อัญมณีสีบาป

-

เขียนโดย meenkal

วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 01.36 น.

  11 ตอน
  4 วิจารณ์
  12.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 22.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ตอนที่ 6 สมบัติที่หายไป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 6

สมบัติที่หายไป

 

 

 

                หลังจากที่คิรากรออกมาจากบ้านจิรโชติยานนท์  เขาก็แวะเข้าโรงพยาบาล  กว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบเย็น

               “กลับมาแล้วหรอตากร”

                “ครับ”  เขาตอบเสียงเรียบปราศจากรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง

                อัญชลีสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติของลูกชาย  แต่พยายามทำเป็นมองไม่เห็นและพูดด้วยน้ำเสียงปกติเช่นเดิม

                “เป็นยังไงบ้าง  ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”

                “ทำไมคุณแม่ไม่บอกผมล่ะครับ”  คิรากรถามผู้เป็นแม่อย่างไม่เข้าใจ  เขาพยายามอดทนแล้วที่จะไม่พูดถึงมันและทำเป็นไม่สนใจ  แต่เขาทนไม่ไหวจริงๆ

                “เรื่องอะไร”  อัญชลีขมวดคิ้ว  พอจะรู้แล้วว่าลูกชายหมายถึงอะไร

                “ที่ผ่านมาผมเข้าใจผิดไปเอง หรือว่าคุณแม่หลอกผมกันแน่ครับ”

                “แม่ไปหลอกอะไรลูก”

                “ก็เรื่องที่ผมต้องไปอยู่ที่นั่นหลังจากที่ผมตกลงรับหน้าที่ต่อจากพ่อยังไงครับ  และยิ่งไปกว่านั้นคือคุณแม่เป็นคนเสนอให้พวกเขาเอง”

                อัญชลีสะอึก  ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติ  มองหน้าลูกชายที่เต็มไปด้วยแววตาที่เศร้าหมอง

                “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันครับ”

                “ฟังแม่ก่อนน่ะตากร  ที่แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อครอบครัวของเราน่ะลูก   ลูกต้องนำของสำคัญของตระกูลเรากลับมาให้เร็วที่สุด  หน้าที่ของลูกคือหาของสำคัญของตระกูลเราให้เจอ  และมันก็มีวิธีเดียวคือลูกต้องเข้าไปอยู่ที่นั่น  ส่วนการรักษารัตติกาลมันเป็นแค่หน้าที่รองเท่านั้น”

                “คุณแม่ยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องนั้นอีกหรือครับ  ที่ผ่านมาคุณพ่อต้องมาตายไม่ใช่เพราะไอ้ของสิ่งนั้นหรอกหรือไงครับ”

                “แต่ของสิ่งนั้นมันสำคัญกับตระกูลเราน่ะลูก  ตั้งแต่มันหายไปลูกก็รู้ว่าครอบครัวเราต้องพบเจอกับอะไรบ้าง  แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน  เราต้องรีบนำมันกลับมาให้ได้  ครอบครัวของเราจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”

                “คุณแม่พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงกันครับ”

                “ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น  ทำตามที่แม่สั่งก็พอ”

                “ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงครับ  ผมไม่อยากอยู่ที่นั่นคุณแม่ก็รู้ดีกว่าใคร  ทำไมต้องบังคับผมด้วย”

                “แล้วลูกไม่อยากรู้หรือไงว่าพ่อของลูกตายเพราะอะไร”

                คิรากรเงียบ! อัญชลีสะกิดได้ถูกจุดพอดี  ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  สิ่งที่คิรากรอยากรู้มากที่สุดก็คือสาเหตุการตายของผู้เป็นพ่อ

                คิรากรอยากรู้ถึงสาเหตุการตายของบิดา  ที่อยู่ดีๆก็เกิดหัวใจหยุดเต้นกะทันหันในขณะที่กำลังตรวจอาการของรัตติกาลในคฤหาสน์หลังนั้น  เขาและครอบครัวหัวใจแทบสลายเมื่อได้รับข่าวจากโรงพยาบาล   เขารู้ดีว่าถึงยังไงวันนั้นจะต้องมาถึงเพราะผู้เป็นพ่อมีโรคประจำตัวซึ่งก็คือโรคหัวใจ   แต่สิ่งที่ทำให้เขาและครอบครัวประหลาดใจก็คือวันที่เขาไปรับศพ บุรุษพยาบาลที่คอยดูแลศพบอกเขาว่าร่างกายของศพมีเหงื่อไหลออกมาตลอดเวลาซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลก  เขาลองสังเกตดูซึ่งมันก็มีเหงื่อไหลออกมาจริงๆ   คิรากรลองเอานิ้วไปแตะ เพียงแค่นิ้วได้สัมผัสมันเบาๆกลิ่นก็ตีเข้าจมูกเขาทันที  มันไม่ใช่เหงื่อและมันก็มีกลิ่นแปลกๆ  สักพักเขาเริ่มรู้สึกปวดแสบบริเวณนิ้วที่ไปสัมผัส   เขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นนิ้วตัวเองเริ่มพองและแดงขึ้นราวกับถูกน้ำร้อนลวก   นี่มันอะไรกัน!!  เขาพยายามถามสาเหตุการตายของผู้เป็นพ่อจากครอบครัวนั่นแต่กลับไม่มีใครปริปากพูดออกมาสักคำ  บอกเพียงแค่ว่าหมอปรานต์กำลังตรวจอาการของรัตติกาลอยู่ดีๆก็ล้มลงพับกับพื้น  มันอาจจะเป็นคำตอบที่ทำให้เขาเชื่อถ้าไม่ไปเจอกับเหงื่อปริศนานั่นซะก่อน เวลาเขาถามอะไรพวกเขาก็ตอบโดยที่ไม่ยอมสบสายตาโดยเฉพาะคันธรสที่ดูเหมือนกำลังกลัวเขายิ่งกว่าใคร   คงจะเป็นเพราะหล่อนยังอยู่ในอาการตกใจที่มีคนตายในบ้านของตัวเอง  และนั่นก็คือสาเหตุที่เขาไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลนั้น

                “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการนำของสำคัญของคุณแม่กลับมา”

                “ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น  ลูกแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง และนำของของเรากลับมาให้ได้ก็พอ”         

 

               หลังจากเกลี้ยกล่อมลูกชายได้สำเร็จ   อัญชลีเดินเข้าไปในห้องที่ถูกปิดตายมาเกือบหนึ่งปีหลังจากที่หมอปรานต์เสียชีวิต อัญชลีจะเข้ามาในห้องนี้ทุกครั้งที่รู้สึกกังวลใจหรือคิดถึงผู้เป็นสามี   มันเป็นห้องที่สามีของหล่อนชอบเข้ามาอ่านหนังสือ  เป็นทั้งห้องทำงานและห้องพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับหมอปรานต์   อัญชลีเดินเข้าไปเปิดตู้เซฟที่วางอยู่ใกล้โต๊ะทำงาน  ในตู้มีแต่ความว่างเปล่าเหมือนทุกครั้ง

                ของในตู้เซฟนี่แหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สามีของหล่อนต้องไปพัวพันกับตระกูลอัปมงคลนั่น

                เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาบ้านอัครยาสิทธินันท์ถูกโจรปล้น  และของสำคัญของตระกูลหายไป   ในบ้านมีของมีค่ามากมาย  แต่สิ่งที่หายไปกลับมีเพียงแค่ชิ้นเดียวคือของที่อยู่ในตู้เซฟนี้  ราวกับว่ามันจงใจที่จะมาปล้นเฉพาะแค่สมบัติชิ้นนี้ชิ้นเดียว  และที่น่าแปลกก็คือ  ไม่มีร่องรอยของการงัดแงะประตูบ้านและตู้เซฟเลยแม้แต่น้อย 

               ‘ ไอ้โจรนั่นนำของสำคัญของตระกูลออกไปได้อย่างไรกัน ’  คำถามนี้ยังคงก้องอยู่ในใจของอัญชลีตลอดมา

                อัญชลีเงยหน้ามองรูปภาพของหมอปรานต์ที่ติดอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงาน

               “ตากรต้องทำสำเร็จให้ได้   คุณต้องช่วยลูกด้วยนะค่ะ”

                อัญชลีเชื่อว่าคิรากรต้องยอมเข้าไปอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

                “พึมพำอะไรอยู่หรือค่ะคุณแม่”

                อัญชลีตกใจกับบุคคลที่เข้ามาสวมกอดด้านหลัง ก่อนจะหันไปยิ้มให้อย่างเอ็นดู

                “ลูกกำลังจะทำให้แม่หัวใจวายนะรู้ไหม”  อัญชลีหยิกแก้มลูกสาวเบาๆ

                “เข้ามาในห้องนี้อีกแล้ว  แล้วอย่างนี้เมื่อไรคุณแม่จะทำใจได้ล่ะค่ะ”

                “แม่ทำใจได้แล้วจ้ะ  แค่คิดถึงคุณพ่อของลูกเท่านั้น”  อัญชลีเงยหน้ามองรูปภาพอีกครั้ง

                “หวานจะยอมเชื่อก็ได้ค่ะ  แต่ตอนนี้ท้องของหวานกำลังร้อง จ้อกๆ เพราะความหิวแล้ว”

                อัญชลีหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว  เพราะได้ยินเสียงท้องร้องจริงๆอย่างที่ลูกสาวว่า

                “กลับมาปุ๊บหิวปั๊บเลยนะเรา”

                “ก็วันนี้หวานใช้พลังงานเยอะหนิค่ะ  เฮ้อ! เหนื่อยชะมัดเลย”    มัลลิกาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่ายเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้

                “โรงเรียนเพิ่งเปิดวันแรก  งานเยอะขนาดนั้นเลยเหรอลูก”

                “งานไม่เท่าไรหรอกค่ะ  แต่เหนื่อยกับคนมากกว่า”

                “คน!”  อัญชลีมองหน้าลูกสาวอย่างงงๆ

                “ก็กมลเนตรกับเขมวรรณไงค่ะคุณแม่   ทะเลาะถกเถียงกันได้ตลอดเวลาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  สุดท้ายคนที่เหนื่อยก็คือหวานที่ต้องคอยเป็นกำแพงกั้นระหว่างเขาสองคน”    มัลลิกาพูดด้วยอารมณ์ขัน  แต่ดูเหมือนว่าอัญชลีไม่ได้รู้สึกขันไปด้วยเลย

                “นี่ลูกยังไม่เลิกคบเด็กสองคนนั้นอีกหรือ  แม่สั่งแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับคนพวกนั้นอีก”   อัญชลีพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตำหนิที่ลูกสาวไม่ยอมเชื่อฟัง

                ในขณะที่มัลลิกาเองก็ดูตกใจไม่น้อยเพราะดันไปเผลอหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด  ไม่ใช่ว่าหล่อนจะจำไม่ได้ว่ามารดาสั่งอะไรไว้  แต่เป็นเพราะว่าหล่อนทำไม่ได้ต่างหาก จึงตัดสินใจเลือกที่จะปิดบังแต่ดันเผลอหลุดปากจนได้

                “หวานขอโทษค่ะคุณแม่  แต่หวานทำไม่ได้จริงๆ  เขาสองคนเป็นเพื่อนของหวานน่ะค่ะ”

                “ทำได้สิ  ลูกต้องอยู่ให้ห่างจากพวกเขา  เชื่อแม่น่ะหวาน”

                “ทำไมล่ะค่ะ”   มัลลิกาไม่เข้าใจว่าทำไมมารดาถึงห้ามไม่ให้คบกับสองคนนั้น  ทั้งๆที่สองคนนั้นเป็นคนดีไม่ได้เลวร้ายอะไร

                อัญชลีเอาแต่เงียบ  จนมัลลิกาทนไม่ไหว

                “ว่าไงละค่ะ  คุณแม่ช่วยอธิบายให้หวานเข้าใจหน่อยได้ไหมค่ะ”

                “อย่าถามอะไรแม่เลยหวาน  ลูกแค่ทำตามในสิ่งที่แม่ขอก็พอ”

                “หวานทำอย่างนั้นไม่ได้จริงๆค่ะ   อย่าห้ามหวานเลยน่ะค่ะ”

                “หวาน!!!!”

                มัลลิกายืนยันซะขนาดนั้น  อัญชลีก็ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมลูกสาวได้ยังไงอีก  จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง

                “เอาล่ะ  แม่เข้าใจว่ามันยากสำหรับลูก  ไม่ต้องถึงกับเลิกคบก็ได้ แค่อยู่ให้ห่างๆจากพวกเขาก็พอ”

                “แต่คุณแม่ค่ะ...”    มัลลิกาพยายามที่จะค้านความคิดของมารดา

                “ไหนบอกว่าหิวไม่ใช่เหรอ  รีบลงไปข้างล่างกันดีกว่า แม่จะทำของอร่อยๆให้กิน  ดีมั้ย”  อัญชลีรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

                “ค่ะ”   มัลลิกาตอบอย่างเอือมระอา  มารดาของหล่อนก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน  ถ้าทำให้เปลี่ยนใจไม่ได้ก็ต้องบังคับทางอ้อม

                มัลลิกาถอนหายใจไปพร้อมๆกับเดินตามหลังมารดาลงข้างล่างและกำลังจะเดินตรงเข้าไปในครัว  แต่สวนทางกับคิรากรที่กำลังจะขึ้นไปข้างบน

                “อ้าวพี่กร   ลงไปทานอะไรข้างล่างด้วยกันไหมค่ะ”

                คิรากรได้แต่ยิ้มตอบน้องสาวแล้วก็เดินตรงขึ้นไปข้างบนห้องของตัวเอง  มัลลิกาขมวดคิ้วอย่างงงๆ  ก่อนจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วหันไปหามารดาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

                “คงจะเหนื่อยมาจากโรงพยาบาลล่ะมั้ง”

                อัญชลีตอบก่อนจะรีบเดินเข้าไปในครัว

                คืนนั้นคิรากรเอาแต่นอนขังตัวเองอยู่ในห้อง  แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ  ได้แต่เอามือก่ายหน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เขาจะทำยังไงดี  เขาทนไม่ได้แน่ที่ต้องเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นโดยที่ไม่มีกำหนดที่แน่ชัดว่าจะกลับมาได้เมื่อไร  แต่ถ้าไม่ตกลงเขาก็หมดโอกาสที่จะสืบหาความจริง  โอ๊ย  ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว  มันต้องมีทางออกให้เขาได้เลือกสักทางหนึ่งน่า  เขาพยายามข่มตาให้หลับแต่มันกลับยิ่งทำให้คิดมากขึ้นกว่าเดิม

               จริงสิ!!  เจ้าชลัทน่าจะมีความคิดดีๆ  ต้องหาทางออกให้ได้แน่ๆ  นี่เขาลืมเพื่อนคนนี้ไปได้ยังไง   ชลัทเป็นเพื่อนสนิทที่เขาไว้ใจและสามารถช่วยเหลือหาทางออกให้เขาได้ทุกครั้งเมื่อยามคับขัน

                คิรากรควานหาโทรศัพท์ รีบกดหมายเลขปลายทาง

                ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

                “ฮัลโหล  ชลัท นี่ฉันเองน่ะ”

                [ว่าไงไอ้หมอ   โทรมาซะดึกขนาดนี้แสดงว่ากำลังเครียดอยู่ใช่ไหมว่ะ]

                “สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆเลยน่ะ”  คิรากรเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมา  แค่ได้ยินเสียงเพื่อนรักเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นทันที

                [และถ้าให้ฉันเดาอีกน่ะ   แกกำลังเครียดเรื่องที่ต้องไปอยู่ในคฤหาสน์จิรโชติยานนท์]

                “แกรู้เรื่องนี้แล้วเหรอ  แล้วรู้ได้ยังไง”

                [อย่าลืมสิว่าฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจิรโชติยานนท์]

                “เออว่ะ  ฉันลืมไป  แต่ข่าวกระจายเร็วไปหรือเปล่า”

                [ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อตอนเย็นที่ไปส่งเกดที่นั่น]   เสียงปลายสายเริ่มเบาลงอย่างผิดสังเกต

                “วันนี้แกไปที่นั่นด้วยเหรอ”

                [อืม]

                “เป็นอะไรหรือเปล่าว่ะ”  คิรากรเริ่มสัมผัสถึงเสียงที่ผิดปกติของชลัท

                [เปล่าหรอก  ฉันไม่ได้เป็นอะไร]

                “แกมีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกฉันได้น่ะ”  คิรากรเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าปรึกษาถูกเวลาหรือเปล่า  เพราะดูเหมือนชลัทจะมีปัญหาอยู่ในใจเช่นเดียวกัน

                [แล้วที่แกโทรมานี่ต้องการให้ฉันช่วยอะไร]

                ดูเหมือนชลัทพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย   คิรากรเข้าใจและรู้ดีว่าชลัทยังไม่พร้อมที่จะบอกอะไรเขาตอนนี้  เมื่อไหร่ที่พร้อมเขาจะบอกเอง

                “แกช่วยไปพูดให้ย่าของแกเปลี่ยนใจได้ไหมว่ะ”

                [ฉันไม่มีความสามารถพอที่จะไปเปลี่ยนความคิดของคุณย่าเล็กได้หรอก และไม่มีใครทำได้ด้วย]

                เสียงปลายสายพูดราวกับว่าหมดหนทาง ก่อนจะพูดประโยคต่อไป

                [ย่าเล็กเป็นคนที่ไม่เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ   แต่ต่อรองได้]

                เขาคิดไม่ผิดจริงๆทีปรึกษาชลัท  มันทำให้เขารู้สึกเบาใจขึ้นเยอะเลย  แต่สักพักก็มีบางอย่างผุดขึ้นมาในสมอง คำพูดของรัตติกาลยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตั้งแต่กลับมา  รัตติกาลกับเขมวรรณเป็นคู่แฝดที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลยจริงๆ   แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะคู่แฝดบางคู่ก็เกิดจากไข่คนละใบทำให้มีใบหน้าที่ไม่เหมือนกัน

 

               เช้าของวันรุ่งขึ้น  คิรากรตัดสินใจขับรถไปที่คฤหาสน์หลังนั้นอีกครั้ง  หลังจากที่เมื่อคืนเขาได้คำแนะนำจากชลัท  ถึงจะยกเลิกข้อเสนอไม่ได้  แต่เราก็สามารถต่อรองได้  แม้ว่าจะทำได้แค่น้อยนิด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย  นั่นคือคำพูดของชลัท

                คิรากรขับรถจนถึงหน้ารั้วคฤหาสน์  ระหว่างที่รอคนมาเปิดประตูรั้ว  เขาเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังด้อมๆมองๆ อยู่บริเวณรั้วหน้าบ้านที่มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นหนา

                “เชิญครับ”

                เสียงลุงหมายดังขึ้น  คิรากรเลื่อนกระจกรถลงเพื่อจะกล่าวขอบคุณ  ก่อนจะหันไปทางผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง

                .....หายไปแล้ว.....

                “หรือว่าเราเครียดจนตาฝาดไป”   เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะขับรถเข้าไปในรั้วคฤหาสน์  ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะไปคิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของตัวเอง

                คิรากรค่อยๆเดินเข้าไปข้างในคฤหาสน์  เขาหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง  ‘หวังว่าวันนี้คงไม่ต้องเจอยัยเด็กนั่นอีกน่ะ’

                “คุณหมอค่ะ”

                คิรากรสะดุ้ง แต่เมื่อหันไปหาเจ้าของเสียงเขาก็โล่งอก  ป้าอิ่ม แม่บ้านของที่นี่นั่นเอง

                “คุณท่านกำลังรอคุณอยู่ในห้องโน้นค่ะ”

                แม่บ้านบอกพร้อมเดินนำทางคิรากรไปยังห้องนั้น  แต่คิรากรก็ยังไม่หยุดหันซ้ายหันขวา

                “คุณหนูของป้าไม่มีใครอยู่เหรอครับ”

                “อ๋อ  คุณเขมกับคุณเนตรไปเรียนค่ะ   ส่วนคุณรสอยู่ในไร่ค่ะเธอไปก่อนที่คุณจะมาถึงได้ไม่กี่นาทีนี่เอง”

                แค่ได้รู้ว่าคันธรสไม่อยู่ เขาก็รู้สึกโล่งอกและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก  อย่างน้อยวันนี้เขาคงไม่เจอกาแฟรสน้ำปลาแน่

“ส่วนคุณเกด เช้านี้ป้ายังไม่เห็นเธอลงมาข้างล่างเลยค่ะ  แต่เห็นแปลกๆตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะค่ะหลังจากที่คุณชลัทมาส่งเธอก็ดูซึมๆไป”

                “เธอไม่สบายเหรอครับ”

                “ป้าก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ  ตั้งแต่เมื่อเย็นวานเธอยังไม่ยอมลงมาเลยค่ะ  ข้าวปลาก็ไม่ยอมลงมากิน”

                คิรากรเดินตามแม่บ้านไป  เขานึกถึงเมื่อคืนที่คุยกับชลัทซึ่งมีอาการแปลกๆ  แล้วมาวันนี้แม่บ้านบอกว่าเกสรารันก็มีอาการซึมๆหลังจากที่พวกเขาแยกกันเมื่อวาน   พวกเขาสองคนต้องมีปัญหาอะไรกันแน่ๆ  แต่เรื่องนี้เอาไว้ทีหลัง  เขาต้องเคลียร์เรื่องของตัวเองให้เสร็จก่อน

                คิรากรเดินเข้าไปในห้องโถง และก็พบว่าจิตรสินีกำลังนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว   และยังมีอีกบุคคลหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆจิตรสินี   เขาจำได้ว่าคนๆนั้นคือการุญ ประมุขคนปัจจุบันของตระกูลจิรโชติยานนท์  ซึ่งสายตาที่การุญมองเขานั้นมันบอกชัดเจนว่าไม่ต้อนรับ

                “ไม่คิดว่าคุณหมอจะตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้  เชิญนั่งก่อนสิ”

                “ขอบคุณครับ”   คิรากรกล่าวพร้อมกับเดินไปนั่งตรงข้ามระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน

                “ผมยินดีที่จะรับข้อเสนอของคุณ”  จิตรสินียิ้มออกมาแต่ก็ต้องหุบลงเมื่อได้ยินประโยคต่อมา  “ก็ต่อเมื่อ คุณยอมรับข้อต่อรองของผม”

                “ข้อต่อรองของคุณคืออะไรล่ะ”

                “ผมอยู่ที่นี่ได้ครับ  แต่บางวันผมก็ต้องทำงานที่ผมกำลังรับผิดชอบอยู่และไม่สามารถที่จะทิ้งได้ด้วยครับ”

                “ทำไม  คุณก็แค่ลาออกจากที่นั่นปัญหาก็จบ”

                “ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ   มีคนอีกมากมายที่รอให้ผมช่วยเหลือ ผมอยากใช้อาชีพที่ผมมีทำประโยชน์ให้กับสังคมให้ได้มากที่สุด  และผมก็ยังมีเรื่องที่อยากทำอีกมากมาย  ผมยังอยากหาประสบการณ์ให้ได้มากกว่านี้”

                “หมายความว่าคุณจะเปลี่ยนใจไม่รับงานนี้อย่างนั้นหรือ”

                “เปล่าครับ  ผมแค่ไม่อยากทิ้งในสิ่งที่ผมอยากทำเท่านั้น  ผมเพิ่งเรียนจบได้ไม่กี่ปีเองนะครับ  ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอเลยด้วยซ้ำ  แต่ทำไมพวกคุณถึงได้อยากให้ผมเป็นคนรักษาหลานของพวกคุณนัก   ทั้งๆที่คุณพ่อของผมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอที่เก่งยังทำได้ไม่สำเร็จเลยด้วยซ้ำ”

                “ที่พ่อคุณรักษาไม่สำเร็จ  ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าเขาดันมาตายซะก่อนนะสิ”   การุญที่นั่งเงียบมานานเริ่มพูดแทรกขึ้นมา

                “การุญ!!!”   จิตรสินีเรียกเตือนสติการุญ  เพราะเกรงว่าคิรากรจะไม่พอใจแล้วเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา  ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะคิรากรมีสีหน้าที่ดูตกตะลึง

                “ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยชอบคุณพ่อผมนะครับ””  คิรากรมองการุญซึ่งกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขี้น

                “ข้อต่อรองของคุณก็คือ คุณจะอยู่ที่นี่ได้เฉพาะวันที่คุณว่าง  ฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า”  จิตรสินีรีบเปลี่ยนประเด็น

                “ก็ไม่เชิงหรอกครับ  เอ่อ คือผมหมายความว่า  ผมอยู่ที่นี่ได้แต่ผมก็ยังต้องไปทำงานของผมอยู่”  คิรากรหันหน้ามาทางจิตรสินี

                “ก็ดี!!  บ้านหลังนี้ไม่ค่อยต้อนรับให้คนอื่นเข้ามาเหยียบ”   การุญยังไม่ยอมหยุด  จิตรสินีที่นั่งอยู่ข้างๆหันไปตวาดใส่ด้วยสายตา

                คิรากรหันไปมองหน้าการุญอีกครั้ง  และครั้งนี้การุญก็กำลังจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว  สายตาของการุญมองมาอย่างไม่เป็นมิตร

                “ตกลง  ฉันจะรับข้อต่อรองของคุณ  แต่เมื่อไหร่ที่ฉันสั่งให้คุณมา  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือว่าทำอะไรคุณก็ต้องมาทันที”  จิตรสินีบอกด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง

                “ตกลงครับ”

                “อย่าเพิ่งกลับน่ะค่ะ  วันนี้ฉันอยากให้คุณไปดูรัตติกาลหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง  หลังจากเมื่อวานที่คุณกลับไปก็เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมคุยกับใครเลย”

                “ถ้าอย่างนั้นผมขึ้นไปดูให้เลยก็ได้ครับ  จะได้ไม่เสียเวลา”

                “ฉันจะขึ้นไปด้วย”   การุญพูดแทรกแต่ไม่ได้มองหน้าคิรากรโดยตรง

                “อย่าเพิ่งดีกว่าครับ  บางทีรัตติกาลอาจจะยังไม่อยากคุยกับใคร”

               “คุณจะมารู้ดีไปกว่าเราได้ยังไง”  การุญเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ

               “นั่นสิครับ  ทำไมผมถึงได้รู้ดีกว่าพวกคุณ”   คิรากรเริ่มตอบกลับขึ้นมาบ้างด้วยความเหลืออด

               “ให้คุณหมอขึ้นไปดูก่อนดีกว่าน่ะ”  จิตรสินีส่งสายตาดุใส่การุญ

               “แต่แม่เล็กครับ”

               “แกเป็นผู้ใหญ่แล้วน่ะรุญ  และฉันก็แก่มากแล้วด้วย  ถึงฉันจะไม่ใช่แม่แท้ๆของแก  แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเห็นแกมีนิสัยเป็นเด็กๆแบบนี้”

 

               คิรากรค่อยๆแง้มประตูเข้าไป  เขาเห็นรัตติกาลกำลังนั่งซบหน้ากอดเข่าอยู่ข้างเตียง  กำลังพูดพึมพำอยู่คนเดียวและเนื้อตัวก็สั่นระริกราวกับกลัวอะไรบางอย่าง   ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้รัตติกาลก็เอาแต่ควานหาข้าวของปาใส่เขาโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองเลยแม้แต่น้อย  ส่วนคิรากรเองก็ได้แต่หลบข้าวของที่ลอยมาแทบไม่ทัน

               “ออกไปเดี๋ยวนี้น่ะ  ออกไป!!!”

               “โอ๊ยย!!”

               “ออกไป๊!!”

               “น้องกาล  นี่หมอเอง”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา