ทอฝันสุดสายรุ้ง

10.0

เขียนโดย Jeremiiz

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 02.07 น.

  12 บท
  12 วิจารณ์
  18.47K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เส้นทางที่เลือกไม่ได้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑

          เส้นทางที่เลือกไม่ได้

 

          “ยายจ๋า นั่นแม่... แม่กลับมาแล้ว!”

            เสียงของทอป่านร้องตะโกนด้วยความดีใจ เมื่อมองเห็นหญิงสาวรูปร่างคุ้นตามุ่งหน้าเข้ามาแต่ไกล เด็กน้อยวัยแปดขวบกุลีกุจอเข้าไปช่วยแม่ถือกระเป๋าสัมภาระอย่างตื่นเต้นดีใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้เมื่อมองเห็นเด็กตัวเล็กแก้มยุ้ยเป็นพวงสีชมพูระเรื่อที่แม่อุ้มติดมาด้วย

            “นั่นลูกใครกันจ๊ะ?”

            “น้องของป่านไงลูก”

            “น้องเหรอ?”

            ทอป่านทวนคำตอบของแม่อย่างไม่ค่อยเข้าใจ ก็ในเมื่อแม่บอกว่าพ่อตายไปแล้ว ทำไมถึงยังมีน้องได้อีก

            “แม่หายไปไหนมาจ๊ะ ป่านคิดถึงแม่มากเลย”

            “ไปทำงานจ้ะ ทำงานส่งเงินมาให้ป่านกับยายยังไงล่ะ”

            เกือบสองปีแล้วที่ทอป่านไม่ได้เจอหน้าแม่ มันช่างเป็นช่วงเวลาอันยาวนานที่แสนทรมานเหลือเกิน

            “ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่วันนี้ แม่จะมาอยู่กับป่านตลอดไปแล้วใช่มั้ยจ๊ะ จะไม่ทิ้งป่านไปไหนแล้วใช่มั้ย?”

            ลินดามองลูกสาวที่เขย่าแขนหล่อนเพื่อขอคำสัญญาด้วยหัวใจอันบอบช้ำ หล่อนทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบด้วยใบหน้าอันอบอุ่นให้แก่ลูกสาวเท่านั้น

            “เอ้านั่น มัวทำอะไรอยู่ล่ะ ไม่รีบเข้ามาในบ้านล่ะ ตากแดดตากลมนานๆ มันจะไม่ดีนะ”

            หญิงชราละมือจากตะบันหมาก หรี่ตามองผู้มาเยือนด้วยสายตาที่ฟ่าฟาง ก่อนจะร้องตะโกนพร้อมทั้งกวักมือเรียกให้สองแม่ลูกนั้นเร่งฝีเท้าโดยไว

            “ยายดูสิ แม่อุ้มน้องมาด้วย”

            ทอป่านร้องบอก จุลีจ้องไปยังอ้อมอกของลูกสาวด้วยความสนใจ

            “นั่นเอ็งมีลูกอีกแล้วรึลินดา?”

            “จ้ะ”

            ลินดาตอบรับด้วยใบหน้าไม่สู้จะยินดีนัก ก่อนจะส่งลูกน้อยตัวแดงๆ วัยเพียงเดือนเศษให้กับแม่ได้อุ้มชูเชยชม

            “โอ้ น่าเกลียดน่าชัง เหมือนทอป่านตอนเล็กๆ ไม่มีผิด แล้วว่าแต่ชื่ออะไรล่ะ”

            “ทอฝันจ้ะ”

            “ทอฝัน? ผู้หญิงล่ะสิ เอ้อ... ดีๆ เป็นเด็กผู้หญิงกันทั้งพี่ทั้งน้อง จะได้เลี้ยงกันง่ายๆ กี่ขวบกี่เดือนกันล่ะจ๊ะแม่หนูน้อยของยาย...”

            จุลียิ้มเล่นกับหลานเผยเห็นฟันสีแดงเข้มเกือบจะเป็นสีน้ำตาล

            “เดือนกว่าๆ เองจ้ะ”

            “ว่าแต่ว่า... เอ็งจะมารับทอป่านไปอยู่ด้วยใช่มั้ย”

            “เอ่อ... คือ...”

            “อ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้ ข้าบอกไว้ก่อนนะ ข้าไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกให้เอ็งหรอก อย่าคิดจะทำเหมือนครั้งที่เอ็งทิ้งทอป่านไว้ที่นี่ อยู่กันสองคนยายหลานตอนนั้นก็แทบจะไม่พอกินกันอยู่แล้ว”

            ได้ยินแม่พูดแทงใจดำราวกับทราบจุดประสงค์ที่หล่อนปรากฏตัวขึ้นในวันนี้เป็นอย่างดี ลินดาก็ปริปากพูดอะไรไม่ออก เพราะความจริงมันค้ำคออยู่

            “ฉัน... จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะจ๊ะแม่”

            หล่อนแสร้งยิ้มตอบเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดในใจ

            “ถ้าอย่างนั้นก็ดี รับลูกไปอยู่ด้วย ลูกเอ็งจะได้กินอิ่มนอนหลับ ลำพังข้าน่ะ อดบ้างกินบ้างมันเป็นเรื่องที่เคยชินซะแล้ว แต่จะให้หลานมาอดด้วย ข้าทนไม่ได้จริงๆ”

            พูดถึงตรงนี้แล้วก็รังแต่จะสร้างความขมขื่นใจให้กับทั้งสอง... ลินดาและจุลีผู้เป็นแม่.. .ลำบากยากแค้นมาตั้งแต่หล่อนจำความได้ ไม่เคยมีสักวันเดียวที่จะได้กินอิ่มท้องหรือมีของดีๆ ใช้... ลำพังของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันก็ต้องเหนื่อยแสนสาหัสจนเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะได้มา

            บ้านไม้หลังเล็กที่ผุพังจนน่าจะเรียกว่าเพิงพักอาศัยที่อยู่แถบๆ ชานเมืองในจังหวัดนครปฐม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนเลย ดูไปแล้วมันก็เริ่มเสื่อมถอยไปไม่ต่างจากสภาพของจุลีที่ก็แก่ลงทุกวัน อดคิดไม่ได้ว่ามันจะใช้เป็นที่ซุกหัวนอนได้อีกสักกี่ปี

ย้อนไปถึงสมัยเด็ก ความรู้ของลินดาก็พออ่านออกเขียนได้เพราะต้องออกมาช่วยแม่ขายพวงมาลัยตั้งแต่อายุเก้าขวบ หลังจากนั้นก็รับจ้างทั่วไป ทั้งเป็นคนรับใช้ ทำไร่ปลูกผัก เปรียบเสมือนชีวิตที่ขาดความสดใสในวัยเด็กไปสิ้นเชิง

จนกระทั่งเข้าสู่วัยสาวหล่อนจึงเริ่มรับไม่ได้กับสภาพที่เป็นอยู่ แอบหนีเข้ากรุงเทพฯ ไปกับเพื่อนหญิงในละแวกบ้านใกล้เคียง หวังจะปลดแอกตัวเองออกจากความคับแค้นที่เป็นอยู่นี้ แต่ก็โชคร้ายที่ในเมืองใหญ่นั้นไม่ได้เป็นทางสว่างอย่างที่หล่อนหวังไว้ กลับจมดิ่งสู่เหวนรกอย่างยากที่จะถอนตัว...

“แล้วตกลงเอ็งไปทำงานอะไรที่กรุงเทพ ไม่เห็นเอ็งเคยบอกข้าซักที พูดแต่ว่าอีกไม่นานเราจะไม่ต้องลำบากกันอีกแล้ว แต่ทุกครั้งที่ข้าเห็นหน้าเอ็งมันก็อีหรอบเดิม”

“นั่นล่ะจ้ะแม่ มันยังไม่ถึงเวลา”

ที่จริงแล้ว มันเป็นการสร้างความหวังที่ไม่มีอยู่จริงต่างหาก ซึ่งเรื่องนี้หล่อนเองก็รู้แก่ใจดี แต่เพื่อความสบายใจของแม่ การตอบที่เสมือนการผัดวันไปเรื่อยๆ ก็พอจะทำให้แม่เห็นคุณค่าในตัวหล่อนได้บ้างแม้มันจะเป็นสิ่งจอมปลอมก็ตาม

กลางดึกคืนนั้น... ทอป่านรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกที่มีแม่กับน้องมานอนอยู่ข้างกาย...  เด็กน้อยนอนไม่หลับเพราะมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูดคุยกับแม่

“ยังไม่นอนอีกเหรอลูก?”

ลินดาเอ่ยถาม เมื่อหันมาเห็นดวงตากลมโตของลูกสาวกำลังจ้องมองอยู่

“ป่านนอนไม่หลับ อยากจะคุยกับแม่ก่อน แม่... แม่อย่าทิ้งป่านไปไหนอีกนะ ป่านอยากนอนกอดแม่แบบนี้ทุกคืนเลย”

ลินดาทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวลูกน้อยด้วยความสงสาร

อายุเพียงยี่สิบหก... ก็มีลูกสาวหน้าตาน่ารักถึงสองคน ล้วนแล้วแต่เกิดจากความผิดพลาดทั้งนั้น หล่อนไม่ได้ตั้งใจจะให้ทั้งทอป่านและทอฝันต้องเกิดมามีชะตากรรมแบบนี้เลย แต่ศีลธรรมในใจของลินดาก็มีอยู่เต็มเปี่ยมที่จะไม่ทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองแม้มันจะสร้างความระทมทุกข์ในใจของหล่อนอย่างสาหัสก็ตาม

“ทอป่านชอบน้องมั้ยลูก”

“ชอบจ้ะ ป่านอยากมีน้อง จะได้ไม่เหงา”

“ถ้าอย่างนั้น ทอป่านก็ต้องรักน้องทอฝันให้มากๆ นะลูก”

“จ้ะ ป่านสัญญาว่าป่านจะดูแลและปกป้องน้องอย่างดี จะไม่ทำให้น้องต้องร้องไห้เลย”

ทอป่านให้คำมั่นกับแม่ด้วยท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจัง

“ดีมาก... ดีมากลูก...”

          คำชื่นชมของลินดา แฝงไปด้วยความโล่งใจบางอย่างซึ่งมีเพียงหล่อนเท่านั้นที่รับรู้ได้


            วันรุ่งขึ้นทั่วทั้งบ้านก็ต้องโกลาหลเมื่อพบว่าลินดาหายตัวไป จนเวลาล่วงลงจนมืดค่ำก็ต้องกลับมาปลงใจเมื่อแน่ชัดแล้วว่าหล่อนได้เป็นแบบอีหรอบเดิมอย่างที่เคยทำไว้เมื่อสองปีก่อน

จุลีได้แต่ทรุดตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยล้า พร้อมกับกล่าวคำสบถต่างๆ นานา ก่อนจะหันไปมองหลานสาวตัวน้อยที่นอนอยู่บนผ้าขนหนูเก่าๆ ซึ่งใช้ห่อหุ้มมาตั้งแต่เมื่อวาน

“เวรกรรมของเอ็งแท้ๆ ทอฝันเอ๊ย”

หญิงชราส่ายหน้าช้าๆ ด้วยนึกเวทนาหลานสาวที่เกิดมาโดยไม่รู้ชะตากรรมชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ยายจ๋า น้องร้องไห้”

ทอป่านสะกิดแล้วร้องบอกเสียงเจื้อยแจ้ว ยายหันมองหลานด้วยหัวใจที่แสนเจ็บปวด นมที่ทิ้งไว้ให้เจ้าตัวเล็กก็ดูดจนหมดเกลี้ยงขวดแล้ว จะให้ดูดขวดเปล่าต่อไปก็คงจะต้องปวดท้อง เงินสักแดงเดียวก็ไม่ได้ทิ้งไว้ให้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งนึกก็ยิ่งแค้น

“นังลินดาเอ๊ย! แกนี่มันบาปกรรมจริงจริ๊ง...”

“น้องต้องร้องทั้งคืนแน่เลย”

ทอป่านนั่งอยู่ข้างๆ น้องสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย รู้สึกตกใจที่เห็นน้องร้องกระจองอแงเสียงดังลั่นบ้าน

“แถวนี้มีใครที่เป็นแม่ลูกอ่อนบ้างนะ”

จุลีรำพึงพลางนึกไปถึงบรรดาเพื่อนบ้านที่รู้จักกันพอจะหยิบยืมอะไรได้บ้าง

“น้าชุดาจ้ะยาย น้าชุดาที่บ้านหลังใหญ่ปากซอยเพิ่งคลอดน้องเมื่อ... เดือนที่แล้ว”

“จริงด้วย... แต่แม่คนนั่นจะให้เรารึเปล่าก็ไม่รู้ แบกหน้าไปให้เขารังเกียจเปล่าๆ”

“เดี๋ยวหนูไปเองจ้ะ หนูจะไปขอนมจากน้าชุดามาให้น้องเอง”

และยังไม่ทันที่ยายจะได้ว่าอะไร ทอป่านก็คว้าขวดนมที่ไม่เหลือสักหยดแล้วผลีผลามวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เพื่ออะไรนั้น... เด็กน้อยรู้เพียงอย่างเดียวว่าตัวเองควรจะดูแลน้องให้อย่างดีที่สุดเพื่อสมกับที่ได้ให้สัญญาไว้กับแม่ แต่ส่วนหนึ่งก็รบเร้าออกมาจากหัวใจของความเป็น ‘พี่สาว...’

ทอป่านวิ่งไปยังบ้านของชุดาที่อยู่บริเวณต้นซอย เป็นบ้านสองชั้นซึ่งมีชั้นสองเป็นแบบบ้านไม้ส่วนชั้นล่างก่อสร้างด้วยปูนซีเมนต์ สำหรับคนอื่นๆ ที่อยู่ท้ายซอยอย่างทอป่านและยายแล้วนับว่าบ้านหลังนี้ใหญ่โตมากจนเกินวาสนาที่จะได้ครอบครอง

“น้าชุดาจ๊ะ”

เด็กหญิงตะโกนเรียกอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ขณะที่ท้องฟ้าสีแดงในความดำมืดก็ทำท่าว่าจะมีฝนตกลงมาในไม่ช้า

ร้องเรียกได้อยู่ครู่หนึ่ง ประตูบ้านที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออกอย่างไม่พอใจโดยชายคนหนึ่ง ทอป่านยกมือขึ้นไหว้พร้อมกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่น

“สวัสดีจ้ะครูสกล”

“มีอะไร?”

“ป่านจะมาขอน้ำนมจากน้าชุดาน่ะจ้ะ ได้ยินว่าน้าชุดาเพิ่งคลอดน้อง”

“เฮอะ เอ็งจะเอาไปให้ใครกิน แล้วมีอย่างที่ไหนมาขอนมคนที่เพิ่งคลอดน่ะ หา!”

สกลตวาดลั่นอย่างหัวเสีย คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปตั้งแต่เมื่อเย็น

เขาเป็นสามีของชุดา รับราชการเป็นครูชั้นประถมศึกษา ในตอนเช้าก็จะรับหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ไฟแรงของชาติที่มีอุดมการณ์ในอาชีพสูง แต่เมื่อกลับมาบ้านก็จะแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน จนดูไม่น่านับถือสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

“ชุดาหลับแล้ว เอ็งกลับไปซะเถอะ”

ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวปิดประตูปังเข้าบ้านไปอย่างไม่ใยดี ซึ่งขณะนั้นฝนที่ตั้งเค้ามาได้สักพักก็ได้เวลาเทกระหน่ำลงมา

ทอป่านยืนตัวเปียกชุ่มอยู่ที่หน้าบ้านของชุดา ด้วยความตั้งใจว่าหากยังไม่ได้น้ำนมไปให้น้องก็จะไม่ยอมกลับบ้านเด็ดขาด

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้แต่ว่าหนาวจังเลย...

“ทอป่าน! นั่นทอป่านรึเปล่า?”

เด็กหญิงที่ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองที่ชั้นสองอย่างมีความหวัง เป็นชุดานั่นเองที่ตะโกนเรียกเธอจากทางหน้าต่าง

เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วชุดาก็รีบวิ่งลงมาพร้อมเปิดประตูให้เด็กหญิงที่ยืนตากฝนอยู่หน้าบ้าน

“ทำไมมายืนอยู่ตรงนั้นล่ะ หือ?”

หล่อนร้องถามพร้อมกับนำผ้าเช็ดตัวที่หยิบฉวยจากบนห้องนอนมาเช็ดตัวให้ทอป่านด้วย

“ป่านจะมาขอน้ำนมให้น้องจ้ะ”

“น้องเหรอ?”

ทอป่านพยักหน้าตอบ  

ด้วยความสงสัยเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านพ้นไปได้ ชุดาจึงฝ่าสายฝนตามไปที่บ้านของเด็กหญิงแล้วก็ได้พบกับทอฝันที่ยังคงร้องกระจองอแง

เมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดความสงสารขึ้นมาจับใจ หล่อนจึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาป้อนนมจากเต้าของตัวเองอย่างเอ็นดูโดยที่ไม่ทันต้องพูดอะไร

สภาพความเป็นอยู่ที่เห็น... มันช่างต่างกับลูกสาวของหล่อนอย่างสิ้นเชิงนัก

และเมื่อรับทราบความเป็นมาจากจุลี ชุดาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องรับเลี้ยงทอฝันเพิ่มอีกคนให้ได้ แม้จะต้องทะเลาะกับสกลก็ตาม

เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มดูน่าเอ็นดู ท่าทางเลี้ยงง่าย... หล่อนรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา