ข้ามขอบฟ้ามาพบรัก

-

เขียนโดย zhengxiuwen

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20.32 น.

  7 บท
  1 วิจารณ์
  10.40K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 23.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่3

            เสียงกรีดร้องของฉัตตาเป็นเหมือนตัวกระตุ้นอย่างดีให้กับเผิงเฟยไม่นานเขาก็สามารถจัดการกับมือสังหารปริศนาได้ เขารีบวิ่งกลับมาหาฉัตตาอย่างรีบร้อน ภายในใจก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ

            ภาพตรงหน้าทำให้เผิงเฟยรู้สึกอึ้ง ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังใช้ไม้กระหน่ำตีผู้ชายตัวล่ำกำยำจนสลบไปกับพื้น ผู้ชายที่เป็นมือสังหาร ผู้ชายที่ดูๆแล้วฝีมือคงไม่ด้อยไปกว่าอาลู่และเจินอิงเลย ดูจากรอยแผลที่ทิ้งไว้บนใบหน้าและวิธีการเธอคนนี้ร้ายไม่เบาเลยทีเดียว!

             ‘นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชมนี่หว่า!’เขาคิดในใจ เสียงปืนที่ดังขึ้นเมื่อกี้คงเรียกพวกมันมาได้อีกแน่ๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพวกมันกระจายอยู่ตรงไหนบ้างแต่อย่าประมาทเป็นดีที่สุด และก่อนที่หญิงสาวจะฟาดลงไปอีกที เขาก็คว้ามันเอาไว้เสียก่อน เธอหันมามองเขาอย่างตกใจและเตรียมป้องกันตัวแบบเหยื่อที่จนตรอก

            “ผมเอง!”

            เสียงทุ้มนุ่มนั้นเหมือนกับน้ำเย็นๆที่รินรดลงมาให้เธอได้ชื่นใจ ฉัตตาทิ้งท่อนไม้ที่อยู่ในมือแล้วรีบลุกขึ้นมาหาเขา แต่ขาทั้งสองข้างของเธอก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ เธอล้มเซไปข้างหน้าแต่โชคดีที่เผิงเฟยอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เขาจึงสามารถรับร่างเล็กได้ทันท่วงที ตอนนี้เขาถึงสังเกตได้ว่าร่างเล็กสั่นเทาเหมือนกับลูกนก

            ‘เธอคงจะกลัวมากสินะ’

             เผิงเฟยกอดเธอแน่นๆอย่างปลอบประโลม ร่างเล็กถึงค่อยๆหยุดอาการสั่นนั้นได้

            “ยังวิ่งต่อไปไหวไหม?” เขาถามอย่างอ่อนโยน

            เธอไม่ได้ตอบ แค่พยักหน้าเบาๆให้เขา

            “งั้นไปเถอะ” เขาจับมือเธอเอาไว้แล้วออกวิ่งไปยังตึกหมินเทียน ฉัตตารู้สึกถึงกระแสอุ่นๆที่ไหลแผ่ซ่านเข้ามาจนอุ่นวาบไปถึงหัวใจ

            วิ่งต่อมาไม่กี่อึดใจทั้งสองก็มาถึงตึกหมินเทียนจนได้ เขามองเห็นอาลู่ เจินอิง และญาติผู้น้องของเขาเทียนหมิงกำลังวิ่งมุ่งหน้ามาทางเขา  เขาค่อยๆชะลอฝีเท้าลง ฉัตตารู้ว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้วแน่ๆ พลังเมื่อสักครู่นี้ก็เหมือนจะลดฮวบจนติดศูนย์ เธอรู้สึกเหนื่อยและเพลียจนอยากจะทิ้งตัวลงไปนอนกับพื้นตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

            “คุณปลอดภัยแล้ว” เธอยังพยายามฝืนพูด

            “ใช่ เพราะคุณแท้ๆเลย คุณเสี่ยงชีวิตช่วยผมเอาไว้” เสียงทุ้มเอ่ยจากใจจริง

            “ไม่หรอก ฉันไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย ว่าแต่ คุณชื่ออะไรล่ะ ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”

            “ผม เหว่ยเผิงเฟย ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะ” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมยื่นมือเพื่อทำการทักทายไปข้างหน้า ฉัตตายิ้มให้เขา และยื่นมือไปข้างหน้าเช่นกัน แต่ก่อนที่มือของเธอจะสัมผัสกับมือของเขา ร่างบางก็ทรุดฮวบลงกับพื้น

            “อิงเหลียน!!!” เผิงเฟยร้องเรียกชื่อเธออย่างตกใจเมื่อจู่ๆฉัตตาก็ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น ใบหน้าของเธอซีดขาว ดวงตาปิดสนิท เธอเป็นลมหมดสติไปแล้ว

            “อาลู่นายรีบโทรตามชิอากิเร็วเข้า ฉันกับเจินอิงจะกลับไปที่บ้านก่อน เทียนหมิงนายส่งคนกระจายออกดูให้ทั่ว ฉันว่าแถวนี้น่าจะมีพวกมันอยู่ ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากได้แบบที่มันยังมีชีวิตอยู่” เผิงเฟยรัวคำสั่งการ

            “อืม เข้าใจแล้ว”

            “เทียนหมิง!” เทียนหมิงหยุดชะงักฝีเท้า แล้วหันมามองหน้าเขาอย่างต้องการจะถามว่าต้องการอะไรอีกหรือเปล่า

            “คืนนี้ขอบใจมาก!”

            เผิงเฟยยิ้มให้เทียนหมิงจากใจจริงแล้วรีบเร่งไปที่รถคันงามที่แล่นเข้ามาอย่างเร่งร้อน

            รถขับแล่นออกไปแล้ว เจินอิงมองกระจกหลังอย่างจะขำก็ขำไม่ออก เพราะทั้งเทียนหมิงและลูกน้องต่างยืนเหมือนโดนสาปให้แข็งอยู่อย่างนั้น ปฏิกิริยาของเผิงเฟยที่ทำให้ทุกคนยืนอึ้งงงเป็นไก่ตาแตกเป็นเพราะเผิงเฟยไม่เคยปล่อยให้อารมณ์เข้ามาครอบงำได้ง่ายๆ ใบหน้าของเขามีแต่สงบ เยือกเย็น ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะตื่นตระหนก เป็นกังวลและร้อนรุ่ม พวกเขาไม่เคยมีใครได้เห็นเผิงเฟยในมุมนี้มาก่อนเลย อย่าว่าแต่คนพวกนี้เลย เขาน่ะอยู่กับเจ้านายมากกว่าใครๆแต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นเจ้านายสติหลุดแบบนี้ ไหนจะรอยยิ้มนั่นอีก รอยยิ้มที่ขนาดผู้ชายแท้ๆยังอดเคลิ้มตามไม่ได้ ทั้งๆที่ปรกตินายน้อยเคยยิ้มเสียที่ไหนกัน!

            ‘ผู้หญิงคนนี้ทำไมเราถึงได้รู้สึกคุ้นได้ถึงขนาดนี้นะ หรือว่า...’ ความทรงจำของเขาก็เหมือนจะกลับคืนมา รอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า

            ‘ท่าทางเกมตามล่าหาสมบัติของนายหญิงคงจบลงแล้วสินะ’

-----------------------------------------------------------------------------------------------  

            ทั้งเผิงเฟยและชิอากิเดินทางมาถึงคฤหาสน์หลังงามในเวลาไล่ๆกัน คุณหมอหนุ่มใช้เวลาไม่นานในการตรวจร่างกายของหญิงสาว เท่าที่ดูแล้วไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงที่หนักหน่อยก็คงจะเป็นบริเวณข้อมือที่ถูกบีบจนบวมและเขียวช้ำ นอกนั้นก็เป็นบาดแผลถลอกเล็กๆน้อยๆ ไม่นานเธอก็ลืมตาตื่นขึ้น เผิงเฟยช่วยประคองให้เธอลุกขึ้นแล้วให้ดื่มเครื่องดื่มที่เขาสั่งให้แม่บ้านเตรียมให้เมื่อสักครู่ เธอยังดูงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ก็ยอมดื่มมันลงไปอย่างว่าง่าย

            “วันนี้คุณเหนื่อยมากแล้ว พักก่อนนะแล้วเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้” เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ฉัตตาไม่อยากพัก เธออยากรู้เรื่องราวสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เธอมีคำถามเต็มไปหมด แต่ร่างกายของเธอดูท่าจะไม่อยากรู้ด้วย เปลือกตาของเธอหนักอึ้งเกินกว่าที่จะลืมตาค้างเอาไว้ได้ เรื่องราวที่อยากจะถามที่เต็มอยู่ในหัวสมองก็เหมือนจะหายไปหมด ยิ่งน้ำเสียงและสัมผัสเบาๆของเขา มันทำให้เธอไร้ทางต่อต้าน ไม่นานเธอก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

            “ไม่มีอะไรต้องห่วงมาก เธอแค่อ่อนเพลียพักสักหน่อยก็หาย แต่ที่หนักหน่อยก็อย่างที่นายเห็น...อย่างนี้คงยกของอะไรเองไม่สะดวกไปอีกสักสองสามวัน”

            “อืม ขอบใจนายมาก”

            “จะมาขอบจงขอบใจอะไรกันเล่าเรื่องแค่นี้เอง แล้วต่อไปจะเอายังไงเรื่องมันไม่จบแค่นี้แน่ๆ” ชิอากิเอ่ยอย่างกังวลลำพังเผิงเฟยเองเขาไม่ห่วงหรอก แต่ตอนกำลังอินเลิฟแบบนี้น่าเป็นห่วงสุดๆ ดูๆแล้วตอนนี้เจ้าตัวคงยังไม่รู้ตัวว่าวันนี้หลุดอะไรแปลกๆออกไปเยอะแล้ว

             “ก็ไม่เอายังไงก็แค่ให้เธออยู่ที่นี่จนกว่าเรื่องจะจบ” เผิงเฟยตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยุ่งยากอะไรแต่อย่างใด แต่เมื่อเห็นสายตาที่รู้ทันของชิอากิทำให้เขาอดร้อนตัวขึ้นมาไม่ได้  

            “เหอะ!ลูกน้องมันก็โดนอิงเหลียนทุบซะเดี้ยงมันคงจะปล่อยเธอไปง่ายๆหรอกยังไงๆอิง-เหลียนก็คงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนจนกว่าเรื่องจะสงบนั่นแหละ!”

            “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ทำร้อนตัวไปได้”

             ‘ท่าทางจะกู่ไม่กลับแล้วแฮะ’

             “นาย!”

             “เอาเถอะๆ จะยังไงก็แล้วแต่ ช่วงนี้ก็ดูแลเธอให้ดีก็แล้วกัน อ่อ ใช่ ช่วงนี้ฉันจะไม่อยู่ที่นี่สักพักใหญ่ๆเลยนะ นายมีอะไรก็เรียกหมอประจำตระกูลนายเอาเองแล้วกันนะ” ชิอากิพูดไปพลางเก็บของไปพลาง

ก็แหม!อยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรให้ช่วย แล้วจะอยู่เป็นกอขอคอทำไมกันเล่า!

 

            “นายจะไปไหน?”เผิงเฟยถามอย่างสงสัย

            “จะไปตามเอาหัวใจคืนมา”

            “หา?”

            ชิอากิมองหน้าเผิงเฟยที่ตอนนี้พยายามใช้สายตาเค้นคำตอบจากตนเองอย่างรู้สึกขำ

            “ก็ไม่ได้มีแต่นายนี่ที่ตามหารักแรกของตัวเองอยู่ เออ แล้วก็คราวนี้ก็จับไว้ให้อยู่ อย่าปล่อยให้หายไปอีกล่ะ ฉันไม่อยากเห็นนายซึมเป็นหมาหงอยอีกเป็นปีๆ ฮ่าๆๆๆๆ” วางระเบิดลูกโตเสร็จคุณหมอหนุ่มก็เผ่นแนบออกมาจากห้องโดยไม่อยู่รอดูผลงาน

             เผิงเฟยยกมือเสยผมขึ้นอย่างต้องการตั้งสติ วันนี้เขาดูเหมือนไม่ใช่เผิงเฟยคนเดิมเลย อย่าว่าแต่คนอื่นจะตกใจเลย เขาเองก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน

            เผิงเฟยถอนหายใจยาวพลางมองหญิงสาวต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเปลี่ยนไป เขานั่งลงบนเตียงแล้วมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน สายตาที่เขาไม่เคยใช้มองผู้หญิงคนไหนมาก่อน เขาปัดปอยผมที่ปรกลงมาให้พ้นไปจากแก้มนวล พลางคิดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อน เขายกข้อมือช้ำของเธอขึ้นมาแล้วจุมพิตลงเบาๆ อย่างต้องการให้ความเจ็บปวดนั้นลดบรรเทาลงไป เขานั่งเฝ้ามองเธออยู่นาน จวบจนนาฬิกาบอกเวลาของเช้าวันใหม่ ชายหนุ่มจึงจำใจกลับไปพักผ่อน เขาก้มลงกระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆข้อความที่คืนนี้มีแต่เพียงเขาเท่านั้นที่รับรู้....

-----------------------------------------------------------------------------------------------

            แสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาในยามเช้าทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เธอตกใจอยู่ไม่น้อย ที่นี่ไม่ใช่ห้องของเธอ แล้วเธออยู่ที่ไหนกันล่ะ! เธอค่อยๆตั้งสติแล้วนั่งนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ระหว่างที่เธอนั่งไล่เรียงเหตุการณ์อยู่นั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดพรวดเข้ามา

            “นายหญิงน้อย!” หญิงผู้เข้ามาเยือนนี้ดูๆแล้วก็คงประมาณห้าสิบปลายๆเห็นจะได้ เธอมองมาทางฉัตตาอย่างรู้สึกยินดีอย่างสุดซึ้ง

            ฉัตตาหันมองซ้ายมองขวาว่าในห้องยังมีใครอยู่อีกหรือไม่ แต่ก็ไม่พบใคร

            “เอ่อ...คุณป้าเรียก...เรียกหนูหรอคะ?” เธอถามอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน คุณป้าท่าทางใจดีมองเธออย่างแปลกใจ

            “ก็ใช่น่ะสิคะ ในห้องนี้นอกจากนายหญิงน้อยจะมีใครอีกเสียละคะ”

            “งั้นหนูว่าคุณป้าต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆแล้วล่ะค่ะหนูชื่อหลินอิงเหลียนแล้วคุณป้า...”

            “อ่อ ดิฉันชื่อจางจินเหมยค่ะเป็นแม่บ้านประจำตระกูลเหว่ย ส่วนชื่อของนายหญิงน้อยน่ะ ดิฉันทราบแล้วล่ะค่ะนายน้อยเธอบอกดิฉันแล้ว”

            “นายน้อย?”

            “ใช่ค่ะ”

             “นายหญิงน้อยตื่นได้เวลาพอดีเลยนะคะ เมื่อสักครู่นี้ดิฉันพึ่งได้รับคำสั่งของนายน้อยให้เอาสำรับเช้าขึ้นมา” คุณป้าแม่บ้านพูดต่อไปอย่างไม่ปล่อยให้ฉัตตาได้พูดอะไรบ้าง

            “หนูไม่ใช่...”

            “นายหญิงน้อยทานอาหารเช้าเสียก่อนนะคะ หิวหรือยังคะ?”

            “ก็...หิวอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ว่าหนู...”

            “ดีเลยค่ะ นายหญิงทานอาหารเช้าก่อนนะคะ ทานอาหารเสร็จแล้วถ้าอยากอาบน้ำเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ดิฉันเตรียมไว้ให้หมดแล้ว หยิบใช้ได้ตามสะดวกเลยนะคะ” ป้าจางพูดพลางจัดการจัดอาหารเช้าให้กับหญิงสาวโดยไม่สนใจจะฟังคำพูดที่ต้องการคัดค้านของเธอ

            “ป้าคะ!” ฉัตตาเรียกหญิงวัยกลางคนข้างหน้าด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความไม่พอใจ ป้าคนนี้นี่ยังไงกันนะ ขัดเธอได้ทุกประโยคเลย วันนี้จะได้พูดมั้ยเนี่ย!

            “อ่อ ใช่ นายน้อยเธอบอกว่า เธอจะรอตอบคำถามของนายหญิงน้อยทุกคำถามที่สวน นายหญิงน้อยค่อยๆทานอาหารนะคะ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มกดกริ่งเรียกดิฉันได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ดิฉันขอตัวก่อน ” เธอพูดกับหญิงสาวด้วยใบหน้าที่อมยิ้มเหมือนเดิมอย่างไม่ถือสาน้ำเสียงแข็งกระด้างเมื่อสักครู่ของหญิงสาวแล้วเดินออกไป ป้าจางออกจะยินดีเสียด้วยซ้ำในที่สุดก็ได้เจอกับ หญิงสาวผู้เป็นตำนานของนายน้อย

             เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่นายน้อยกลับมาจากที่ไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่เมืองไทย  เธอก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จริงอยู่โดยปรกตินายน้อยจะเงียบๆไม่ยุ่งสุงสิงกับใครแต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปจากทุกที แววตานิ่ง เย็นชา ที่ราวกับไร้ความรู้สึกคู่นั้นมักจะแฝงไปด้วยร่องรอยอาลัยอาวรณ์อยู่เสมอ ซ้ำที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือนายน้อยสั่งให้คนนำบัวหลวงมาปลูกลงในสระหลังบ้าน เมื่อมีเวลาว่างนายน้อยก็จะมานั่งอยู่ที่นี่เป็นประจำๆ คนอย่างนายน้อยเกิดอารมณ์สุนทรีย์อยากจะนั่งชมความงามของดอกบัว? คนที่เลี้ยงนายน้อยมาแต่อ้อนแต่ออกอย่างป้าจางกล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าเป็นไปไม่ได้ ดอกบัวพวกนี้มันต้องแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้แน่! จนเมื่อคืนที่นายน้อยโอบอุ้มประคองร่างน้อยเข้าบ้านนี่แหละป้าจางมั่นใจเลยว่าดอกบัวในสระพวกนั้นหมายถึงอะไร นายหญิงน้อยคนใหม่ของตระกูลเหว่ยเป็นเธอคนนี้ไม่ผิดแน่!

            ฉัตตามองคนที่เดินออกไปอย่างอารมณ์ดีด้วยสายตางุนงง มาเรียกเธอว่านายหญิงน้อย?เธอจะเป็นนายหญิงน้อยของใครไปได้ยังไงกัน แถมยังมีนายน้อยอะไรนั่นอีก ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันละเนี่ย? ฉัตตานึกขัดใจในสถานการณ์ตอนนี้ สถานการณ์ที่เธอเป็นเหมือนคนโง่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง

            โครกกก เสียงเจ้าพยาธิในท้องทำการประท้วงเมื่อได้กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารเช้าที่คุณป้าแม่บ้านนำขึ้นมาให้  

‘กองทัพเดินได้ด้วยท้องสินะ’

             ไม่นานเธอก็จัดการกับอาหารจนเกลี้ยงจานทุกอย่าง เธอถือถาดที่ใส่จานชามช้อนถ้วยลงมาจากห้องนอนแล้วเดินตามทางมาเรื่อยๆ บ้านหลังนี้กว้างใหญ่เกินกว่าที่เธอคิดเอาไว้เยอะ สาวใช้ที่เดินสวนมากับเธอต่างเรียกเธอ “นายหญิงน้อย” แล้วโค้งตัวให้เธอกันทั้งนั้น การกระทำเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกวางตัวเอาไม่ถูกเสียเลย

             ‘เอาเถอะ อยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป ใช่ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปเสียเมื่อไหร่กันเล่า’ เธอคิดอย่างปลงๆ

-----------------------------------------------------------------------------------------------

            เธอเดินตามทางที่สาวใช้บอกมายังห้องครัว เธอยื่นหน้าเข้าไปในครัวแล้วเอ่ยปากเรียกร่างอวบอ้วนคุ้นตา

            “ป้าจางคะ!”

             เสียงเรียกของหญิงสาวทำเอาแม่บ้านอารมณ์ดีหลุดคำอุทานออกมายาวเป็นพรืด

            “ขอโทษค่ะคุณป้า หนูไม่ได้ตั้งใจทำให้ป้าตกใจ” เธอเอ่ยขอโทษขอโพย แต่ดูเหมือนป้าจางจะตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นถาดใส่จานชามช้อนถ้วยที่หญิงสาวถือมันลงมาจากห้องนอนด้วยตนเอง

            “นายหญิงน้อย! ทำไมถือลงมาเองแบบนี้ล่ะคะ แหม!นังสาวๆพวกนี้ก็น่านักทำไมปล่อยให้นายหญิงน้อยถือถาดลงมาเองแบบนี้ ” ป้ารีบเดินมาแย่งถาดในมือบางของเธอไปถือเอง พลางมองเหล่าสาวใช้ที่อยู่บริเวณใกล้ๆนั้นอย่างหาเรื่อง

             “ป้าจางคะอย่าดุพี่ๆเขาเลยค่ะ หนูบอกพวกเขาว่าไม่ต้องเองค่ะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เองค่ะคุณป้า”

             “ทีหลังทิ้งไว้ข้างบนนั่นแหละค่ะ เดี๋ยวป้าขึ้นไปเก็บเอง”

            ฉัตตายิ้มให้กับคุณป้าแม่บ้านอย่างไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร เพราะรู้ดีว่าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์

            “นายหญิงน้อยอยากได้อะไรเพิ่มรึเปล่าคะ?” คุณป้าแม่บ้านถามอย่างกระตือรือร้น

            “อ๋อ เปล่าค่ะ หนูแค่จะเอาจานมาให้แล้วก็จะออกไปหา...” เธอพูดๆอยู่แล้วก็ชะงักไป

              แหงะ!แย่แล้ว!เขาชื่ออะไรนามสกุลอะไรกันล่ะเนี่ย!

              ป้าจางมองเธอด้วยสายตาที่เข้าใจว่าเธอคงเขินจึงพูดเองเออเองอย่างเสร็จสรรพ

              “นายน้อยรออยู่ในสวนแล้วค่ะ เดี๋ยวนายหญิงน้อยเดินออกไปจากประตูครัวด้านหลังนี่ก็ได้ค่ะ แล้วก็.........”

             เส้นทางที่ป้าตาบอกมาไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ครู่ต่อมา ฉัตตาก็เดินมาอยู่บนถนนเล็กๆตามที่ป้าจางบอกเอาไว้ เธอดูต้นไม้ใบหญ้าตามทางอย่างรู้สึกเบิกบาน เสียงแซกแซกมาจากพุ่มไม้ที่ห่างไปจากเธอไม่มากนัก เธอก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติแต่แล้วก็ต้องกรีดร้องสุดเสียงเพราะเงาดำๆที่ลอยกระโจนพุ่งมายังเธอ ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่เป็นสอง!

             ‘เหวอออ!!!หมีขั้วโลกกับ...หมีกิสลี่ย์!?!’

             หญิงสาวหลับตาปี๋รอความเจ็บปวดที่จะได้รับจากคมเขี้ยวและเล็บของเจ้าสัตว์ป่าตัวร้ายอยู่นั้น เสียงระฆังช่วยชีวิตก็ดังขึ้น

             “เจาสี่ เจาฉาย นิ่ง!”

             เสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น

             ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกทึ่งมันไม่ใช่หมี!แต่เป็นสุนัขพันธุ์จั้งเอ๋า!!! [1]มันนั่งลงตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างว่าง่ายพลางเอียงคอกระดิกหางให้เธออย่างน่ารัก แต่ความดุดันที่ขึ้นชื่อของสุนัขพันธุ์นี้ทำให้เธอขาแข็งไม่กล้าขยับ ถึงแม้ที่บ้านจะเลี้ยงสุนัขที่ขึ้นชื่อว่าดุอย่างบางแก้วอยู่สองตัว ก็ไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกดีกับเจ้าสองตัวนี้เลย

             “ไม่ต้องกลัวนะอิงเหลียน เจ้าสองตัวนี้มันเชื่อง มันแค่อยากจะเล่นด้วยเฉยๆเท่านั้น”

             ‘เห๊อะ! น่าเชื่อตายล่ะ’หญิงสาวคิดในใจอย่างรู้สึกขยาด เจ้าสองตัวเหมือนจะรู้ทันความคิดของเธอ มันเดินเข้ามาพลางกระดิกหางให้ พลางใช้หัวของมันซุกไซ้ไปกับมือนิ่มๆของเธอ

              โดยเนื้อแท้แล้วฉัตตาเป็นคนรักสัตว์โดยเฉพาะหมาและแมว เมื่อเห็นท่าทีที่เป็นมิตรของพวกมัน หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบที่หัวของพวกมันเบาๆ แม้ในใจจะนึกขยาดก็ตาม

              “อิงเหลียนเป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกไม่สบายอยู่อีกไหม?” เขาเอ่ยปากถามขึ้น

             “ไม่ค่ะ ดิฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ คุณป้าจางบอกว่าถ้าอยากรู้คำตอบให้มาถามคุณ” เธอเริ่มเปิดประเด็น

             "ใช่”

           “คุณทราบชื่อของดิฉันได้ยังไงกันคะ? ดิฉันจำได้ว่ายังไม่ได้บอกคุณเลย” เธอถามอย่างรู้สึกสงสัยโดยปลายท้ายเสียงออกจะหาเรื่องหน่อยๆ

            ‘นี่แม่คุณคงจะจำเราไม่ได้เลยสินะเนี่ย! เอาวะจำเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนไม่ได้ก็เริ่มมันใหม่ให้หมดเลยก็แล้วกัน!’ เผิงเฟยคิดในใจอย่างหน่ายๆ แต่กระนั้นใบหน้าเรียวก็ยังประดับไปด้วยรอยยิ้ม

            “คุณแนะนำตัวกับผมแล้วครับ”

            “ก็เมื่อคืน ตอนที่เราวิ่งไปที่หน้าตึกหมินเทียนไง ” เขาเล่าย้อนเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆแทนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

            “คุณบอกว่ายังไม่รู้จักชื่อผม ผมบอกชื่อผมแล้วคุณก็บอกชื่อคุณ แล้วคุณก็เป็นลมไป...นี่คุณจำไม่ได้แล้ว?”

             เผิงเฟยเล่าโดยปรุงแต่งเรื่องราวเข้าไปนิดหน่อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉัตตาสงสัยเขาเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวกลับรู้สึกคับคล้ายคับคาว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ เธอจึงรู้สึกอายที่ไปถามเขาอย่างหาเรื่องแบบนั้น ทั้งๆที่เธอเป็นคนลืมมันเสียเอง

            “งั้น...เอ่อ...ดิฉันรู้ว่านี่มันดู...เอ่อ...เสียมารยาทมากๆแต่... แต่ดิฉันจำไม่ได้จริงๆ... คุณ...คุณชื่ออะไรคะ?”

            ฉัตตาพูดเร็วรัวออกไปด้วยแล้วก้มหน้าซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำ จริงๆเผิงเฟยอยากจะแกล้งต่อไปอีกสักนิดโทษฐานที่เธอลืมเขาไปได้ง่ายๆ แต่เห็นเธอรู้สึกประหม่าจนไม่รู้จะประหม่ายังไงแล้วก็อดสงสารขึ้นมาไม่ได้

            เลิกแกล้งก่อนดีกว่า ยังมีเวลาอีกเยอะ!

            เผิงเฟยยื่นมือออกไปข้างหน้า ใบหน้าเรียวประดับด้วยรอยยิ้ม

            “ผมชื่อเหว่ยเผิงเฟยครับ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งครับ หลินอิงเหลียน!”

             รอยยิ้มของเขาทำให้ฉัตตารู้สึกแปลกๆ เคยเห็นรอยยิ้มของผู้ชายมาก็มาก แต่ไม่มีรอยยิ้มของใครทำให้เธอรู้สึกเคลิ้มตามได้แบบนี้เลยสักคน! ฉัตตายืนนิ่งมองรอยยิ้มนั้นดั่งเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์

            “อิงเหลียน?” เผิงเฟยเรียกชื่อฉัตตาพลางยื่นหน้าเข้ามา ใบหน้าของเขาห่างจากเธอไม่ถึงคืบ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขา ดวงตาที่สบประสานกันทำให้เธอใจเต้น เลือดสูบฉีดพล่านพุ่งไปทั่วทั้งร่างส่งผลให้ใบหน้านวลแดงระเรื่อ

            “อ๊ะ! อ่อ! ยิน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันค่ะ” เธอยื่นมือออกไปเช่นกัน มือหนาเรียวอุ่นสัมผัสกับมือเรียวเล็กที่เย็นเฉียบ ความอบอุ่นค่อยๆไหลแผ่ซ่านเข้ามาที่กลางฝ่ามือเนิบช้าอ้อยอิ่งแล้วร้อนวูบเข้าไปถึงหน้าอก ภายในช่องท้องปั่นป่วนไปหมด

            ฉัตตาชักมือออกแทบจะทันที เธอกุมมันไว้ด้วยมืออีกข้าง บีบแล้วคลาย คลายแล้วบีบอยู่หลายรอบอย่างรู้สึกงุนงงกับสัมผัสเมื่อครู่ เธอประหม่าจนทำตัวไม่ถูกมือไม้รู้สึกเกะกะ คำถามต่างๆที่อยากจะถามดูเหมือนจะโดนสัมผัสเมื่อครู่เผาไหม้ไปจนหมดสิ้น เธอก้มหน้างุดแล้วนั่งลงไปกับพื้นสนใจเจ้าสองตัวขนฟูแทนโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกเลย ความเงียบเข้าคลอบคลุมเขาทั้งคู่ ผ่านไปนานกว่าที่ฉัตตาจะตั้งสติได้ ในที่สุดเธอก็เริ่มบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง

            “ฉันรู้จักชื่อคุณแล้วแต่ก็ยังไม่รู้จักคุณอยู่ดี....คุณเป็นใครกันแน่คะ?”

             เผิงเฟยลังเลว่าเขาควรจะบอกเธอดีหรือเปล่าถึงตัวตนที่แท้จริง แต่ปิดไปก็เท่านั้นในวันหนึ่งเธอก็ต้องรู้อยู่ดี

            “ผมเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเหว่ย ตระกูลที่ควบคุมการขนส่งทางทะเลและเขตการค้าในเทียนจิน บอกแค่นี้คุณคงพอรู้แล้วสินะ?”

            ฉัตตารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะไม่ธรรมดาขนาดนี้ ใครๆก็รู้ดีตระกูลเหว่ยเป็นตระกูลเก่าแก่ กิจการของตระกูลนี้ก็มีมาก ทั้งโรงแรม ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ฯลฯมีอิทธิพลมากในเทียนจิน คนในรัฐบาลมาขอความช่วยเหลืออยู่เสมอๆ อยู่ที่เทียนจินมาสี่ปีก็เคยได้ยินเรื่องราวของตระกูลนี้มาบ้าง แต่ไม่นึกเลยว่าเธอจะได้มาคุยตัวต่อตัวแบบนี้!

            “งั้น..คุณจะบอกฉันได้ไหมคะว่าเมื่อคืนนี้...มันเกิดอะไรขึ้น”

            เผิงเฟยถอนหายใจยาวอย่างรู้สึกหนักใจ เขาไม่อยากให้ฉัตตาเข้ามาเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เลยสักนิด แต่ดูเหมือนว่าเธอจะตกกระไดพลอยโจนกับไปเขา ไม่บอกเธอก็คงจะไม่ได้

             “คุณรู้เรื่องเทียนจินมากน้อยแค่ไหนกัน อิงเหลียน?”

 

[1]สุนัขพันธุ์จั้งเอ๋า 藏獒(zàng’áo)หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ทิเบตั้น มาสทิฟฟ์ สุนัขที่แข็งแกร่งที่สุด ดุที่สุดในโลก

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา