เผลอรัก...จับใจ

10.0

เขียนโดย soso_sung

วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.15 น.

  20 chapter
  0 วิจารณ์
  21.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 20.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่13

 

หลังจากเหตุการณ์ในโรงอาหารครั้งนั้น อาเฉินก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเมื่อก่อนเขาไม่ค่อยจะแยแสเรื่องของผู้หญิง แต่มาบัดนี้ เขากลับมีผู้หญิงมากมายรายล้อมเขาเสียจน คนที่ว่าเจ้าชู้ สาวเยอะยังต้องอายเขา

ฉันไม่คิดที่จะสนใจเขามากมายขนาดนั้นหรอก ดีเสียอีกที่เขาไม่มาวุ่นวายกับฉันได้ แต่สายตาที่เขามองฉันครั้งนั้นทำให้ฉันไม่สามารถหยุดคิดได้

            “เป็นอะไรสาวน้อย ช่วงนี้ไม่ค่อยร่าเริงเลยนะ” คาร์ลเดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังโดยเอาคางเกยไว้บนไหล่มน

            “คิดอะไรเพลินๆนะคะ”

            “มีอะไรก็บอกผมได้นะ” คาร์ลก้มมาหอมแก้มแล้วเริ่มไล่ลงมาที่ซอกคอ

            “คุณคาร์ลคะ วันนี้เราไปเที่ยวกันไม” ฉันหยุดเขาไว้ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้

            “ร้ายกาจขึ้นทุกวัน” ได้ผล เขาหยุดการกระทำแล้วหมุนตัวฉันให้หันไปหาเขา

            “ก็คุณทำให้ฉันเป็นแบบนี้นี่น่า” ทุกครั้งที่เขาต้องการแสดงความรักเขามักจะเอาแต่ใจตัวเองจนบางครั้งก็ทำให้ฉันห้ามเขาไม่อยู่ เขาเหมือนเด็กน้อยเวลาที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่ฉันไม่ใช่คนที่จะชอบทำตามใจใคร จึงต้องมีห้ามปรามกันบ้าง

            “คุณพร้อมเมื่อไรผมไม่ปล่อยคุณแน่” เขาคาดโทษไว้แล้วจูบที่ปลายจมูกและไล้ต่ำลงมาที่ริมฝีปาก ฉันตอบรับเขาด้วยความเต็มใจแต่เมื่อเขาเริ่มเอาแต่ใจอีกครั้งฉันก็เบือนหน้าหนี

            “เราไปกันได้หรือยังคะ” เขาไม่ตอบมัวอ่อยอิงอยู่ที่ริมฝีปากฉันไม่ขยับไปไหน

            “ผมรักคุณนะ” เสียงนุ่มลึกที่บ่งบอกได้ชัดว่าไม่ได้พูดเล่นทำให้สายตาหวานดังน้ำผึ้งต้องสบตาดำเข้มของเขาว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า

            “เราไปเตรียมตัวกันเถอะคะ”

            “อีกนานไม่เนี่ย ที่ผมจะชนะใจคุณ” เมื่อไม่มีปฏิกิริยาของผู้หญิงตรงหน้าก็ทำเขาบ่นเป็นตาแก่ แต่เขาก็ยอมปล่อยแขนเธอแล้วก้มหน้างุดๆไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่จะออกไปเที่ยวตามที่เธอชวน

            “ฉันก็แค่อยากให้แน่ใจว่าคุณไม่เห็นฉันเป็นเพียงของเล่นแก้เหงา” ไขไข่พึมพำกับหลังแกร่งที่หายลับไปในห้อง

            “ผมรู้ว่าที่รักแอบนินทาผมอยู่ในใจ” คาร์ลที่เข้าไปในห้องจู่ๆก็โผล่หน้าทะเล้นออกมาทำให้ไขไข่ที่มองเขาอยู่ถึงกับสะดุ้ง

            “จะบ้าหรอ ฉันจะนินทาคุณไปทำไม”

            “เมื่อไรที่รักจะเรียกคาร์ลว่าที่รักบ้างนะ” คาร์ลทำเป็นถามแล้วเดินเข้าไปในห้อง พลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี

และนี้เป็นอีกเรื่องที่ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันสักเท่าไรแต่ผิดกับเขาที่เมื่อได้ยินฉันเรียกเขาว่า คุณ คุณคาร์ลหรือนาย เขาก็มักจะทำสีหน้าไม่พอใจแต่เขาก็ไม่สามรถทำอะไรได้นอกจากจูบทำโทษ ฉันชอบที่เขาจูบฉัน นั้นก็เป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงไม่จริงจังต่อสรรพนามที่เรียกเขา

 

ตอนนี้พวกเรามาอยู่กันที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ก็แน่นอนว่าเขาไม่ยอมไปห้างฯไหนเลย โดยอ้างว่ายอดการขายจะตก ถ้าขาดลูกค้าไป เวลาที่ฉันหยิบจับของก็จะถูกเขาซื้อหมด จนฉันไม่กล้าที่จะหยิบจับหรือมองอะไรแล้ว

“ฉันแค่ดูเฉยๆนะคะ ไม่ได้อยากได้จริงๆเสียหน่อย”

“ของที่คุณดูก็หมายความว่าคุณสนใจ” เขาตอบแค่นั้นก็หันไปพยักหน้าให้ลูกน้องของเขาไปจ่ายเสื้อผ้าที่ฉันเผลอจับ

 ตาบ้า อยากจ่ายนักใช่ไม ฉันจะเอาให้คุณจนเลยคอยดู

            “นินทาผมอยู่หรือไง” เขาพูดออกมาอย่างรู้ทัน

            “รู้ได้ยังว่าฉันนินทา” ฉันย้อนถามกลับ

            “ก็คุณมองหน้าผมแล้วยิ้ม แบบนี้” คาร์ลพูดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์เรียนแบบอย่างที่ฉันทำ

            “ฉันไม่ได้ทำอะไรน่าเกียจแบบนั้นซะหน่อย”

            “ฮ่าๆ” คาร์ลหัวเราะร่าอย่างมีความสุขเมื่อทำให้ฉันหน้าบึ้งได้

            “ไอ้มนุษย์ขี้แกล้ง” ฉันบ่นกับตัวเองเบาๆแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วทำหน้าเหลอหลา

            “ไม่ได้แกล้งสักหน่อย”

            แชะ!!!

            แชะ!!!

จู่ๆแสงแฟลชก็มาจากไหนไม่รู้ พอมองหาก็เจอเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งกำลังเล็งกล้องมาทางนี้

            “นั้นคุณจะทำอะไรนะ” แล้วบอร์ดี้การ์ดทั้งหลายก็มาล้อมตัวฉันกับคาร์ลไว้ขนฉันไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย

            “ไปจับมันมา อย่าให้รูปอออกมาได้เด็ดขาด” คาร์ลสั่งลูกน้องเสียงเด็ดขาดแล้วจับมือฉันออกเดิน

            “ผมคงคิดผิดจริงๆที่พาคุณออกมาแบบนี้” คาร์ลพูดอย่างสำนึกผิดที่ทำให้วันพักผ่อนต้องมาเจอเรื่องวุ่นๆ

            “ไม่เป็นไรคะ งั้นเราไปที่อื่นกันไม” ฉันปลอบใจเขาแล้วชวนเขาไปที่อื่น

            “คุณยังจะไปอีกหรอ” เขาถามด้วยความอารมณ์เสีย

            “ใจเย็นๆก่อนสิคะ ฉันไม่ได้จะพาคุณไปตายเสียหน่อย” ฉันพยายามทำให้เขาใจเย็นเมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดฟังฉันเลย “ฉันอยากพาคุณไปจริงๆนะคะ”

            “ที่ไหน” เยส! ในที่สุดเขาก็ยอมฉัน

            “เดี๋ยวคุณก็รู้ แต่เราจะไปกันแค่สองคนนะคะ” ถ้าหากต้องเอาบอร์ดี้การ์ดพวกนี้ไปด้วยมีหวังได้ดังสมใจแน่

            “ไม่ได้นะครับ พวกเราต้องคุมครองนาย” เสียงเหี้ยดังขึ้นภายในกลุ่ม

            “แต่ที่ๆฉันจะไป...”

            “ติดตามห่างๆ”

“ก็ได้ ติดตามห่างๆ” ฉันรู้ว่าตัวเขามีค่ามหาศาล แต่ฉันก็ยังไม่อยากตายเพราะถูกพวกเขาสังหาร

ระหว่างการเดินทางในครั้งนี้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อพวกปาๆรัชซี่ต่างพยายามเข้ามาถ่าย ถึงขนาดขี่รถมอเตอร์ไซด์ถ่ายกันเลยทีเดียว

แต่หารู้ไมว่าพวกที่เขากำลังตามอยู่นั้นข้างในรถมีเพียงหนุ่มๆบอร์ดี้การ์ดของเขาเท่านั้น ซึ่งนั้นก็เป็นแผนของฉันเองแหละ ฉันให้พวกเขาล้อพวกปาๆรัซซี่ไปอีกทางแล้วฉันก็พาคาร์ลมาขึ้นรถเมล์ ฉันเห็นในละครบ่อยๆเลยเอามาใช้บ้างแต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ผล

“คุณดังขนาดนั้นเลยหรอ” ฉันถามเขาในขณะที่เรานั่งเรียบร้อย อ่อ! ฉันนั่งคนเดียว โชคร้ายหน่อยที่วันนี้มีคนขึ้นรถสายเดียวกับฉันเยอะเลยทำให้เขาต้องยืนเกาะเสาร์มองฉันอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่รู้สิ ผมไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้”

“คุณอยากนั่งไม” ฉันถามเขาด้วยความห่วงใย

“ไม่เป็นไร” เขากัดฟันตอบแล้วยิ้มเหี้ยมๆออกมา

            รถที่แล่นด้วยความเร็วตามท้องถนนที่ว่าง แต่แล้วก็มีรถยนต์ที่ไหนไม่รู้พุ่งเข้ามาตัดหน้ารถทำให้เราเมล์ต้องแบรกอย่างกะทันหัน

            เอี๊ยด!!!

อั๊ก!!!

ทำให้ผู้โดยสารที่ยื่นเบียดเสียดกันต่างเซกันไปคนละทิศละทาง จนใครคนหนึ่งชนเข้าข้างหลังของคาร์ล ทำให้เข้าพุ่งหน้าเข้ามาหาหญิงสาวที่มองหน้าเขาอย่างยิ้ม แต่ก็ไม่ถึงกับหน้าชนหน้าเพราะเขาเกาะราวเหล็กไว้อย่างแน่นหนา

“คุณไม่เป็นอะไรนะคะ” ฉันถามเขาแก้เขินเมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะยื่นหน้ากลับ

“ไม่เป็นอะไร” เหมือนเขาได้สติจึงยืดตัวขึ้น แต่แล้วเหมืนสวรรค์กลั่นแกล้งหรือย่างไรมิอาจทราบได้เมื่อ รถที่หยุดนิ่งนั้นกระตุกเพื่อที่จะทะยานไปข้างหน้า แต่ด้วยความเร็วของมันทำให้ผู้โดยสารที่ยังไม่ทันได้หาที่ยึดกับตัวเองดี ก็ต่างเซชนกันและกัน

อั๊ก!!!

และเป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มต้องเซตามแรงกระแทกนั้น แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะแรงกว่าครั้งแรกทำให้มือที่เขาพึ่งคลายเพื่อที่จะเปลี่ยนอิริยาบถ โดยมือของเขานั้นก็พุ่งทะยานมาข้างหน้าตามสัญชาตญาณเพื่อที่จะหาที่เหนี่ยวรั้ง แต่เขากลับคว้าได้เพียงอกนุ่มนิ่มของเธอ และปากของเขานั้นก็ได้ปะทะเข้ากับระหว่างอกนุ่มนิ่มนั้น

“กรี๊ด!!!” ไม่ใช่เป็นเสียงของไขไข่เพราะเธอกำลังอึ้งกับผู้ชายตรงหน้ามากกว่า

“ช่วยด้วยคะ โรคจิตคะ มันจะปล้ำคุณผู้หญิงคนนี้” เสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือที่ดังไปทั่วรถเรียกให้เขาทั้งสองต้องกระเด้งออกจากัน พร้อมกับสายตาที่มองสบกันด้วยความไม่คาดฝัน

“ไอ้โรคจิต หน้าตาก็ดี อยากตายใช่ไม” หนุ่มวัยรุ่นเข้ามาคว้าตัวคาร์ลที่ยังคงทำอะไรไม่ถูก

“เดี๋ยวคะ...เขาไม่ใช่ พลั๊ก!!!” ไม่ทันที่ไขไข่จะทันร้องห้าม คาร์ลก็ถูกวัยรุ่นชกเข้าที่ใบหน้าขาวนั้น

“โทรเรียกตำรวจ!!!” เสียงผู้หญิงคนแรกร้องบอกให้ใครสักคนโทรเรียกตำรวจ นั้นทำให้ผู้คนบนรถต่างรีบคว้าโทรศัพท์ออกมากันยกใหญ่

“เดี๋ยว...เขาไม่ใช่...”

ไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรก็มีผู้หวังดีคนหนึ่งโทรแจ้งตำรวจและดูเหมือนว่า ตำรวจจะรับสายของเจ๊แกเรียบร้อย

“คุณตำรวจคะ มีโรคจิตคะ...”

“เดี๋ยวก่อนสิคะ” ฉันเข้าไปคว้าโทรศัพท์ของเจ๊แกทันที

“น้องคะ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะทำอะไร...”

“โรคจิตบนรถสาย...” ไม่ทันเสียแล้ว เพราะผู้หวังดีนั้นโทรไปแจ้งความกับตำรวจเรียบร้อย

และเมื่อฉันหันไปมองคาร์ลเพื่อที่จะขอความคิดเห็นแต่ก็ต้องตกใจมองอ้าปากค้าง เมื่อเห็นว่าคนที่ชกคาร์ลตอนนี้ได้ลงไปนอนจมกองเลือดเรียบร้อย

            นี้เขาไปต่อยเจ้าเด็กนั้นเมื่อไร ทำไมไม่เห็นมีใครเห็น

            “พวกคุณเลิกบ้ากันได้แล้ว!” เขาตะโกลั่นรถ ทำให้ผู้โดยสารทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวและคนที่อยู่ใกล้เขาก็ถอยออกมาอย่างพร้อมเพรียง

            “คุณโรคจิตใจเย็นๆนะ” เสียงผู้หญิงที่กรี๊ดพูดออกมา ทำให้ฉันรีบหาต้นเสียงทันทีเพราะหล่อนทำให้ฉันต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายและฉันก็เจอ ซึ่งเธอเป็นหญิงสาววัยกลางสวมแว่นตาหนาเต๊อะ ยืนกดโทรศัพท์พร้อมกับถ่ายรูปชูสองนิ้วอยู่

            “นั้นเจ๊จะทำอะไรนะ” ฉันรีบเข้าไปคว้าโทรศัพท์ของเจ๊แกทันที และสิ่งที่เห็นนั้นก็ต้องอึ้งยิ่งกว่าเดิมเมื่อเจ๊แกเอารูปที่ฉันถูกคาร์ลจับและจูบหน้าอกและอีกหลายภาพบนเหตุการณ์บนรถ โดย

โพสข้อความไว้ว่า ‘โรคจิตรูปหล่อ’ ลงบนอินเตอร์เน็ต

            “นี้คุณเอาของฉันมานะ” หล่อนเข้ามาคว้าโทรศัพท์แต่ก็ได้แค่คว้าเพียงอากาศเมื่อฉันยื่นไปให้คาร์ลที่เดินเข้ามาดู “พวกคุณสมรู้ร่วมคิดกันใช่ไม” เธอยังต่อว่าอีกเมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมเอาโทรศัพท์คืนเธอ

            “หนู...บอกป้ามาเลย ว่าเขาขู่อะไรหนู หนูไม่ต้องกลัวนะ ป้ามีหลักฐานทั้งหมด” ป้าวัยเจ็ดสิบจับมือฉันแล้วถามด้วยความเห็นใจ แต่สิ่งที่ป้าบอกว่ามีหลักฐานทั้งหมดทำให้ฉันเหนื่อยขึ้นเป็นสองเท่า

            “มันไม่ใช่อย่างที่พวกคุณคิดกันนะคะ ป้าลบรูปพวกนั้นเถอะคะ” ฉันพยายามที่จะบอกทุกคนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะเชื่อ

            หว่อออ

            เรื่องที่เกิด ฉันว่ามันเลวร้ายแล้วนะ แต่พอได้ยินเสียงนี้มันทำให้ฉันอยากจะเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ

            “ชิดขวาด้วยครับ รถข้างหน้า...รถคันดังกล่าวจงหยุดเดี๋ยวนี้” เสียงตำรวจนายหนึ่งสั่งให้รถที่ฉันโดยสารอยู่ให้หยุด

            “ลุง เขาบอกให้หยุดทำไมลุงไม่หยุด” ยัยเจ๊แว่นนั้นตะโกนไปถามคนขับรถทันที แต่สิ่งที่ตอบมาทำให้ฉันยิ่งอยากจะเป็นบ้าเข้าไปอีก

            “ยังไม่ถึงป้าย”

            “เดี๋ยวนะ...” ผู้ร่วมเหตุการณ์ท่านหนึ่งร้องออกมาด้วยความตกใจ “ใช่จริงๆด้วย ฉันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเจอคุณ แหม...เป็นความน่ายินดีปรีดาเหลือเกินที่ได้เจอคุณ ลูกๆจ๋า ผู้นี้เขาเป็น...”

            “เป็นใครหรอจ๊ะแม่จ๋า” เด็กน้อยแก้มยุ้ยทั้งสองถามขึ้นด้วยตาใสแป๋ว

            “คนนี้ไง พ่อของลูก” คำตอบที่คุณแม่ลูกสองตอบออกมาทำให้ฉันมองไปหน้าคาร์ลที่เอามือตบหน้าผาก

            “พ่อจ๋าๆ” เด็กน้อยที่ไม่เคยเห็นพ่อตัวเองมาก่อนต่างวิ่งกรูเขาหาคาร์ลที่มองหน้าฉันอย่างแค้นๆ “อุ้มหนูๆ” เด็กทั้งสองร้องขอแล้วชูแขนเพื่อให้คาร์ลอุ้ม

            “ลูกๆจ๋า เอาไว้วันหลังละกันเน๊อะ คุณพ่อเขาไม่ว่างนะ” เมื่อคุณแม่ลูกสองสบตาคาร์ลก็หุบยิ้มแล้วรีบลากลูกๆของเธอออกห่างจากคาร์ลทันที

            “หากคุณไม่หยุดเราจะยิงนะ” เสียงของไซเรนที่ยังดังอยู่ตลอดพร้อมกับเสียงของตำรวจเรียกให้เราไปสนใจกับสิ่งรอบตัวอีกครั้ง

            “คุณตำรวจ ช่วยเราด้วยคะ!!!” ทันใดนั้นเองผู้โดยสารทั้งหลายต่างวิ่งเข้าไปเกาะหน้าต่างแล้วร้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่ได้นัดหมาย

            “ให้ตายสิ ฉันมาเจอเรื่องบ้าอะไรอยู่เนี่ย” ฉันร้องออกมาด้วยความเซ็งที่ต้องมาเจอกับเรื่องบ้าๆแบบนี้

            “เกาะแน่นๆน่า!!” เสียงลุงคนขับตะโกนออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และไม่ทันไรรถที่เคลื่อนเป็นปกติก็เร่งความเร็วมากขึ้น

            กรี๊ดดด

            ปั้ง!!!

            เอี๊ยด!!!

            การเคลื่อนรถด้วยความเร็วทำให้ผู้โดยสารที่ยังไม่ได้นั่งกันดีต่างส่งเสียงกรี๊ดร้องด้วยความตกใจ ส่งผลให้รถตำรวจที่ขับตามต้องเร่งความเร็วพร้อมกับยิ่งปืนสกัด แต่ไม่นานรถเมล์ที่เคลื่อนด้วยความเร็วก็เบรคเอี๊ยดลงตรงป้ายซึ่งมีผู้คนเตรียมขึ้นเพื่อที่จะไปยังสถานนี้ต่อไป

            “รีบไปเถอะ” ช่วงชุลมุน คาร์ลได้ลากไขไข่ให้เดินออกจากรถ ซึ่งผู้โดยสารยังหลับหูหลับตาร้องไม่หยุด ทำให้คนที่รอขึ้นรถต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย

            “เขาหนีไปแล้ว” เสียงใครสักคนบนรถร้องตะโกนขึ้น

            “วิ่ง!!!” เพียงแค่นั้นเราสองคนก็ต่างวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ฉันขอสาบานเลยว่าถ้าฉันเจอเจ๊แว่นหนาเต๊อะอีกครั้งฉันจะ ไม่ให้หล่อนได้ไปผุดไปเกิด จะทำให้หล่อนอับอายอบ่างที่เธอทำกับฉันไว้

            “ฉันเหนื่อยแล้ว” ฉันร้องเมื่อคาร์ลยังคงลากฉันวิ่งอย่าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

            “อ่ะ!” แต่แล้วเขาก็หยุดวิ่งเสียเฉย ทำให้หน้าของฉันไปปะทะเข้ากับหลังแกร่งของเขา

            “เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาหันมาจับหน้าฉันเบาๆ ลมหายใจร้อนที่เข้าออกจากความเหนื่อยนั้นปะทะเข้ากับหน้าของฉัน

            “เหนื่อย...” ฉันไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยนอกจากคำนี้ นี้เมื่อก่อนเขาเป็นนักวิ่งมาก่อนหรือเปล่าเนี่ย

            ฉันทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดท่า ใครว่าฉันจะก้นใหญ่ก็ว่าไปเถอะ ไม่ไหวแล้วขอนั่งให้หายเหนื่อยก่อนเถอะ

            “ตอนนี้ผมคิดว่าเราน่าจะปลอดภัยแล้ว”

            “ฉันก็คิด...อย่างนั้น” ถ้าวิ่งมาไกลขนาดนี้ไม่ปลอดภัยก็ไม่รู้จะว่ายังไงละ “แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันละ”

            มันไม่เห็นจะมีอะไรเลยนอกจากตึกร้าง นี้เราวิ่งมาทางไหนของประเทศกัน

            “แถวนี้น่าจะเป็น...” แต่แล้วคาร์ลก็หยุดพูด

            “เป็นที่ไหนหรอคะ ชู่ว!” เขาสงสัญญาณให้ฉันเงียบ

            “ลุกขึ้น” เขาสั่งพร้อมกับมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง แต่นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งดีเลย เพราะหมายความว่าฉันอาจจะต้องวิ่งหรือต่อสู้กับอะไรสักอย่าง

            “ฉันไม่ไหวแล้ว” ฉันอยากจะร้องไห้เหลือเกิน โชคไม่เข้าข้างฉันหรือไง

            “ไขไข่! เราต้องรีบไปแล้ว” คาร์ลพยายามที่จะอุ้มฉันให้ลุกจากพื้น แต่มันยากเหลือเกินที่ขาของฉันจะยืนด้วยลำแข้ง เพราะตอนนี้มันสั่นไปหมดแล้ว

            “ฮืก คุณคาร์ล...” ฉันร้องไห้ออกมาด้วยความเหนื่อย ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะร้องไห้ต่อหน้าเขา

            “เฮ้อ เด็กน้อยเอ้ย”

            “คุณจะทำอะไรนะ” จู่ๆคาร์ลก็อุ้มตัวฉันไปพาดกับบ้าแล้วออกเดิน “ปล่อยฉันลงเถอะ”

            “ถ้าคุณยังไม่อยากตาย ก็เงียบๆเถอะ” เขาเตือนด้วยน้ำเยงจริงจังแล้วเดินเข้าไปในตึกร้าง

            สิ่งแรกที่เข้ามาในนี้ที่ฉันสัมผัสได้คือความมืด อาจเป็นเพราะข้างนอกเริ่มมืดเข้าไปทุกทีแล้ว สิ่งต่อมาคือความเย็นยะเยือกที่สัมผัสผิวทำให้ฉันตอนนี้ลงจากบ่าของคาร์ลมายืนเกาะหลังของเขาแทน

            “ผมเดินไม่ถนัด” เขาเอ่ยออกมา

            “ก็ไม่ต้องเดินสิ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ” ฉันพูดเสียงอู้อี้เนื่องจากเอาหน้ามุดที่หลังของเขา

            “เราต้องค้างที่นี้”

            “ไม่เอานะ ฉันอยากกลับบ้าน” น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วได้ไหลออกมาอีกครั้งด้วยความกลัว

            “คุณอยู่กับผมไม่ต้องกลัวหรอก” เขาพลิกตัวเพื่อให้ไขไข่เห็นชัดๆว่าเขาพร้อมที่จะปกป้องเธอ

            “จับมือผมไว้ ผมจะไม่มีทางทิ้งคุณเด็ดขาด” มือใหญ่ยื่นไปตรงหน้าหญิงสาว สายตาของเธอจ้องมองมือนั้นอย่างลังเล แต่ไม่นานเธอก็วางมือเล็กๆของเธอให้เขากอบกุม เธอเชื่อมั่นในตัวเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็พร้อมที่จะให้เขาปกป้องเธอ

            ครึ้ม!!!

            “กรี๊ด!!!” จู่ๆเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นทำให้หญิงสาวที่ชินกับความเงียบเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ และนั้นทำให้ร่างใหญ่ต้องคว้าตัวเธอเข้ามากอดเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกกลัว

            เพียงไม่นานเสียงของสายฝนก็ดังขึ้นห่าใหญ่ ทำให้ไขไข่ที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขาต้องผละออก

            “ไปทางนั้นเถอะ” เขาออกเดินนำโดยที่มือใหญ่ก็ยังกอบกุมมือเล็กอยู่ไม่ห่าง

            ไขไข่มองมือของเขาและเธอที่กอบกุมกันนั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะเข้าใจได้ อาจจะมีหลายครั้งที่เขาจับมือเธอแต่นั้นก็ไม่ได้เป็นเจตนาที่เขาหรือเธออยากจะจับมือกัน เขาแค่ลากเธอไปไหนมาไหนด้วยเฉยๆ ไม่ได้คิดที่จะ...

            “เราพักกันตรงนี้เถอะ”

            “...”

            “ที่นี้เป็นที่พักของเราคืนนี้” คาร์ลชี้แจงอีกครั้งเมื่อยังเห็นไขไข่ทำหน้าเหลอหลามองเขา

            “ตรงนี้นะหรอ” เมื่อไขไข่ได้สติเธอก็มองที่ๆเธอจะนอน แต่สภาพของมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากที่ที่ๆเธอผ่านมา

            “อืม นอนได้แล้วพรุ่งนี้เราต้องเดินทางต่อ”

            “เดี๋ยวก่อนคะ” เมื่อคาร์ลทำท่าจะนอนจริงๆไขไข่ก็ขัดขึ้น

            “อะไร” เขาส่งเสียงหงุดหงิดออกมานิดหน่อย แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ไขไข่ติดใจอะไร

            “คุณจะไม่ทำอะไรฉันใช่ไม” ไขไข่ถามออกมาอย่างกลัวๆนั้นทำให้คนที่ฟังอยู่ถึงหับระเบิดหัวเราะออกมาแข่งกับฝนที่เท่กระหน่ำลงมา

            “ฮ่าๆๆ”

            “คุณหัวเราะอะไรของคุณ ฉันจริงจังนะ” ไขไข่หน้าบึ้งพลางกอดอก

            “ผมคงไม่เสียสติที่จะอยากมีอะไรกับคุณที่นี้หรอก แต่ถ้าคุณต้องการ...ผมก็ไม่ขัดนะ” คาร์ลตอบออกมาได้น่าตบมากในความคิดของไขไข่

            “บ้าหรือไง ใครไปอยากมีอะไรกับคุณ”

            “ถ้าไม่มีก็นอนได้แล้ว” คาร์ลตอบในขณะที่ตาของเขาก็ปิดแล้ว แต่สำหรับไขไข่นั้นมันอยากเกินไปที่เธอจะล้มตัวลงนอนได้ในสถานการณ์แบบนี้

            “อะไรของคุณเนี่ย” คาร์ลเด้งตัวขึ้นมาคว้าแขนไขไข่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวให้ล้มตัวลงนอน ทำให้ร่างบางเกยอยู่บนร่างบึกบึนของเขา

            “อยู่ใกล้ๆผมไว้”

ไม่มีความเคลื่อนไวใดๆของผู้ชายคนนี้ ทำให้ไขไข่มองหน้าของผู้ชายตรงหน้า มองผิวเผินเขาเหมือนผู้ชายที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี หรืออาจจะเป็นเพราะเขาต้องดำรงตำแหน่งที่ใหญ่ทำให้เขาเป็นแบบนั้น แต่ในใจลึกๆของเขาก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาที่อยากจะแสดงอาการว่าเขาชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร ตัวเขาที่แท้จริงนั้นเป็นคนขี้เล่นถึงแม้บางครั้งจะอารมณ์ร้ายไปบ้าง แต่นี้ก็คือตัวเขา

“คุณเลิกจ้องผมแล้วนอนได้แล้ว” ไม่ทันที่มือของฉันจะได้สัมผัสใบหน้าอันอิดโรยของเขา ก็ต้องตกใจเสียง

“ฉันคิดถึงแม่จังเลย” สายฝนที่ถาโถมกระหน่ำลงมาแบบนี้ทำให้ฉันคิดถึงวันนั้น วันที่พ่อและแม่ของฉันจากไป

“คุณจ้องหน้าผมแล้วคิดถึงแม่หรอ” เขาถามเสียงประหลาด “คุณควรมองผมแล้วคิดถึงพ่อของคุณสิ”

“คุณเป็นอะไรไป” คาร์ลร้องตกใจเมื่อสัมผัสถึงน้ำที่เปียกบริเวณหน้าอก พร้อมกับร่างเล็กๆที่สั่นๆ

“คริๆ ฉันไม่เป็นอะไรหรอกคะ” ทีแรกว่าจะร้องไห้แต่พอได้ยินเขาพูดแล้วกลับหัวเราะขึ้นมาซะงั้น

            “ผมรู้ว่าคุณอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ผมเสียใจด้วยนะครับ” เขาเอามืออันอุ่นเข้ามากอดร่างฉัน “แต่ต่อไปนี้ผมจะอยู่เคียงข้างคุณนะ” น้ำเสียงที่เขาส่งผ่านมานั้นชั่งอบอุ่นคล้ายเสียงที่เริ่มจะเลื่อนหายเหลือเกิน แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะก้าวต่อไปได้แล้ว

ไม่มีเสียตอบรับมีเพียงรอยยิ้มบางๆที่มอบให้ พร้อมกับศีรษะเล็กๆวางบนอกกว้างที่ขยับตามลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอและเธอก็ได้ร่วมลมหายใจเข้าออกไปพร้อมกับเขาเช่นกัน

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้พูดถึงสถานการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้น แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงความสนุกในแววตาของเขา อาจเป็นฉันเองเสียอีกที่จะเป็นบ้าตาย เพราะเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ แต่เขากลับไม่พูดถึงมันมีบางครั้งที่เขาหลุดขำออกมา นั้นทำให้ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนรักสนุก แต่ฉันหวังว่าเรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด

 

 

จิ๊บๆๆ

เสียงนกร้องขับขานหรืออาจจะเป็นการทักทายดังสนั่นไปทั่วโกดังร้าง แสงแดดที่รู้ว่าเช้าแล้วส่องเข้ามาเผยให้เห็นบุคคลทั้งสองที่ยังไม่ยอมลืมตาตื่น ทั้งสองต่างนอนกอดกันด้วยความเปี่ยมสุขโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลยว่าตัวเองได้อยู่ในที่ไหนแม้แต่เสียงร้องเรียกที่ออกจะเสียงดังลั่นโกดัง

“เจ้านาย!!!” เสียงของเหล่าบอร์ดี้การ์ดที่ร้องเรียกหาเจ้านายกันทั่วโกดังร้าง

“พวกนายไปทางนั้น ส่วนที่เหลือตามฉันมา” หัวหน้าบอร์ดี้การ์ดสั่งการลูกน้องทันที

“ครับ!”

พวกเขาต่างร้องเรียกหาเจ้านายของตัวเอง หาทุกซอกทุกมุมไม่ว่าจะเป็นกล่องโลหะที่ขึ้นสนิมหรืออะไรก็แล้วแต่ที่พวกเขาคิดว่าเจ้านายของเขาอาจจะหลบอยู่ก็ได้

“ไขไข่ๆ” คาร์ลที่ได้สติก่อน รีบปลุกไขไข่ที่ยังคงนอนอย่างมีความสุข

“คะ” ไขไข่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมากเจอกับใบหน้าหล่อเหลา

“ไปกันเถอะ” เขาค่อยๆพยุงตัวไขไข่ขึ้นมา

“เจ้านาย!” เสียงเรียกของบอร์ดี้การ์ดนายหนึ่งร้องขึ้นเมื่อเขาเห็นนายของตัวเอง

“มาแล้วหรอ” เรายืนมองลูกน้องของเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่สามารถบอกออกมาได้ว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน อาจจะด้วยโล่งอกก็ได้

“กลับบ้านกันเถอะคะ” ฉันและเขาออกเดินก้าวไปตามบอร์ดี้การ์ดที่มายืนล้อมตัวเราแล้วนำขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าโกดัง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา