Time Crime บทเพลงและกาลเวลา

10.0

เขียนโดย HirariYurari

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 17.25 น.

  15 chapter
  6 วิจารณ์
  15.97K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 09.24 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) หลายปีหลังจากนั้น-การพบเจอ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

-01-

หลายปีหลังจากนั้น – การพบเจอ

 

โลกใบนี้ไม่เคยเที่ยงธรรมไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนก็ตาม

“เพส แม่เอาข้าวต้มมาให้แล้วนะ แล้วเจโลจังก็ยังมาเยี่ยมด้วยนะ”

“มาเหมือนเดิมแล้วนะ! วันนี้เราก็มาเล่นกัน!!”

เพราะฉะนั้น...เขาจึงมักจะต่อสู้อยู่ด้วยตัวเองโดยลำพังเสมอมา

“อ้าว...?”

“?” หญิงสาวอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบคนหนึ่ง กับเด็กสาวที่มีอายุอยู่เพียงเก้าถึงสิบปีเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องที่บุผนังด้วยไม้ห้องหนึ่ง นั่นเป็นห้องของเด็กชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ซึ่งตามปกติแล้วเด็กชายคนนั้นมักจะไม่ออกไปไหนเลยเนื่องจากสภาวะทางร่างกายที่ผิดปกติของตน

ทว่าในวันนี้...บนเตียงสีขาวข้างหน้าต่างนั้นกลับไม่พบร่างของเด็กชายนอนอยู่เลย...

“เพสหายไปไหนนนนนนนนนนนนนนน!!” ทันทีที่รู้สึกตัวว่าเด็กชายเจ้าของห้องหายตัวไป เด็กสาวนามเจโลผู้ยืนอยู่ข้างผู้เป็นแม่ของเด็กชายคนนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมา คิ้วตั้งชัน ภายในดวงตาราวกับมีฟืนไฟปะทุอยู่ก็ไม่ปาน

“แหมๆๆ...เพสนี่ล่ะก็ เป็นเด็กไม่ดีเลยนะ...” ผู้เป็นแม่ของเด็กชายคนนั้นยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองอย่างหนักใจ ทว่าสิ่งที่เธอทำได้ก็มีอยู่เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ และก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพียงแต่ตัวเธอซึ่งเป็นแม่เอง ก็ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดีเช่นเดียวกัน

“เพส” บุตรชายของเธอนั้นแม้จะเป็นเพียงเด็กชายปกติคนหนึ่ง ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ปกติและผิดแปลกไปจากบุคคลอื่นตรงจุดที่เขานั้น ‘มีร่างกายอ่อนแอกว่าคนอื่น’ มากมายนัก

โรคที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเรียก...เป็นโรคที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีโอกาสเป็นได้...ไม่ใช่ทั้งโรคทางพันธุกรรม และโรคจากการแพร่เชื้อทางสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครหาวิธีรักษาเขาได้

ไม่มีใครรู้วิธีรักษา...แต่ถ้าไม่พยายามใช้ยายืดชีวิตเอาไว้ผู้เป็นโรคก็จะตาย....เป็นคำตัดสินของพระเจ้าที่แสนจะไร้เหตุผล แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็คือความจริง

ถึงกระนั้นผู้ที่กำลังตกอยู่ภายใต้ทัณฑ์ตายนั้น กลับเอาแต่นิ่งนอนใจและพยายามหนีครอบครัวตัวเองออกไปวิ่งเล่นอยู่ข้างนอกเป็นประจำ...แน่นอนว่าคนอื่นๆ เองก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาวิ่งหนีไปเล่นที่ไหน แต่ก็อาจจะเป็นเพราะบ้านของพวกเขานั้นตั้งอยู่ค่อนข้างชายขอบเมืองก็เป็นได้...จึงทำให้เขาสามารถหนีออกไปนอกบ้านได้โดยไม่เคยถูกคนจับตัวได้เลย

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเองเถอะค่ะ! ฉันจะไปตามเขากลับมาเอง!!”

“อ่า...ต้องขอให้ช่วยเหมือนทุกทีแล้วสินะ...ขอบใจมากนะจ๊ะ...”

“ไม่เป็นไรค่ะ!!” เด็กสาวผู้มีชื่อว่า ‘เจโล’ ตบมือลงหน้าอกยืนยันอย่างมั่นอกมั่นใจ จากนั้นก็วิ่งออกจากบ้านไปทันที

เธอคนนี้เป็นผู้ที่มีฐานะคล้าย ‘พี่เลี้ยง’ ของเขาคนนั้น...และเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่อยู่กับเขามาด้วยกันตั้งแต่เมื่อจำความได้ด้วย เวลาเช่นนี้เธอมักจะออกโรงไปลากตัวเขากลับมาเป็นประจำ และทุกครั้งเธอก็มักจะทำได้ไม่เคยพลาด

ก็เพราะเป็นเพื่อนกันนี่นา...เวลาเพื่อนทำผิดก็ต้องลากกลับมาในทางที่ถูกสิ...

เธอคิดเช่นนั้น...คิดเช่นนั้นพลางยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจและวิ่งจากไป มุ่งหน้าตรงไปยังบริเวณที่คิดว่าเขาคนนั้นน่าจะไปอยู่

********************************************

คุณเคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘ปาฏิหาริย์’ ไหม? สิ่งที่อยู่นอกเหนือเหตุผลของมนุษย์...สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายเป็นความจริงได้...

“ไม่ไหว...เริ่มออกอาการแล้วแฮะ...” ณ เชิงเขาซึ่งอยู่ห่างออกมาจากหมู่บ้านเด็กน้อย เด็กชายคนหนึ่งกำลังฝืนพละกำลังตัวเองปืนไต่ขึ้นไปบนทางหินลาดชันอยู่เพียงลำพัง...ตัวเขาซึ่งเพิ่งจะออกอาการฮึดสู้ไม่ยอมแพ้เมื่อครู่ เมื่อเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในหน้าอก หน้าของเขาก็เริ่มถอดสีขึ้นเรื่อยๆ

“ทั้งที่ปกติไม่น่าจะออกอาการไวขนาดนี้แท้ๆ นะ...ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้...โถ่เว้ย! อุตส่าห์หนีออกมาได้ทั้งที ถ้าไม่รีบล่ะก็ ยัยนั่นอาจจะ...” เด็กชายพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิด หันกลับไปมองเบื้องหลังทางลาดชันที่ตัวเองเพิ่งปีนขึ้นมาอย่างเคร่งเครียดพลางถอนหายใจ

ยามเมื่อเขาคิดจะหนีออกมาจากบ้านเมื่อไหร่เขามักจะวิ่งตรงมาที่นี่เป็นประจำ มันเป็นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวของเขาที่ทำให้เขาสามารถสูดลมหายใจเข้าปอดได้อย่างเต็มที่...เป็นที่ที่สบายที่สุดสำหรับเขา แต่ก็เป็นที่ที่เขาไม่สามารถแอบหลบมาได้เพียงลำพังเช่นเดียวกัน

หมู่บ้านของตัวเขานั้นตั้งอยู่ด้านข้างเชิงเขา ล้อมรอบไปด้วยผืนทะเลอันกว้างใหญ่...ว่าง่ายๆ ก็คือหมู่บ้านของเขานั้นเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนแหลม มีเชิงผาขนาดยักษ์ยื่นเข้าไปในทะเลสามารถป้องกันคลื่นยักษ์หรือภัยพิบัติต่างๆ ทางทะเลได้...

แต่ก็เพราะเหตุนั้นสายลมที่พัดพามาจึงไม่ค่อยบริสุทธิ์...เนื่องจากเป็นหมู่บ้านใต้หุบเขาจึงแทบไม่ค่อยมีสายลมพัดเข้ามาเสียเท่าไร...แต่ถ้าเขาได้ปีนขึ้นไปบนหุบเขานั่นล่ะก็...เรื่องราวมันก็อาจจะแตกต่างกันออกไป...

“ขอให้...ไปถึงหุบเขานั่นได้ด้วยดีด้วยเถอะ!!” เด็กชายเฝ้าภาวนากับตัวเอง ใช้มือข้างหนึ่งกดหน้าอกตัวเองเอาไว้ พลางปีนไต่ขึ้นไปบนเชิงเขาอย่างลำบากยากเข็ญ

เขาเกลียดสภาวะอุดอู้เช่นในบ้าน...แต่ถึงกระนั้นร่างกายของเขากลับปฏิเสธที่จะทำตามที่เขาต้องการ...เขาไม่สามารถออกไปจากสถานที่ที่แสนอุดอู้เช่นนั้นได้ มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเองที่เป็นเช่นนี้และเกลียดโรคร้ายที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไรนั่น

สิ่งที่มาทำลายอิสรภาพของเรา...หายไปซะได้ก็ดี...เขามักจะคิดเช่นนั้น แต่ไหนเลยที่ความคิดของเขาจะกลายเป็นความจริง...สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงแค่หลีกหนีความจริงออกมาหาสายลมบนหน้าผา...หลอกตัวเองไปวันๆ เช่นนี้...

อย่าเพิ่ง...ตามมาเจอเลยนะ...

เขาภาวนาเช่นนั้นขณะก้าวเท้าออกไป ปีนไต่ขึ้นไปตามทางลาดหินนั้น ขอให้เธอคนนั้นไม่มาเจอเขาในตอนนี้...ไม่เช่นนั้น...ไม่เช่นนั้นที่เขาหนีออกมาในคราวนี้ก็ไม่มีความหมายน่ะสิ...

และแล้วในที่สุดเขาก็สามารถปีนขึ้นมาจนถึงบริเวณสูงสุดได้...เมื่อหันกลับไปมองก็ไม่พบร่างของคนที่เขากำลังกลัวอยู่

‘ทำได้แล้ว...เราทำได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว!!’

เขาส่งเสียงร้องภายในใจตัวเองด้วยความยินดี รู้สึกลิงโลดเสียจนความเจ็บปวดภายในอกเริ่มเลือนหายไป...จากนั้น เขาก็ได้เผยยิ้ม และมุ่งหน้าตรงไปยังบริเวณเชิงหน้าผาที่ตัวเองต้องการ

ทว่าในขณะนั้น...เขากลับได้ยินเสียงเบาๆ ดังแว่วมาตามสายลม

ลา...ลา...ลา...ลา...

เสียงของบทเพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน...

เสียง...ของใครกันน่ะ?

เขาเริ่มเอ่ยถามเช่นนั้น มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมาก เพราะตลอดมานั้น แทบไม่มีใครในหมู่บ้านคิดอยากจะปีนขึ้นมาบนหน้าผาแห่งนี้เลย...

เพราะหน้าผาแห่งนี้อันตราย ผู้คนจึงไม่ค่อยกล้าปีนขึ้นมา...ทว่าต่อให้มันอันตรายเพียงเท่าไหน ถ้ามันสามารถทำให้เขารู้สึกเป็นอิสระได้ ตัวเขาซึ่งไม่เคยหวาดกลัวในสิ่งใดๆ ก็จะทำ...

เพราะฉะนั้น...มันจึงเป็นเรื่องน่าแปลกที่เขาจะมาได้ยินเสียงใครร้องเพลงอยู่บนเชิงผาเช่นนี้...

“ทางนั้นมัน...บริเวณที่เราจะไปนี่นา...?” ตัวเขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่เพราะความสงสัยที่อยู่ในใจผสมเข้ากับจุดมุ่งหมายตั้งแต่แรกเริ่มของตัวเอง จึงทำให้เขาตัดสินใจพาเท้าของตัวเองก้าวเดินไปตามเสียงนั้นโดยไม่ทันได้คิดอะไร

เสียงนั้นยังคงดังติดต่อกันไป...แถมเมื่อเขาก้าวเดินเข้าไปเสียงนั้นก็ยิ่งค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ...เป็นสิ่งช่วยยืนยันว่าเจ้าของเสียงนั้นจะต้องอยู่ที่เชิงผานั้นอย่างแน่นอน

และแล้ว...เขาก็ได้หลุดออกมาจากบริเวณต้นไม้แวดล้อม

สายลมพัดผ่านไป หอบเอากลีบใบไม้ให้ปลิวลับไปกับสายตา...ตัวเขาหลับตาลง ยกมือขึ้นป้องกันอันตรายจากสิ่งที่เจือปนมากับสายลมนั้น ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียง....บทเพลง...

บทเพลงซึ่งไม่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน...บทเพลงที่ประดุจดั่งเสียงของสายลม...

บทเพลงซึ่งล้อเล่นกับเสียงคลื่นกระทบหน้าผาเบื้องล่าง...เป็นบทเพลงที่บรรเลงคลอไปตามบรรยากาศเช่นนั้น...

บทเพลงเช่นนั้น เป็นบทเพลงที่ดังออกมาจากปากของเด็กสาวเพียงคนเดียว...เด็กสาวเพียงคนเดียวซึ่งนั่งอยู่บนโขดหินที่เขาเคยนั่งมาโดยตลอด...

ลา ลา ลา...ลาลา ลา...ลาลา ลา ลา...

บทเพลงที่ไพเราะประดุจสายลม...มันคือบทเพลงที่เขาได้ฟังในตอนนี้เอง...

“เออ คือ...”

“!?” ตัวเขาซึ่งตกอยู่ในความไม่เข้าใจได้เผลอส่งเสียงร้องเรียกเธอออกไป ตัวเธอได้ตกใจ หยุดเสียงร้องเพลงนั้นลงและหันกลับมามองเขา ดวงตาที่เป็นสีฟ้าใสดุจผืนนภาจับจ้องมองเขา...เส้นผมซึ่งเป็นสีเหลืองทองดุจแพรไหมโบกสะบัดไปมาอยู่ข้างตัว...

มันคือจุดเริ่มต้น...สำหรับการพบกันของพวกเขา และโศกนาฏกรรม ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาในอนาคตอีกไม่นานนี้...

**********************************************

“เธอ คือ....” เขาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสับสน ยื่นมือออกไปเล็กน้อยอย่างทำอะไรไม่ถูก ทว่าเธอกลับยังคงนิ่งเงียบ ไม่เข้าใจอะไรเลย

“เอ๋?” เด็กสาวส่งเสียงร้องออกมาได้เพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบไป ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดเช่นไรออกไปดี...

กับสถานการณ์เช่นนี้...ตัวเขาควรจะทำอย่างไร...เธอเป็นคนในหมู่บ้านงั้นเหรอ? แล้วเธอ...มาที่นี่เป็นครั้งแรกงั้นเหรอ?

“เออ...คุณ....มาจากหมู่บ้านงั้นเหรอ?” เขาตัดสินใจเอ่ยถามออกไป เธอสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกตัวเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่หลังจากนั้นเธอก็ยิ่งเผยสีหน้างุนงงมากขึ้นไปอีก...ราวกับกำลังสงสัยว่าตัวเขานั้นกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่

“เออ...หมู่บ้าน...คืออะไรเหรอคะ?”

“.....” ตัวเขานิ่งอึ้ง ไม่เข้าใจเลยว่าเธอพูดอะไร...จนกระทั่งสามารถตั้งสติทำความเข้าใจได้ เขาก็ได้เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “ธะ...เธอ...ไม่รู้จักหมู่บ้านเหรอ? ที่อยู่ด้านล่างเชิงเขานี่ไง”

“.....” เด็กสาวคนนั้นเอียงคอไปเล็กน้อย สีหน้าคล้ายไม่เข้าใจ ตัวเขาพยายามคิดหาทางที่จะอธิบายให้เธอฟัง ทว่าพอพูดไปได้สักพักเขาก็รู้...เขาไม่มีทางอธิบายเรื่องหมู่บ้านนั้นให้เธอเข้าใจได้แน่...

“อ่า...หมู่บ้านอะไรของพวกมนุษย์นั้นฉันไม่รู้หรอก ก็ฉันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมนุษย์อย่างพวกเธอเลยนี่นา...”

“เกี่ยวกับมนุษย์....อย่างพวกผม....งั้นเหรอ?” เพสประหลาดใจ เขาเบิกตากว้างแล้วก็กว้างอีก จับจ้องมองเด็กสาวด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ จนกระทั่งเด็กสาวเผยยิ้มและส่งเสียงหัวเราะออกมา เขาจึงเพิ่งรู้สึกตัว

เด็กสาวคนนี้...มีความรู้สึกที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป...

อาจจะเป็นที่เส้นผม...เส้นผมของเธอนั้นเป็นสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์มากเกินไป...ดูราวกับเส้นไหมจากสวรรค์ งดงามราวกับเป็นผลผลิตจากพระเจ้าโดยตรงก็ไม่ปาน...

อาจจะเป็นความงดงามจากดวงตาคู่นั้น...ดวงตาที่สว่างใสราวกับท้องฟ้ายามโปร่งเมฆ แต่ในขณะเดียวกันก็เปล่งประกายดุจดั่งลูกแก้วเจียระไน...

อาจจะเป็นท่าทางของเธอ...ท่าทางที่ดูสูงส่งอย่างไม่ชวนคุ้นเคย...ถ้าเป็นคนในหมู่บ้านเขาอาจจะไม่รู้สึกแปลกประหลาดเหมือนในคราวนี้ ทว่าในคราวนี้เขากลับรู้สึกเช่นนั้น...

อาจจะเป็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ...ทุกอย่างที่รวมกันอยู่ในตัวเธอ...เป็นความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร...

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม...การที่จะบอกว่าเธอนั้นไม่ใช่มนุษย์ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงที่โหดร้ายเกินไป....ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยเจออะไรที่ ‘ไม่ใช่มนุษย์’ มาก่อน...ไม่สิ...เขาไม่เคยเจอผู้คนที่อยู่ในโลกภายนอกนอกจากคนที่อยู่ในหมู่บ้านเลยเสียมากกว่า...

“เธอ...เป็นใครกัน?” เขาเอ่ยถามออกไป รู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นเครือ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่สนใจและจับจ้องมองเธอต่อไป

“ฉันเหรอ...ฉันเป็นภูติน่ะ ถ้าในความคิดของมนุษย์ก็คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่แต่ในนิทานนั่นแหละ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

เธอเอ่ยออกมา...เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ใสกระจ่างและท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว...เธอไม่ใส่ใจเลยว่าเรื่องที่เธอกำลังพูดอยู่คืออะไร ทว่าท่าทางเช่นนั้นกลับทำให้เขารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นความจริง...

ภูติ...ตัวตนที่มีอยู่แต่เพียงแค่ในนิทาน...เรื่องราวปาฏิหาริย์ที่ไม่มีวันเป็นจริง...บัดนี้เธอคนนี้ได้บอกว่าเธอเป็นตัวตนที่ไม่มีอยู่จริงนั้นแล้ว...

ทว่าเขาจะเชื่อได้อย่างไรว่ามันเป็นความจริง...

“หลักฐานล่ะ?”

“มนุษย์เนี่ย ต้องการของที่มั่นคงเพื่อพิสูจน์ความจริงสินะ...?”

“.....” เพสนิ่งอึ้งไป ตอบคำถามของเธอไม่ได้... ทว่าเขาก็ได้แต่เบนสายตาไป ไม่กล้าหันกลับไปมองสายตาของเธออีก

“ล้อเล่นน่า ถ้าหลักฐานล่ะก็มีสิ ของง่ายๆ ด้วย ฮ่าๆๆๆๆ”

“?” เด็กสาวส่งเสียงหัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะที่ใสกระจ่างดุจดั่งกระดิ่งลม...เสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนไม่ว่าจะจากใครในหมู่บ้านของเขาก็ตาม...

สายลมพัดผ่านมา เธอได้หันกลับมามองเขา ขณะเดียวกันเหตุการณ์ที่แสนแปลกประหลาดนั้น ก็ได้บังเกิดขึ้นมาอย่างช้าๆ

“!!” ตัวเขาเบิกตากว้าง จับจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ...ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว...ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ มันก็เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

“ไง คราวนี้เชื่อฉันได้แล้วหรือยังว่าฉันไม่ใช่มนุษย์น่ะ”

“.....” ตัวเขาได้แต่เพียงเบิกตากว้าง จับจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อสายตา กลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก

เธอคนนั้น....อาจไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ก็เป็นได้...

ถ้ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถลอยตัวขึ้นไปบนฟ้าได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เชือกใดๆ มาคอยขึงดึงเอาไว้ล่ะก็...เขาก็อาจจะยังไม่เชื่อว่าเธอคนนี้ไม่ใช่มนุษย์...ทว่าจุดที่เธอยืนอยู่คือเบื้องใต้ท้องฟ้าสีคราม...เมฆสีขาวไร้รูปร่างยังคงลอยเอื่อยอยู่เบื้องบน...ไม่มีกิ่งไม่ใดๆ ยื่นมาบริเวณที่เธออยู่เลย เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะใช้เชือกค้ำยันตัวเองอยู่

“นี่เธอ....เป็นภูติจริงๆ เหรอ?”

“มีปีกด้วยนะ ดูไหมล่ะ?”

“?” เพสเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ในตอนนั้นเธอก็เผยยิ้มแล้วกางปีกของเธอออกมาแล้ว...

ปีกสีขาวสะอาด...มีเส้นใยสีชมพูแผ่กระจายออกไปตามส่วนต่างๆ ของปีก...เป็นปีกที่มีลักษณะเหมือนปีกแมลงปอ และเป็นปีกที่เหมือนจริงมาก...ดูไม่ออกว่ามันจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อลอกเลียนแบบ

“งั้นนี่ก็....เป็นความจริง?” เขาพึมพำออกมาเช่นนั้นด้วยสีหน้ามึนงง หลังจากนั้นตัวเธอซึ่งลอยตัวอยู่เหนือเขาก็ได้ยิ้มออกมา “อยากให้พิสูจน์อะไรเพิ่มเติมอีกไหมล่ะ?”

ด้วยเหตุนั้น...พวกเขาทั้งสองคนจึงได้พบเจอกัน...แม้ตามความคิดของเพสแล้ว ภูตินั้นมักจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้อาย...เมื่อมีคนเข้ามาทักก็จะบินหนีไปทันที อีกทั้งยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเพียงเท่าฝ่ามือของคนทั่วไป ดังนั้นเมื่อได้มาเห็นเธอคนนี้เข้าแล้ว...เขาจึงเกิดความรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมาแปลกๆ...คล้ายภาพพจน์ในนิทานของเขากำลังถูกทำลายลงไปจนย่อยยับ

“แล้วเธอ...ปกติอยู่ที่นี่งั้นเหรอ? ไม่เคยเห็นได้ยินเลยว่ามีภูติมาบินไปบินมาอยู่แถวนี้ด้วย?” ถามออกไปด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ...อันที่จริงตัวเขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นคำถามที่แสนจะไร้สาระ...กับแค่ข่าวลือว่ามีภูติอาศัยอยู่บนโลกก็ยังไม่มีเลย...แล้วจะไปมีข่าวลือว่ามีภูติมาบินเล่นอยู่แถวนี้ได้อย่างไร...

“ฮะๆๆๆๆ ไม่ใช่หรอก ฉันเดินทางผ่านมาน่ะ ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างฝึกวิชา เพราะฉะนั้นจึงต้องเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อฝึกวิชาไง!”

“ฝึกวิชา...งั้นเหรอ...ร่างกายแบบเธอเนี่ยนะ?” เพสหรี่ตาลงก้มหน้ามองตามร่างของเธอที่นั่งอยู่บนโขดหินด้านข้าง....ร่างกายที่ผอมบางเสียจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นร่างกายของคนที่ฝึกวิชามา...มองดูคล้ายร่างกายของเด็กสาวธรรมดาที่ไม่เคยคิดจะออกกำลังกายเสียมากกว่า

“เสียมารยาทนะ! ฉันไม่ได้ฝึกวิชาที่ป่าเถื่อนอย่างที่นายกำลังคิดอยู่สักหน่อย แต่กำลังฝึกวิชาของสายลมอยู่ต่างหาก!!”

“วิชาของสายลม...งั้นเหรอ?” เพสยิ่งไม่เข้าใจ...วิชาของสายลมงั้นเหรอ...ของแบบนั้นมีอยู่ด้วยงั้นเหรอ?

“ใช่แล้ว! วิชาของสายลม...สายลมน่ะพัดพาไปทางไหนก็มักจะเกิดเสียง วิชาที่ฉันฝึกก็คือวิชาที่ฝึกให้สามารถทำเสียงได้เหมือนสายลม...หรือก็คือวิชาของสายลมยังไงล่ะ!”

“....”

สรุปก็คือ...เธอคนนั้นกำลังเดินทางเพื่อฝึกร้องเพลงเลียนเสียงธรรมชาติอยู่...จะว่าไปถึงจะบอกว่าเป็นวิชาของสายลมก็เถอะ แต่เสียงเพลงของเธอเองก็คลอไปกับเสียงคลื่นทะเลเหมือนกัน...ช่างเป็นเสียงเพลงที่แสนจะแปลกประหลาดเสียจริงๆ...

“ส่วนนายก็....เป็นคนที่มาจากไอ้หมู่บ้านอะไรนั่นที่นายบอกงั้นเหรอ....มันคืออะไรน่ะ?”

“เออ...คือ...” อยู่ดีๆ เธอก็เปิดประเด็นขึ้นมาเช่นนั้น เพสทำอะไรไม่ได้ ได้เพียงแต่เลิกลักไปอย่างทำอะไรไม่ถูกเท่านั้น

“เออ...เอิ่ม...เธอเห็นพวกกลุ่มที่อยู่อาศัยที่อยู่ใต้เนินเขานี่ไหม?”

“อ้อ...อันนั้นน่ะเหรอ...ฉันเองก็คิดว่าเป็นกลุ่มเห็ดขนาดใหญ่เสียอีก”

“.....” เด็กสาวมองไปตามสายตาที่เด็กชายชี้ เห็นหมู่บ้านที่เขาว่าก็ทักว่าเป็นกลุ่มเห็ด...ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่อาจพูดอะไรออกมาได้นอกจากนิ่งเงียบไปอย่างทำอะไรไม่ถูกเท่านั้น

“ก็นั่นแหละหมู่บ้าน...เป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยของพวกเราน่ะ...ปกติจะอาศัยอยู่รวมกันหลายๆ คน”

“เห...น่าสนุกจังเลยนะ อาศัยอยู่รวมกันหลายๆ คนเนี่ย...จากนั้นก็ร้องรำทำเพลงกันด้วยใช่ไหม!?”

“อ่า...มันก็ ราวๆ นั้นล่ะนะ...” เพสเผยยิ้มเจื่อนๆ ออกมา เขาจ้องมองเธอด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงไปด้วยสีหน้าที่มืดสนิท

ร้องรำทำเพลงงั้นเหรอ....ถ้าเกิดตัวเขาสามารถทำอะไรแบบนั้นได้มันก็คงจะดีสินะ...

“อยากลองไปดูจังเลยนะ...ที่หมู่บ้านนั้น...นายจะพาฉันไปเยี่ยมชมหน่อยได้ไหม?”

“เอ๋?” เพสส่งเสียงร้องเบาๆ จ้องมองเธอคนนั้นด้วยดวงตาที่เบิกโพล่ง

“มะ....ไม่ได้หรอก! มะ...ไม่ได้จริงๆ นะ!!”

“ทำไมล่ะ...”

“เอ๋? อ่า...คือ...” แต่แล้วเขาก็สะดุดความคิดลงไป...ถ้าเขาพูด เขาก็คงจะต้องเล่าเรื่องโรคที่เขาเป็นอยู่ให้เธอรู้...

“อะ...เอาเป็นว่ามันไม่ค่อยสะดวกหลายอย่างนะ...ถ้าเธออยากเดินเล่นด้วยฉันค่อยแนะนำให้เธอรู้จักคนอื่นแล้วกัน”

“เห....ไม่เอาหรอก ก็ฉันรู้จักแค่นายคนเดียวนี่นา...ดูนายเป็นคนดีด้วย ฉันไม่ค่อยเข้าใจพวกมนุษย์คนอื่นๆ นักหรอก”

“เอ๋?” เพสเผยสีหน้าสงสัย เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอกำลังหมายความว่าอย่างไร ทว่าดูเหมือนเธอจะไม่คิดที่จะตอบเขา ท้ายที่สุดเขาก็ได้ตัดใจและนึกถึงเรื่องสำคัญออก

“จริงสินะ...ชื่อของเธอ...”

“เอ๋?” เด็กสาวหันมามองเขา ดวงตาสีฟ้าครามเปล่งประกายเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย

“ชื่อของเธอ...ฉันชื่อ ‘เพส’ นะ....จะยินดีไหม? ถ้าฉันอยากจะรู้ชื่อของเธอหน่อยน่ะ”

“เพส...งั้นเหรอ...เป็นชื่อที่ดีนะ”

“.....” เพสอายไปเล็กน้อย เขายกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง จากนั้นเธอจึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ฉันชื่อ ‘คุนทาเร่’ นะ...เป็นภาษาภูติน่ะ อาจเรียกยากไปหน่อยสำหรับมนุษย์ทั่วไปอย่างนาย ยินดีที่ได้รู้จัก”

“คุน...ทาเร่...งั้นเหรอ?” เพสเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย พึมพำชื่อนั้นออกมาด้วยความรู้สึกที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ

คุนทาเร่...ถ้าจะให้เขาพูดมันก็ดูเหมือนจะเป็นชื่อที่แปลกประหลาดไปสักนิดหนึ่ง...ทว่าถ้าเกิดเรียกไปเรื่อยๆ ก็อาจจะเคยชินไปเอง...ไม่ใช่ชื่อที่เรียกยากเกินไปอย่างที่เธอคิดแต่อย่างใด

“ถ้าอย่างนั้นคุณคุนทาเร่...ยินดีที่ได้รู้จัก...”

“ฮะๆๆๆๆๆ เรียกคุณทาเร่เฉยๆ ก็ได้นะ หรือไม่จะเรียกฉันว่า ‘คุน’ เฉยๆ ก็ได้”

“อะ...เอ๋!?” เพสสับสนไปชั่วขณะหนึ่ง เขาประหลาดใจที่เธอบอกให้เขาเรียกชื่อเธอห้วนๆ เฉยๆ เรื่องนั้นจะเป็นยังไงอาจไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญก็คือ...เขาจะสามารถเรียกชื่อคนที่เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรกแบบห้วนๆ ได้อย่างนั้นเหรอ?

แต่เขาเองก็ไม่ปฏิเสธว่าคุนทาเร่นั้นออกเสียงยาวเกินไป...กว่าจะเรียกเสร็จเขาก็คงจะเบื่อเสียก่อน ถ้าอย่างนั้นมันก็คงจะไม่เป็นอะไร...สินะ?

“คุน....งั้นเหรอ?”

“อื้ม!” คุนพยักหน้าเอ่ยตอบสีหน้าดีใจ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั้น ความรู้สึกผิดที่ต้องเรียกชื่อของคนที่เพิ่งรู้จักแบบห้วนๆ ก็พลันปลิวหายไปอย่างรวดเร็ว...

“เพส...อยู่ที่นี่ใช่ไหม...?”

“ยะ...แย่แล้ว!!”

“?” ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียง...เสียงร้องเรียกของคนที่เขารู้จักที่สุด ยักษ์มารที่เขาพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดตั้งแต่ตอนที่คิดจะหนีออกจากบ้านมาแล้ว...

เพื่อนสนิทสมัยเด็กของเขาที่ชื่อว่า ‘เจโล’ นั่นเอง...

“ทะ...ทำยังไงดี!? ลืมหนีไปก่อนที่ยัยนั่นจะมาเสียสนิทเลย!!”

“อะ...เอ๋?” เพสกระโดดลุกขึ้นยืน ตะโกนร้องออกมาด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก คุนทาเร่ได้แต่เพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้มไม่เข้าใจ และในตอนนั้นเองเสียงร้องตะโกนด้วยความกราดเกรี้ยวของใครคนนั้นก็ได้ดังขึ้นมา

“อ๋า!! เพสอยู่ทางนั้นใช่ไหม!!? รีบกลับมาเลยนะ ถ้าอาการของนายทรุดลงไปอีกจะทำยังไง!!?”

“ว้ากกกกกกกกกกกกก!! อย่าเข้ามาน้า!!!! อะ...อุ้บ!!”

“!!” สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันดับถัดมานั้นทำเอาคุนทาเร่แทบตั้งสติไม่อยู่...เธอไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงร่างของเขาที่ทรุดล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเท่านั้น...

ตัวเขากุมท้องตัวเองแน่น ลำตัวหงิกงอไปคล้ายกุ้งที่โดนโยนลงเตาไฟ....ฝ่ามือจิกทึ้งลงไปภายในผืนดิน สำลักน้ำลายตัวเองออกมาทั้งที่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น...

เธอไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น...ได้แต่แต่ยืนนิ่ง จับตามองเขาอยู่ด้วยอาการทำอะไรไม่ถูกเท่านั้น...

ทว่าในตอนนั้นใครคนหนึ่งก็ได้กระโดดพุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้...เมื่อสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเธอก็ปิดปาก ส่งเสียงหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ “เพส!!”

“!!” คุนตกใจเสียงร้องของเธอคนนั้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความไม่เข้าใจ และในตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ได้พุ่งตรงมาผลักตัวเธอออกไป พร้อมก้มตัวลงไปอุ้มพาเพสขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“!!” ชั่ววินาทีที่สังเกตมองเขาในอ้อมแขนของเธอแล้ว เธอคนนั้นก็ได้เหลือบสายตากลับมามองคุนทาเร่ด้วยสีหน้าเย็นชา...เป็นสีหน้าที่ทำให้คุนทาเร่ถึงกับสะดุ้งตกใจ ก้าวเท้าหลีกไปด้านหลังทำอะไรไม่ถูก ทว่าหลังจากนั้นเธอคนนั้นก็หันกลับไป พาเขาคนนั้นเดินจากไปและไม่หันกลับมามองเธออีกเลย...

เขาคนนั้น....เป็นอะไร?

เมื่อครู่นี้....เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

ทว่าคนที่สามารถตอบคำถามนั้นให้เธอได้...กลับไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้เสียแล้ว...

เขาจะมา...อีกไหมนะ?

เธอเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา ทว่าเธอกลับไม่เข้าใจเลยว่าเพราะอะไรเธอจึงรู้สึกเช่นนั้น...

เพราะเพิ่งได้พบเจอคนที่พูดคุยกันได้สนุกขนาดนี้งั้นเหรอ?

อาจจะเป็น....แบบนั้นก็เป็นได้...

“อยากเจอเขา...อีกจังเลย...” เด็กสาวพึมพำออกมาเบาๆ ทว่าเธอก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำเช่นไรต่อไป

จนกว่าจะได้พบเจอเขาคนนั้นอีกครั้ง...

***************************************************

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา