ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  26.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) เขียนเสร็จแล้ว (ฉบับแก้ไข)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 เสียงเคาะประตูหนักๆสามครั้ง ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเข้มหยุดมือจากการเขียนงาน ก่อนจะละสายตาไปยังทิศทางของเสียง

 

" เข้ามา"  

 

ร่างสูงโปร่งของใครคนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยดี เปิดประตู ก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างแผ่วเบา คล้ายกับเกรงว่า เสียงฝีเท้าของตนจะทำให้ "คนในห้องใหญ่"  ไม่มีสมาธิกับงานที่กำลังขีดเขียนอยู่

 

หากแต่ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่กลางห้องกลับดูท่าทางสงบ นิ่ง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งอื่น  ดวงหน้างามละมุนไม่ฉายความรู้สึกอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย  

 

แววตาที่ยะเยือกเย็นเกินจนเกือบกระด้างแข็งฉาบฉายอำนาจแลเฉลียวรู้ทันอย่างคนที่เคยผ่านสนามแข่งในชีวิตมาอย่างโชกโชน

 

" หลี่หวังเหรอ?  นั่งลงสิ"

 

ชายหนุ่มนั่งลงตามคำสั่งของ "คนในห้องใหญ่" อย่างนอบน้อมทันที 

 

"มีอะไรด่วนรึ?"

 

"ไม่เชิงว่าด่วนหรอกครับ ก็เรื่อง นักศึกษาที่จะเข้ามาฝึกสอนในโรงเรียน"  คนพูดสบตามองกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าเรียบเฉย  

 

พลางเหลียวมองป้ายชื่อที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ไม่ใกล้ไม่ไกลมองเห็นถนัดตา 

 

รองผู้ช่วยผู้อำนวยการ ดร. นพคุณ แซ่จาง

 

หรืออีกชื่อ...

 

จาง อี้ เซียว

 

แต่น้อยคนนักที่จะกล้าเอ่ยปากเรียกออกมา เพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ใครหลายๆคนไม่กล้าเสี่ยงที่จะพูดถึงมัน

 

คนใกล้ชิดที่สนิทสนมกันมานานก็ยังไม่ไว้ใจที่จะพูดชื่อของเขา

 

ชื่อนี้ กับอดีตที่กลายเป็นวงขี้ปากของเหล่าผู้คนในละแวกแถวนั้น

 

และเจ้าของก็มิได้เป็นเดือดเป็นร้อนมากนักในคำนินทาแง่ลบ

 

พวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านใช่ว่าตัวมันจะไม่โดนขุดคุ้ย

 

แล้วแต่ว่ามันจะสนใจเรื่องของคนอื่นหรือชีวิตของมันเอง

 

" อาจารย์เปรี้ยวจัดการส่งเรื่องให้ท่านคณบดีเรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวคงจะส่งตัวลงมา เพียงแต่อาจจะมีปัญหาบ้างนิดหน่อย"

 

" ปัญหาอะไร" เขาย้อนถามคนหน้าดุ หากแววตานั้นกลับอ่อนโยนต่างจากเขา

 

แววตาแห่งขุมนรก!

 

ดวงเนตรละม้ายดั่งสีนิลในขุนเขา ไร้ความรู้สึกใดให้ชายชม

 

" มีนักศึกษาคนหนึ่งต้องการขอใช้สิทธิตามข้อบังคับเด็กทุนของคณะ แล้ว..."

 

หลี่หวังหยุดพูด อึกอักไม่กล้าที่จะรายงานต่อ จนคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าชะงักมือจากแฟ้มงานตน

 

" ว่าไปสิ.. เขาจะขอใช้สิทธิอะไร?"

 

" คือ เด็กเขาอยากจะขอให้ทางเราจัดบ้านพักให้เขาอยู่ รวมทั้งสวัสดิการต่างๆ พวกค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ ซึ่งกระผมยังไม่ได้ตอบรับเด็กเขาไป ก็เลยเข้ามาเรียนถามท่านรองก่อนว่า จะให้ทางเราจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี"

 

" ทางเรา?"  เขาทวนคำ สีหน้านิ่งขรึม ยากที่จะเดาสถานการณ์ในจิตใจของเขาได้

 

" แล้วทางเขา ไม่คิดจะรับผิดชอบด้วยงั้นรึ ทุนก็ทุนของเขา มันจะมาเกี่ยวอะไรกับทางเรา.."

 

" แต่เด็กเขาขอมาแบบนี้ ทางคณะเขาก็อยากจะให้เราช่วย" ครูฝ่ายปกครองเริ่มเง้าง้อใส่เจ้านายที่นั่งแข็งทื่อมิต่างอะไรกับหุ่นปั้นจริงๆ

 

เพราะนี้เป็นครั้งแรกของโรงเรียนจงเหวินวิทยา

 

ที่รับนักศึกษาฝึกสอนเข้ามาทำงานในโรงเรียน ทั้งๆที่ผู้คนในวงการเขตพื้นที่การศึกษาของจังหวัดต่างรู้กันดี

 

ความเจ้าระเบียบ

 

และความแตกต่างที่โดดเด่น ศักยภาพของสถานศึกษาที่ถูกสร้างหลังจากที่รอง ผอ. คนเก่าได้หายสาบสูญไป

 

ศักยภาพที่ทำให้โรงเรียนจงเหวินวิทยาติดอันดับโรงเรียนเอกชนดีเด่นที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและนอกประเทศ 

 

นับตั้งแต่ รองผู้อำนวยการ จางอี้เซียว ขึ้นดำรงตำแหน่งควบคุมระบบงานภายในของโรงเรียน

 

ทุกอย่างก็ดุเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

 

" เมื่อไหร่โรงเรียนคุณจะเข้าร่วมโครงการของคณะเราซักที โรงเรียนอื่นเขายอมให้เด็กคณะผมไปฝึกสอนในโรงเรียนกันหมดแล้วนะ อาจารย์หลี่หวัง"

 

ท่านคณบดีศิวราชเอ่ยคุยกับเขาเมื่อสองสามปีก่อนในงานประชุมวิชาการของเขต

 

"โรงเรียนของกระผมเป็นโรงเรียนเอกชน หลักสูตรที่ใช้อาจแตกต่างกับหลักสูตรโรงเรียนทั่วไป เพราะว่าหลักสูตรของเราใช้ร่วมกับหลักสูตรของทางปักกิ่ง ท่านรองคงเกรงว่า นักศึกษาที่มาฝึกสอนอาจจะไม่คุ้นกับตัวหลักสูตรซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะวิชาภาษาจีน"

 

" โอย จะหลักสูตรไหนก็ช่างเถอะ  นักศึกษาคณะผม มันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว...ปีห้า อีกเดี๋ยวก็จบ ถ้ามันสอนไม่ได้ ก็เรียนไม่จบกันน่ะสิ" 

 

หลี่หวังยิ้มรับนิดๆ แต่ไม่ได้ตอบกลับว่าอะไร

 

หากแต่ใจนั้นย่อมรู้ดีอยู่แล้ว

 

ก็ลองเอาคนไม่ประสีประสามาสอนเด็กนักเรียนดูสิ

 

เด็กปีห้าก็แก่กว่าเด็กมอห้ากันไม่กี่ปี โรงเรียนคงจะมีเรื่องวุ่น ไม่เว้นวายกันแน่

 

แต่ใครจะนึก...

 

พออาจารย์ฉัตรสุดาโดนเด็กถอนหงอกจนโรคหัวใจกำเริบ

 

เจ้านายของเขาก็เหมือนจะมีตาทิพย์มองเห็นเหตุการณ์เรื่องราวทุกอย่าง

 

" ฉันสั่งให้อาจารย์เปรี้ยว ไปหาคนมาสอนแทนไว้แล้ว" ในวันที่คนทุกคนชลมุน มีเพียงเขาที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหารของโรงเรียน

 

วันนี้ก็เฉกเช่นกัน...

 

เขาสงบ และ สุขุม 

 

เผลอๆ หากจ้องมองให้เนิ่นนานจะรู้สึกว่าเขานั้น

 

ดูน่ากลัวจนน่าเกรงให้ขามครั่น!

 

 

" แค่เด็กนักศึกษา ทำไมต้องเอาใจกันมากขนาดนั้น..."  เขาย้อนถาม อาจารย์หลี่หวังพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยปากอธิบายด้วยสีหน้ามั่นใจในคำตอบ

 

" ท่านคงไม่ทราบว่าเด็กคนนี้ มีอิทธิพลมากแค่ไหนในรั้วมหาลัย เธอชื่อ ฟารีย์ฎา ครับ เรียนสาขาการสอนภาษาจีน เป็นนักศึกษาตัวเก็งว่าที่เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ที่สำคัญยังเป็นเด็กที่เคยสร้างผลงานให้ท่านคณบดีศิวราชได้ยิ้มหน้าบานกันอยู่บ่อยๆ ถ้าเดินเข้าไปในมอ แล้วถามหาคนที่ชื่อหญ้าฟาง ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเด็กคนนี้หรอกครับ ข้อดีก็ดีเด่นเรื่องวิชาการ  แต่ข้อเสียก็มีอยู่มาก เป็นอันธพาลวิ่งไล่เตะกะลูกผู้ว่า"

 

หลี่หวังหยุดชะงักพลางเหลือบตามองอีกฝ่าย

 

" บ้าดีเดือด..." ท่านรองกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แววตาซ่อนลึกราวกลับจะพินิจพิจารณาคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้

 

" ครับ...สุดๆกันเลยทีเดียว ผมเจอแกแล้ว ยังคิดว่าถ้าเจ้าตัวได้เป็นครูเมื่อไหร่ คงไม่พ้นตำแหน่งครูฝ่ายปกครองแน่ๆ  แกปากจัด พูดไม่เกรงใจใคร กับอีกคนหนึ่ง"  เขาพูดเริ่มยิ้ม

 

" เป็นนักศึกษาครูสาขาการสอนภาษาไทยครับ  ดูนิ่งๆ สุภาพ เรียบร้อย น่าจะอยู่ในโอวาทได้ดีกว่ารายแรก"

 

หลี่หวังยื่นแฟ้มข้อมูลของนักศึกษาทั้งสองให้คนตรงหน้า 

 

" นี้ครับ...ข้อมูลของนักศึกษาทั้งหมด อาจารย์เปรี้ยวเพิ่งจะรวบรวมให้เสร็จ"

 

ท่านรองรับมาวางไว้บนโต๊ะ ไม่เปิดอ่าน หากแต่มือที่ว่างดูเหมือนจะค้นอะไรบางอย่างในลิ้นชัก

 

" ถ้ามีเวลาเดี๋ยวจะอ่าน  ...เอาไอ้นี่ไปซะ "

 

 มือที่คุ้ยค้นอยู่เมื่อครู่ ยื่นพวงกุญแจให้ ในขณะที่อีกฝ่ายนั่งนิ่ง หัวตื้อ ไม่เข้าใจ

 

" อะไรเหรอครับท่าน?"

 

" เห็นเป็นอะไรล่ะ"

 

"ก็กุญแจ"  เขาว่าตามที่เห็น ท่านรองโยนกุญแจในมือให้ ดีที่เขาไวพอที่จะรับทัน แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความสงสัยในใจ 

 

" เสร็จจากนี้ ก็ลองไปเดินดูตรงหลังรั้วโรงเรียน มีบ้านพักอยู่หลังหนึ่ง คงจะพออยู่กันได้สองคน ส่วนเรื่องทุนค่อยว่ากันทีหลัง "

 

" บ้านพักตรงหลังรั้วโรงเรียน?" 

 

" ใช่ ลองไปตรวจดูว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องหรือต้องซ่อมแซมอะไรบ้างรึเปล่า ถ้าจะให้เด็กเขาเข้ามาพัก ก็มีอยู่หลังเดียวที่ว่าง"

 

หลี่หวังนั่งนึกคิดสภาพของบ้านพักที่ว่า ก่อนจะสบตามองหน้าคนออกคำสั่งด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้จะพอใจเท่าไหร่นัก

 

" ผมพอจะรู้แล้วว่า หลังไหน แต่บ้านพักหลังนั้น มันถูกปิดตายมานานแล้วนะครับท่าน แถมบริเวณแถวๆนั้นก็ดูจะไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับเด็กผู้หญิงสองคนที่จะมาอยู่"

 

" ถ้าอยู่ไม่ได้ ก็ไปหาฝึกสอนที่อื่น..... ฉันต้องการครูมาสอนหนังสือไม่ใช่พวกคุณหนูเรื่องมาก"

 

" แต่ท่านครับ"  เขาหยุดพูด สบตากับชายหนุ่มที่มีใบหน้าที่ไร้อารมณ์เป็นอาวุธชั้นดีที่ไม่มีใครอยากจะต่อปากต่อคำให้ยืดยาว

 

แต่ในเมื่อเขาคือ คนที่คาบข่าว 

 

เขาก็ต้องทำหน้าที่มอบสารให้กับผู้รับสาร

 

แม้ว่าคนที่รับจะไม่ใคร่คิดนึกอยากจะฟังด้วยท่าทีที่เตรียมพร้อมที่จะลุกเดินออกไปจากห้องนี้

 

" ท่านเป็นคนบอกกับอาจารย์เปรี้ยว ว่าท่านต้องการคนที่จะมาสอนแทนอาจารย์ฉัตรสุดา คนที่เก่งที่สุด ดีที่สุด ผมเข้าใจครับว่า ท่านคงต้องการรักษาคุณภาพของโรงเรียนเอาไว้ แต่ท่านก็น่าจะลองให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่ได้สร้างผลงานดูบ้าง เด็กเขาจะเก่งไม่เก่งอย่างไร...ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนี้ จะเป็นบททดสอบความสามารถของเขาเอง อีกอย่างประเด็นสำคัญข้อนึง ถ้าผมจะบอกกับท่านว่า มันเกี่ยวพันกับเรื่องที่ท่านกำลังให้ผมตามสืบประวัติของใครบางคนอยู่  "

 

หลี่หวังยังคงพูดต่อไป โดยหารู้ไม่....

 

นอกจากชายหนุ่มเจ้าของห้องแล้ว ยังมีเงาร่างสีขาวของคนอีกคนที่หลบซ่อน ยืนอยู่ข้างกายไม่ห่างจากเขา

 

ร่างของหญิงสาวกำลังมองคนพูดด้วยใจจดใจจ่อ ในขณะที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นหล่อน

 

ก็เพราะหล่อนไม่ใช่คน...

 

นั้นแหล่ะ...แม้แต่คนที่เปรียบเสมือนหุ่นปั้นแห่งความตาย

 

คนที่ไม่มีหัวใจ....ก็มิใช่มนุษย์เช่นกัน!

 

 

" มีข้อมูลส่งมาว่า นักศึกษาที่ชื่อ ฟารีย์ฎา กับเด็กที่เรากำลังตามหาอยู่นั้น มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนสนิท เป็นคู่ขาที่บ้าระห่ำพอๆกัน ถ้าหากท่านต้องการตัวเขา ผมว่า เราควรจะให้เพื่อนของเขามาร่วมงานกับเรา ท่านคงเคยได้ยินสุภาษิตของไทยที่ว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว งานนี้ก็เช่นกัน"

 

" หลี่หวัง" เขาเอ่ยแทรกขึ้น ผู้ถูกขานพยักหน้าเตรียมพร้อมรับฟังคำสั่งที่จะถูกถ่ายทอดต่อไป

 

"เด็กคนนั้น สำคัญกับงานของเรามาก นายอยากจะใช้วิธีอะไรก็ตามแต่ใจของนายเอง แต่ต้องให้ได้ตัวก่อนที่ฉันจะกลับจากประชุมที่ไต้หวัน และที่สำคัญต้องไม่พลาดสำหรับงานนี้"

 

" ครับ ท่าน เรื่องที่ท่านวานให้ผมสืบ  ผมมั่นใจได้ว่าจะต้องเป็นคนเดียวกันกับลูกชายของอดีตแม่บ้านโรงเรียนจงเหวินที่ถูกฆ่าตายเมื่อสิบกว่าปีก่อน จากฐานข้อมูลที่อาจารย์เปรี้ยวส่งมาให้กับผม เด็กคนนี้มีภูมิประวัติที่น่าสนใจ บ้านเกิดของเขาอยู่ทางภาคเหนือ มารดาของเขาชื่อว่า พิมพ์ นิราวรรณ ตรงกับข้อมูลที่เคยสืบค้นเป็นชื่อน้องสาวของแม่บ้านที่ถูกฆ่าตาย  ไม่แน่บางทีเด็กคนนี้อาจจะเป็นลูกชายของแม่บ้านกับท่านรอง ผอ. คนเก่า คงไม่ใช่เป็นการอุปมานหรือว่าผมตาฝาด เพราะเด็กคนที่ท่านต้องการตัว ดันมีเค้าโครงใบหน้าไม่ต่างกับท่านจางอี้เหริน พี่ชายของท่าน..."

 

หลี่หวังรายงานเรื่องที่ตนสืบ หากแต่สายตาของคนฟังมิได้จดจ้องไปยังคนที่กำลังพูดจ้อๆอยู่  

 

ร่างขาวโปร่งแสงที่ยืนอยู่ไม่ไกลจาก

 

คล้ายกับจะขอร้องอ้อนวอนให้คนออกคำสั่งนั้นเปลี่ยนใจ

 

แว่วเสียงเย็นยะเยือก เจ็บลึก ทรมาน ลอยดังกระทบใบหู

 

"    ... สงครามของเทพ วิญญาณ หาได้เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของมนุษย์ไม่  ได้โปรดเถิดท่าน เด็กคนนั้นเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย หากจะให้ใครเป็นหมากเดินเกม ทำไมถึงไม่ให้ข้าได้ทำหน้าที่นี้เล่า?"

 

" ท่านเทพบอกกับข้าว่า ความแค้นในใจของเจ้าถูกชำระล้างไปหมดสิ้น เกมนี้..ไม่ใช่กระดานที่รองรับความอ่อนแอของคนที่เล่น หากแต่เป็นเกมที่ต้องใช่ไฟแห่งความแค้นเท่านั้น ถึงจะทำให้เราชนะได้"  

 

เขาตวัดตามองเงาร่างโปร่งที่มีแค่เขากระมังที่จะมองเห็นวิญญาณอดีตแม่บ้านโรงเรียน

 

"ที่ความแค้นของข้าถูกชำระก็เพราะ การให้อภัย...ฐานแห่งความรักมักเกิดจากการให้อภัยแก่กัน เมื่อความแค้นหมดสิ้น...ความระทมทุกข์ในใจก็หายไป ไร้กังวลในสิ่งอื่น แต่พวกท่านกำลังจะทำให้สิ่งเหล่านั้นหวนคืนกลับมาอีก และถึงข้าจะมิใช่เทพพยากรณ์ เป็นเพียงแค่วิญญาณเร่ร่อนตนหนึ่ง แต่เกมนี้พวกท่านจักต้องแพ้ทางให้แก่ท่านผู้เฒ่าแห่งจันทรา อำนาจแห่งด้ายแดงจะมีชัยเหนือพวกท่านอย่างแน่นอน!"

 

" อวดรู้!"  เขาตะคอกกลับ แต่มิได้เขยื้อนโอษฐ์ราวกับจะสื่อสารผ่านดวงจิตของวิญญาณผู้น่าสงสาร

 

วิญญาณที่ถูกกักขังเพียงเพราะความละโมบโลภมาก ความอยากของคนคนหนึ่ง

 

ทำให้ชีวิตของใครหลายๆคนต้องสูญสิ้น 

 

ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขา.!!

 

ดูเอาเถิด...นี้แหล่ะ ค่าของชีวิต มีใครบ้างที่อยากจะเสียมันไป

 

พอรู้ว่าตัวเองจะต้องตาย ก็ตะเกียตะกายวิ่งหนีบ่วงแห่งความตายนั่น

 

หน้าที่ของเขาในโลกมนุษย์ คือ ทำหน้าที่ ตามล่า คนผิด

 

หากแต่หน้าที่จากแดนยมโลก  คือ ตามล่าทุกชีวิต ทั้งคนที่ผิดและคนที่ถูก

 

แล้วความรัก ....

 

เมื่อตายไป จักเอาสิ่งที่เรียกว่า หัวใจ ติดตัวไปด้วยได้กระนั้นหรือ?

 

คงน่าขัน พวกที่บูชาความรัก...

 

แต่ก็มีหลายคนที่ต้องตายเพราะความรักเช่นกัน

 

ความรักที่ไม่ยอมให้ใครพรากสิ่งที่ตนเองรัก

 

แต่กลับหวงแหนทั้งๆที่รู้ว่าวัตถุที่ตนนั้นครอบครอง 

 

สุดท้ายมันก็คือความว่างเปล่า

 

 

ข้าบาทแห่งเทพยมโลก

 

 

เขาจำต้องอยู่ .... มีชีวิตอยู่ในร่างที่ไม่ใช่ตัวตน

 

และจะต้องอยู่โดยปราศจากความรู้สึกสิเนหาใดๆ

 

พื่อแลกให้ได้มาซึ่งชีวิตอันเป็นนิจนิรันดร์ เฉกเช่นคนที่ไม่เคยผ่านวังวนแห่งความตาย

 

ทว่า...เขาคือคนที่ลิ้มรสชาติของความตายมาแล้ว 

 

ขอแค่เพียงชีวิตใหม่มีหัวใจ แต่ไม่ต้องรักใครและไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะการรักใครอีก

 

 

" หากวันใดท่านได้รู้จักกับความรัก ท่านจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ท่านทำในวันนี้ ความตายไม่มีใครหลีกหนีมันพ้น ความรักก็เช่นกัน.... " 

 

ทว่า ดูเหมือนคำประชดของวิญญาณสาวจะไม่ทำให้เขาโอนอ่อนใจ รอยยิ้มกระตุกขึ้นอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับคำพูดที่ส่งผ่านทางจิต

 

" ก็เพราะความรักที่เห็นแก่ได้ เจ้าถึงไม่ได้ตายดีเหมือนคนอื่นๆเค้า!"

 

หลี่หวังยืนมองดูกิริยาท่าทางของเจ้านายตน พึงเกิดความสงสัยว่า ท่าทางของเขากำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่เจ้าตัวพูดหรือฟังคนอื่นพูดอยู่กันแน่

 

" ท่านรองครับ"  เสียงสะกิดเรียก เป็นผลให้คนที่ยืนจ้องตาเขม็งค่อยๆผ่อนแววตาให้คลายลง ก่อนจะกลิ้งลูกตากลับมามองคนรายงานเหมือนเดิม

 

" ท่านมีธุระต่อจากนี้อีกไหมครับ เอ่อ..คือ ผมอาจจะรบกวนเวลาของท่าน เห็นท่านทำหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีซักเท่าไหร่ "

 

" เปล่าหรอก...ฉันแค่มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยเลยไม่ได้ฟัง...."  ท่านรองวางมือไว้บนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

 

พลางเอ่ยเอื้อนคำสั่งสุดท้ายของงานนี้

 

" จัดการให้เรียบร้อย....

 

ก่อนที่เป้าหมายจะปรากฏตัว!!"

 


 

 

ป้าย close ที่แขวนไว้ที่หน้าประตูบานใส มิทำให้แม่เสือตัวโย่งปฏิบัติตามในคำสั่งของเนื้อความนั้นได้ หากแต่เจ้าหล่อนกลับใช้มือผลักบานประตูเดินอาดๆเข้าไปในร้านกับตะเบ๊สีหน้ามึนใส่ๆพนักงานในร้าน 

 

ปล่อยให้เพื่อนเมทคนใหม่ยืนจ้องตาปริบๆ ไม่กล้าที่จะเดินตามเข้าไปจนโดนแม่เสือหันมาโวยเข้าให้

 

" เอ้า....ทำไมไม่เข้ามาล่ะ ห่ะ"

 

" ก็...ป้ายเขาบอกว่าปิดแล้ว" หล่อนบอกพลางชี้ไปที่ป้ายขาวทันที

 

" ฟ้าว่า เราเปลี่ยนร้านอื่นเถอะ...ร้านเขาปิดแล้ว ไปรบกวนเขาเดี๋ยวโดนเจ้าของร้านเขาว่าเอาหรอก"

 

"เจ้าของร้านนั้นแหล่ะจะโดนฉันด่าซะมากกว่า ป่านนี้ยังไม่โผล่หัวออกมาเลย...นี้ น้อง เมื่อไหร่ ไอ้เจ้าตุ๊ก จะออกมาล่ะ ห่ะ โทร.นัดไว้ตั้งแต่บ่ายแหล่ะ"

 

หญ้าฟางหันไปถามพนักงานในร้านที่ดูเหมืนจะรู้จักกันเป็นอย่างดี

 

" อีกแป๊บน่า  พี่ตุ๊กเขากำลังทำบัญชีอยู่ เดี๋ยวก็ลงมาแล้ว"

 

พนักงานรุ่นน้องในชุดนักศึกษาบ่งบอกได้ว่าคงเป็นเด็กในรั้วมอ 

 

หน้าตาดูไว้มาดกวน ไม่ต่างกับแขกที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากนัก

 

" เออ...ลืมไปว่า ไอ้หยกมันเอาของฝากจากเมืองจีนมาให้แกด้วย อ่ะนี้..."

 

กล่องสีแดงเรียบๆ ดูหรูหน่อยๆ ถูกโยนวางไว้ที่หน้าบาร์ ไอ้คนรับก็รีบคว้าเอาไว้เพราะกลัวจะว่าของข้างในจะเกิดรอยตำหนิเอาได้

 

".. เห็นมันว่า ซื้อมาแพงอยู่"  เจ้าตัวว่าอย่างยิ้มๆ ก่อนจะเดินถอยออกมา แล้วหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟารับแขกมือข้างหนึ่งเคาะโต๊ะเป็นสัญญาณให้เพื่อนใหม่เดินมานั่งที่เดียวกับตน

 

" อะไรเนี่ย...ช้อนกะตะเกียบเนี่ยนะ" 

 

มันเบ๊ะปากใส่ พลางชูของฝากอันทรงคุณค่าให้แขกของมันดู

 

ช้อนกับตะเกียบที่ถูกจัดวางในกล่อง แสงสีเงินจากตัวเหล็กส่องสะท้อน ดูงามตา หากแต่คนรับมิได้งามด้วยน้ำใจ

 

"นึกว่าอะไร...อ่ะโด่ ซื้อมาทำไมวะเนี่ยช้อนกะตะเกียบ คงได้ใช่อยู่หรอก แหม...กูไปซื้อซาลาเปาเซเว่นมาเป็นของฝากยังดีกว่าซะอีก"

 

" น้อยๆหน่อย  ไอ้แหวน เพื่อนแกซื้อมาให้...แทนที่จะดีใจ ทำเป็นบ่นกะปอดกะแปด แค่ไอ้หยกเจียดเวลาไปเที่ยวได้นี้ก็นับว่าดีแล้ว เด็กที่ไปเรียนอยู่นู่น เรียนหนักจะตาย แล้วไอ้ของที่แกดูถูก....นั้นน่ะ มันทำจากเงินแท้นะเว้ย ไม่ใช่ของกระจ๊อกขายตามคลองถมบ้านเรานะ"

 

" โธ่...พี่ ก็แค่ช้อนกะตะเกียบป่ะ"  มันเถียงหน้าเชิดใส่

 

" แหม....แล้วแกอยากจะได้อะไร  หยกขาวพันปี  ครีมบัวหิมะ หรืออะไร...ของที่นู่นก็ใช่ว่าจะถูก ไอ้ช้อนส้อมของแกมันกี่หยวน .... สามสิบหยวน ตีเป็นเงินไทยสิว่ากี่บาท สามสิบคูณห้า...เอ้า คูณหกไปเลยเพราะตอนนี้ค่าเงินมันขึ้น  ร้อยแปดสิบบาท แค่ตะกียบกะช้อนก็ปาไปตั้งร้อยแปดสิบบาทแล้ว แต่ถ้าแกคิดอีกแบบ ของฝากที่ทำมาจากเครื่องเงินแท้เนี่ย.... ถ้าเป็นบ้านเรา มันจะไม่เกือบพันเลยเหรอ ห่ะ..."

 

" เออ..นั้นสิเน๊าะ"  ไอ้แหวนฉีกยิ้ม พยักหน้าเข้าใจ พลางเก็บของฝากที่ว่านั้นเข้ากล่องไว้อย่างเดิม

 

เสียงโทรศัพท์ของร้านดังขึ้น มันรีบหยิบยกขึ้นใส่หู หากแต่เพียงครู่เดียวมันก็หันมาบอกกับแม่เสือตัวโย่งว่า

 

" พี่ตุ๊ก เขาทำงานเสร็จแล้ว...แต่จะให้พวกพี่ขึ้นไปหาแกข้างบน"

 

" อาร๊าย...ใครเอาโซ่มาล่ามขามัน แค่เพื่อนมาหา แต่ก็เอาเถอะ ฉันไปขึ้นไปหามันนั้นแหล่ะ ดีกว่า..."  หล่อนว่า ก่อนจะลุกขึ้นเดินฉับๆ ขึ้นบันได 

 

ทว่า...เมื่อเดินขึ้นมาได้ซักสองสามขั้น หญ้าฟางชะโงกลงมาดู 

 

ไอ้เพื่อนเมทร่างกระปุกยังคงนั่งหน้าแข็งอยู่บนโซฟา

 

อะไรของมันอีกวะ...จะปอดแหกกันไปถึงไหนอีก วู้

 

" พราวฟ้า "  เสียงตะโกนดังลั่น จนไอ้เด็กแหวนชะเง้อมอง ทำท่าจุ๊ปากเตือน แต่ดันโดนสายตาพิฆาตจ้องเล่นงานแทน มันยิ้มแหยๆแล้วหดคอกลับมาเหลือบมองดูแขกอีกคนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม

 

" ขึ้นมาเร็วสิ จะนั่งรออะไร"

 

"  ก็หญ้าฟางมีธุระจะคุยกับเพื่อนไม่ใช่เหรอ ..เดี๋ยวเรานั่งรอตรงนี้ก็ได้"

 

" ไม่ได้มาคุยธุระ มาหาข้าวกินเนี่ย"

เจ้าตัวลูบท้องไปมา เพราะตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ แสงพระอาทิตย์ลับหายไปจากขอบฟ้า แสงจากจันทราก็ค่อยๆคลืบคลาน ปกคลุมพร้อมกับม่านมืดของยามราตรี

 

เรื่องความหิว..หญ้าฟางถึงแม้จะภายนอกจะดูเหมือนสาวห้าว ไม่อ่อนแอ แต่เมื่อไหร่ที่หล่อนป่วยขึ้นมา โดยเฉพาะถ้าหากหล่อนกินข้าวไม่ครบมื้อ ...โรคกะเพราะ ศัตรูตัวฉกาจที่เกือบจะทำให้เจ้าตัวไปนอนพะงาบๆอยู่โรงบาล 

 

คงไม่แปลกถ้าหญ้าฟางจะสามารถเขมือบข้าวสี่จานได้หมดโดยปราศจากความกลัวโรคอ้วน

 

เพราะคนอย่างหล่อนกินมากเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน...ยิ่งของหวานยิ่งชอบ

 

ขอเพียงแต่อย่ามีใครแย่งจานข้าวไปจากหล่อน และที่สำคัญหากเป็นมื้อที่จ่ายน้อยที่สุดแล้ว

 

เหมือนอย่างวันนี้ ....

 

พอเลิกปฐมนิเทศใหญ่ตอนบ่ายสองแทนที่หล่อนจะได้กลับไปโซยแหนมเนืองที่หอ แต่กลับต้องมานั่งฟังอบรมจากอาจารย์พี่เลี้ยง

 

คนหน้าดุ....แต่สำบัดสำนวนกลับนุ่มหู ไม่รู้ว่าใครเลือกให้เป็นครูฝ่ายปกครอง

 

โหดแค่หน้า แต่วาจายังกะพระเอกหนังไทยช่องบางขุนพรหม!

 

หรือจะเอาไว้ตั้งประดับในห้องฝ่ายปกครอง ให้เด็กมันกลัว

 

อาจารย์หลี่หวัง....ขื่อนี้ ใครหลายคนในคณะต่างรู้จัก

 

ยกเว้นหล่อนกับเพื่อนใหม่อีกคนนี้แหล่ะมั้ง...ที่เพิ่งจะสะกดชื่ออาจารย์แกได้

 

ถ้าไม่ติดอยู่คุยกะไอ้อาจารย์มาเฟีย และก็ไม่ติดว่า...อาจารย์เปรี้ยวนั่งคุมอยู่ข้างหลัง

 

คงจะใช้วิชาตัวเบาย่องหนีออกไปตั้งแต่ท้องร้องเสียงแรกแล้วล่ะ

 

ยังดีที่ไอ้หัวเผือกโทร. นัดเจ้าของร้าน "ตุ๊กกะตั๊ก" เอาไว้ให้

 

ไม่อย่างงั้นมื้อนี้คงต้องอดไปแบบท้องกิ่วเป็นแน่

 

" ถ้าจะกินข้าว ก็ไปกินร้านข้างนอกไม่ดีกว่าเหรอ?"  พราวฟ้าเถียงเสียงอ่อน คนที่ยืนหิวทำหน้ามุ่ยใส่

 

" กินร้านนี้แหล่ะ ข้าวฟรี...ร้านเพื่อนฉันเอง จะกินไม่กินล่ะ ถ้าไม่กินก็ไปหาร้านข้าวข้างนอกกินไป "

 

หญ้าฟางตอบสะบัดเพราะอารมณ์โมโหหิวก่อนจะเดินขึ้นบันไดโผล่มาที่ชั้นสองของร้าน...  

 

ในตอนแรกหญ้าฟางกะจะเดินเลยขึ้นไปที่ชั้นสามอันเป็นชั้นส่วนตัวของเจ้าของร้าน หากสายตาดังเหยี่ยวคม มองเห็นแสงระยิบระยับพร้อมกับเสียงขลุ่ยจีนลอยดังอยู่ตรงมุมหนึ่งของชั้น หล่อนก้าวเท้าเดินเข้าไปด้วยอารมณ์ใคร่รู้  

 

" เฮ้ย!"  

 

แสงไฟบนชั้นสองดับพรึ่บลงทันที พอดีกับเมื่อเจ้าตัวก้าวเท้าถอย ดันไปสะดุดเหยียบเท้าใครบางคน

 

" ใครอ่ะ " หล่อนเตรียมตั้งกระบวนท่ารับมือกับคนตรงข้าม ดีที่แสงไฟจากข้างนอกทำให้เจ้าตัวพอมองเห็นโครงหน้ารางๆของอีกฝ่ายได้

 

" เอ้า....ไหนบอกว่าจะไปกินข้าวข้างนอก"

 

" ฟ้าบอกตอนไหน..."  คนตอบ ตอบหน้ายิ้มก่อนจะเปลี่ยนเป็นสี่หน้าฉงนสงสัย

 

" เขาปิดไฟทำไมเหรอ?"

 

" ค้างจ่ายค่าไฟมั้ง เจ้าของร้านยิ่งขี้ลืมอยู่"

 

 

ฉับพลันนั้น...ไฟในร้านก็เปิดสว่างจ้าไปทั่วห้อง พร้อมกับเสียงร้องตะโกนเย้ๆของไอ้เด็กเคาท์เตอร์ข้างล่าง

 

“ว่าใครค้างค่าไฟเหรอจ๊ะ แม่หญ้ากรอบ”  คำทักทายที่เคยคุ้นลอยดังผสมกับเสียงขลุ่ยจากมุมห้อง  เมื่อร่างของอนงค์นางในชุดกี่เพ้าสีแดงเดินออกมาจากที่ซ่อน ทำให้คนถูกทักยืนเต๊ะท่า ฉีกยิ้มกวนๆใส่

 

“ แหม ไม่เจอกันนาน สวยวันสวยคืนจริงๆเลยนะ” คนฟังยิ้มรับในคำชม หากแต่ผิวขาวจนแทบจะซีด ไม่ใช่ขาวนวลละอ่องแบบหญ้าฟางหรือขาวอวบอั๋นเจ้าเนื้อ แบบพราวฟ้า 

 

และโครงร่างที่ดูผอมเกินเกณฑ์ เทียบกับหญ้าฟางที่ผอมแต่เพรียว รูปทรงตั้งแต่คอจนถึงเอวไม่ต่างกับทรงนาฬิกาทราย ถ้าเป็นไปได้..ชุดกี่เพ้าตัวนั้นถ้าอยู่บนร่างของหญ้าฟาง คงจะสวยสดงดงามกว่านี้เป็นแน่

 

เพื่อนรักทั้งสองเดินเข้ามาโอบกอดเพราะความคิดถึงที่ต่างฝ่ายต่างแสดงให้เห็นผ่านสีหน้าและน้ำใสที่ไหลออกจากม่านตาของแม่สาวชุดเพลิงนั่น

 

“ ร้องไห้ทำไม ?” หญ้าฟางถามด้วยน้ำเสียงขันๆ แต่ความรู้สึกก็ไม่ได้ต่างไปจากเพื่อนของตนเองซักเท่าไหร่

 

“ ไม่ได้เจอกันนานก็คิดถึง แล้วนี้...กลับมาจากจีนตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

“ ก็ตอนกลางๆเดือน ฉันกลับไปบ้านที่ชลบุรีก็เลยไม่ได้กลับมาที่มอเลย นี้เพิ่งจะมาเอาเกรดแล้วก็มาฟังปฐมนิเทศด้วย เลยอยากจะแวะมาหาซักหน่อย....ให้ไอ้หัวเผือกโทร.มานัดก่อน กลัวจะถลามาไม่ทัน ”

 

“หิวใช่มั้ยล่ะ?” 

 

“ ก็แหงสิ ไม่ได้กินข้าวตั้งกะเที่ยงแล้ว หิวชะมัด เออ..”  หญ้าฟางดึงแขนเพื่อนใหม่ของตนและเริ่มกล่าวแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกัน

 

“  รู้จักเพื่อนฉันก่อนสิ นี้...ยัยตุ๊ก เป็นเจ้าของร้านอาหารที่นี้และก็เป็นเพื่อนฉัน ส่วนนี้นะ...พราวฟ้า เป็นเพื่อนร่วมฝึกสอนกับฉัน เพิ่งจะรู้จักกันวันนี้แหล่ะ”

 

ทั้งสองยิ้มให้กัน แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรมากไปกว่านี้ อาจจะเพราะแม่หุ่นกระปุกเป็นคนไม่ค่อยพูดหรือถ้าจะพูดก็ต้องให้ใครคนอื่นเริ่มก่อน พอๆกับอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ด้วยฐานะและหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ หล่อนก็คงจะห่างหายไปกับวัยที่ต้องพูดเล่นพูดหัวกับคนอื่น ทั้งๆที่ตัวหล่อน พราวฟ้า และหญ้าฟางก็เป็นสตรีในวัยเดียวกัน

 

“ นั่งก่อนมั้ย? เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด”

 

ผู้เป็นเจ้าบ้านเชื้อเชิญแขกตามธรรมเนียม ส่วนแขกตัวโย่งก็นั่งหยิบช้อนตักข้าวกินไม่เกรงใจ เพราะระบบน้ำย่อยดูท่าจะมีชัยกว่าคำสั่งในหัวสมอง

 

 

“ ทำไมไม่ทานล่ะคะ?”  เจ้าบ้านถามแขกอีกคน พราวฟ้ายิ้มนิดๆ หางตาก็เหลือบมองดูอีกคนที่เหมือนปอบลงก็ไม่ปานนัก

 

“ ฟ้าไม่ค่อยหิวค่ะ คุณตุ๊ก”

 

“ ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ค่ะ เราก็อายุเท่าๆกันเนี่ยแหล่ะ ...พูดซะ ดูแก่ไปเลย”

 

“ อ้าว...เหรอคะ ...”  หล่อนยิ้มเขินๆ ก่อนจะตักข้าวใส่ปากแต่ดูสำรวมกิริยามารยาทได้ดีกว่าไอ้คนนั่งเคี้ยวอยู่ข้างๆ

 

“ เอ่อ...แล้วถ้างั้น คุณตุ๊ก..เอ้ย..ตอนนี้เพื่อนเรียนอยู่คณะไหน ทำไมถึงมีร้านอาหารเป็นของตัวเองแล้ว?”

 

“ เปล่าค่ะ..ตุ๊กไม่ได้เรียน” 

 

“ ไม่ได้เรียนที่นี้หรือคะ?”

 

คำถามที่ยากแก่การเอ่ยคำตอบออกมากับดวงหน้าที่จากเดิมก็ซูบซีดอยู่แล้ว ดูเหมือนจะแย่ลงไปอีก หญ้าฟางช้อนตาขึ้นมามองก่อนจะส่งเสียงไอค่อกแค่กเป็นการขัดจังหวะทันที

 

“ เรียนที่นี้แหล่ะ ....คณะเรา แล้วก็สาขาเดียวกับฉัน แต่ตอนนี้ไม่ได้เรียนเพราะไม่สบาย ก็เลยดร็อปไว้” หญ้าฟางชิงตอบให้แทน แม่สาวร่างอวบพยักหน้าเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจคำตอบ แต่เข้าใจจากรังสีฉายโหดจากดวงตาต่างหาก

 

“ แต่เราลาออกแล้วนะ เราว่าทำงานร้านอาหารนี้ก็ดี..อยู่ในมอ รายได้ก็ดี ลูกค้าก็เยอะ ... ไม่ต้องเหนื่อยแรงอะไร”

 

 “ อืม... แต่นี้ก็ ร่างกายก็ถือว่าโอเค ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาหน่อยๆ  ถ้าแกจะกลับไปเรียนก็ไม่เห็นจะเป็นไร จะรีบลาออกทำไมกัน”

 

“ เตี่ยเขาอยากให้เราออกมาทำงานเลย คงกลัวว่าถ้าเราเรียนต่อไปจะเรียนไม่ไหว”

 

หญ้าฟางมองเพื่อนด้วยความสงสาร เธอรู้ว่า...คนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า แม้นจะซูบเซียวเพราะสุขภาพร่างกายมิได้เจริญอาหาร ทั้งๆที่เปิดร้านขายอาหารก็จริง

 

 หากเพื่อนคนนี้ยังคงสวมชุดนักศึกษานั่งเรียนเป็นเพื่อนจวบจบถึงวันนี้แล้วละก็….

 

เธออาจจะไม่ได้ตำแหน่ง ว่าที่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาครองนอนฝันเอาไว้แน่

 

“ ถ้าตุ๊กไม่ดร็อปเรียน  เจ้คิดว่าตัวเองจะอยูในลำดับที่เท่าไหร่กัน ฮึ?”

ไอ้หัวเผือกถามทีเล่นทีจริง หากแต่เจ้าตัวไม่ได้นึกอยากจะทายปัญหาเล่นด้วยกับมัน

 

“ มันใช่เวลามาถามมั้ย ห่ะ!”

 

ใช่...ถูกของไอ้หัวเผือก   เธอยังคงจำได้ ในปีหนึ่งเทอมหนึ่ง เกรดในห้องที่สูงสุดมีเพียงเธอกับยัยตุ๊กที่ได้คะแนนมากกว่าใคร ถึงแม้จะห่างกันเพียงแค่ห้าคะแนน

 

แต่น้ำใจต่างหากที่อยู่เหนือกว่าตัวเลขที่แสดงผลบนหน้าจอคอม

 

หล่อนไม่ได้เก่งแค่ตัวคนเดียว   ทว่า.... เธอเก่งได้ก็เพราะความเป็นเพื่อนที่มีให้กัน   ไม่ตลบตะแลง หรือ แอบซุ่มทำแต้ม  อยู่แต่ในห้อง

 

เมื่อวันที่เพื่อนต้องลาจากเพราะเหตุผลในเรื่องปัญหาสุขภาพ และคำพูดที่ยังดังก้องอยู่ในใจ

 

“ เพื่อนต้องไม่ทิ้งเพื่อนกัน ใช่มั้ย?”

 

คำสัญญาแห่งมิตรภาพ....

 

มิได้ลบเลือน

 

หากแต่เป็นคำสัญญาจากใจ เหนือกว่าชีวิตและความตาย..!!

 

“ พี่ตุ๊ก....”  ไอ้เด็หน้าเคาท์เตอร์เพื่อนสนิทของไอ้หยกเดินดุ่มๆขึ้นมาขัดจังหวะ ก่อนจะรายงานเรื่องให้ทั้งสามคนทราบ

 

“ มีพี่ผู้ชายคนหนึ่ง บอกว่า เขานัดกินข้าวเย็นกับพวกพี่ ตอนนี้แหวนให้เขารออยู่ข้างล่าง  จะให้ขึ้นมาเลยมั้ย?”

 

 “ ไอ้หัวเผือกล่ะมั้ง” หญ้าฟางหยิบแตงโมยัดเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ  มองหน้าคนนั่งข้างๆที่กำลังหั่นเนื้อมะละกอใส่เข้าปาก ดูเรียบร้อย งามตา

  

โด่..กุลสตรีจริงจริ๊ง ทำไมกูไม่ได้ครึ่งหนึ่งของมันบ้างหว่า

 

เจ้าของร้านพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตก่อนที่ไอ้หัวเผือกเดินขึ้นบันไดมาพร้อมทำท่าฟุดฟิดสูดกลิ่นอาหาร  และยิ้มอ่อนๆเมื่อเห็นผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงเดินมาต้อนรับด้วยตัวเอง

 

 “ ไม่ต้องลำบากต้อนรับกันขนาดนี้ก็ได้ เห็นกันอยู่ทุกวัน ....แล้วนั้น ใครนั่งข้างๆ เจ้ฟางอ่ะ”

 

มันชี้ไปยังคนที่นั่งข้างแม่เสือสาว

 

“ ถามเจ้าตัวดูสิ....”

 

ไอ้หัวเผือกหย่อนก้นลงเก้าอี้ตัวข้างๆกับเจ้าบ้าน  ก่อนจะยิ้มยียวนหยิบส้อมจิ้มเนื้อปลาแซลมอนชิ้นสุดท้ายใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ

 

“ เฮ้ย....โห ดูๆๆ  มาแย่งเนื้อปลาฉันทำไม ห่ะ ชิ้นสุดท้ายด้วย อุตส่าห์เหลือไว้ มาถึงก็รีบกินเชียว  ไม่คิดจะทงจะทักทายกันบ้างเลยเหรอยะ”

 

“ จะทักทำไมก็เห็นหน้ากันอยู่ตลอด ....แล้วนี้  พาใครมาด้วย เพื่อนเมทสอนเหรอ?”

 

“ เออ!” หล่อนกระแทกเสียงตอบกลับ ไอ้หัวเผือกหันมาฉีกยิ้มเป็นมิตรให้กับคนตรงหน้า  ที่ดูเหมือนตัวเองจะกลายเป็นคนแปลกเพียงคนเดียวในวงข้าวเสียแล้ว

 

“ นี้....” หญ้าฟางกระทุ้งศอกใส่คนนั่งข้าง

 

 “เดี๋ยวแนะนำเพื่อนให้รู้จัก เพื่อนฉันอยู่สาขาคอม ชื่อว่า..ผันเมือง  จริงๆแล้ว...ถ้าเป็นคนอื่นเนี่ยจะเรียกมันว่า ไอ้เมืองบ้างล่ะ  ไม้เมืองบ้างล่ะ แต่กลุ่มพวกฉันชอบเรียกมันว่า ไอ้หัวเผือก”

 

“ ทำไมเรียกแบบนั้นล่ะ” คนถามกลั้นหัวเราะเพราะกลัวจะเสียมารยาท ดี..ที่เจ้าของชื่อกำลังก้มหน้าก้มตากินไม่ยั้งปากอยู่

 

“ ก็ดูมันทำตัวสิ สาระแนเผือกเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว แต่ความจริง..ตอนที่ฉันไปเยี่ยมบ้านมัน  ที่เชียงใหม่นู่นน่ะ  ญาติพี่น้องก็เรียกมันแบบนี้ ฉันก็เลยเรียกตาม ดูน่ารัก เก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใครดี”

 

มันเงยหน้า อ้าปาก คิดจะเถียงตอกกลับ...แต่หญ้าฟางถลึงตาใส่แล้วชี้ไปที่พราวฟ้าทันที

 

“ อย่าเพิ่งเถียง ฉันยังพูดไม่จบ... นี้ ส่วนคนนี้ เพื่อนเมทสอนฉัน ชื่อ พราวฟ้า อยู่สาขาภาษาไทย “

 

“ ว้าว..ชื่อเพราะจัง ดูเรียบร้อย....ไม่พูดมากเหมือนเจ้เลยว่ะ”

 

“ แหม...ยังกะเอ็งรูดซิปปากได้ดีกว่าชาวบ้านเขาล่ะ... อ้าว .เจ้ตุ๊ก  อิ่มแล้วเหรอ กินน้อยจัง”

 

หญ้าฟางหันไปถามสหายเก่า ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับโดยดี

 

“ เราอิ่มแล้ว ช่วงนี้ไม่ค่อยหิวข้าวซักเท่าไหร่”

 

“ กินเยอะๆหน่อยสิ...ร่างกายจะได้แข็งแรง  จะได้กลับไปเรียนต่อได้อีก “ ไอ้หัวเผือกมันว่าอย่างงั้น

 

ในใจของคนทุกคนที่รู้จักเธอ ต่างก็เป็นห่วงและอยากให้เธอกลับไปตามฝันอีกสักครั้ง

 

เพราะเธอไม่ใช่คนโง่  แถมเก่งกว่า แม่เสือตัวโย่งซะด้วยซ้ำ

 

ใจ....ที่มุ่งมั่น แต่ร่างกายเนี่ยสิ ที่ไม่เอื้ออำนวย

 

“ ว่าแต่ว่า ตอนนี้พวกเธอไปฝึกสอนที่ไหนกันบ้าง”หล่อนเปลี่ยนเรื่องคุย ในขณะที่คนฟังคำถามเกิดอารมณ์ปริ๊ดแตกขึ้นมาเห็นๆ

 

“  ฝึกสอน...เหอะ!  เกลียดคำนี้ว่ะ “

 

“ หืมห์...นี้ยังไม่หายเคืองอาจารย์เปรี้ยวเขาอีกเหรอ” คนที่พูดคุยรู้เรื่องก็มีแค่คนสองคน  หากแต่ที่เหลือได้แต่นั่งมองหน้าฉงนสงสัย

 

เจ้าของคำถามสบตากับพราวฟ้าดั่งจะถามอีกคำถามหนึ่งว่า  “ มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า?”

 

พราวฟ้าส่ายหน้ายิ้มๆ เพราะหล่อนก็ไม่รู้เรื่องด้วยเช่นกัน

 

หล่อนนั้นก็โดนไม่ต่างจากหญ้าฟาง แต่ระดับมันสมองอย่างเธอ จะให้ไปแย่งโควตาโรงเรียนกับคนอื่นมันก็ไม่ใช่เรื่อง

 

เมื่อยังลงหาที่ฝึกสอนไม่ได้ อาจารย์ประจำสาขาจึงรับปากที่จะช่วย

 

จนกระทั่งได้รับเอกสารที่ส่งไปยังบ้านตัวเธอนั้นแหล่ะ ถึงได้ดีใจไชโยโห่ร้องอยู่ในห้องคนเดียว

 

ผิดกับอีกคนที่กำลังนั่งบ่นเจื้อยแจ้วในตอนนี้

 

" เคืองห่าอะไรล่ะ ต้องบอกว่าโกรธ โกรธมากถึงมากที่สุด ก็ดูอาจารย์เขาทำกับฉันดิ ส่งเรื่องให้ฉันไปฝึกสอนที่นู่นก็ไม่เห็นบอกกันก่อนซักคำ  แล้ววันนี้ฉันกับพราวฟ้าก็เข้าไปปฐมนิเทศกับครูพี่เลี้ยงแล้วด้วย"

 

" ... ถ้าขนาดนี้แล้ว คงจะถอนตัวไม่ได้แล้วล่ะ ยอมๆไปเหอะ เจ้" มันว่า หญ้าฟางพยักหน้กหน้ารับ

 

" ใช่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่เอาคืนนะเว้ย อย่าลืมสิว่าฉันเป็นพวกเด็กทุนเรียนดี แต่ไม่มีกะตังค์ใช้"

 

" แล้วไง..." ไอ้เผือกถามต่อ คนตอบฉีกยิ้ม แววตาดูมีเลศนัยพอควร

 

" ก็ไม่ยังไงหรอก คนทุกคนมันก็ต้องใช้สิทธิ์ใช้เสียงของตัวเองบ้าง จะปล่อยให้คนอื่นมาเอารัดเอาเปรียบเราได้ยังไงกันล่ะ จริงมั้ย? พราวฟ้า" หล่อนหันไปตบบ่าเพื่อนเมทที่นั่งข้างๆตน 

 

ย่อมแน่...คนอย่างหญ้าฟาง หน้าสวยแต่ใจสิงห์ 

 

ผิวขาวร่างบางแต่ทำท่ากร่างเหมือนกระทิงลงสนาม

 

หล่อนยังคงจดจำใบหน้าของครูพี่เลี่ยงคนนั้นได้ดี

 

ตอนที่เธอเอ่ยปากบอกในวลีที่แม้แต่อาจารย์เปรี้ยวก็ยังตั้งรับอาวุธสุดฉกาจของหล่อนเอาไว้ไม่ทัน

 

 

" ขอโทษนะคะ" เสียงของหญ้าฟางแทรกขึ้นเมื่อแขกคนสำคัญทำท่าว่าจะลุกออกจากเก้าอี้ก่อนจะหยุดชะงักและหันมาจับจ้องหล่อนพร้อมด้วยสายตาคมดุ แฝงแววความละมุนฉายชัดให้เห็นบนเงาม่านตาคู่สวยนั่น

 

"บางทีท่านอาจารย์คงจะพอทราบข้อมูลของเราสองคนมาบ้างแล้ว และวันนี้ก็ดูเหมือนจะพูดแต่เรื่องฝั่งของท่านอาจารย์เป็นซะส่วนมาก ฟางเองก็อยากจะพูดเรื่องของตัวเองด้วยซักหน่อย"

 

คนที่ยืนอยู่พยักหน้ารับเข้าใจก่อนจะค่อยๆย่อตัวนั่งลงเหมือนเก่า

 

" แค่เธอคนเดียวใช่มั้ย?"  เขายิงคำถามใส่ หากแต่สายตากลับจับจ้องไปยังแม่สาวร่างกระปุกที่นั่งอยู่ข้างๆกัน

 

แววตาที่ดุดันตามแบบฉบับครูฝ่ายปกครองอย่าง อาจารย์หลี่หวัง ใครๆต่างก็เคยพบเคยเห็นกันมาแล้ว

 

" เขาว่าครูฝ่ายปกครองโรงเรียนนี้เป็นคนตาดุ๊ ดุ แต่ก็หล๊อ หล่อมากด้วยนะ เจ้ฟาง ..."   คำพูดของเจ้าออย ตัวแทนจากเดอะแก๊งค์ บอกกับหญ้าฟางก่อนที่จะได้พบเจอกับครูพี่เลี้ยงตัวจริง

 

ทว่า..แววตาที่เต็มไปด้วยไอละมุนแบบนี้.....ซักครั้งก็ยังไม่มีใครเคยเห็น

 

เสือกะสิงห์ อยู่ด้วยกันมันก็แรงพอกันทั้งคู่

 

แต่จะให้เสือกับกวางร่างอวบมาอยู่คู่กัน มันก็แปลกๆตะหงิดใจ

 

อาจารย์เปรี้ยวมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก่อนจะแอบกระตุกยิ้มไม่ให้ใครเห็น

 

ภารกิจยังไม่สำเร็จ อีกเดี๋ยวจะได้เจอภารกิจพิชิตใจเด็ก

 

ชักอยากจะรู้...ว่าเสือมันจะลำเอียงไปเตะสิงห์ แล้วมารักกวางมุ้งมิ้งได้รึเปล่า?

 

" ถ้าหากฟางจะขอความกรุณาจากท่านอาจารย์พี่เลี้ยงให้รับข้อเสนอของฟาง คือ ฟางเป็นเด็กทุนของคณะแล้วในข้อกำหนดที่ทางคณะเขียนขึ้นมา ได้กำหนดเรื่องการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของเด็กทุน ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟและอะไรต่อมิอะไรอีก การที่จะให้ฟางไปฝึกสอนที่โรงเรียนจงเหวินซึ่งความจริงฟางก็ไม่ได้คิดตกลงปลงใจด้วยเลย ... มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกัน หากทางโรงเรียนต้องการตัวพวกเราสองคน ฟางก็จะขอใช้สิทธิืของเด็กทุนตามระเบียบข้อกำหนดทุกอย่าง"

 

" ใช้สิทธิ์....เด็กทุน?" อาจารย์พี่เลี้ยงกล่าวทวนคำ 

 

" ค่ะ..แต่ถ้าท่านอาจารย์คิดว่าเรื่องที่ฟางเล่าเป็นเรื่องโกหก ก็ลองถามอาจารย์เปรี้ยวดูก่อนก็ได้นะคะ ว่าวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของฟางมันอัตคัตมากแค่ไหน"

 

" แต่เรื่องนั้นทางคณะเขาจะจัดการให้เเกเองแหล่ะน่า ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก" อาจารย์เปรี้ยวเอ่ยแทรกขัดจังหวะ 

 

เจ้าลูกศิษย์ตัวแสบจึงหันไปค้อนตาใส่

 

" จัดการยังไงเหรอค่ะ อาจารย์เปรี้ยว ให้งบพันห้าต่อเดือนแล้วเอาไปบริหารจัดการเองงั้นเหรอ โรงเรียนจงเหวินถ้ามันอยู่ใกล้เหมือนสาธิตในมอ ฟางจะไม่ว่าอะไรเลยเอางี้ สมมตินะ... ถ้าฟางยังพักอยู่หอใน ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องจ่าย จ่ายแค่ค่าหอ ค่ารถก็ไม่ต้องเสีย   แต่ถ้าฟางไปพักอยู่หอนอกเมือกก็ต้องจ่ายค่าเช่าหออีก ค่าน้ำค่าไฟอีก ค่ารถอีก รวมๆแล้วก็หมดเยอะเกินงบซะด้วยซ้ำ ...."

 

" ที่เธอพูด เหมือนเธอกำลังจะบอกว่า อยากจะให้ฝั่งโรงเรียนจงเหวินร่วมรับผิดชอบด้วยงั้นสิ"

 

อาจารย์หลี่หวังพูดขึ้นมาก่อนจะชี้ไปยังนักศึกษาฝึกสอนอีกคน

 

" แล้วเพื่อนเธอล่ะ ... จะให้เขาอยู่ยังไง เพราะรู้สึกว่าเธอ... ชื่อ พราวฟ้าใช่มั้ยเรา?" เขาถามย้ำ รอยยิ้มแย้มประดับดวงหน้าเล็กน้อยพอให้อีกฝ่ายคลายกังวลได้บ้าง

 

" ค่ะ " พราวฟ้าตอบรับพลางก้มหน้าหนี ไม่สบตา ทว่า..กลับรับรู้เสียงหัวเราะที่แผ่วเบาคล้ายกับจะให้หล่อนรู้ได้เพียงคนเดียว รึจะหูดีเกินไปก็ไม่แน่ใจมากนัก หล่อนลอบมองแม่สิงห์คะนองปากที่ยังคงนั่งเงียบ หน้าถมึงตึงอยู่อย่างเก่า

 

" เพื่อนของเธอเขาไม่ได้เป็นเด็กทุน ก็ไม่ได้รับสิทธิ์เท่าๆกับเธอ แล้วอย่างนี้คนอื่นเขทจะไม่ตราหน้าอาจารย์ว่าเป็นไอ้พวกลำเอียง ไร้จรรยาบรรณ หรอกรึ "

 

" ก็ถ้าอาจารย์จะทำให้ทุกอย่างมันเป็นไปในทำนองเดียวกัน ก็ไม่น่าจะผิดอะไร.... ฟางก็ไม่ได้บอกว่า ตัวฟางคนเดียว แต่ฟางหมายถึง พวกเราสองคน"

 

อาจารย์เปรี้ยวลุกขึ้นหมายมาดว่าจะเดินเข้ามาเพื่อห้ามไม่ให้เจ้าลูกศิษย์ตัวแสบพูดอะไรออกมาอีก

 

" ไม่ต้องหรอก อาจารย์เปรี้ยว ผมว่าที่เด็กพูดมันก็มีส่วนที่โรงเรียนผมต้องรับผิดชอบอยู่บ้าง "

 

" แต่..." อาจารย์เปรี้ยวเริ่มแย้ง " ท่านรอง คงไม่อยาก.."

 

" เดี๋ยวผมกลับไปจะเข้าไปคุยกับท่านเอง"  เขาเอ่ยเสียงดุใส่ก่อนจะเอ่ยสำทับใส่นักสึกษาทั้งสองคนด้วยประโยคที่หญ้าฟางเเละเพื่อนคู่ขาคนใหม่ไม่เข้าใจในความหมายของมัน

 

" ตราบใดที่เป้าหมายยังไม่ปรากฏ  ท่านจะไม่ปฏิเสธเรา!"

 


 

 

แสงไฟในห้องอาหารที่ค่อยๆดับมืดลงทีละดวง.....

 

เงาร่างคนสุดท้ายที่กำลังก้าวลงบันไดให้พ้นจากอาณาเขตบริเวณชั้นสองของร้าน

 

กลุ่มเพื่อนพ้องที่ลาจากกัน ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะได้พบเจอ

 

อารมณ์ที่กักเก็บไว้ใต้ลึกในทรวง

 

วงสนทนาที่ผ่านมาเมื่อครู่.....คำบอกเล่าจากเพื่อนสนิท

 

เป้าหมายที่ต้องการตัว คนของตระกูลจาง

 

หากมิใช่เขาแล้วจะเป็นใครอื่น?

 

 

เสียงขลุ่ยบรรเลงค่อยๆเงียบหาย พร้อมกับแสงไฟดวงสุดท้ายที่ปิดลง

 

ยกเว้นดวงไฟที่ติดค้างจากความแค้นในอดีต....

 

ลูกชายของอดีตแม่บ้านโรงเรียนจงเหวิน

 

รึเงาแห่งอดีตจะหวนคืนกลับมา!?

 

 

จบตอนที่ 9

 

**(ฉบับแก้ไขเสร็จเรียบร้อย เพราะอันเก่าโดนแฮกเกอร์ลบข้อมูล แถมไรท์เตอร์ก็ไม่ได้บันทึกลงคอมไว้ด้วย ไรท์เตอร์พยายามรักษาโครงเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด แต่ยังไงถึงช้าแต่ก็ชัวร์นะค้า)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา