับ        “ ดาเมียนกำมือผมแน่นแล้วหันหน้ามาพูดประโยคอันน่ารักกับผม อ้อ! แสดงว่าได้ยินแต่กวนตรีนใช่ไหมครับ

 

ผลั้ว!

“เฮ้ย!!”ดาเมียนร้องเสียงหลงเมื่อผมใช้ฝ่าเท้าอันนุ่มนิ่มนั้น(?)ยกขึ้นประทับที่บั้นท้ายอันงอนงามของดาเมียนจนสะดุดทางข้างหน้าล้มคะมำ ทำให้มือของดาเมียนปล่อยมือของผมแล้วหันมาจ้องด้วยสายตาที่มีประกายไฟดังเปรี๊ยเปรี๊ย ด้วยความหลงใหล(?) สงสัยจะช็อตในความหล่อของผม

 

“เหอะๆ ชอบให้หน้าแหกก่อนแล้วค่อยพูดก็ไม่บอก” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยแกมสะใจ เอาจริงๆ โค-ตะ-ระ สะใจอ่ะ แล้วผมก็เดินเชิดหน้าผ่านดาเมียนไป

“แสบนักนะ เห็นสวยๆอย่างนี้ไปไม่รอดทุกรายครับ ระวังตัวไว้เถอะ”ดาเมียนลุกขึ้นยืนปัดเสี้อผ้าแล้วพูดหยอกเย้าผมขณะที่ผมกำลังจะเดินผ่านร่างเน่าๆของมันที่กำลังส่งสายตาแพรวพราวใส่ผมไม่หยุด เหอะ! แมร่งอยากควักลูกตามันจริงๆ เอาไปต้มยำท่าจะอร่อย หมั่นไส้!!แต่ผมก็ทำได้แค่ส่งสายตาอาฆาตไปให้ดาเมียน

 

“มองอะไร? จะแก้แค้นหรอ?ห๊า! จะต่อยก็มาเลย”ผมพูดท้าทายไอ้บ้ากามที่มองผมด้วยสายตาน่าขนลุกนั่นไม่หยุด แต่ใช่ว่าหมอนั่นจะกลัวกลับยิ้มแล้วส่งสายตาชวนอ้วกมาให้ผม

 

“อยากต่อยหรอ? มาเลย..นายหลับตา ขอฉันวอร์มอัพก่อน ห้ามดูนะ” ดาเมียนจ้องมองมาด้วยสีหน้าทะเล้นก่อนที่จะยิ้มอย่างร่าเริงใส่ผม มึงจะบ้าเหร๊อ! ต่อยกัน ขอวอร์มก่อน มึงจะลงแข่งกีฬาหรือไงว่ะแมร่งมีขอเวลาวอร์มไอ้ฟราย!!

 

“ทำไมต้องหลับว่ะ? นี่นายบ้าหรือปัญญาอ่อนกันแน่ว่ะเนี่ย!”ผมถามด้วยน้ำเสียงแกมหงุดหงิดในความเรื่องมากของคุณชายตรงหน้าที่ขอวอร์มอัพก่อนต่อยกัน แต่ดาเมียนก็เดินถอยห่างจากผมไปเหมือนจะขอพื้นที่วอร์มร่างกายน่ะแหละ เอาจริงดิ!ผมเลยตัดสินใจหลับตาซะ เอากับมันซะหน่อยครับ

 

“ห้ามแอบดูนะ ฉันกำลังเรียกพลังอยู่” ผมหลับตาตามที่ดาเมียนบอกไปด้วยคิ้วก็ขมวดไปด้วยมันบ้าแน่ๆเรียกพลังอะไรของมันว่ะเนี่ยแล้วผมก็ได้ยินแค่เสียงคนเดินไปเดินมาก็คงจะเป็นหมอนั่นน่ะแหละ แต่แล้วก็เกิดเสียงประหลาด...

 

“จุ๊บ ฟอด ฟอด”อืม! ใช่...เลย....ไอ้บ้านี่มันย้ำยีริมฝีปากและแก้มทั้งสองของผม ไอ้ดาเมียนมึงตายยยยยยยดาเมียนยิ้มหน้าบานส่งมาให้ผมก้มหน้ายืนตัวสั่นและกำมือแน่นด้วยความโมโห

 

ผลั้ว! ตุ้บ! ตับ!ผลั้ว!ผลั้ว!

ไม่ใช่เสียงคนต่อยกันครับ แต่เป็นเสียงผมกำลังประเคนทั้งเตะและต่อยไอ้คนฉวยโอกาสที่กำลังหัวเราะปนร้องโอดครวญอยู่ตรงหน้าผม ผมส่งสายตาโกรธเคืองไปที่ดาเมียนแล้วเดินหนีแมร่งเลย ไปเองก็ได้ว่ะ รู้แบบนี้น่าจะพาไอ้น้ำมาด้วยซะก็สิ้นเรื่อง ไม่น่ามากับไอ้บ้านี่เลยจริงๆ เอ! ว่าแต่ทำไมแถวนี้เงียบจัง ควับ! ผมกำลังหันซ้ายหันขวาก็เห็นแต่ทางสวนวงกตแยกเป็นหลายทาง แต่มีทางหนึ่งที่มองเข้าไปแล้วเห็นสวนดอกไม้หลากสีสัน เอ!ที่นี่มีดอกไม้ด้วยหรอเนี่ย

 

“เฮ้ย! ดาเมียน ที่นี่มีสวนดอก..อ้าว! ไอ้บ้านั่นหายไปไหนว่ะ!” ผมพูดขึ้นแล้วหันไปข้างหลังเพื่อจะเรียกดาเมียน แต่ก็ไม่เจอไอ้คนที่มากับผมซะแล้ว ซวยล่ะสิ! มันทิ้งกันนี่หว่า

 

“มันไปไหนว่ะเนี่ย! เฮ้ย! ไม่เล่นแล้ว รีบๆออกมาเลยนะเว้ย!”ผมตัดสินใจตะโกนเรียกอีกครั้ง เผื่อว่าจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับหรือว่าร่างของใครโผล่ออกมาหาผมสักคน

 

สวบ! สวบ!

เสียงฝีเท้ากำลังเดินมาทางผม ทำให้ผมต้องหันซ้ายหันขวาเพื่อหาที่มาของเสียง แต่แล้วผมก็หันไปเจอสิงโตร่างใหญ่โตมีขนสีน้ำตาลทองสวยแต่มีหางเป็นแมงป่องกำลังยืนขู่คำรามใส่ผม ดวงตาสีแตงเลือดนั่นกำลังจ้องมองมาอย่างดุดันผมได้แต่ยืนนิ่งจนไม่กล้าขยับ และแล้วสิงโตปีศาจนั่นก็วิ่งเข้ามาและกำลังจะกระโจนใส่ผมที่ยืนหลับตาตัวสั่น แต่ทันใดนั้นก็มีสุนัขสามหัวขนสีดำขลับกระโจนมาปะทะกับสิงโตปีศาจส่วนผมเองก็รีบวิ่งแล้วหมอบคลานไปแถวพุ่มไม้หนาขณะที่สิงโตก็ตะปบอุ้งเท้าที่มีเล็บสีดำแหลมคมไปที่หัวของสุนัขแต่ก็ต้องกระโดดหลบ เมื่อสุนัขสามหัวตัวนั้นกำลังจะใช้หัวทั้งสามของมันรุมกัดไปที่ร่างของสิงโต ทำให้สิงโตอ้าปากแยกเขี้ยวขาวขู่คำรามก่อนจะโกงตัวปล่อยอาวุธออกมาจากหางแมงป่องนั้นใส่สุนัขสามหัว แต่สุนัขสามหัวก็กระโดดหลบอาวุธได้อย่างหวุดหวิดแล้ววิ่งหายเข้าไปในทางใดทางหนึ่งของสวนวงกต ส่วนต้นไม้ที่โดนอาวุธนั้นก็กลายเป็นสีดำแล้วเหี่ยวเฉาจนสลายหายไปต่อหน้าต่อตา ผมที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ก็กำลังแหวกดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างลุ้นระทึก ทันใดนั้น...

 

“แว๊กกกกกก!! ช่วยกูด้วยคร๊าบ ช่วยด้วย!” เสียงผมนี่แหละ ร้องออกมาสุดชีวิตปานควายจะออกลูกแฝดเพราะมีมือของใครคนหนึ่งแตะมาที่ไหล่ของผมจากทางด้านหลัง

 

“เฮ้ย! เอคิว จะร้องทำไม? ร้องอย่างกับคนจะถูกข่มขืน เสียงหลอนแก้วหูมากอ่ะ” ผมหยุดร้องแล้วหันไปมองข้างหลัง เจอแล้ว! พี่วานิชเป็นคนที่มาแตะที่ไหล่ผมจากด้านหลัง ว่าแต่..ทำไมพี่วานิชมาอยู่ที่นี่ล่ะ

 

“พี่น่ะแหละ เล่นอะไรก็ไม่รู้ ถ้าผมตกใจตายนะ พี่แบกศพคิวไปทำพิธีด้วย” ผมว่าพี่วานิชอย่างงอนๆ ส่วนพี่วานิชก็ทำหน้าตาเหรอหราเบิกตาโตล้อเลียนผมอยู่นั่นแหละ เล่นเข้าไป ไอ้พี่บ้านี่!

 

“ใครจะโง่แบกคิวไปล่ะ พี่ทิ้งเราให้เป็นปุ๋ยที่นี่ มันมีประโยชน์กว่าเยอะ” พี่วานิชพูดหยอกล้อผมแล้วส่งยิ้มมาให้ราวกับคนมีความสุขในเวลานี้ ทั้งที่ผมเพิ่งเจอกับ..เฮ้ย! แล้วสัตว์ประหลาด 2 ตัวนั่นล่ะ ผมรีบดึงข้อมือของพี่วานิชให้นั่งลงตรงหลังพุ่มไม้ด้วยกัน ส่วนพี่วานิชก็ทำหน้าคิ้วขมวดใส่ผมเหมือนเห็นคนประหลาดซะงั้นนี่ผมกำลังช่วยชีวิตพี่นะ!!

 

“เฮ้ย! นั่งทำไม เดี๋ยวเขาก็หาไม่เจอหรอก ไม่เล่นซ่อนแอบนะเว้ย!” พี่วานิชพูดบอกผมแล้วพยายามจะลุกขึ้นยืน ขณะที่ผมก็ฉุดกระชากให้พี่วานิชนั่งลงอยู่เช่นกัน

 

พรึ่บ!

เสียงตัวอะไรสักอย่างกระโดดข้ามพุ่มไม้ที่พวกผมกำลังฉุดกระชากลากถูกันอยู่ และเมื่อผมเห็นที่มาของเสียงนั้นทำให้ผมรีบลุกขึ้นตามแรงดึงของพี่วานิชแล้วรีบก้มหน้ากอดเอวด้วยความรักและซาบซึ้งที่มีพี่(ใช่หรอ?)

 

“กรร” เสียงของสุนัขสามหัวที่กำลังแยกเขี้ยวขู่มาทางผมที่พยายามเหลือบตามองไปด้วยและกอดพี่วานิชไปด้วย อย่าขู่เค้าเซ่! ไอ้หมาบ้านี่!

 

“อย่าขู่เอคิวนะ เห็นไหมว่าเขากลัวน่ะไปไกลๆเลย” โว! พี่กูช่างกล้าหาญ เดี๋ยวมันก็กัดคอขาดเล่นตะโกนเสียงดังแล้วทำหน้าจริงจังใส่เหมือนมันจะรู้เรื่องเลยนะ

 

“กรร” สุนัขสามหัวยังคงแยกเขี้ยวขู่มาทางผมที่ยังคงกอดพี่วานิชไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

 

“นิสัยไม่ดี ไม่ต้องตามมาเลยนะ ไปกันเถอะ”พี่กูเปลี่ยนไป กล้าขู่หมาสัตว์ประหลาด แปะๆ ปรบมือให้เลย พี่วานิชพูดเสร็จก็แกะมือผมออกจากเอวแล้วจูงมือไปอีกทางหันหลังให้สุนัขสามหัวที่กำลังทำท่าทางไม่พอใจ เหวอ! แล้วถ้ามันโกรธมันก็กระโดดกัดตูดขาดน่ะสิ พี่วานิชบ้าหรือเปล่าว่ะ!

 

“รัญชน์จะไปไหน?” เสียงทุ้มแกมดุดังขึ้นมาจากข้างหลังของพวกผม ผมหันไปมองข้างหลังก็เห็นชายหนุ่มผิวสีแทนรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีขาวยาวปล่อยสยายปลิวไปตามสายลม ริมฝีปากบางเม้มเน้นและดวงตาคมกริบนั้นกำลังจ้องมองมาที่พี่วานิชไม่วางตา เออ! แล้วนั่นใครอีกล่ะ ว่าแต่...ดาเมียนไปไหนล่ะเนี่ย!ทำไมถึงทิ้งกัน ห๊า!

 

“ฉันจะกลับไปที่ของฉัน นายก็กลับไปที่ของนายสิ” พี่วานิชตอบเสียงเรียบแล้วทำสีหน้าท้าทายชายหนุ่มผมยาวสีขาวที่ตอนนี้กำลังสวมแค่กางเกงยีนส์สีดำขาดๆ ผมชักหวั่นๆแหละ ไอ้หมอนี่มันมาจากไหน? แล้วสุนัขสามหัวล่ะมันหายไปไหน?

 

“พี่วานิชหมาสามหัวหายไปไหนอ่ะ นะ..นายคนนั้นกินหมาหรอ?” ผมพูดขึ้นขัดบทสนทนาอันเคร่งเครียดตรงหน้าด้วยความสงสัยและหวาดระแวงกลัวสัตว์ประหลาด

 

“ฮ่าๆใช่ที่ไหนล่ะ กลัวจนขี้ขึ้นสมองแหละ” พี่วานิชหัวเราะก่อนจะพูดตอบพลางส่งยิ้มขำๆมาให้ผมที่ทำหน้าเป็นหมางงอยู่ เอ้า! แล้วมันหายไปไหนล่ะ เค้ากลัวนะ!

 

“นายไปได้ แต่รัญชน์ห้ามไป” น้ำเสียงดุดันเอ่ยออกมาใกล้ๆตัวพร้อมกับแววตาดุดันที่ส่งมาทำให้ผมเห็นชายผมยาวสีขาวในระยะใกล้แต่แล้วชายหนุ่มผมยาวสีขาวก็กระชากมือผมออกจากมือของพี่วานิชแล้วผลักผมกระเด็นข้ามพุ่มไม้ไป ทำไมมันแรงควายอย่างนี้ว่ะ! กระดูกหักแน่ตู ขณะที่ร่างกายของผมกำลังจะกระแทกพื้นก็รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรนิ่มๆมารองรับร่างของผมแทนพื้นหิน ผมที่หลับตาปี๋ด้วยความกลัวก็ลืมตาแล้วพลิกตัวเพื่อดูเจ้าสิ่งนิ่มๆนั่น แต่แล้ว.....ผมก็ต้องสบตากับดวงตาสีแดงฉานที่กำลังจ้องมาที่ผม

 

“อ๊ากกก!!!! พี่วานิชชชชช” ผมร้องแหกปากแล้วรีบลุกขึ้นเดินถอยหลังออกมาจากสิงโตหางแมงป่องนั่นทันที ใครจะไปอยากอยู่ใกล้ล่ะ เดี๋ยวมันเอาหางมาจิ้มผมก็ตายนะเซ่!

 

“นายนี่ตลกดีนะ” ชายหนุ่มผมยาวสีขาวที่ยืนอยู่ข้างๆพี่วานิชก็พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยใส่ผม ถึงแม้ว่าสีหน้าจะด้านชาเฉยสนิทก็เถอะ แต่แววตากลับดูแพรวพราวราวกับเห็นเรื่องสนุกอยู่ตรงหน้า

 

“ตรงไหนที่ตลกวะ..ว่ะ? เหวอ! ไปทางโน้นเซ่! อย่ามาทางนี้นะไปๆ...ไปทางนั้นซะเถอะที่รัก ฉันจะลงโทษเธอ” ผมตะโกนใส่ชายหนุ่มผมยาวสีขาวแล้วก็หันมาพูดกับสิงโตหางแมงป่องที่กำลังจ้องมองผมอยู่ด้วยดวงตาสีเลือดและกำลังจะก้าวเดินมาทางผมที่กำลังเดินถอยหลังไปเรื่อยๆจนติดกับพุ่มไม้สูง

 

“นายจะแกล้งไอ้เด็กลิงนี่ไปถึงเมื่อไรกัน เดี๋ยวก็กลัวจนเตลิดหรอก” ชายหนุ่มผมยาวสีขาวพูดลอยๆขึ้นมาแต่สิงโตหางแมงป่องกลับหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าชายหนุ่มผมยาวสีขาวก่อนจะสะบัดหน้ามามองทางผมแล้วจ้องไม่หยุด

 

“โมๆๆ ไปทางโน้นสิ ของกินอยู่ทางโน้น” ผมใช้โอกาสที่สิงโตหันไปมองนายผมขาวแล้วหยิบขนมโดโซ่ที่ผมชอบเอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงมาโบกล่อสิงโตก่อนที่จะเปลื้องผ้าให้โดโซ่แล้วโยนไปอีกทาง สิงโตมองตามขนมโดโซ่ที่กำลังยั่วยวน(ผม)อยู่แล้วหันกลัมมามองผมใหม่อีกครั้งอย่ามองตาได้ไหม...

 

“ฉันเป็นสิงโต ไม่ใช่หมานะที่รัก” เพล้ง! หน้าแตกยับเลยครับ แมร่งพูดได้ สิงโตผีสิงล่ะทีนี้ แต่เสียงมันคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหนเลย เอ! ที่ไหนกันนะ ระหว่างที่ผมกำลังพยายามนึกอยู่ เจ้าสิงโตปีศาจก็เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนผมต้องเดินถอยหลังไปด้วย เดี๋ยวมันพ่นพิษใส่ผม(ใช่เหรอ?) แล้วสิงโตก็กลายร่างเป็นดาเมียนเปลือยอกผายสวมกางเกงขาดวิ่นเป็นย่อมๆ เอิ่ม! ดาเมียนเป็นตัวอะไรว่ะเนี่ย?

 

“เอคิว...เฮ้ย! ไอ้คิว เป็นอะไรเนี่ย!เอคิวยืนแข็งเลยว่ะ”พี่วานิชเดินเข้ามาจับตัวผมก่อนที่จะพูดเสียงดังใส่ก่อนที่จะหันไปพูดกับนายผมยาวสีขาวนั่น แต่ผมที่กำลังอึ้งและงงอยู่ยังคงยืนนิ่ง นี่มันเรื่องอะไรกัน! สรุปว่าผมเดินร่วมทางกับสิงโตปีศาจมาตลอดทางเลยหรอว่ะเนี่ย!

 

“ที่รักเป็นอะไร อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ เฮ้ย! ที่รักกูเป็นอะไร?ช็อกจนไม่ขยับเลยว่ะ” ดาเมียนพูดแล้วมองหน้าผมพร้อมกับเขย่าตัวเบาก่อนที่จะหันไปพูดกับชายหนุ่มผมยาวสีขาวที่ตอนนี้กำลังยิ้มขำด้วยใบหน้าเฉยชานั่นผมที่เริ่มได้สติก็จ้องมองดาเมียนที่กำลังเดินไปเดินมาทำหน้าเคร่งเครียดแล้วก็หันมาเขย่าตัวผมอีกรอบ คนนะเว้ย! ไม่ใช่เป๊บซี่จะเขย่าให้เกิดฟองฟู่หรือไงฟระ!!

 

“เป็นอะไร? อย่าเพิ่งตายนะได้แล้วจะทิ้งกูหรอ?” ไอ้นี่มันพูดอะไรของมัน ใครได้ใคร? แล้วใครจะทิ้งมันว่ะ? แต่อย่างมันก็น่าโดนทิ้งอยู่หรอก แมร่งปีศาจปากหมาชัดๆผมได้แต่จ้องไปที่ดาเมียนด้วยสายตาเซ็งจิตกับความปัญญาอ่อนไม่มีที่สิ้นสุดนั้น

 

“ทิ้งมึงน่ะสิ ใครได้กับมึง ห๊า! มาแช่งให้กูตาย ถอยไปไกลๆเลย” ผมโวยวายใส่ดาเมียนแล้วเดินไปเกาะแขนพี่วานิช ทำให้ชายหนุ่มผมยาวสีขาวจ้องผมเขม็ง  แต่ผมก็ยังเกาะแน่นพี่วานิชไม่ยอมปล่อย จะทำไมล่ะ ก็ผมโง่อ่ะ(รู้ตัวงั้นหรอ?) ไม่สนหรอกว่าใครจะหวง ไม่มีใครพรากผมจากพี่วานิชได้ว่ะ...ฮา..ฮา..ฮา

 

ผลัก!

สงสัยจะไม่ใช่แหละ ไอ้ผู้ชายผมหงอกนั่นมันผลักผมไปทางเดเมียนที่ยืนหน้าบูดบึ้ง ทำไมมันซวยแท้ว่ะ ไอ้เอคิว ผมทำหน้าหงิกใส่ดาเมียนที่กำลังทำหน้าหงอยเป็นสิงโตป่วยแล้วผมก็ทำเมินใส่ดาเมียนซะเลย ไอ้คนโกหก หลอกลวง แมร่งปล่อยให้กูกลัวจนขนร่วง ฮึ่ม! กูเคือง

 

“ทำไมต้องโกรธกันด้วย แค่ไม่ได้บอกเองฉันกลัวนายจะกลัวนะ” ดาเมียนพูดเสียงอ่อนแล้วพยายามส่งสายตาอ้อนวอนมาให้

 

“หรา...แล้วทำไมไม่บอกตอนกูวิ่งหนีมึงเลยล่ะ” ผมพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองแล้วหันไปจ้องหน้าดาเมียนด้วยสายตาโกรธเคือง

 

“ผมขอโทษนะที่รัก อย่าโกรธเลยนะ ทีหลังจะบอกทุกเรื่องเลย” ดาเมียนพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแล้วพยายามเดินมาดักหน้าผม เมื่อผมพยายามจะเดินหนี

 

“ยังจะมีอีกหรอ? วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะเชื่อนาย ไอ้คนกะล่อนปลิ้นป๊อด” ผมพูดเสียงเข้มแล้วทำหน้าจริงจังใส่ดาเมียนที่ผงะแล้วยิ้มเจื่อนๆมาให้ผม

 

“จ้าๆ วันสุดท้ายเลย”ดาเมียนพูดเสียงอ่อนแล้วส่งยิ้มมาให้ผมที่ทำหน้าบูดบึ้งกับอาการยิ้มเรี่ยราดของไอ้บ้านี่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ได้แต่ยิ้ม

 

“ไม่ต้องเดินเข้ามาใกล้เลย ไปทางโน้น ไป!” ผมพูดใส่ดาเมียนที่กำลังจะเดินเข้ามาใกล้และพยายามจะคว้าแขนของผมไปจับ

 

“ทั้งคู่น่ะพอได้แล้ว ตอนนี้ก็เที่ยงจนจะบ่ายแล้วนะ ไปกินข้าวเที่ยงค่อยแล้วมาคุยกันนะน้องคิว” พี่วานิชพูดเสียงเรียบเจือเป็นห่วงแล้วตบไหล่ผม แต่แล้วก็โดนชายหนุ่มผมยาวสีขาวปัดมือพี่วานิชออกไป เออ! ไอ้บ้านี่ก็อีกคนทำอย่างกับผมเป็นเชื้อโรค เดี๋ยวกูแพร่เชื้อซะเลย

 

“อืม! แล้วจะไปกินที่ไหน นี่มันสวนวงกตนะพี่” ผมพูดแล้วพลางมองสำรวจรอบตัว แต่สายตาก็ต้องมาปะทะกับดาเมียนที่ยิ้มแล้วกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างกับผม

 

“ทางนั้น” ผมมองไปตามนิ้วแกร่งของชายหนุ่มผมยาวสีขาวที่ชี้ไปทางของสวนวงกตที่พอมองเข้าไปจะเป็นสวนดอกไม้หลากสี โดยเฉพาะกุหลาบ พี่วานิชหันมายิ้มให้แล้วจูงมือผมไปทางที่นายผมหงอกชี้ แต่มีเพียงดาเมียนที่ไม่ยอมขยับตามมา แต่ใครจะสนล่ะ กูหิวอ่ะ

 

“น้องคิวจะใจร้ายไม่พาเขามาด้วยกันหรอ?” พี่วานิชหันหน้ามากระซิบกับผมท่ามกลางสายตาดุดันของชายหนุ่มผมยาวสีขาวที่จับตามองพี่วานิชตลอดเวลา

 

“ใคร? ไหน? ไม่เห็นจะมีเลยนะ” ผมพูดกับพี่วานิชแล้วผิวปากเดินนำไปจนพี่วานิชส่ายหน้าอย่างระอากับความดื้อด้านของผม

 

ณ บ้านของไวท์

ผมเดินเข้ามาในบ้านหลังเล็กท่ามกลางสวนดอกไม้แล้วอดนึกไม่ได้ว่า ไอ้เจ้าของบ้านนี่คงจะหลงใหลดอกไม้มากถึงขั้นปลูกเป็นสวนแล้วยังจะสร้างบ้านออกแนวธรรมชาติอีก เออ! ความคิดดีนะเนี่ย เดี๋ยวถ้าผมออกไปจากที่นี่ผมจะขอคุณปู่ให้สร้างบ้านแบบนี้บ้าง ปลูกดอกไม้ยันผลไม้ให้รอบบ้านเลย ตอนนี้ผมกำลังนั่งกินข้าวเที่ยงในบ้านของนายผมหงอกหรือที่รู้จักกันว่า “ไวท์” ชื่อตามสีผมเลยแหละ ไม่รู้ใครช่างคิดไปได้ สงสัยจะรู้ว่าลูกโตมาแล้วจะผมหงอกเลยตั้งชื่อบอกไว้ก่อน ฮ่าๆๆ

 

“น้องคิวแน่ใจนะว่าจะไม่ไปเรียกเขามากินด้วยน่ะ” รอบที่เท่าไรก็ไม่รู้ ดูพี่วานิชจะกลุ้มใจที่ผมไม่สนใจไอ้บ้าดาเมียนนั่น จะสนใจทำไมกันนักหนาล่ะ วันนี้ผมก็จะออกไปจากที่นี่แล้วนี่นา

 

“คนสวยใจดำนี่ท่าจะจริงนะ” ไวท์พูดลอยๆเสียงเรียบแต่คำพูดแฝงมาถึงผมด้วยนี่สิ ไอ้นี่มันวอนหาเรื่องเว้ย!เดี๋ยวกระชากผมตบปากแตกเลยนี่ แต่ความจริงผมก็ได้แต่ส่งสายตาจิกไปให้นายไวท์นั่นที่ทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจผม(ทำไปได้)

 

“พี่ว่าน้องคิวไปตาม...”ขณะที่เรา 3 คนกำลังจะลงมือรับประทานอาหาร พี่วานิชก็พูดขึ้นอีกครั้งในเรื่องที่น่าจะรู้ว่าเรื่องอะไร

 

“พี่วานิช ผมไปก็ได้ แต่พี่ต้องเลิกพูดถึงไอ้บ้านั่นอีกนะ เข้าใจป่ะ?”ผมพูดแทรกขึ้นมาแล้วแกมบังคับไม่ให้พี่วานิชพูดเรื่องนี้อีก เพราะผมหงุดหงิด แต่ก็ยอมไปตามไอ้ตัวปัญหาที่ว่านั่นมากินข้าวแหละ

 

“ครับๆ โหดจริงนะเราน่ะ” พี่วานิชส่งยิ้มสวยให้แล้วก็เอามือมาลูบหัวผม ท่ามกลางสายตาของไวท์ที่มองอยู่ เมื่อผมเห็นแบบนั้นก็คว้ามือพี่วานิชมาแนบแก้มแล้วจูบหลังมือซะเลยจนพี่วานิชตกใจชักมือออกแทบไม่ทัน ส่วนนายไวท์นั่นก็จ้องผมเขม็งราวกับจะฆ่ากันซะนี่ อะไรจะหวงกันปานนั้น ตกลงสองคนนี้มันเป็นอะไรกันว่ะ?แต่เห็นพี่วานิชบอกว่าเป็นเพื่อนนี่หว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อน่ะสิ

 

แกร๊ก! แอ๊ด! ควับ! ควับ!

ผมเปิดประตูบ้านแล้วชะโงกหน้าออกไปมองด้านนอกสอดส่องหาไอ้ตัวต้นเหตุของความมาคุบนโต๊ะอาหาร(รู้สึกว่าจะเป็นแกนะ) แล้วดาเมียนมันเป็นนินจาหรือไง ขยันหายตัวจริงๆผมตัดสินใจออกมาเดินแถวสวนดอกไม้ก็เจอดาเมียนนอนเอาแขนหนุนหัวอยู่ข้างดงดอกกุหลาบสีดำ เหอะ! เลือกสีได้โรแมนติกมากเลยนะ ผมเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นดาเมียนลืมตาขึ้นแล้วจ้องมองมาทางผมก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วถดตัวหนีผม ผมล่ะเซ็งกับความปัญญาอ่อนของไอ้บ้านี่เสียจริง

 

“นี่!! นายไม่ต้องมางอนเป็นตุ๊ดใส่ฉันเลย กูจะอ้วก ไม่ได้น่ารักเลย” อ้าว! พอผมพูดไปหน้าก็บูดบึ้งทันตา อะไรจะเข้าใจยากอย่างนี้ว่ะ

 

“ไปกินข้าวได้แล้ว ทุกคนเป็นห่วงนะ ทำตัวเป็นเด็กหรือไง” ผมพูดไปแต่ดาเมียนกลับนั่งหันหน้าไปมองดงดอกไม้อย่างเหม่อลอยไม่ยอมมองหน้าผมเหมือนกับไม่สนใจผมอีกเอาแต่ใจนักนะไอ้เด็กโข่งนี่!

 

“เออ!! ไม่พูดใช่ไหม นายเป็นบะ...” ผมที่ฟิวส์ขาดเรียบร้อยก็โวยวายเสียงดังใส่และทำหน้าตาเคร่งขรึม

ก่อนที่จะนั่งลงข้างๆดาเมียน

 

“ฉันเป็นปีศาจที่มีแต่คนรังเกียจสาปแช่ง เพราะโทษหนักทำให้ฉันต้องกลายมาเป็นมันติคอร์ สิงโตที่มีรูปร่างประหลาดเป็นปีศาจที่กินมนุษย์ มีคนกลัวฉันไม่มีที่สิ้นสุดหลายร้อยปีจนได้เจอกับคนๆหนึ่งหน้าตาหวานราวกับผู้หญิง ผิวพรรณขาวนวล นิสัยอ่อนโยน พูดจาอ่อนหวาน และดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสราวกับตากวางนั้นตราตรึงยามได้สบตา เขาเป็นคนที่ยอมเข้าใกล้ฉันทั้งที่รู้ว่าเป็นปีศาจที่กินมนุษย์ แต่เพราะความอ่อนโยนนั้นทำให้เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ เขาเป็นคนที่...” ดาเมียนที่จู่ๆก็พูดเล่าความในใจให้ผมฟังด้วยดวงตาเศร้าสร้อย ทำให้ผมอดสงสารคนตรงหน้าไม่ได้แล้วพลางนึกถึงตัวเองแล้วรู้สึกแย่ที่ตอนแรกผมกลัวจนรับหมอนี่ไม่ได้มันเป็นการสร้างบาดแผลให้เขาไปด้วย

 

“นายแอบรักผู้ชายคนนั้น แล้วเขาไปไหน?”ผมคิดว่าผู้ชายคนนั้นคงจะเป็นคนที่หมอนี่รักแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่จดจำได้ขนาดนี้ ยิ่งตอนที่พูดถึงผู้ชายคนนั้นน้ำเสียงกลับอ่อนโยน

 

“หึ! ตอนแรกฉันก็คิดว่ารักนะ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ฉันก็แค่อยากให้ใครสักคนเข้าใจเท่านั้นแหละ ส่วนคนที่ฉันหลงรักน่ะมีอยู่แล้ว แต่นิสัยกลับต่างกับเขาราวฟ้ากับเหว ดื้อด้านที่หนึ่ง ปากดีเถียงเก่งไม่ยอมคน พูดจาก็ไม่ไพเราะ แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คงเป็นหน้าตาสวยกับจิตใจที่อ่อนโยน ฉันแอบหลงรักมาตั้งนานแน่ะ” ดาเมียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วยิ้มให้กับทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยดวงตาที่แพรวพราวราวกับมีความสุขก่อนที่จะหันมาจ้องตาผมที่กำลังนั่งมองอยู่ก่อนแล้ว

 

“โว๊ะ! เกิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!! สรุปนายหลงรักเขาแล้วมาพรรณนาให้ฉันฟังทำไมว่ะ ทำไมไม่บอกไปเลย ไอ้ป๊อดนี่” ผมที่เริ่มจะหมั่นไส้กับพ่อพระเอกมิวสิคนี่ก็อดจะว่าแขวะไม่ได้

 

“งั้นบอกเลยล่ะกัน รักนะ รักมานานแล้ว ไม่คิดว่าโตมาจะสวยน่ารักจนฉันไม่อยากปล่อยไปไหนทั้งนั้น รักมากขนาดนี้แล้วจะอยู่กับผมได้ไหมครับ?” ดาเมียนพูดเสียงหวานแล้วจ้องตาผมไปด้วยก่อนที่จะยิ้มหวานให้จนผมที่นั่งอยู่หน้าเหวอ

 

“จะบ้าเหรอ?มาพูดอะไรตอนนี้ ฉัน...”ผมที่กำลังจะพูดก็ต้องถูกขัดด้วยเสียงหยอกล้อของดาเมียนพร้อมสีหน้าทะเล้นยิ้มกว้างนั้น

 

“อะไรหรอที่รักเขินหรอ?”ประโยคนี้โค-ตะ-ระโดนใจอ่ะ มันคิดไปได้ ใครจะไปเขินกันก็ดาเมียนไม่ได้บอกผมนี่นา ล้อเล่นไม่รู้เวลาอีกล่ะ

 

“โว๊ะ! ไม่ใช่แหละฉันพูดว่า จะบ้าเหรอ? มาพูดอะไรตอนนี้ ฉัน...”ผมพูดทวนอีกครั้งให้ดาเมียนพลางทำหน้าจริงจังจ้องไปที่ดวงตาแพรวพราวของดาเมียนที่มองอยู่ ไอ้นี่มันก็มองผมจัง ไม่รู้ว่าหน้าตาผมไปเหมือนคนที่มันชอบหรือไง

 

“แล้วอะไรต่ออ่ะ?”ดาเมียนพูดขัดขึ้นมาอีกจนผมต้องแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้

 

“ฉันจะกระทืบให้ปากฉีกเตะให้หน้าบวม ถ้านายพูดเล่นอีกคำเดียว” ผมรีบพูดเฉลยประโยคต่อมาของผมที่ดาเมียนขัดไว้ก่อนหน้านี้จนดาเมียนอ้าปากทำหน้าเหวอกระพริบตาปริบมองผม ทำไมมันมีท่าทางแบบนั้นว่ะ เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ?

 

“ไหงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ว่ะ ก็ไหนบอกว่าให้บอกไปเลยไง คนอุตส่าห์เลือกสถานที่เพื่อสร้างบรรยากาศ ชิ!”ดาเมียนบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วขมวดคิ้วยุ่งจนผมที่มองอยู่ต้องขมวดคิ้วตาม ก่อนที่ดาเมียนจะหันมาพูดกับผมแล้วสุดท้ายก็หันไปบ่นกับตัวเองเรื่องบรรยากาศบ้าบอคอแตกของมันอีก

 

“ฉันบอกให้นายไปบอกคนที่นายหลงรัก ไม่ใช่ฉันเว้ย! ไอ้บ้า!”ผมที่เห็นอาการแปลกๆก็เตือนสติอันฟั่นเฟือนของดาเมียนด้วยการย้ำและด่า แต่ดาเมียนกลับมองหน้าผมนิ่งจนผมทำหน้างงใส่บ้าง

 

“ทำไมคนสวยถึงโง่ล่ะเนี่ยทำไงดีว่ะเหนื่อยจริงๆโว้ย!!”ดาเมียนพูดเสียงดังฟังชัดเต็มสองรูหูจนผมเบิกตาโพล่ง เมื่อเห็นคนช่างยิ้มอย่างดาเมียนกำลังบ่นแล้วเอามือขยี้หัวอย่างอารมณ์เสียปนท้อแท้กับอะไรบางอย่างซะงั้น

 

“นายด่าใคร? ดีนะที่ฉันเป็นผู้ชายไม่ใช่คนสวย รอดตัวไป” ผมเห็นดาเมียนบ่นอยู่ก็พยายามชวนคุยเพื่อไม่ให้ไอ้บ้านี่มันจิตหลุดออกไปนอกโลกอีก

 

“เฮ้อ! เรื่องจริงสินะ คนสวยโง่”ดาเมียนพูดขึ้นด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนแล้วหันมาส่งสายตาเหมือนหมาถูกทิ้งให้ผม แน่ะ! เอาอีกแหละ มันด่าใครว่ะ? ถ้าคนสวยก็ต้องเป็นผู้หญิงสิ เราก็เป็นผู้ชาย แล้วดาเมียนมันด่าใครโง่ล่ะเนี่ยแล้วไอ้สายตาเน่าๆนั่นอีก ส่งสายตามาให้อย่างกับเราเป็นผู้หญิง

 

“พอได้แหละ ไปกินข้าวเร็วๆ เดี๋ยวค่ำมืดก็ไม่ได้กลับคฤหาสน์ เพ้อเจ้ออยู่ได้” ผมรีบพูดเร่งให้ดาเมียนไปกินข้าวด้วยกันก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปมองดาเมียนที่ยังนั่งก้มหน้าอยู่

 

“เอ้า! เร็วๆสิเว้ย! คนยิ่งหิวข้าวอยู่ เดี๋ยวปั๊ดถอนดอกไม้กินแทนข้าวเลยนี่” ผมพูดเร่งดาเมียนอีกครั้งจนดาเมียนเงยหน้าจนกลายเป็นแหงนหน้ามองผมที่กำลังมองก้มลงมาเช่นกัน

 

“ไม่รู้หรอว่า...คนนั้นของฉันคือใคร?”ดาเมียนพูดเสียงเบาแล้วมองมาที่ผมด้วยสายตามุ่งมั่นจนผมต้องเงยหน้าแล้วหันไปมองดงดอกไม้หลากสีสันตรงหน้า

 

“ไม่รู้อ่ะ นายไม่บอกแล้วใครจะรู้” ผมพูดตอบดาเมียนที่กำลังนั่งมองผมเหมือนกำลังรอคำตอบ

 

“หรอ....รอบอกอีก 100 ปีก็ยังไม่สาย”เฮ้ย! อีก 100 ปีมันจะบ้าหรอนั่น มนุษย์ที่ไหนจะรอไปอีก 100 ปีได้ พอดีคนที่ดาเมียนชอบคงตายเป็นปุ๋ยไปแล้วมั้ง ไอ้นี่ก็คิดอะไรแปลกๆ ใครจะรอไปอีก 100 ปี กันล่ะ เอ๊! หลาย 100 ปี เหมือนจะได้ยินหมอนี่พูดแหะ หรือว่า.....

 

“100 ปี?”ผมถามย้ำคำนั้นเผื่อว่าดาเมียนจะตอบ แต่ผลที่ได้คือดาเมียนไม่พูดอะไรแต่กลับเอื้อมมือไปเด็ดดอกกุหลาบสีดำตรงหน้าแล้วลุกขึ้นยืนก่อนที่จะส่งดอกกุหลาบนั้นให้ผมแล้วจ้องมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน อ๊ะ! ผมนึกออกแล้ว หมอนี่บอกว่าเป็นมันติคอร์มาหลายร้อยปี แสดงว่าหมอนี่ก็อายุเยอะกว่าผมหลายรอบเลยน่ะเซ่! ผมกำลังอ้าปากยืนตาโตมองดาเมียนด้วยความอึ้งก็ถูกดาเมียนจูงมือเดินไปทางบ้านของไวท์ก่อนที่เจ้าตัวจะพูด

 

“ไม่ต้องนึกหรอกอีก 100 ปี รอฉันนะ ไปกินข้าวเถอะ”ทำไมหมอนี่พูดเหมือนกำลังบอกกับผมนะ แต่ทำไมต้อง 100 ปีนี่สิที่ผมสงสัย ผมเป็นมนุษย์แล้วจะอยู่ไปถึงอีก 100 ปีได้ยังไง ถึงจะมีคนอายุ 100 ปี แต่คงไม่ใช่ผมแน่ๆ หรือว่าผมไม่ใช่มนุษย์กันล่ะ?

 

“อืม!”เสียงดาเมียนเบาราวกับสายลมจนผมไม่แน่ใจว่าผมได้ยินคำที่ยืนยันความคิดของผมอยู่หรือเปล่า แต่ผมเริ่มมั่นใจว่าหมอนี่ต้องอ่านใจได้ ถ้าถึงขั้นแปลงร่างได้ก็อลังการงานสร้างแล้วล่ะ แต่หมอนั่นพูดว่า “อืม!” มันก็คือใช่อย่างนั้นหรอ?

 

“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ?”ผมลองถามย้ำ แต่ดาเมียนก็แค่หันมามองผมแล้วส่งยิ้มทะเล้นมาให้อย่างเคยจนผมงงกับหลากอารมณ์ของคุณชายนี่เสียจริง

 

“เปล่านี่ ไปกันเร็วๆเถอะ ที่รักมาตามผม แต่ทำไมตัวเองช้าอย่างกับเต่าขาหักกระดองแตกอย่างนี้ล่ะ”ดาเมียนพูดหยอกล้อแล้วก็ยิ้มให้ก่อนที่จะลากผมไปทางบ้านของไวท์

 

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ตายไปเหอะ นายอยากกินหมัดแทนข้าวหรอ?” ผมพูดเล่นกับดาเมียนจนผมเลิกสนใจสิ่งที่ค้างคาใจ

 

ฟอด!

“หืม?”อะไรมาสัมผัสแก้มล่ะเนี่ย ใช่เลย! ไอ้บ้านี่มันหอมแก้มผมอีกแหละ มันโรคจิตชอบหอมแก้มผู้ชายหรือเปล่าว่ะ รู้จักกันวันเดียวแต่เปลืองตัวให้ไอ้บ้านี่จะร้อยรอบแล้วล่ะมั้ง

 

“ฮ่าๆๆ” ดาเมียนปล่อยมือผมแล้ววิ่งไปถึงหน้าประตูบ้านก่อนที่จะส่งจูบแล้วเปิดประตูเข้าบ้านไป ทิ้งให้ผมยืนกำหมัดแยกเขี้ยวให้ในความปัญญาอ่อนของไอ้บ้านี่อยู่คนเดียว หึ! มีความลับกันนัก ผมต้องรู้ให้ได้ทั้งเรื่องพ่อที่หายตัวเข้ามาในสวนนี้ เรื่องน้ำเย็นที่กลัวจนตัวสั่นเร่งให้ออกไปจากคฤหาสน์ ดาเมียนจอมปีศาจที่ชอบทิ้งปริศนาบ้าบอคอแตก รวมถึงพี่วานิชกับไอ้ผมหงอกนั่นด้วย อ๊าก! ทำไมมีผมคนเดียวที่เปิดเผยกันนะ อยากมีความลับบ้างอ่ะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา