ทอฝันสุดสายรุ้ง

10.0

เขียนโดย Jeremiiz

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 02.07 น.

  12 บท
  12 วิจารณ์
  18.47K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ต้นสายรุ้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๘

          ต้นสายรุ้ง

 

          หกปีต่อมา...

            แกรก... แกรก...

          สองล้อบางค่อยๆ เลี้ยวเข้าไปในซอยทางซ้ายมือก่อนจะหยุดกึกพร้อมกับคนที่ออกแรงขับเคลื่อนก็กระโดดลงมาแล้วใช้เท้าเตะขาตั้งลงเพื่อให้จักรยานทรงตัวอยู่ได้

            “กลับมาแล้วค่ะ”

            “วันนี้ก็ขายหมดเกลี้ยงอีกแล้วล่ะสิ”

            “ค่ะคุณย่า”

            หลังจากวันนั้น ทอฝันก็ช่วยเหลือครอบครัวโดยการนำขนมไปขายที่ตลาดทุกวันหยุดจนกลายเป็นกิจวัตรและหน้าที่ประจำไปเสียแล้ว มีลูกค้าหน้าใหม่ๆ แวะเวียนมารับขนมที่บ้านประปราย ซึ่งก็พอจะทำให้การเงินในบ้านหมุนคล่องขึ้นขณะหนึ่ง แต่จะให้กลับไปรุ่งเรืองเหมือนเก่านั้นก็คงจะยากเต็มทีเพราะเข้าตำรา ‘คนไทยเบื่อง่าย’ กระแสความนิยมที่เคยมีก็ลดลงไปจนเหลือเพียงลูกค้าที่ชื่นชอบเฉพาะกลุ่มเท่านั้น       

          “เข้าไปในบ้านเถอะ พ่อกับแม่เขากำลังพูดเรื่องเรียนต่อของพวกหนูอยู่น่ะ”

            ทอฝันพยักหน้ารับรู้ พร้อมนำข้าวของและเจ้ามอมแมมเข้าไปเก็บก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องรับแขกที่มีคุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็หนูวรรณนั่งอยู่

            “อ้าว ทอฝันมาพอดี เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย?”

            สิทธิกรเอ่ยทัก

            “ไม่หรอกค่ะ วันนี้ขายหมดเร็ว”

            “ดีจ้ะ ถ้างั้นนั่งลงเถอะ”

            วรดาบอก ทอฝันจึงลงนั่งข้างๆ

            “ผลสอบออกมาแล้ว ทอฝันติดที่ไหนรึเปล่าลูก?”

            “ธรรมศาสตร์ค่ะ หนูสอบเข้าธรรมศาสตร์ได้ค่ะ”

            ทอฝันบอกพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่ทุกคนก็ยิ้มตามไปกับความภาคภูมิใจครั้งนี้ด้วย

            “ดีจังเลยนะ ทอฝันสอบติดที่ที่ตัวอยากเรียนได้ แต่คะแนนของหนูกลับไม่เฉียดผ่านรั้วมหา’ลัยเลยที่ตัวเองอยากเข้าเลย”

            หนูวรรณหน้างุ้ม นึกน้อยใจในโชคชะตา

            เธอเป็นหญิงวัยรุ่นที่รูปร่างอวบ ผิวขาว และมีดวงตากลมโตเหมือนตุ๊กตา ทรงผมก็ตัดเป็นหน้าม้าเต่อ แต่ก็หยิกม้วนเป็นลอนธรรมชาติยาวถึงท้ายทอย เธอชอบแต่งตัวแต่งหน้าและออกเที่ยวสร้างสังคมกับเพื่อนๆ บ่อยๆ ขณะที่ทอฝันอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน ยามว่างก็เทียวขายของในตลาด เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยแต่งตัวนัก แต่มีโครงหน้าสะสวยหมดจด ยิ่งโตก็ยิ่งงดงามโดดเด่นผิดไปจากลูกสาวเจ้าของบ้าน ผมเพ้ารวบขึ้นอย่างเรียบร้อย ปลายผมที่รวบแล้วยาวถึงกลางหลัง ร่างสูงโปร่งดูทะมัดทะแมงแข็งแรง ผิวขาวเลือดฝาดเพราะชอบตากแดด แต่ก็ไม่กรำแดดจนตัวดำมะเมื่อมเหมือนพวกทะโมน   

            “ไม่ใช่เพราะเราทำตัวเองหรอกเหรอหนูวรรณ”
            สิทธิกรพูดตัดบทลูกสาวอย่างรู้ทัน

            “ถ้าตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ ไม่มัวแต่ไปเที่ยวเล่นไร้สาระแบบทอฝันเขา ป่านนี้ก็ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบไปแล้ว เวลามีเท่ากันแต่คนกลับใช้ไม่เท่ากัน ผลที่ออกมาคือความแตกต่างยังไงล่ะ”

            “ทอฝันสอบติดมอรัฐบาลชื่อดังเสียด้วย ส่วนหนูวรรณจะเอายังไงกับอนาคตตัวเองล่ะลูก ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้องเรียนเอกชน...”

            วรดาเสนอทางเลือก ซึ่งก็ทำให้หญิงสาววัยแรกรุ่นอย่างหนูวรรณยิ้มร่าออกมาได้

            “ดีค่ะ เอกชนก็เอกชน หนูวรรณจะได้มีเพื่อน”

            “ใครเหรอ? แล้วจะไปเรียนกันที่ไหน?”

            “เอแบคค่ะคุณแม่”

            “เอแบค... ที่นั่นน่ะ ค่าเทอมแพงมากไม่ใช่เหรอ?”

            สิทธิกรร้องถาม เมื่อได้ทราบเจตจำนงของลูกสาว ส่วนหนูวรรณก็หน้าเบ้เมื่อทุกคนหันมาจ้องมองเธอ

“แล้วยังไงล่ะคะ?”

เธอสอบถามเหตุผลด้วยความไม่เข้าใจ เหมือนเด็กๆ ที่ไม่ได้รับรู้ร้อนรู้หนาวเรื่องภายในครอบครัวเลย

“บ้านเราจะมีปัญญาส่งหนูไหวได้ยังไงกันล่ะลูก หนูไม่รู้เลยเหรอว่าตอนนี้ฐานะบ้านเราไม่เหมือนก่อนแล้วนะ”

“แต่ก็ไม่ได้แย่จนถึงขนาดส่งหนูเรียนไม่ได้ไม่ใช่หรือคะคุณแม่”

“แล้วทอฝันล่ะ ทอฝันเขาก็ต้องเรียนต้องใช้เหมือนกัน”

หนูวรรณเบ้ปาก ถอนหายใจฮึดฮัดอีกครั้ง

“จริงอยู่... แม่ส่งหนูไปเรียนที่นั่นได้ แต่นั่นหมายถึงหนูวรรณกินค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทอฝันไปด้วยนะลูก”

“แล้วจะให้หนูทำยังไงคะคุณแม่?”

“เอาเป็นวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ต้องมีชื่อเสียงมากก็ได้นี่นาหนูวรรณ”

สิทธิกรเสนอทางเลือกให้ลูกสาว

“ไม่ล่ะค่ะ ถ้าไม่ได้เรียนที่นี่ หนูก็จะไม่เรียน!”

“ได้ยังไงกันล่ะ สมัยนี้ไม่เรียนหนังสือ จะทำมาหากินอะไรได้”

“ก็ขายเบเกอรี่ ขนมเค้กของคุณแม่ไงล่ะคะ ทีทอฝันเขายังขายดิบขายดี หนูวรรณก็คงจะพอทำได้บ้างเหมือนกันล่ะน่า”

ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ของหนูวรรณได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดเอาแต่ใจของลูกสาว

“เอ่อ... คุณพ่อคุณแม่คะ...”

ทอฝันเอ่ยขึ้น หลังจากฟังทั้งสามโต้ตอบกันไปมาแล้วเริ่มคิดทบทวนปัญหาทั้งหมด

“ที่จริงแล้ว หนูอยากจะช่วยคุณพ่อคุณแม่ขายของมากกว่าน่ะค่ะ ถ้าหนูไปเรียน หนูคงจะไม่ได้ทำในสิ่งที่หนูรักแน่ๆ แล้วอีกอย่าง... ก็คงจะไม่ได้ช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่ด้วย”

“หมายความว่า... ทอฝันจะไม่เรียนต่ออย่างนั้นเหรอ?”

วรดาร้องถามย่างประหลาดใจ

“อย่างที่คุณพ่อว่า... ถ้าไม่เรียนสูงๆ เข้าไว้ อีกหน่อยคงจะลำบากแน่ แต่มหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องเข้าเรียนทุกวันแถมค่าเทอมค่าหน่วยกิตยังถูกแสนถูกก็มีนี่คะ”

“รามคำแหงงั้นเหรอ?”

สิทธิกรช่วยไขข้อข้องใจให้กับทุกคน

“ใช่แล้วค่ะ”

“แล้วหนูจะไม่เสียดายหรือทอฝัน?”

“ไม่หรอกค่ะ เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน เอาที่สบายใจแล้วก็สะดวกที่สุดดีกว่าค่ะ”

สองสามีภรรยาหันมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ ทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าการที่ทอฝันตัดสินใจทำแบบนี้เพราะอะไร

เธอคงไม่อยากสร้างภาระและเป็นตัวปัญหาสำหรับทุกคน หากจะมีสิ่งใดที่สามารถตอบแทนครอบครัวนี้ได้ ทอฝันก็พร้อมจะยอมสละทุกสิ่งเพื่อให้ทุกคนสบายใจและมีความสุข เรื่องเหล่านี้ ทั้งสิทธิกรและวรดาย่อมรู้ดี

“อย่าลำบากเลยนะทอฝัน ถ้าอยากเรียนจริงๆ ก็เรียนไปเถอะ เพราะหนูวรรณทำตัวเองถึงต้องเป็นแบบนี้”

วรดาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ทอฝันเปลี่ยนใจ

“ไม่หรอกค่ะ ทอฝันเต็มใจ ให้หนูวรรณได้เรียนที่ที่ตัวเองชอบ จะได้เรียนอย่างมีความสุข ส่วนหนู ถ้าได้เรียนที่รามอาจจะมีความสุขกว่าที่ธรรมศาสตร์ก็ได้นะคะ”

วรดามองใบหน้าของทอฝันพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“ขอบใจนะลูก... แม่ขอบใจหนูมากนะ...”

หล่อนบอกอย่างตื้นตัน พร้อมยกมือของเด็กสาวขึ้นมากุมไว้

“ถ้าอย่างนั้น เพื่อเป็นการตอบแทน พ่อขอยกร้านของเราให้เป็นชื่อของทอฝันก็แล้วกัน ต่อไปนี้กิจการทั้งหมดจะเป็นของทอฝัน พ่อจะให้ทอฝันเป็นผู้ดูแล”

“คุณพ่อ...”

“พ่อกับแม่เองก็แก่ขึ้นมาก คงดูแลร้านนี้ไม่ไหวอีกแล้วล่ะ ถ้าให้โอกาสทอฝันอย่างเต็มที่ เผื่อว่ามันจะกลับมารุ่งเรืองอย่างเก่าก่อน”

“แต่ว่าหนู...”

“จะว่าไปแล้ว มันก็คงจะเป็นภาระไม่น้อย ไหนจะต้องเรียน อ่านหนังสือด้วยตัวเอง แล้วยังต้องมาดูแลร้านอีก พ่อคงคิดเร็วเกินไป”

“ที่จริงแล้วหนูดีใจมากค่ะที่คุณพ่อไว้ใจหนู และมันก็เป็นสิ่งที่หนูอยากทำค่ะ”

“ดีจ้ะ ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แม่จะถ่ายทอดสูตรทั้งหมดที่มีอยู่ให้ทอฝันสืบทอดต่อนะจ๊ะ”

“ค่ะ แล้วหนูจะตั้งใจทำให้อย่างดีที่สุด”

 

ทอฝันตกลงเลือกที่จะเรียนด้วยตัวเองและรับผิดชอบกิจการของที่บ้าน เพื่อสละให้หนูวรรณได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ปรารถนาโดยไม่ให้น้อยหน้าใคร

“คุณย่าคะ เพื่อนที่มหา’ลัยหนูวรรณมาค่ะ”

หนูวรรณร้องตะโกนบอกทุกคน พร้อมกับแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักย่าของตัวเอง ขณะที่ทอฝันก็ยกแก้วน้ำมาเสิร์ฟให้กับบรรดาแขกหน้าใหม่ที่ตัวไม่คุ้นเคย แต่พวกเขาก็แต่งตัวดูดี มีชาติตระกูลกันทั้งนั้น หน้าตาก็สะสวยหล่อเหลา ใช่ หนึ่งในนั้นมีผู้ชายอยู่ด้วย ทั้งทอฝันและเขาต่างสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหญิงสาวจะรีบหลบสายตาเพราะทนความเขินอายไม่ไหว

“คนนั้นชื่อภาวิตจ้ะทอฝัน”

“เอ่อ อื้ม”

ทอฝันพยักหน้าอย่างเกร็งๆ

“ส่วนนี่ ลูกพีช

ทอฝันเลื่อนสายตามองตามมือของหนูวรรณที่เลื่อนเรียงไปทีละคน เธอก็ต้องสะดุดกับใบหน้าของผู้หญิงที่ชื่อออกฝรั่งคนนี้ ไม่ใช่เพราะหล่อนงดงามเกินมนุษย์ หากแต่หล่อนใช้สายตาที่บ่งบอกได้ถึงความดูถูกจ้องมองทอฝันอย่างเปิดเผย มีรอยยิ้มเยาะที่มุมปากอย่างน่ารังเกียจ

ซึ่งทอฝันไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองทำอะไรผิดไปถึงได้ควรคู่กับใบหน้านั้น...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา