See you again.

4.0

เขียนโดย diamon

วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 05.51 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,719 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2556 06.52 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เพทาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แสงแดดอ่อนๆยามเช้าส่องกระทบกับเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ของหญิงสาวร่างบาง ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่  เธอยืนอยู่ตรงกึ่งกลางของสะพานลอยแห่งหนึ่ง เหม่อมองดูท้องถนนอันพลุกพล่านไปด้วยขบวนยานพาหนะที่เบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น เลียงคันเร่ง เสียงแตรรถ ที่ดังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั้นเอง ที่เป็นสิ่งเตือนใจของเธอว่า เรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ และการแข่งขัน เรานั้นก็ไม่ต่างจากรถพวกนี้หรอก บนถนนเส้นนี้นั้น ผู้คนสามารถยอมทำทุกทาง เพียงเพื่อให้ตนได้ก้าวไปข้างหน้า และถึงแม้ว่าจะมีรถคันอื่นขวางหน้าอยู่ เขาเหล่านั้นก็พร้อมที่จะเบียดให้ออกจากเส้นทางโดยที่ไม่ใส่ใจเลยว่ารถคันอื่นจะเป็นเช่นไรต่อไป

                ความเห็นแก่ตัวนั้นช่างหน้าสมเพศ เพียงเพราะต้องการที่จะไปถึงจุดหมายปลายทาง เพียงเท่านั้นเองหรือที่ทำให้เขาเหล่านั้นยอมมองข้ามคุณค่าของชีวิต ยอมเอาเปรียบผู้อื่น ยอมทำร้ายน้ำใจผู้อื่น นี่หรือคือเส้นทางในการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่มีระบบการทำงานของสมองซับซ้อนดังเช่นมนุษย์ ผู้ที่บอกว่าตนคือสัตย์ประเสริฐ ผู้ที่บอกว่าตนคือผู้ซึ่งเจริญแล้ว เหตุใดเล่าการกระทำของพวกเขาจึงไม่ต่างจากฝูงแร้งที่หิวโหยซึ่งอำนาจอันสกปรกและเน่าเหม็น

                “น่ารังเกียจ” คือคือคำที่หญิงสาวอายุ18ปีผู้นี้มอบให้กับความเห็นแก่ตัวเหล่านั้น ก่อนหน้านี้โลกของเธอช่างสวยงาม และเต็มไปด้วยความสนุก ชีวิตก่อนที่เธอจะมาที่นี้ มันดูเป็นชีวิตจริงๆ มิใช่เพียงภาพมายาที่ถูกกิเลศขีดทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ เธอเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอก ครอบครัวร้าวฉาน แม่ของเธอจากไปได้ไม่นานนัก พ่อของเธอก็มีครอบครัวใหม่ ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงของเธอมีลูกติดมาด้วย เป็นผู้ชายและมีอายุมากกว่าเธอเพียงไม่กี่ปี เดาจากความคิดความอ่านอันเต็มไปด้วยความโศกเศร้านี้คงตีความได้ว่าเธอถูกทำร้ายจิตใจมามากมายเพียงใด

                เธอหนีความทุกข์ทรมานใจแสนสาหัส จากการกระทำของผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ในเมืองใหญ่ ที่ซึ่งห่างไกลจากบ้าน จากความเศร้า และในทางตรงกันข้าม มันกลับห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่าชีวิตมากขึ้นทุกวัน

                                “สำหรับฉันน่ะ ปลายทางมันไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่ว่าระหว่างทางเราผ่านอะไรมาบ้างต่างหากล่ะ”

                เธอมักบอกทุกคนแบบนี้ ใช่แล้ว นั่นคือทัศนคติอันสวยงามของเด็กสาวอายุ18ปี ซึ่งผ่านโลกมาไม่มากพอ เติบโตในเมืองเล็กๆซึ่งมีห้างสรรพสินค้าเพียงแห่งเดียว นอกนั้นเป็นร้านสะดวกซื้อที่แข่งกันเปิดอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ประชากรในเมืองของเธอนั้นไม่มากนักจึงทำให้ธุรกิจที่พยายามจะเข้ามาทำการตลาดในเมืองนี้ทยอยปิดกิจการไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีรายใหม่ที่เข้ามาลงทุนหมุนเวียนกันไป แต่เพราะชาวบ้านนั้นเป็นคนอดมื้อกินกินมื้อ ทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆทั้งนั้น จึงทำให้ไม่มีปัญญาเข้าไปซื้อสินค้าที่มีราคาแพง ซ้ำยังบวกเงินภาษีเข้าไปอีก สู้เก็บผักเก็บหญ้ากินตามภูมิปัญญาชาวบ้านยังดีกว่า

                สำหรับเธอนั้น ดีซะอีกที่ชาวบ้านไม่เห่อไปตามกระแสนิยม อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนาที่มีความรู้ไม่มากนักจึงทำให้ไม่กล้าเปลี่ยนไปตามกระแสนิยม มันทำให้เมืองของเธอไม่วุ่นวายนัก แต่ที่สำคัญคือ มันทำให้เศรษฐกิจอิ่มตัว!

                “ที่เมืองใหญ่มีดีอะไร ทำไมพี่เพต้องไปด้วย”

เสียงของน้องสาวตัวน้อยข้างบ้านที่ชอบมาเล่นกับเธอบ่อยๆ ยังคงดังก้องมาในจินตนาการ

                “ที่นั่นน่ะเหรอ มีบ้านหลังใหญ่ๆเหมือนปราสาทของเจ้าหญิง ที่พวกคนรวยๆเขาอยู่กัน มีรถเยอะแยะ แถมถนนก็ใหญ่กว่าเมืองของเราด้วยนะ คนที่นั้นก็เยอะ ถ้าพี่ไปพี่ก็จะมีงาน มีเงิน ลุงเพชรแกจะได้ไม่ต้องทำงานหนักไง”

                เธอพยายามอธิบายให้เป็นภาษาที่เด็ก6ขวบคนนี้จะเข้าใจได้ง่ายที่สุด

                “ไม่เห็นเข้าใจเลย ดูอย่างตอนบ้านเรามีงานเทศการสิ ถึงหนูจะชอบของเล่นกับการแสดงก็เถอะ แต่หนูไม่ชอบคนเยอะๆเลย มันอึดอัดจะตาย พี่เพต้องทำงานใช่มั้ยล่ะถ้าเข้าไปอยู่เมืองน่ะ อาม่าบอกว่าลุงเพชรมีภาระเยอะ ส่งพี่เพเรียนโรงเรียนแพงๆแบบนั้นไม่ไหว”

                “จริงๆเขาเรียกว่ามหาวิทยาลัยนะ ช่างเถอะ เอาเป็นว่ารอบหน้าถ้าพี่กลับมาจะซื้อตุ๊กตามาฝาก โอเคมั้ย”

                ติ่มซำเป็นเด็กที่มองเพทายเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต นายเพชรพ่อแท้ๆของเพทายบอกกับเธอว่า

                “ติ่มซำน่ะเขาเหมือนเพมากเลยนะ”

                “ยังไงคะ ติ่มซำเขาหน้าหมวยออกขนาดนั้น จะเหมือนได้ยังไงกัน”

                “ทั้งท่าทางการเดิน การวิ่ง ความคิด การพูด และที่เหมือนเพที่สุดก็คือรอยยิ้มแบบนี้ไงล่ะ อย่างกับฝาแฝดเลย”

                เพทายคิดว่า ถ้าเธออยากบินได้ ขอเพียงแค่กล้าบิน แต่ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีเพื่อนเลยซักคนเดียว ขนาดงานกลุ่มเธอยังต้องทำคนเดียว ไม่มีชื่อเพื่อนคนอื่นอยู่ในงาน ไม่มีใครอยากคบเธอ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นเด็กบ้านนอก ไม่ใช่เพราะเธอเรียนไม่เก่ง แต่เพราะเธอไม่ยอมไปเรียน จนทำให้ไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าคบกับเธอ เพราะถ้าคบกับเธอ เธอจะกลายเป็นภาระของพวกเขาทันที เมื่อไม่ได้เจอหน้าใครเลย ก็คงไม่แปลกที่จะไม่มีเพื่อนสนิท

                ที่ไม่ไปเพราะเธอเบื่อการสวมหน้ากากของคนเมืองนี้ การไขว่คว้ามาซึ่งคะแนนเพียงไม่กี่คะแนน การเอาหน้า การเอาเปรียบ จะให้เธอเป็นเพื่อนกับคนพวกนี้น่ะหรือ ไม่มีทาง สู้เธออยู่คนเดียว ทำทุกอย่างเองคนเดียวยังดีกว่า เทอมแรกจบลงด้วยสิ่งที่เรียกว่าF นั่นคือบทลงโทษของเธอ

เทอมที่สองเธอเริ่มต้นใหม่ ไปเรียนบ่อยขึ้น แต่Fที่ค้างอยู่ ยังคงเป็นภาระอันหนักอึ้ง งานก็ยังต้องทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ไม่มีสักวันที่เธอจะไม่คิดถึงบ้าน ไม่คิดถึงพ่อ การไม่เจอกันทำให้เธอห่วงพ่อของเธอจับใจ กลัวว่าใครจะเอาเปรียบพ่อของเธอ ผู้หญิงคนนั้นจะของเงินพ่อเธอมากเกินไป จนทำให้พ่อต้องทำงานหนัก กลัวพ่อจะเหนื่อย กลัวพ่อจะอด แต่จะให้กลับบ้านนั้น ก็ไม่มีเงินมากพอ เด็กอายุ18ที่ต้องจากบ้านมาเช่นนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะต้องพบกับความล้มเหลวบ้างเป็นบางครั้ง เธอไม่ใช่คนที่หน้าตาสระสวยเท่าไรนัก นั่งจึงไม่แปลก หากเธอจะไม่ใช่จุดสนใจของใคร ประเด็นคือเธอไม่มีเพื่อน และแม้จะอยู่ที่นี่มานนานกว่าหนึ่งปี แต่เธอก็ไร้ที่พึ่งเช่นเดิม เธออาจมีปัญหาด้านการเข้าสังคม หรือเธออาจไม่ชอบการอยู่เป็นหมู่คณะ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของเพทายในนาทีนี้ เธออยากจะหนีไปจากโลกเบี้ยวๆใบนี้สักพัก เธอต้องการพื้นที่เล็กๆที่จะให้เธอได้รู้จักกับชีวิตอีกครั้ง

                “การใช้ชีวิตที่ไร้ชีวิตชีวา นั่นก็ไม่ต่างจากคนที่ได้ตายไปแล้ว”

นั่นคืออีกทัศนคติของเธอ หมายความว่าเธอกำลังรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ตายจากโลกไปแล้ว เพราะเป็นปีแล้วที่การใช้ชีวิตของเธอยังอยู่ห่างจากจุดที่เรียกว่าความสุขนัก

                เช้าวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสเป็นพิเศษ วันนี้เธอต้องออกเดินทางไปกันคณะของเธอ เธออาจรู้สึกตื่นเต้น เพราะนานแล้วที่เธอไม่ได้ไปทะเลเลย เธอชอบเสียงคลื่น มันมีมนต์เสน่ห์อันน่าอัศจรรย์ และสีฟ้าครามของน้ำทะเล ก็ทำให้เธอรู้สึกพิศวงศ์ ลึกๆแล้วเพทายแอบจินตนาการไว้ว่าเธอจะได้พบกับนางเงือก หรืออาจจะเป็นสัตว์ในเทพนิยายชนิดอื่น แน่ล่ะ มันเป็นแค่ฝันของเด็กสาวอายุ18อย่างเธอ แต่โลกสีรุ้งในฝันมันดีกว่าโลกแห่งความจริงที่ทุกอย่างเป็นสีเทาแบบนี้

……………………………………………

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา