"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

8.9

เขียนโดย January13

วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.

  37 ตอน
  25 วิจารณ์
  37.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) ป่วยทางใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ยูทากะเดินคล้อยหลังจากคนรักมาสักระยะหนึ่ง รอยยิ้มบางถูกบดบังด้วยความเศร้าหมอง เขารู้สึกอ่อนแรงจนอยากจะล้มตัวลงเสียตรงนี้ แต่ว่าทำไมได้ คาซูมิ แม่ของเขารออยู่ที่บ้าน ร่างสันทัดในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว คอกลม และกางเกงขาจั๊มสีเขียวขี้ม้าหยุดยืนอยู่หน้าบ้านไม้ทรงญี่ปุ่นขนาดกลาง เขาเดินผ่านเข้าไปยังรั้วไม้สีน้ำตาลเข้มที่แบ่งอณาเขตของบ้านกับถนน และบ้านหลังอื่นๆ ชายหนุ่มก้าวขึ้นบันไดเตี้ย สองขั้นก่อนเลื่อนเปิดประตูบานใหญ่ออก

     “กลับมาแล้วครับ” เขาพูดขณะก้มถอดรองเท้า แต่ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับ ห้องโถงด้านหน้านี้มีขนาดกว้างขวางกว่าบ้านของหญิงสาวที่เขาพึ่งจากมาเล็กน้อย ทางด้านซ้ายมือของห้องโถง ประตูบานแรกเปิดแย้มอยู่ ยูทากะเดินเข้าไปใกล้แล้วเปิดออก ไม่มีใครอยู่ในนั้น มีเพียงถ้วยข้าวและกับข้าวที่ร่อยหรอไปเพียงบางส่วนวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยสีน้ำตาลแดงเข้ม เขาถอดกระเป๋าหนังที่สะพายพาดข้างออกวางไว้กับพื้น แล้วเก็บถ้วยจานบนโต๊ะ เดินไปยังห้องครัวที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน จัดการล้างถ้วยล้างจานจนเสร็จ หลังจากนั้นก็กลับออกมาที่ห้องโถง แล้วไปยังประตูบานถัดไปที่ถูกปิดสนิท ก่อนจะเลื่อนออกช้าๆภาพที่เห็นคือ หญิงวัยกลางคนสภาพผอมแห้งในชุดยูกาตะสีขาว นั่งเหม่ออยู่มุมหนึ่งของห้อง แววตาเศร้าโศกมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างบานใหญ่อย่างไร้สติ ราวกับว่าดวงวิญญาณของเธอได้หลุดลอยไปแล้ว

     “แม่” ยูทากะเอ่ยเรียกขณะเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ แต่ผู้เป็นแม่ยังคงนั่งนิ่งไม่รู้สึกตัว

     “วันนี้แม่ทานข้าวน้อยจังเลยครับ ถ้าเป็นอย่างทุกวันไม่ดีแน่ๆ” จบประโยคชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไป ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมถือกะละมังขนาดเล็ก ใส่น้ำไว้อยู่เกือบเต็ม และพาดผ้าขนหนูผืนสั้นไว้บนไหล่ เขานั่งลงข้างผู้เป็นแม่อีกครั้งแล้วนำผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ ก่อนบรรจงเช็ดตัวให้ โดยไล่ไปตามแขนทั้งสองข้าง และใบหน้า จากนั้นก็ใช้หวีสางผมยาวที่กระเซอะกระเซิงอย่างทะนุทะนอม ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้คาซูมิรู้สึกตัวแต่อย่างใด เธอจ้องมองดาวดวงที่สุกสว่างที่สุดบนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มตรงหน้า ความรู้สึกเหมือนกำลังสบตากับสามีผู้ล่วงลับ เธอเหม่อนิ่งอยู่อย่างนั้นเนินนานราวกับรอคอยมันให้ลอยลงมาต่ำจนสามารถเอื้อมถึง

     ตั้งแต่สามีผู้เป็นที่รักจากไป คาซูมิก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปพบปะผู้คน ไม่พูดไม่จากับใคร แม้แต่ยูทากะลูกชายแท้ๆของตัวเอง ไม่ค่อยกินข้าว ไม่ค่อยอาบน้ำ ไม่ค่อยนอน เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้ามืดมิดขับให้ดวงดาวน้อยใหญ่ฉายแสง เธอจะมานั่งประจำอยู่ตรงนี้ จ้องมองท้องฟ้าข้ามคืนจนผลอยหลับไปเอง ยูทากะไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากเตรียมอาหารไว้สามมื้อ เช็ดตัว และปูที่นอนเอาไว้ แม่ของเขาเป็นอยู่ก็แค่ร่างกายที่ยังหายใจ ขาดพ่อผู้เป็นเสมือนร่มไม้ใหญ่ของบ้านก็ว่าแย่แล้ว ยิ่งเห็นแม่เป็นอย่างนี้ กำลังใจของเขาก็ยิ่งปั่นทอนลงไป คงจะมีแต่ช่วงเวลาที่อยู่กับคนรักเท่านั้นที่พอจะทำให้เขายิ้มได้

     ยูทากะเดินไปเปิดตู้ที่อยู่อีกฝั่งของห้อง นำที่นอนออกมาปูและวางผ้าห่มกับหมอนไว้ข้างบน

     “แม่ครับผมปูที่นอนไว้แล้วนะ แม่อย่านอนดึกหละ มันไม่ดีต่อสุขภาพ” ลูกชายเข้ามากระซิบใกล้ๆ แต่คาซูมิก็ยังนิ่งเฉยอย่างเดิม ยูทากะเดินออกจากห้อง แล้วไปหยุดยืนพิงอยู่หลังประตู เขาก้มหน้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหันมามองรูปนายทหารที่วางอยู่บนหิ้งทางซ้ายมือ ข้างๆรูปนั้นมีป้ายไม้สลักชื่อ ‘วาตานาเบะ ฮารุกิ’ และด้านหน้าของรูปคือเถ้ากระดูกที่บรรจุอยู่ในโกศหินอ่อนสีขาวรูปทรงคล้ายๆโอ่งขนาดเล็กมีฝาปิดมิดชิด

     “เหนื่อยจังเลยครับพ่อ” นัยน์ตาสีนินวาวเรื่อด้วยน้ำใสๆ แห่งความอ่อนแอ แต่เขาไม่มีทางยอมให้มันไหลออกมาอีก ยูทากะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล้ำกลืนความเจ็บปวดนั้นลงไป รวบรวมกำลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดพาร่างของตัวเองเดินเข้าไปยังห้องนอนของเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม...อีกไม่นานก็เช้าแล้ว...

     เช้านี้อริสาลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องสีครีมไสตล์ญี่ปุ่นโบราณเหมือนเมื่อวาน แต่สิ่งที่แปลกไปคือ วันนี้น้องชายตัวแสบตื่นก่อน เธอลุกขึ้นนั่งมองฮิคารุพับผ้าห่มและที่นอนของตัวเอง ก่อนนำไปเก็บไว้ในตู้อย่างกระตือรือร้น ประตูห้องนอนเลื่อนเปิดออกอย่างแรง เผยร่างพี่สาวคนโตจอมโหดยืนเท้าเอวอยู่เบื้องหลัง ยังไม่ทันที่ซาซาโกะจะอ้าปากตะวาดปลุกน้องชายอย่างทุกวัน ร่างเปรียวก็วิ่งสวนออกไป ทำให้พี่สาวคนโตถึงกับมองตามจนคอเอี้ยว ก่อนหันกลับมาสบตากับอริสาที่กำลังพับที่นอนอยู่อย่างฉงน

     จิโร่ออกไปหาปลาตั้งแต่เช้ามืด เขาต้องขยันมากขึ้นเพื่อจะได้หาเงินให้ได้มากกว่าเดิม ทางด้านฮิคารุอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบคว้ากระเป๋านักเรียน ก่อนวิ่งไปใส่รองเท้า

     “ไปแล้วนะฮะ” เด็กชายตะโกนบอก ขณะทำท่าจะวิ่งออกจากบ้าน โดยลืมหยิบข้าวกล่องที่ผู้เป็นแม่ทำไว้ให้

     “ฮิคารุ กลับมาเอาข้าวกล่องก่อน” คุมิโกะเรียกไว้ ลูกชายคนจึงเล็กวิ่งกลับเข้ามาในห้องทานอาหารรับข้าวกล่องที่แม่ส่งให้

     “ขอบคุณฮะแม่” พูดจบก็โค้งให้แม่อย่างรีบๆ

     “นี่ยังเช้าอยู่เลยจะรีบไปไหนหรอฮิคารุ” คุมิโกะถามอย่างสงสัย ปกติตื่นสายลูกชายยังไม่รีบเท่านี้

     “ผมต้องรีบไปลอกการบ้านที่จะส่งเช้านี้ฮะแม่ เดี๋ยวไม่ทัน” พูดจบก็รีบวิ่งออกไป ก่อนจะตะโกนบอก “ไปจริงๆแล้วนะฮะ”คุมิโกะหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดูลูกชาย

     อริสายังอยู่ในห้องนอน เธอกำลังพันข้อเท้าอย่างที่เห็นยูทากะทำเมื่อวาน อาการบวมเริ่มดีขึ้น น่าจะเป็นเพราะเอาหมอนรองเท้าให้ยกสูงจากพื้นขึ้นเล็กน้อยตามที่ยูทากะสั่ง เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นมาสวมชุดยูกาตะ เธอใช้เวลาอยู่นานแต่ก็ไม่เสร็จสักที

     “รีบๆแต่งตัวให้เสร็จสิจะได้ไปทำงาน” ซาซาโกะพูดขณะลากหีบผ้าที่เก็บชุดกิโมโนออกมา ตั้งท่าจะทำงานต่อ แต่ท่าทางงกๆเงิ่นๆ ของน้องสาวที่กำลังสาละวนอยู่กับชุดยูกาตะ ทำให้เธอรำคาญจนต้องลุกขึ้นไปช่วยจัดแจง

     “ทำไมเราไม่ใส่เสื้อ ใส่กระโปรง หรือกางเกงอย่างคนอื่นเขาหละค่ะ สะดวกกว่าเยอะเลย” อริสาบ่นขณะยืนกางแขนสองข้างออก พี่สาวพันผ้าโอบิให้จนเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาตอบ

     “แล้วทำไมต้องไปบ้าเห่อตามเขาด้วยหละ ชุดพื้นบ้านเราก็มี ดูสิสวยกว่ากันเยอะเลย”  พี่สาวพูดก่อนยื่นกระจกกรอบไม้สีน้ำตาลเข้มบานใหญ่ให้ อริสารับมาส่องสำรวจตัวเอง ร่างเล็กในชุดยูกาตะสีชมพูอ่อนแต้มลายดอกไม้สีชมพูเข้มประปราย ขับให้ผิวของเธอขาวยิ่งขึ้น

     “อืมก็จริงนะ...แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ มันใส่ยากนี่นา” คนน้องพรึมพรำ ซาซาโกะส่ายหน้าน้อยๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าน้องสาวของเธอจะจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่การสวมชุดยูกาตะที่ทำเป็นประจำทุกๆวัน ขณะที่หยิบหวีขึ้นมาแสกกลางผมสีดำขลับของน้องสาวแล้วสางเบาๆ

     “อ่ะ เสร็จแล้ว พรุ่งนี้ก็ทำเองหละ เข้าใจไหม งานพี่ก็เยอะยังจะต้องมานั่งแต่งตัวให้เธออีก ทำยังกับเป็นเด็กสี่ห้าขวบยังงั้นแหละ” ซาซาโกบ่นจบก็กลับไปนั่งทำงานของตัวเองต่อ อริสารหน้าตาสำนึกผิด โค้งหัวเล็กน้อยแสดงความขอบคุณพี่สาวก่อนเดินออกมาที่ห้องทานอาหาร เห็นคุมิโกะกำลังห่อข้าวกล่องด้วยผ้าสีเขียวเข้มโดยผูกมุมของผ้าฝั่งตรงข้ามกันเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นมาส่งให้

     “อ่ะ นี่ของลูกจ๊ะ”  แววตาเปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดูของคุมิโกะ ทำให้อริสารู้สึกเหมือนตอนอยู่กับศิริ แม่ของเธอ

     “ขอบคุณคะ” เธอโค้งให้แล้วรับห่อข้าวกล่องนั้นมาก่อนจะกล่าวลา “ไปแล้วนะคะ”

     “จ๊ะ ตั้งใจทำงานนะ” คนแม่พูดตามหลัง

     อริสาชะโงกหน้าออกมาจากประตู มองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นคนที่เธอกำลังหลบอยู่ จึงออกมาจากบ้าน ก่อนก้าวเท้าลงบันไดอย่างระมัดระวัง อริสาพยายามเดินให้เร็วขึ้นแม้จะยังเจ็บข้อเท้าอยู่ เพราะกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะโผล่มา ความคิดกังวลที่วุ่นวายอยู่ในหัวหยุดลงด้วยเสียงหัวเราะเบาๆที่ลอยมาจากข้างหลัง เธอหยุดเดินก่อนหันไปมอง เป็นเขาอีกแล้ว

     “นาย!!!” อริสาอุทานเมื่อเห็นชายร่างสันทัดในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว พับแขนเสื้อถึงศอก กับกางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อน ยูทากะส่งรอยยิ้มขำขันมาแต่ไกล ก่อนจะเดินนำหน้าเธอไป แต่อริสายังหยุดยืนคิ้วขมวดอยู่ที่เดิม

     “ไม่รีบเดินเดี๋ยวก็สายหรอก ฮิเดโกะจัง” เขาหันมาพูด ใบหน้ายิ้มหยอกๆแบบนั้นเหมือนกำลังล้อเธอที่หลบเขาไม่พ้น ยิ่งทำให้อริสารู้สึกฉุน แต่ก็ต้องจำใจเดินตามเขาไป

     ยูทากะส่งอริสาถึงร้านหนังสือเสร็จ เขาก็เดินต่อมายังโรงหมอเล็กๆ ซึ่งเทียบได้กับคลินิกในปัจจุบัน เจ้าของคือหมอแฮรี่ชายมีอายุชาวยุโรป

     โรงหมอนั้นเป็นบ้านแบบญี่ปุ่นแต่พื้นบ้านติดดินไม่ได้ยกสูง ประตูถูกเลื่อนเปิดอ้าไว้ตลอดเวลาทำการ เข้าไปข้างในทางขวามือเป็นเคาน์เตอร์เก็บเงินและจ่ายยา ด้านหลังเคาน์เตอร์มีตู้กระจกไม้ที่จัดเรียงยารักษาโรคนานาชนิดไว้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนทางซ้ายมีม้านังยาวๆ วางไว้สองแถวเพื่อให้ผู้ป่วยนั่งรอตรวจหรือรอรับยา และด้านหน้ามีห้องอยู่สองห้อง ห้องทางขาวเป็นห้องตรวจของหมอ ส่วนห้องทางซ้ายที่กว้างกว่าเป็นห้องพักรวมของผู้ป่วย ซึ่งสามารถรองรับผู้ป่วยได้เพียงสี่คนเท่านั้น

     เมื่อหลายปีก่อนหมอแฮรี่เดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดพักร้อน แล้วไปสะดุดรัก นามิ สาวน้อยรุ่นลูกเข้า ดีที่เธอชอบเรียนอ่านคัมภีร์ไบเบิล ทำให้สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับเขาได้บ้าง หลังจากไปสู่ขอนามิกับพ่อแม่ และเข้าพิธิวิวาห์แบบคริสต์แล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ และได้สร้างโรงหมอนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บป่วยแต่ไม่มีกำลังทรัพย์ ซึ่งเขาคิดค่ารักษาถูกมาก บางครั้งไม่คิดค่ายา ให้ไปเลยฟรีๆ ก็มี ชาวบ้านแถวนี้จึงเรียกเขาว่าหมอใจดีแทนที่จะเรียกชื่อจริงของเขา นามิเองก็มาช่วยกิจการของสามีด้วย บ้างครั้งเป็นเภสัชกร บ้างครั้งเป็นนางพยาบาล เหนื่อยหน่อยแต่ก็มีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้คน เธอเป็นเพื่อนร่วมห้องกับยูทากะสมัยเรียนมัธยมปลายจึงได้ชักชวนเขามาร่วมงาน เพราะรู้ว่าเขาอยากเรียนหมอแต่ไม่มีโอกาส

     เมื่อยูทากะได้เข้ามาช่วยงานหมอแฮรี่ ด้วยความตั้งใจจริง และเป็นคนหัวไว รวมทั้งมีจิตใจที่อ่อนโยนไม่รังเกลียดผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นอะไรมาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ ทำให้หมอแฮรี่เอ็นดูเขาเป็นอย่างมา ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ยูทากะมากมาย เพียงแต่บางอย่างถ้าไม่มีใบอนุญาติไม่สามารถให้เขาลงมือทำเองได้ก็สอนไว้เพื่อให้เป็นความรู้ติดตัว

     “อรุณสวัสดิ์นามิ” ยูทากะเอ่ยทักหญิงสาวร่างอวบที่สวมเสื้อแขนตุ๊กตาสีฟ้า และกระโปรงสีขาวยาวคลุมเข่า

     “อรุณสวัสดิ์จ๊ะ ยูทากะ” ใบหน้าอิ่มยิ้มทักทายเพื่อนที่พึ่งก้าวเข้ามาด้านใน ขณะกำลังเช็ดเคาน์เตอร์อยู่

     “แล้วหมอแฮรี่หละ” ชายหนุ่มถามขึ้นหลังจากมองไปรอบๆ ไม่เห็นคนมีอายุ รูปร่างสูงโปร่ง ในชุดเสื้อกราวน์สีขาวอย่างที่เคยเห็นเป็นประจำ

     “พอดีมีเด็กผู้หญิงมาตามให้ไปดูคุณยายที่บ้านหน่ะ ท่านเดินไม่ไหว” นามิเล่า นัยน์ตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงสามีผู้แสนดีของเธอ

     “อ๋อ” ยูทากะยักหน้าน้อยๆ เขารู้สึกชื่นชมและศรัทธาในตัวหมอแฮรี่มาก ไม่ต่างจากนามิและชาวบ้านละแวกนี้

     “สวัสดีคะ คุณตามีอะไรให้ช่วยไหมค่ะ” นามิถามคนแก่ท่าทางไม่เป็นมิตรที่กำลังเดินเข้ามา

     “มาหาหมอ หมออยู่ไหม” เขาตอบห้วนๆ

     “หมอไม่อยู่หรอกคะ แต่ผู้ช่วยหมออยู่ เชิญคุณตาที่ห้องตรวจเลยคะ”  นามิผายมือบอกทาง ยูทากะจึงเขามาพยุงร่างคนแก่ไปยังห้องตรวจ

     “ฮัดชิ้วๆๆ” คนแก่ที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามชายหนุ่มจามติดกันเป็นชุด จนน้ำมูกใสๆไหลออกมาจากจมูก เขาพยายามใช้มือเช็ดแต่น้ำมูกยังไหลออกมาเรื่อย

     “นี่ครับคุณตา ” ยูทากะยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ล้วงออกจากกระเป๋าเสื้อให้ผู้ป่วย คนแก่มองอย่างชั่งใจก่อนรับไปเช็ดและสั่งน้ำมูกอย่างเต็มที่ “ก่อนอื่นช่วยบอกชื่อนามสกุลของคุณตาหน่อยครับ”

     “ซาโต ไดกิ”

     “คุณตามีอาการจาม น้ำมูกไหลมากี่วันแล้วครับ”

     “สองสามวัน”

     “มีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะด้วยใช่ไหมครับ”

     “อืม”

     “คุณตาเป็นไข้หวัดหน่ะครับ กลับบ้านไปต้องนอนพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะๆ วันนี้ผมจะให้ยาลดไข้ไปทาน แต่ถ้าผ่านไปสองสัปดาห์แล้วยังไม่หาย ให้คุณตากลับมาตรวจใหม่อีกครั้งนะครับ” ยูทากะพูดพรางจดข้อมูลลงบนคลิปบอร์ด ก่อนจะนำไปส่งต่อให้แก่เภสัชกรสาวที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์

     หลังจากผู้ป่วยรับยาเรียบร้อยแล้ว ยูทากะก็ช่วยประครองเขาออกมาส่งหน้าโรงหมอ

     “อย่าลืมที่ผมบอกนะครับ พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะๆ” ผู้ช่วยหมอย้ำ

     “รู้แล้วน่า....ขอบใจนะพ่อหนุ่ม” คนแก่พูดก่อนเดินจากไป ยูทากะลอบถอนหายใจอยู่คนเดียว เมื่อคิดถึงผู้เป็นแม่ ถ้าแม่ของเขาป่วยทางกาย ก็ยังจะพอมีทางรักษา...ไม่มียาใดๆ ในโลกนี้ที่จะรักษาอาการป่วยทางใจได้หายขาด...เขาครุ่นคิดก่อนถอนหายใจอีกครั้ง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา