จอมคนวีรบุรุษ เล่ม1(การเติบโตของวีรบุรุษ)

10.0

เขียนโดย salamandre

วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 12.42 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,445 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 21.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

2) ศึกกลางน้ำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เด็กน้อยดีใจมากในชัยชนะที่ไม่คาดฝันของ หลออี้ เขาวิ่งมากอดชายผู้เป็นองครักษ์ประจำของตัวเขา เด็กน้อยกล่าวขึ้นว่า “ข้านึกว่า ท่านจะไม่รอดแล้ว” กล่าวจบพร้อมทั้งหลั่งน้ำตาออกมาทันที หลออี้ ลูบหัวของเด็กน้อยพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน แม้แต่ตัวของเขาเอง เขาก็คิดว่าเขาไม่น่าจะมีโอกาสเห็นตะวันของพรุ่งนี้แล้ว เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามมีพลังฝึกปรือและพละกำลังที่เหนือกว่า ส่วนสาเหตุที่เขาได้ชัยนั้น คงเป็นเพราะชะตาเขายังไม่ถึงฆาตกระมั้ง

     ทันใดนั้นเอง เหล่าทหารก็วิ่งกรูขึ้นมาจากบริเวณชั้นล่างจำนวนหลายสิบนาย พวกเขานั้นได้ยืนเรียงรายประจำจุดห้อมล้อมทั้งสองเอาไว้ ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันพยายามที่จะกักตัวไม่ให้มันและหลออี้ หลบหนีไปได้ นอกจากกลุ่มทหารแล้ว ยังมีผู้ชายนายหนึ่งที่เดินขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย ตัวเขาเป็นขุนนางหนุ่ม อายุประมาณ 30-35 ปี รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมคายหล่อเหลา หากหญิงใดเห็นเขาเมื่อได้พบเข้าแล้ว พวกเธอก็เป็นอันต้องหลงในเสน่ห์ของเขาเสียทุกราย แต่ในความสมบูรณ์แบบของมัน ก็มีซึ่งเน่าเฟะหลบซ่อนอยู่ นั้นคือ มันเบ้าตาที่ลึกกลวง ลูกนัยน์ตาค่อนข้างไปทางสีแดง และสัดส่วนของใบหน้าที่ซูบตอบ ซึ่งบ่งบอกได้ตัวเขาต้องเป็นชนชั้นมากรัก มักที่จะรักสนุกมั่วโลกีย์ไปวันๆ เมื่อขุนนางผู้นั้นได้เห็นสภาพของหมากและหลออี้แล้ว เขารีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้าหาทั้งสอง โดยทันที เขาจงใจมาหยุดที่เบื้องหน้าของหลออี้ ขณะนี้มันดูเก้ๆกังอย่างยิ่ง หลออี้ก็ได้ขยิบตา เบ้ปาก สื่อความหมายให้ขุนนางผู้นี้ไม่ต้องสนใจมัน เมื่อขุนนางเห็นเช่นก็เข้าใจโดยทันที ตอนแรกเด็กชายเข้าใจว่าพวกทหารนั้นจะมาล้อมจับพวกมัน แต่พอมันเห็นปฏิกิริยาของผู้ใหญ่นายนี้แล้ว จึงเข้าใจว่าทหารทั้งหมดนั้นมาคอยอารักขามัน ผู้ซึ่งเป็นบุตรท่านทูตนั้นเอง

     ขุนนางผู้นั้นกระแอมๆแก้เขิลเล็กๆ ก่อนเหลือกตาสูงขึ้น เหมือนว่ามันกำลังพยายามที่จะนึกอะไรอยู่ จากนั้นมันก็กล่าวอย่างตะกุกตะกักไปว่า “ท่าน...ท่าน” มันเกิดการลังเลอีกอีกครั้งก่อนที่มันจะชำเลืองมองไปทางหลออี้หมายที่จะให้เขาช่วยเหลือมัน หลออี้ปั้นหน้าประมาณเอือมระอา ก่อนขยับปากพอเข้าใจว่า หลออี้ ขุนนางผู้นั้นจึงค่อยทำท่าเหมือนว่านึกออกแล้ว ก่อนที่มันจะกล่าวขึ้นเป็นภาษาสยามว่า “ท่านหลอ และบุตรชายของท่านราชทูตแดนอโยธยา ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” เด็กชายยังคงไม่ลืมเลือนเหตุการณ์ฆ่าฟันเมื่อครู่นี้ ต่อมาได้มีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้นอีก ซึ่งก็คือที่พวกทหารจำนวนมากบุกมารายล้อมโรงเตี๊ยม ซึ่งสร้างความหวาดกลัวและความสับสนให้กับมันยิ่ง เมื่อมันได้ยินคำถามของขุนนางหนุ่มผู้นี้ มันจึงตอบกลับมันไปว่า “ไม่เป็นอะไร” หลังจากนั้นท่านขุนนางจึงเชื้อเชิญทั้ง 2 คน ออกดินทางไปยังท่าเรือต่อไปแต่เด็กชายสงสัยว่าพฤติกรรมของขุนนางหนุ่มผู้นี้ ดูเหมือนจะนอบน้อมต่อหลออี้เป็นพิเศษ ซึ่งมันคิดว่ามันไม่ได้ทึกทักเอาเองสักด้วย

     หลออี้ และ เด็กชาย นั่งคู่กันบนม้าสีแดงเพลิง เวลาที่ควบม้าตัวนี้วิ่ง เด็กชายมักจะสังเกตเห็นว่าเหมือนกับว่าเลือดของมันจะไหลอยู่ตลอดเวลา หลออี้เมื่อมันสังเกตเห็นเข้า จึงสอบถามเด็กชายไปว่า            “เจ้าชอบมันหรอ”

     เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเขิลๆ ชายหนุ่มจ้องมองเด็กชายอย่างลึกซึ้ง ก่อนยิ้มออกมาเบาๆจากนั้น หลออี้ เป็นฝ่ายถามคำถามเด็กชายบ้างแล้ว ซึ่งนี้เป็นคำถามแรกของมันที่มีต่อเด็กชายเลยเทียว “เจ้ามีชื่อเรียกว่าอะไรละ”

     เด็กน้อยทำหน้ารู้สึกแปลกใจ ก่อนบอกกับหลออี้ไปว่า “ข้าว่า ข้าบอกท่านไปหลายครั้งแล้วนะ ว่าข้าเรียกว่า หมาก

     ชายหนุ่มค่อยกล่าวโพลงขึ้นว่า “อ๋อ หมา” เด็กชายรู้สึกขำ ก่อนทีจะกล่าวอย่างกลบเกลื่อนไปว่า “ไม่ใช่หมา แต่เป็นหมาก ต่างหากเล่า” หลออี้ เขายังพยายามต่อไป เขาก็เรียกชื่อเด็กชายอีกชื่อหนึ่งว่า “มาก” ครานี้หมากหัวเราะลั่นอย่างไม่ได้เก็บอารมณ์ พร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานใจว่า “หลออี้ผู้เก่งกาจ ท่านต้องมาเรียนภาษากับข้าบ้างแล้ว ฮ่าฮ่า ท่านพอใจจะเรียกข้าว่าอะไรก็เรียกเถอะ” หลออี้ดูหงุดหงิดกับตัวเองอยู่บ้าง เขาพยายามย้ำชื่อของเด็กชาย “มาก หมา มาด มาร์ค” เด็กชายกลับยิ่งขำขันขึ้นไปอีก

      ขณะนั้นเองหมากก็ได้นึกอะไรบางอย่างออก มันจึงถามหลออี้ว่า “ท่านกับขุนนางที่โรงเตี๋ยมตงไหลเมื่อครู่ ดูเหมือนพวกท่านจะมีลับลมคมในระหว่างกันอยู่” หลออี้พลันสะท้านขึ้นทันที มันไม่ได้คาดคิดว่าเด็กชายจะสังเกตพฤติกรรมของพวกมันด้วย

     ก่อนที่จะกล่าวอย่างตะกุกตะกะไปว่า “มันรียกว่า เหอเซิน เป็นคนสนิทของจักรพรรดิเฉียนหลง ที่มันดูผิดปกติเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะว่ามันกำลังจีบน้องสาวของข้าอยู่ และมันได้สัญญากับนางไปว่า มันจะดูแลข้าเป็นกรณีพิเศษ”

     เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กชายก็ได้ร้อง “อ้อ” นี่จึงค่อยเป็นแบบฉบับของหลออี้ขึ้นบ้าง แต่ส่วน ตัวหลออี้เอง มันกลับลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา

     จากนั้นเด็กชายก็ยังถามเขาต่อไปอีกว่า “ท่านเคยพบจักรพรรดิเฉียนหลงหรือไม่”

     หลออี้กล่าวโดยที่ไม่ต้องคิดไปว่า “ไม่เคย และไม่มีวันได้พบด้วย ไอ้ตำแหน่งเล็กๆอย่างข้าพเจ้า ไหนเลยจะมีโอกาสที่จะพบกับองค์จักรพรรดิได้”

     เด็กชายทำสีหน้าเหมือนกับว่าเขาเข้าใจในตัวหลออี้ จากนั้นได้กล่าวขึ้นว่า “ถ้าองค์จักรพรรดิได้เห็นการกระทำที่กล้าหาญของท่านและได้ยินคำกล่าวที่จงรักภัคดีของท่าน ที่ไม่ยอมให้ใครมาด่าว่าองค์จักรพรรดิคังซี ผู้เป็นพระปิตุลาของจักรพรรดิเฉียนหลง ท่านจะได้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่กว่า เหอเซิน เมื่อครู่เป็นแน่”

     หลออี้ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อไปว่า “หมาก ท่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของชนชาติเรามาดีเหมือนกันนะ เฮ้อ ที่ข้ามีทุกวันนี้ได้ก็เป็นเพราะองค์จักรพรรดิคังซีผู้เดียวเท่านั้น” หลังจากที่มันพูดจบ มันก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยออกมา แม้ว่าหมากจะสงสัยในคำพูดของหลออี้อยู่ แต่เขาก็ไม่อยากที่จะซักไซ้มันต่อ อาจเป็นเพราะว่าตัวมันรู้สึกเพลียมากนั้นเอง จนในที่สุด มันก็เผลอหลับซบเขากับหลังของหลออี้โดยที่มันไม่รู้ตัว  จ้าวโลหิตยังพาทั้งสองมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทั้งสอง ก็ได้เดินทางมาถึงท่าเรือ ซึ่งนั้นคือจุดหมายปลายทางของเขาทั้งสองแล้ว

     แม้ว่าท่าเรือแห่งนี้จะไม่ใช่ท่าเรือที่ใหญ่โตเหมือนท่าเรือที่เซี่ยงไห้ ซานไห่กวน หรือแม้แต่อโยธยา เป็นท่าเรือเล็กที่มีเพียงชาวพื้นเมืองกับชาวต่างชาติในแถบอินโดจีนเท่านั้น สถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่พวกมันใช้เป็นสถานที่สำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน แต่ในวันนี้กับดูแปลกตาไป เพราะว่าไม่เห็นมีเรือที่ชาวบ้านแลกเปลี่ยนสินค้าที่ว่ากัน แต่กลับมือเรือรบราชสำนักจำนวน 6 ลำ เข้าแทนที่ ทำให้ท่าเรือที่ดูเล็กแห่งนี้ ยิ่งดูคับแคบไปอีก เรือรบที่ลำเล็กที่สุดนั้นยังหาที่แทรกไม่ค่อยจะได้เลย ดังนั้นเรืออื่นคงไม่ต้องพูดถึง

     หลังจากที่ หลออี้ได้หยุดม้า เขาก็ปล่อยให้หมากลงจากหลังม้าไปก่อน เด็กน้อยก็วิ่งตรงรี่เข้าไปสวมกอดชายผู้หนึ่งโดยทันที ชายผู้นั้นอายุประมาณ 40-45 ปี แต่งชุดขุนนางอโยธยาอย่างเต็มยศ เป็นเสื้อสีขาวบริสุทธิ์เหมือนเสื้อของหมาก แต่มีตรายศศักดิ์ประดับประดาไว้ที่บริเวณหน้าอกเสื้อ มันสวมโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม สวมรองเท้าสีดำ จากชุดของเขาบ่งบอกถึงความคนที่มีนิสัยสุภาพเรียบร้อยของชายวัยกลางคนผู้นี้ได้เป็นอย่างดี เขาคือ ขุนหมื่นช้างพราย เป็นท่านทูติที่กษัตริย์ชาวสยามส่งมาติดต่อเรื่องสำคัญกับเจ้ากรุงจีน ซึ่งเขาก็คือ บิดาของหมากนั้นเอง

      เรื่องสำคัญที่ว่านั้นคือ พระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ ต้องการเสริมแสนยานุภาพทางการทหาร จึงส่ง ขุนหมื่นช้างพราย  มาติดต่อกับราชสำนักแห่งกรุงจีนเพื่อเชื้อเชิญให้กษัตริย์ต้าชิงส่งช่างทำปืนใหญ่มาพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กรุงศรีอยุธยา เขากับหมาก ผู้เป็นบุตรชาย นับจากวันที่เดินทางออกจากอโยธยาจนถึงวันนี้เขาจากถิ่นมาตุภูมิก็ล่วงมาร่วม 3 เดือนแล้ว ในเมื่อภารกิจของเขาลุล่วง ก็ถึงเวลากลับบ้านเกิดเมืองนอนพร้อมกับราชทูตแห่งกรุงจีนเสียที

     เมื่อบุตรชายวิ่งเข้าสวมกอดเขา เขาก็ผละจากบุตรชายและว่ากล่าวเขาทันที “กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปไหนไกล มึงเคยฟังคำกูบ้างไหม ไปก่อเรื่องจนองครักษ์หลอได้รับบาดเจ็บ หากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับองครักษ์หลอแล้ว ตัวข้าต้องถูกกุดหัวแน่” วาจาของ ขุนหมื่นช้างพราย แสดงว่าเขาไม่สนใจเลยว่าบุตรชายของเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เพียงกังวลในเรื่องงานการของเขาเองเท่านั้น ตอนแรกหมากรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่มันได้พบบิดา แต่เมื่อถูกบิดาดุด่าว่ากล่าวเช่นนี้ เด็กชายก็เปลี่ยนเป็นเซี่องซึมโดยทันที

     หลออี้เมื่อเขาเห็นว่าเรื่องราวแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ก็เดินตรงเข้าไปกล่าวกับท่านทูตจากแดนไกลโดยทันที “ท่านทูตเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของบุตรชายของท่านหรอก เป็นตัวข้าที่ไปก่อเหตุไว้เอง” พร้อมคุกเข่าขออภัยต่อขุนหมื่นช้างพราย

     เหอเซิน เมื่อเขาเห็น หลออี้ เข้าไปคำนับท่านทูตจากอโยธยา เขาจึงรีบเข้าไปไกล่เกลี่ยปรับเปลี่ยนเรื่องราวอย่างร้อนรุ่ม เมื่อขุนหมื่นช้างพราย เห็นว่าเหอเซินผู้เป็นพระสหายสนิทของจักรพรรดิเฉียนหลงฮ่องเต้ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยท่าทีนอบน้อม ทำให้ท่านต้องแสร้งยิ้มอย่างแหยๆ ซึ่งเขายินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถทำภารกิจให้ลุล่วงได้ เขาคิดว่าหลังจากที่จบภารกิจในครั้งนี้ พระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศต้องมอบที่นา ยศถาบรรดาศักดิ์เลื่อนตำแหน่งให้แก่เขาเป็นแน่

     เมื่อเขาได้คิดเช่นนั้น พลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันที ดังนั้น เขาจึงยิ้มกว้างตอบรับวาจาของ เหอเซินเป็นอย่างดี เขาพลางลูบศีรษะของหมากอย่างเอ็นดู ซึ่งดูจากสีหน้าเด็กน้อยมันยังผวาจากการที่ถูกบิดาของตน ผละมันออกจากอ้อมอกเมื่อครู่นี้อยู่ ส่วนหลออี้ก็ส่งสายตาให้กำลังใจกับหมาก เมื่อเด็กชายได้เห็นรอยยิ้มที่คุ้นเคยของหลออี้ ค่อยทำให้มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง จากนั้นเหอเซินก็ขอกล่าววาจากับ หลออี้ ตามลำพัง

     หลังจากที่เหอเซินนำหลออี้มายังที่ดงไม้ก็กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ พระองค์ เมื่อครู่ฝ่าบาทเกือบถูกปลงพระชนม์ด้วยน้ำมือโจรร้ายฟงเจี๋ยถ้าฝ่าบาทเป็นอะไรไป ราชวงศ์ชิงที่ยิ่งใหญ่ของเราจะเป็นยังไง” เรื่องราวกลับตาลปัตรพลิกผันถึงเพียงนี้ ที่แท้หลออี้นั้นเป็นจักรพรรดิเจ้าสำราณ เฉียนหลง ซึ่งปลอมตัวมานั้นเอง มิน่าเล่า แม้แต่เหอเซินผู้เหย่อหยิ่งถึงได้ประจบเอาใจถึงเพียงนี้ จักรพรรดิหนุ่มในคราบของหลออี้ ถอนหายใจเบาๆ ทั้งวางท่าทางราวกับว่าพระองค์กำลังสำนึกผิดยู่

     เมื่อเหอเซินเห็นพระพักตร์ของกษัตริย์หนุ่มทรงหม่นหมอง จึงไม่กล้าไล่บี้พระองค์ต่อ มันจึงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ่อนลง พร้อมทั้งกล่าววาจาจริงจังอีกครั้งหนึ่งว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้รับข่าวน่าตะหนกอยู่ข่าวหนึ่งว่า ฟงเจี๋ยมีพี่น้องร่วมสาบานอยู่คนหนึ่ง มันมีนามว่า ซ่งต้าไห่”แม้แต่ จักรพรรดิเฉียนหลง เมื่อพระองค์ได้ยินนามของ ซ่งต้าไห่ ยังมีพระพักตร์เปลี่ยนไป เนื่องจากมันเป็นโจรที่ร้ายกาจที่สุดของแดนใต้ ซึ่งทุกคนขนานนามว่า “มนุษย์กินคนต้าไห่

     แม้ว่ามันจะไม่ถึงขึ้นกัดกินเนื้อมนุษย์ตามสมญานาม แต่หากพิจารณาจากพฤติกรรมของมัน ทั้งข่มขืนบุตรสาวต่อหน้าบิดามารดา ข่มขืนภรรยาต่อหน้าสามี หากจะสังหารผู้ใด ต้องฆ่ายกครัวบ้านนั้น มันมักลงมือกับเหยื่อด้วยความอมหิตทุกครั้ง เรื่องราวของ มนุษย์กินคนต้าไห่ นั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าเวียนพระเศียรของกษัตริย์หนุ่มยิ่งหนัก เพราะพระองค์เคยเรียกหมายให้ให้มือปราบออกจัดการกับโจรร้ายกลุ่มนี้ แต่ยังไม่สำเร็จสักครั้งเดียว แถมยังเสียมือดีไปนักต่อนักแล้ว

     จากนั้นพระองค์ทรงตรัสกับพระสหายอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าไม่กลัวพวกมัน ข้าเป็นคนฆ่าพี่น้องของมัน เรามีทหารรักษาการณ์มากมาย มันไหนเลยจะหนีรอดกลับไปได้”

     เหอเซินส่ายหน้าพร้อมกล่าววาจาไม่เห็นด้วยว่า “ฝ่าบาททรงตื้นเขินไปแล้ว มันไหนเลยล่วงรู้ว่าหลออี้คือพระองค์ พระองค์ทรงอย่าลืมหลออี้ อาจแปลงโฉมหลบหนีไปที่ไหนก็ได้ แต่บุตรชายท่านทูตเล่า มีความสามารถเช่นหรอ” พระองค์ทรงแย้งเหอเซินไปว่า เรื่องนี้เป็นการกระทำของพระองค์ เกี่ยวข้องอันใดกับบุตรชายท่านทูตเล่า เหอเซินส่ายศีรษะอีกครั้ง ก่อนกล่าวต่อไปว่า “แล้วถ้ามันหาหลออี้ไม่เจอ แล้วมาลักพาตัวลูกชายท่านทูต เพื่อจะนำมาชี้ตัวหลออี้เล่า พระองค์ทรงไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อน”

     สีหน้าพระพักตร์ของ จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงบิดเบิ้ยวบูดบึ้ง พระองค์ทรงทราบได้ทันทีว่าสถานการณ์ในครั้งหล่อแหลมอันตรายอย่างยิ่ง พระองค์ไม่ทรงกลัวว่าหากทูตของสยามถูกคนทำร้ายถึงชีวิตแล้ว อาจนำมาถึงการตัดสัมพันธไมตรีจากกรุงศรีอยุธยา เพราะพระองค์ทรงดำริว่าหากพระองค์จัดสรรบุคลากรที่มีความสามารถไปพัฒนาสยามประเทศพร้อมด้วยทองคำหรือเสบียงส่งให้อโยธยา พระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศทรงไม่อยากให้การตายของทูตคนหนึ่งกระทบถึงความสัมพันธ์ระยะยาวของทั้งสองประเทศ แต่พระองค์ทรงเป็นห่วง คือความปลอดภัยของหมากคนเดียวเท่านั้น

     เมื่อพระองค์ตัดสินใจได้แล้วจึงทรงตรัสกับ เหอเซิน ว่า “ข้าตัดสินใจจะส่งคณะทูตสยามพ้นเขตต้าชิงด้วยตนเอง” เหอเซินสะดุ้งขึ้นโหยง เขาร้องโพลงขึ้นว่า “ฝ่าบาท” จักรพรรดิเฉียนหลงทรงยกมือห้ามพระสหายไว้ พระองค์ทรงตรัสอย่างองอาจว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเราออกจากที่นี่ไปสมทบกับคนอื่นก่อน มิฉะนั้น คนอื่นๆ อาจจะสงสัยได้” หลังจากที่ทรงตรัสจบ ก็เดินจากไปโดยทันที ทิ้งให้เหอเซินยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวด้วยความหวาดกลัว

     ส่วนตัวพระองค์เอง แม้พระองค์จะรู้จักหมากได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่จากที่ได้อยู่ร่วมกันมา ทำให้พระองค์รู้สึกผูกพันกับหมากยิ่งนัก    

     ขุนหมื่นช้างพรายแนะนำหมากให้รู้จักกับบุคคลอื่นที่จะร่วมทางกลับกรุงศรีอยุธยากับมันด้วย บุคคลแรกนั้น เป็นหลวงจีนชราภาพรูปหนึ่ง หมาก เขาสังเกตเห็นว่า คิ้วของพระรูปนี้ยาวมาก ยาวจนถึงปลายหางตา หมากคิดว่า หลวงจีนรูปนี้คงชราภาพน่าดู เมื่อพิจารณาจากใบหน้าที่ยับย่นแล้ว แต่หมากก็ได้สังเหตุเห็นว่าหลวงจีนรูปร่างท้วมรูปนี้ นอกจากจะแฝงด้วยความใจดีแล้วยังแฝงด้วยความแก่โลกอีกด้วย เขามันจึงก้มลงไปกราบลงเท้าของหลวงจีน เป็นจำนวน 3 ที หลวงจีนยิ้มกล่าวพลางเป็นภาษาสยามว่า “อนาคตเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดาเลยเทียว แม้ว่าจะต้องผจญกับความลำบากนานับประการ” หลังจากที่ท่านกล่าวจบก็ขอตัวไปทำสมาธิที่ด้านในของตัวเรือต่อไป หลวงจีนได้ทิ้งปริศนาให้ หมาก ได้งงงัน มันจึงค่อยทราบจากบิดาว่าหลวงจีนรูปนี้มีนามว่า “หลวงจีนฝูอี้ซิน” ส่วนสาเหตุที่ท่านเดินทางมากับคณะท่านทูตด้วย เป็นเพราะท่านต้องการยลนครที่มีความเจริญด้านพุทธศาสนาอย่างมาก ขณะที่ปัจจุบันประเทศจีนจะให้ความสำคัญของศาสนาเซนเสียมากกว่า ดังนั้น ท่านจึงสนใจที่จะออกไปแสวงบุญยังแดนไกล

     จากนั้น ขุนหมื่นช้างพราย จึงแนะนำ 2 องครักษ์ประจำตัวท่านทูต ที่ต้องเดินไปกับพวกเขาด้วย ซึ่ง คนแรกเป็นชายสูงวัยอายุประมาณ 50-60 ปี รูปร่างสมส่วนไม่สูงมากนัก หน้าตาของเขาดูหยาบกร้านมาก เต็มไปด้วยริ้วรอยที่เกิดจากสายลมแสงแดดและคมศาสตราวุธ เขาไว้หนวดและเคราแพะสั้น หน้าตาของเขาเหมือนกับว่าไม่ได้ยิ้มมาได้ครึ่งปีแล้ว แต่ก็ให้ความรู้สึกว่า คนผู้นี้ด้านฝีมือคงอยู่ในระดับปรมาจารย์สำนักหนึ่งแน่ๆ เขามีนามว่า หลิวจวิน เด็กชายรู้สึกว่า หลิวจวิน ผู้นี้คงค่อนข้างจะดุพอควร แค่เพียงสบตากับเขา เด็กน้อยยังไม่กล้าเลย เพราะท่านดูน่าเกรงขามมาก แตกต่างกับองครักษ์อีกผู้หนึ่งอย่างมาก เขาอายุไม่มากประมาณเกือบ 30 ปี มีนามว่า จางชิว เป็นทั้งศิษย์และผู้ช่วยของ หลิวจวิน รูปร่างของเขาผอมผิวขาว เขามีใบหน้าที่กลมและเกลี้ยงเกลา เขาไม่ได้จัดว่าเป็นผู้ชายหน้าดี แต่ดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมากกว่า ที่ใบหน้าของเขาประดับร้อยยิ้มเล็กน้อย แสดงถึงความเป็นมิตรไมตรี เด็กน้อยรู้สึกสนิทสนมกับเขาตั้งแต่แรกพบเห็น

     จากนั้นก็ถึงคนที่จะแนะนำตัวเป็นคนสุดท้าย เขาคือ ท่านทูตฟางเกาจิ้ง ซึ่งจะเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอยุธยาด้วยฐานะผู้สร้างยอดศาสตราวุธ ชายผอมบางสีหน้าซีดเซียว เหมือนคนอมโลก เขาหาวด้วยท่าทีน่าหน้ารังเกียจ ที่ดูเหมือนว่าในสายตาเขาไม่ได้มีเด็กน้อยและบิดาของเขาอยู่เลย แต่หมาก มันก็ยังเห็นบิดาของเขาคอยประจบเอาใจขุนนางผู้นี้อยู่ หมากไม่มีความสนใจที่จะประจบสอพลอเหมือนบิดา คงเป็นงานของท่านผู้เฒ่ากระมั้ง ที่ทำให้บิดาต้องกระทำตนเช่นนี้เด็กชายคิดถึงหลออี้ เขามันหันควับกับไปทันที เพราะมันต้องการที่จะทราบว่า เหอเซิน พาเขาไปที่ไหนกัน

     ขณะที่เขากำลังหันหลังกลับไปเขาก็พบกับ หลออี้ที่เดินมาพร้อมกับเหอเซิน หลออี้ ยิ้มกว้างให้เขา จากนั้นเหอเซินก็กล่าวกับทั้งหมดว่า “ทางตอนใต้ ตอนนี้มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ดังนั้นข้ากับหลออี้ และทหารทั้งหมดจะทำการส่งพวกท่านที่ถึงชายแดน” หมาก โห่ร้องลั่นด้วยความดีใจ เขารีบวิ่งไปกอดหลออี้ ไว้อย่างแนบแน่น ท่ามกลางความตกอกตกใจของเหอเซิน

     แม้ว่าพระองค์จะทรงอุ่นใจที่ได้ร่วมกับ หมากอีก แต่พระองค์ทรงไม่สบายพระทัยเลย เมื่อทราบว่า ซ่งต้าไห่อาจรอพวกเขาอยู่ที่เบื้องหน้า จากนั้นทั้งหมดก็ลงเรือและออกเดินทางโดยทันที

     เรือใหญ่ทั้ง 6 ลำ ออกจากท่าเรืออย่างเอื่อยเฉื่อย กลุ่มคณะเดินทางทั้งหมดอยู่บนเรือลำที่สาม นับจากเรือลำหน้าสุด ซึ่งเรือลำนี้เป็นเรือลำใหญ่ที่สุดในบรรดาเรือทั้งหมด นั้นอาจจะหมายถึงการที่จะตกเป็นเป้าของการโจมตีได้ง่ายที่สุดเช่นเดียวกัน ระยะเวลาในการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 3 วัน พวกเขาก็จะมาถึงชายแดนต้าชิงแล้ว เวลาแค่นี้ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็คงจะดี

     หลออี้อาสาจะพาเด็กชายไปชมส่วนต่างๆของเรือ เหอเซินร้องขอไปเป็นเพื่อนด้วย เนื่องจากในเรือลำนี้มีเขาเพียงผู้เดียวที่รู้สถานะที่แท้จริงของหลอผู้นี้ เขากลัวว่าในเมื่อมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่ทราบสถานะที่แท้จริงของหลออี้ พวกมันอาจกระทำการไม่บังควรต่อฮ่องเต้เจ้าสำราณผู้นี้ก็เป็น ได้ หลออี้ก็ยอมให้เหอเซินเป็นนำในการเยี่ยมชมส่วนต่างของเรือ เพราะในฐานะคนสนิทขององค์จักรพรรดิย่อมไม่มีใครไม่ให้เกรียติขุนนางผู้นี้ เหอเซินพาหมากเยี่ยมชมที่พังงาเรือ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมทิศทางของเรือ ที่นี่เป็นห้องของกัปตันเรือ โดยมันก็ยอมให้เหอเซินและพวกเข้าชมโดยดี หมากสังเกตว่าที่ด้านบนของพังงาเรือมีโลหะคล้ายรูปปลาตะเพียนแขวนอยู่ หมากรู้สึกว่าไม่ว่าปลาตะเพียนจะโดนลมพัดให้ตัวปลาหันไปทางซ้ายหรือทางขวาแต่ท้ายที่สุดมันก็จะมาตัวตรงที่ด้านหน้าทุกครา หมากจึงถามเหอเซินว่านี่คืออะไร เหอเซินอ่ำๆอึ้งๆ เหมือนว่ามันจะทำอะไรไม่ถูก เพราะมันไม่รู้ว่าเจ้าปลาตะเพียนนี้มีหน้าที่อะไรกันแน่ เหอเซินจึงหันมาหาหลออี้เชิงขอความช่วยเหลือ หลออี้แอบด่าเหอเซินในใจเหมือนว่ามันชอบอวดรู้ ทั้งที่บางเรื่องมันก็ไม่ได้รู้จริงเสียทีเดียว จักรพรรดิหนุ่มจึงอธิบายว่าสิ่งนี้คือเข็มทิศของชาวจีน โลหะชนิดนี้จะมุ่งตรงไปที่ทางทิศเหนือเท่านั้น หมากก็ร้องอ้อ ซึ่งนี่มันครั้งแรกที่มันเห็นเข็มทิศแบบนี้ มันเคยเห็นแต่ของพวกฝรั่ง ที่เป็นตลับแล้วมีเข็มวิ่งไปวิ่งมา

     “เจ้าอยากได้มันไหม” หลออี้ถามหมาก หมากรีบพยักหน้าด้วยความสนใจ มันต้องการเข็มทิศที่เป็นโลหะรูปสัตว์บ้างหลออี้เดินเข้าไปปลดตัวเข็มทิศที่แขวนไว้ การกระทำของมือปราบจอมปลอมกลับสร้างความไม่ชอบใจแก่กัปตันเรือ ขณะที่มันกำลังจะหาเรื่องหลออี้ เหอเซินรีบเข้าห้ามปรามมันทันท่วงที ขุนนางหนุ่มกลัวว่ามันจะก็เหตุปานปลาย มันจึงรีบชิงพูดขึ้นว่า “กัปตันเรือ นี่เป็นความต้องการของเราเอง ที่จะส่งมอบตะเพียนโลหะ เพื่อเป็นของขวัญแก่บุตรชายท่านทูตจากสยามประเทศ” เมื่อเหตุการณ์ออกมาแบบนี้ กัปตันเหลือจึงไม่กล้ายุ่งอีก เมื่อเป็นเช่นนั้น หมากรีบเดินไปขอบคุณ หลออี้และเหอเซิน รวมถึงกัปตันเรือผู้นั้นด้วย จากนั้นเป็นเหอเซินก็พาหมากไปชมหางเสือเรือ เสากระโดงเรือ และท้ายสุดจึงเป็นห้องหับต่างๆบนเรือ

     เหอเซิน รีบกำชับเหล่าทหารให้ไปจัดการเลือกห้องที่ดีที่สุดสำหรับฮ่องเต้เจ้าสำราญ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าฮ่องเต้กับมัน ต้องลงเรือมาส่งพวกคณะทูตด้วยตนเองเช่นนี้ ตัวมันจึงไม่ได้ตระเตรียมพร้อมห้องหับแต่อย่างใด บริเวณข้างในตัวเรือมีห้องทั้งหมด 6 ห้อง ห้องแรกเป็นห้องของ หลวงจีนฝูอี้ซิน ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปรบกวนความสงบสุขของท่าน ห้องที่ 2 เป็นห้องของ หมาก และบิดาของมัน ห้องที่ 3 เป็นห้องน้ำ ห้องที่ 4 เป็นห้องของ ฟางเกาจิ้ง พักรวมกับองครักษ์ทั้ง 2 ห้องที่ 5 เป็นห้องครัว ส่วนห้องสุดท้ายเป็นห้องที่เหล่าทหารกำลังจัดห้องให้กับ เหอเซิน และ หลออี้ นั้นเองโดยเหอเซินบอกกับทุกคนว่าระหว่างที่อยู่บนเรือหลออี้จะเป็นองครักษ์ประจำตัวของมัน

     ขณะที่ทั้งสอง พาหมากมาส่งที่ห้องของหมาก พวกเขาได้พบกับขุนหมื่นช้างพราย ตัวท่านทูตเอง เขาย่อมรู้จักกับเหอเซิน ผู้ที่ชิดเชื้อกับองค์จักรพรรดิ แต่สำหรับมือปราบเช่นหลออี้แล้ว เมื่อวานเขาเพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรก แถมตัวท่านก็คร้านที่จะสนใจรู้จักกับขุนชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง แต่เมื่อมันเห็นว่าเหอเซินให้ความสนใจกับมือปราบผู้นี้ ทำให้เขาต้องประเมินขุนนางชั้นผู้น้อยผู้นี้ใหม่ ท่านคิดว่ามือปราบผู้นี้ต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน ขนาดพระสหายของจักรพรรดิ ยังให้ความสำคัญกับมันเลย

     หลังจากที่เขาพิจารณาหลออี้อย่างลึกซึ้ง เขารู้เริ่ม รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตามือปราบผู้นี้มาบ้างแล้ว แต่ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ ตัวเขากลับนึกไม่ออกว่าเคยพบกับขุนนางผู้นี้จากที่ไหนกัน เขาไม่กล้าจะเอ่ยปากถามสอง เพราะกลัวว่าจะเสียมารยาท ดังนั้น เขาได้แต่เก็บไว้ในใจและรับตัวบุตรชายเข้าห้องไป

     เมื่อประตูห้องปิดลง จักรพรรดิเฉียนหลงได้ลากตัวพระสหายสนิทเข้าห้องที่เหล่าทหารจัดเตรียมไว้ให้เพื่อวางแผนรับมือเหล่าโจรร้าย ในตอนแรกเหอเซินกลัวว่าห้องที่มันจัดเตรียมไว้ให้ จะไม่พึงพอพระทัยองค์จักรพรรดิ ถึงแม้ว่าข้างในตัวห้องแห่งนี้จะกว้างขวางและสะอาดเรียบร้อย แต่ทว่ายังขาดข้าวของเครื่องใช้ประเภทเครื่องเรือนเครื่องตกแต่ง ทำให้ห้องนอนห้องนี้ดูไม่เหมาะสมกันฐานันดรของวรรณะกษัตริย์ แต่พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงพอพระทัยแต่อย่างใด บางทีพระองค์ทรงสนใจที่เรื่องของความปลอดภัยมากกว่า พระองค์จึงตรัสกับพระสหายไปว่า “คืนนี้พวกมันลงจะต้องมือแน่ เจ้าต้องเตรียมการดูแลความปลอดภัยเป็นอย่างดี” แม้ว่าเขาจะรับคำ แต่ดูจากสีหน้าทางของเขาคล้ายกลับคนป่วยลมหายใจรวยรินผู้หนึ่ง จากนั้นพระองค์ทรงวางแผนรับมือเหล่าโจรร้ายด้วยพระองค์เอง ก่อนขับไล่เหอเซินออกจากห้องไปดำเนินการตามแผนที่วางไว้

     พระองค์ทรงพยายามทำสมาธิเพื่อรับมือกับเหล่าโจร แต่ในใจของพระองค์กำลังว้าวุ่นเหลือเกิน พระองค์ไม่อาจทำพระหทัยของพระองค์ให้สงบลงได้ อาจเป็นเพราะนามกระเดื่องของมนุษย์กินคนต้าไห่ก็เป็นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พระองค์จะรับมือเหล่าโจรร้ายได้อย่างไรไหว ในช่วงเวลานั้นเองเสียงคนเคาะประตูก็ดังขึ้น พระองค์รงตรัสถามว่าเป็นผู้ใด เสียงที่ด้านหลังประตูตอบกลับมาว่า “หม่อมฉันมีตัวยาดีที่จะรักษาอาการประชวรของฝ่าบาท” เมื่อพระองค์ทรงสดับฟังเช่นนี้ พระองค์ทรงพระสรวลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวให้หลวงจีนเฒ่าเข้ามา

     แม้ว่าหมากจะเป็นบุตรโทนของขุนหมื่นช้างพราย แต่ดูเหมือนว่าท่านขุนดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยรักบุตรชายคนเดียวของท่านสักเท่าไหร่นักสาเหตุนั้น อาจมาจาก นางแก้ว เมียที่เขารักที่สุด ซึ่งนางเสียชีวิตลงในทันทีเมื่อตอนที่นางคลอดหมากออกมา เขาจึงมักที่จะโทษหมากอยู่เสมอว่าเป็นต้นเหตุทำให้นางแก้วเสียชีวิต ดังนั้น เขาจึงปล่อยให้แม่นมเลี้ยงดูบุตรตัวเองมาตั้งแต่วัยเยาว์ หมากจึงผูกพันกับนางแจ่ม ที่เป็นแม่นมของมัน ซึ่งหมากรู้สึกว่าตนเองนั้นสนิทกับป้าแจ่มมากกว่าบิดาของมันเองเสียอีก ปกติบิดาของมันมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเมียคนอื่นๆของเขาเสียมากกว่า มีเพื่อนขุนนางหลายคนมักบอกว่าการที่แก้วได้จบชีวิตลงนั้น กลับลากผัวของมันซึ่งยังมีชีวิต แต่เสมือนตายแล้วผู้นี้ไปด้วย

     หมากไม่เข้าใจว่าทำไมบิดาถึงไม่รักมัน ทั้งที่มันได้ยินจากป้าแจ่มว่าบิดาของมันรักแม่มันมากที่สุด แต่กลับทิ้งมันและคลุกอยู่แต่กลับเมียน้อยคนอื่น บางทีท่านขุนอาจจะต้องการเติมเต็มบางสิ่งจากการที่เขาเสียเมียอันเป็นที่รักไปก็ได้ แต่นอกจากหมากแล้ว ท่านทูตก็ยังไม่สามารถกำเนิดบุตรคนอื่นได้อีก ซึ่งหมากย่อมไม่เข้าใจในสิ่งเหล่านี้ หมากเพียงเห็นว่า บิดาของมันไม่เคยคิดเลยว่าหมากจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาด้วยซ้ำไป นานๆพ่อลูกทั้ง 2 จะได้อยู่พร้อมหน้ากันที การที่เขาวันๆเอาแต่เที่ยวซ่องพร้อมด้วยการเมายา ทำให้ทรัพย์ที่เคยเพียรออมไว้กลับเริ่มหร่อยหรอลงไป ในที่สุดท่านก็ได้คิด ถ้าเขายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปทั้งบ้านต้องอดตายแน่ เขาจึงตัดสินใจเติมพันทั้งหมด โดยการนำเงินครึ่งหนึ่งของทรัพย์ทั้งหมด ไปติดสินบนเจ้าสามกรม เพื่อที่จะทำให้เขาจะได้มีเงินและมีหน้ามีตาเหมือนเดิม ในที่สุดสิ่งที่เขาเพียรพยายามก็เป็นผล เมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต้าชิงในครั้งนี้ ซึ่งตัวเขาสามารถพูดภาษาจีนได้เป็นทุนรอนอยู่แล้ว ทำให้เขาได้รับงานนี้อย่างไม่ยากเย็น หากเขาสามารถทำภารกิจครั้งนี้ได้สำเร็จ ฐานะทางบ้านต้องมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมหลายเท่าตัว อีกครั้งมันยังใช้การเดินทางครั้งนี้ทำการค้าขายส่วนตัวของเขาเองอีกด้วย        

     ในห้องบรรทมของกษัตริย์เสียงของหลวงจีนก็กล่าวขึ้นเรียบๆว่า “พระองค์อาจตบตาผู้คนได้ทุกคนแต่ไม่อาจตบตาหลวงจีนเฒ่าอย่างเราได้” จักรพรรดิเฉียนหลง เพราะพระองค์ทราบถึงเหตุผลว่าทำไมถึงมิอาจตบตาหลวงจีนเฒ่าผู้นี้ เป็นเพราะหลวงจีนเฒ่าผู้นี้เป็นพระสหายสนิทของ จักรพรรดิของคังซี ผู้เป็นพระอัยกาของพระองค์นั้นเอง

     จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงตรัสเรียบๆง่ายๆว่า “หลวงจีนเฒ่ามีตัวยาอะไรที่จะสามารถรักษาอาการประชวรของเรา รีบบอกข้ามา อย่าได้อิดออดไป” หลังจากนั้นพระองค์ก็ยิ้มสู้กับหลวงจีนเฒ่า

     หลวงจีนฝูอี้ซิน หัวเราะเรียบๆ แล้วท่านจึงกล่าวว่า “ยาที่จะสามารถปลุกปรับสมาธิของพระองค์กลับคืนมา” เฉียนหลงฮ่องเต้ สะท้านขึ้นเล็กน้อย พระองค์รีบสอบถามรายละเอียด

     หลวงจีนฝูอี้ซิน กล่าวเรียบๆอีกครั้งว่า “ที่จริงพระองค์ทรงปรีชาความสามารถเฉลียวฉลาดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้กลับนำความเป็นห่วงเข้ามาคิดให้จิตใจฟุ้งซ่านทำให้จิตใจขาดความผ่องใสกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นมา” เฉียนหลงฮ่องเต้ ทรงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

     หลวงจีนกล่าวต่อว่า “เรือลำใหญ่ 6 ลำ เคลื่อนไหวช้ายากแก่การตั้งรับ หากพระองค์ปล่อยไว้เป็นเช่นจะเป็นเป้านิ่งให้โจรร้อยจู่โจมเป็นแน่ ดังนั้นหากพระองค์ต้องการจะพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเป็นมีเปรียบ พระองค์ต้องมีทัพพิสดารต่อกรกับศัตรู พวกมันถึงจะแพ้พ่ายในที่สุด” พระเนตรของพระองค์ทรงกระจ่างใสมาโดยทันที ขณะที่พระองค์กำลังจะตรัสคำขอบคุณ

     หลวงจีนเฒ่าก็ชิงกล่าวว่า “อาตมาที่จริงไม่ควรยุ่งทางโลก หงลี่ไม่ส่งแล้ว อาตมาขอตัว”(หงลี่เป็นพระนามเดิมของจักรพรรดิเฉียนหลง หลังจากกล่าวจบก็รุดเดินออกจากห้องไปในทันที ปล่อยให้พระองค์ทรงทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตะโกนเรียกหาเหอเซินอีกครั้งจากนั้นทั้งสองก็ได้ถกแผนการเป็นเวลากว่าสองชั่วยาม

     ณ ท่ามกลางค่ำคืนที่แสนจะสงบเงียบไร้ซึ่งเสียงหมาป่าและนกกาใดๆ ที่ลำน้ำนี้มีเพียงเรือเพียง 6 ลำ ที่แล่นมาอย่างแช่มช้า ท่ามกลางไอหมอกและลมหนาวที่พัดมาอย่างหนาวเหน็บในยามค่ำคืน ตอนนี้เวลาล่วงยามสามแล้ว ดูเหมือนว่าสิ่งที่องค์จักรพรรดิเกรงกลัวอาจจะไม่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ แต่แล้วทันใดนั้นเอง แสงไฟก็ถูกจุดโชติช่วงขึ้นทั้ง 2 ฟากฝั่งของลำน้ำ เมื่อเจ้าหน้าที่บนเรือของทั้ง 6 ลำ แลเห็น พวกเขาก็สั่นระฆังเตือนภัยเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง

     ในขณะนั้นเองได้มีหลายเหตุการณ์หลายเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน

     จักรพรรดิเฉียนหลง ซึ่งพระองค์กำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น ถูกเสียงระฆังปลุกให้พระองค์ตื่นจากภวังค์ พระองค์ทรงเบิกพระเนตรขึ้น ก่อนลุกขึ้นอย่างช้าๆ ไร้ซึ่งปฏิกิริยากลัวเกรงแต่อย่างใด พระองค์ทรงหยิบกระบี่คู่ใจ จากนั้นทรงก้าวย่างออกจากห้องไปอย่างใจเย็น

     เสียงกังวานปลุกพ่อลูกจากแดนสยามให้พวกเขาตื่นขึ้น เสียงโห่ร้องกู่ก้องมาจากทั้งสองฝั่งสองฟากแม่น้ำ ขุนหมื่นช้างพราย เขายังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ลางสังหรณ์บอกกับตัวของเขาเองว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ หมากเอง มันก็หวาดกลัวเช่นเดียวกับบิดา ราวกับว่าเหตุการณ์ที่โรงเตี๊ยมนั้น ยังคงคอยตามหลอกหลอนตัวมันอยู่ จากนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ซึ่งทำเอาพ่อลูกคู่นี้สะดุ้งขึ้นมาด้วยอาการหวาดกลัว จากนั้นเป็นของของ หลวงจีนฝูอี้ซิน ซึ่งทำให้ทั้งสองสงบสติตัวเองขึ้นได้บ้าง

     แม้ว่าเสียงโห่ร้องจะดังสนั่นหวั่นไหวแค่ไหน หรือว่าเสียงระฆังจะก้องกังวานเพียงใด แต่ไม่มีใครสามารถปลุกให้ฟางเกาจิ้งตื่นจากการหลับใหลได้ จากชิว จ้องมองท่านทูตวัยหนุ่นผู้นี้ด้วยความสงสัย ก่อนจะถูกเสียงกระแอมของหลิวจวินเหมือนจะเป็นการตำหนิมันที่แสดงกิริยามารยาทที่ไม่ดีออกมา จากนั้นเขาก็พูดกับศิษย์ผู้นี้ว่า ให้มันดูแลท่านทูตให้ดี ส่วนตัวเขาจะขึ้นไปดูว่าข้างนอกมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

     ส่วนเหอเซิน ขณะที่เขากำลังตรวจตราบนตัวเรือ ทันใดนั้นเขาก็สังเกตว่ามีเรือลำเล็ก ลำหนึ่ง ได้จอดเรือขวางลำเรือของพวกเขาอยู่ที่กลางแม่น้ำ ก่อนที่เขาจะทราบว่าทั้งหมดเป็นเรื่องราวใด แสงจากทั้ง 2 ฝั่ง ก็ถูกจุดให้สว่างไสวขึ้น ทำให้เขาต้องร้องบอกให้กัปตันเรือ ทั้ง 6 ลำ หยุดการเดินเรือ หลังจากที่เรือสงบนิ่งแล้วทั้งหมดก็ยินเสียร้องตะโกนร้องลั่นขึ้นมาว่า มีคนร้าย เมื่อทหารรักษาการณ์เห็นดังนั้น จึงรีบสั่นระฆังเตือนภัย เมื่อเหอเซินทราบแล้วว่าเกิดเรื่องใดขึ้น มันจึงรีบวิ่งลงไปที่ท้องเรือเพื่อที่จะหลบหนีไปซ่อนตัวไว้ที่ห้องครัว

     ขณะที่ จักรพรรดิเฉียนหลง ในคราบปลอมแปลงขึ้นมาบนตัวเรือ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นหลิวจวิน ชายชรากำด้ามดาบอย่างแน่นหนา สายตาของเขาจ้องมองที่เรือลำน้อยโดยไม่สนว่าจะมีใครกำลังมองเขาอยู่หรือไม่  พระองค์ทรงพยายามทอดพระเนตรสอดส่องหาตัวขุนนางจอมสอพลอ เหอเซิน หลังจากที่พระองค์ตรวจสอบแล้วว่าไม่พบขุนนางผู้นี้บนเรือ พระองค์ทรงส่ายพระพักตร์เหมือนกับเอือมระอาในตัวขุนนางผู้นี้อยู่ แต่แล้วทันทีทันใดนั้นเอง ที่เรือลำน้อยก็มีเหตุอุบัติขึ้น

     ที่เรือลำน้อยน้อยนั้นเอง มีเสียงกึกก้องสะท้านสนั่นขึ้นว่า “ผู้ใดคือ หลออี้ กล้าสู้กับเรา ซ่งต้าไห่ตัวต่อตัวหรือไม่” เสียงโห่ร้องที่ 2 ฝั่ง เฮดังออกมาอีกครั้ง ทำเอาคนบนเรือหลายคนมือไม้ปั่นป่วนไปหมด แม้ว่าจะยังไม่มีผู้ใดได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่จากการที่ได้ฟังน้ำเสียงของเขาแล้ว คงจะคาดเดาได้ว่าพละกำลังและการผลของการฝึกปรือของชายผู้นี้คงยืนอยู่ที่สุดยอดของมรรคาบู๊แล้ว

     ทุกคนเมื่อเห็นหลออี้มาอยู่ที่ด้านบนของเอแล้ว ทุกคนต่างจับจ้องมองมัน ราวกับไม่เคยพบหน้ามันมาก่อน กระทั้งหลิวจวิน ก็ยังต้องหันมาจับจ้องมองที่หลออี้ผู้นี้เลย แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่า หลออี้ นั้นไม่มีทางที่เขาจะสามารถจะชนะ ซ่งต้าไห่ไดเลย แต่สายตาของหลออี้นั้น บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า จนทำให้ตัวเขาเองมั่นใจว่าหลออี้ ผู้จะไม่มีวันแพ้พ่ายมหาโจรผู้นี้เป็นอันขาด

     ทางด้าน จักรพรรดิเฉียนหลงหรือหลออี้นั้นเอง ดูเหมือนพระองค์จะไม่สะทกสะท้านหรือจิตขาดเขลาต่อมหาโจรผู้นี้แต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะรู้สึกถึงร้อยกว่าคู่สายตาที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ แต่ในสายตาของเขามีเพียงเรือลำน้อยเพียงลำเดียวเท่านั้น พระองค์ทรงฉีกยิ้มเล็กน้อย ก่อนตรัสเสียงดังกลับไปว่า “ข้าหลออี้ อยู่ที่นี่แล้วเจ้าโจรกระจอกนี่เป็นใคร ถึงกล้าเอ่ยนามของข้า” หลังจากที่พระองค์ตรัสจบเสียงที่เคยแซ่ซึงก็พลันสงบนิ่งอีกครั้ง

     ในตอนนี้ที่เรือลำน้อยมีชาย 2 คน ปรากฏตัวขึ้น ชายคนแรกตัวของเขาใหญ่มากราวกับหมีดุร้ายที่โตเต็มวัย เขาสวมชุดขาวและโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาวแฝงความหมายว่ากำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ กล้ามที่แขนของเขาเป็นมัดๆ สมกลับเป็นมนุษย์จอมพลังจริงๆ ใบหน้าของเขาเหี้ยมเกรียมดำเหมี่ยม ดวงตาแฝงด้วยความดุร้าย แม้ว่าอายุของเขาปาไป 65-70 ปี แล้ว แต่ใบหน้าของเขาเหมือนอายุ 40 ต้นๆเอง เขาผู้นั้น คือซ่งต้าไห่ นั้นเอง ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นชายสวมชุดนักศึกษาสีขาว ใบหน้าแฝงด้วยเคล้าชายอ่อนแอผู้อมโรค ซึ่งเขาเป็นชายคนเดียวกับคนที่สวมชุดขาวอยู่ในร้านโรงเตี๊ยมในตอนนั้น เขาผู้นี้กลับเป็นถึงมันสมองของ ซ่งต้าไห่ ฉายา “กุนซือป่วยโอวหยางเซินเป้า วันนั้น มันได้คาดการณ์ผิดไปซึ่งตัวมันได้คาดคิดว่ายังไงฟงเจี๋ยผู้เป็นน้องร่วมสาบานของซ่งต้าไห้ก็ต้องเป็นฝ่ายชนะ มันจึงลอบออกมาก่อน พอมารู้ทีหลังว่าฟงเจี๋ยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มันเสียใจเป็นอย่างมากถึงกลับออกมาแนวหน้าเลยทีเดียว ตอนนี้พวกมันทั้ง 2 หันมาจับจ้องมองที่จักรพรรดิเฉียนหลงซึ่งที่มุมปากของ ซ่งต้าไห่ ขยับขึ้นเล็กน้อย ถึงพอที่จะคาดเดาได้ว่าเป็นคำว่า “ประเสริฐ” จากนั้นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดพลันอุบัติขึ้น

     “ตุบ” เสียงของพื้นไม้ตัวเรือดังขึ้น เมื่อมนุษย์กินคนต้าไห่ กระโดดลอยตัวจากเรือลำน้อยทิ้งตัวลงบนตัวเรือนำใหญ่ได้ในคราเดียว ตอนนี้มันกล้าที่จะประชันหน้ากับเหล่าทหารหลายสิบนายเพียงลำพังอย่างองอาจ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของกลุ่มทั้ง 2 ฟากฝั่ง ทางด้านของกุนซือป่วย ตัวมันยังคงอยู่บนเรือลำน้อย ซึ่งมันหาได้แปลกใจหรือหวั่นวิตกกับการกระทำของผู้นำของหัวหน้ามันไม่ ด้านของซ่งต้าไห่ มันยังจับคงจ้องมองที่ใบหน้าของหลออี้อย่างอาฆาตแค้น ก่อนที่มันจะหัวเราะดังสะท้านทั้งห้วงน้ำ พร้อมกับกล่าววาจาว่า “ยอดเยี่ยมยิ่งที่เจ้าโค่นฟงเจี๋ยน้องของเราได้ เห็นในความสงบนิ่งไม่หวาดกลัวของเจ้า ก่อนตายข้าจะให้เจ้าขอได้หนึ่ง อย่าง” กล่าวจบเขาก็ฉีกยิ้มเล็กๆ

     พระองค์ทรงทราบได้ทันทีว่า รอยยิ้มของมันนั้นแฝงไว้ด้วยความอมหิต ที่เห็นการตายเป็นเรื่องตลกธรรมดา ก่อนที่พระองค์จะทรงตกลงพระทัย พระองค์ทรงทอดพระเนตรถึงเหล่าทหารที่รายล้อมและจับจ้องมองพระองค์อยู่ด้วยความหวัง แม้ว่าพระองค์ทรงส่งสานส์ถึงเหล่าองครักษ์เพื่อมาช่วยเหลือพระองค์แล้ว แต่พระองค์ก็ไม่ทราบว่าพวกเขาเหล่าจะมาถึงยามใด เมื่อเหตุการณ์ดำเนินถึงขั้นนี้แล้ว พระองค์ทรงจ้องมาที่ซ่งต้าไห่ด้วยสายตาอันเด็ดเดี่ยว ก่อนจะตรัสกับมหาโจรว่า “ไม่ว่าข้าจะชนะหรือแพ้ ขอให้ท่านซ่งกับท่านโอวหยางรับปากข้าพเจ้าว่า พวกท่านจะต้องไม่ทำร้ายผู้ใดบนเรือทั้ง 6 ลำ นี้” หลายคนรู้สึกตื้นตันในการแสดงออกของหลออี้ ผู้นี้ แต่ยังมีอีกหลายที่ยังคงหวาดระแวงสงสัยในความสามารถของเขา พระเนตพระองค์ไม่สนบริวารรอบข้าง พระองค์ทรงสนพระทัยเฉพาะคำตอบที่เขาจะได้รับจากมหาโจรผู้นี้ เท่านั้น

     เมื่อซ่งต้าไห่ฟังจบ เขาก็หัวเราะดังลั่น ราวกลับเรื่องที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องขบขัน เขาหันหลังไปหากุนซือป่วย ก่อนที่เขาจะเชิญชวนโอวหยางเซินเป้าให้รับคำพร้อมกับเขาโดย ซ่งต้าไห่ ให้คำมั่นสัญญาว่าไม่ว่าหลออี้จะเป็นผู้ชนะหรือแพ้ พวกเขาทั้งหมดจะถอนกำลังกลับไป ปล่อยให้เรือทั้ง 6 ลำ ดำเนินการตามเรื่องราวของมันต่อไป เมื่อหลอี้ก้าวมาข้างหน้า ซึ่งถือเป็นการรับคำท้า ทำให้กลุ่มฝูงชนเริ่มแหวกทางและโอบล้อมพวกเขาทั้ง ไว้ เหมือนกับว่าเป็นเขตกั้นสังเวียนหนึ่ง ในที่สุดเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงหวาดกลัวที่สุดก็มิอาจหลบเลี่ยงได้

     ขณะนั้นบรรยากาศรุนแรงถึงขีดสุด ขนาดผู้ที่ชมอยู่ด้านข้างยังไม่กล้าถอนหายใจแรงๆออกมาเลย ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องว่า หลออี้ ดังขึ้น ทั้งหลออี้ หรือแม้แต่ซ่งต้าไห่ ยังต้องหันไปมองที่ต้นเสียงด้วยท่าทีสงสัย ผู้ที่ร้องเรียกนั้นคือ เด็กชายหมากนั้นเอง เด็กชายวิ่งปาดเข้าไปกอดหลออี้จากด้านหลังเอาไว้ ถึงหลออี้จะใจหินผาแค่ไหน ย่อมอ่อนลงในทันที เมื่อเห็นการกระทำของมิตรน้อยจากต่างแดนผู้นี้ เขาลูบหัวเด็กผู้นี้น้อยเบาๆ

     เด็กชายพูดกับ หลออี้ ว่า “ท่านอย่าเป็นอะไรนะ ข้าจะเป็นกำลังใจให้แก่ท่าน” หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็ยังกอด หลออี้ โดยไม่มีทีท่าจะปล่อยมือแต่อย่างใด

     หลออี้ ยังคงลูบศีรษะเด็กชายพลางๆ ก่อนจะใช้แขนทั้ง 2 ข้าง ดันตัวเด็กชายให้ถอยหลังนิดนึง ก่อนที่พระองค์ทรงตรัสกับเด็กชายว่า “เกิดเป็นผู้ชายต้องรู้จักเข้มแข็งเข้าไว้ ข้าไม่ตายง่ายหรอก เชื่อมั่นในตัวไหม?” ตรัสจบก็ทรงยิ้มให้กับเด็กชาย เด็กชายยกแขนซ้ายปาดคราบน้ำตาก่อนยิ้มกว้างด้วยความมั่นใจ พระองค์ทรงลูบหัวเด็กชายอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น หลวงจีนเฒ่าฝูอี้ซิน ซึ่งยิ้มและก้มโค้งให้แก่พระองค์ ทรงเห็นหลิวจวิน ที่ยิ้มให้กับพระองค์ด้วยความเชื่อมั่น พระองค์ทรงยิ้มตอบเป็นการขอบคุณ ทรงเห็นขุนหมื่นช้างพราย จางชิว และ ฟางเกาจิ้ง ผู้มือความสามารถในการทำปืนใหญ่ ซึ่งมันเพิ่งจะตื่นขึ้น ท้ายที่สุดพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นพระสหายผู้ขี้ขลาดของพระองค์ ซึ่งก็คือ เหอเซิน ซึ่งมันออกมาจากห้องครัวแล้ว ในตอนนี้มันกำลังร้องไห้ฟูมฟายหนักยิ่งกว่าที่หมากร้องไห้เสียอีก

     จากนั้นพระองค์ทรงหันไปหาซ่งต้าไห่ ก่อนตรัสกับมันว่า “พี่ซ่ง ข้าขอกล่าววาจาสั่งเสียสักครู่ได้ไหม” โจรร้ายยิ้มๆ แต่เขาก็รับคำ จากนั้นพระองค์ทรงตรัสกับหมาก ว่าพระองค์ทรงต้องการที่จะตรัสกับ เหอเซินตามลำพัง เด็กชายจึงได้หลบกับไปหาบิดาของเขา ขุนหมื่นช้างพราย ยิ้มให้กับพระองค์ด้วยท่าทีขลาดเขลา พระองค์ยังทรงส่งรอยยิ้มเล็กไปที่ท่านทูตและไปที่เด็กชายเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นปลุกขวัญกำลังใจของตัวเขาเอง

     จากนั้นพระองค์ทรงกวักพระหัตถ์ ไปทางเหอเซิน จากนั้นพระองค์ได้พามันไปที่บริเวณส่วนท้ายเรือ ซึ่งปลอดปราศจากผู้คน หลังจากที่ เหอเซิน เดินร้องไห้เข้ามา เมื่อพระองค์ได้เห็นอาการของพระสหายดังนั้น จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว ยังทำตัวแย่ยิ่งกว่าหมาก เด็กชายชาวสยามเสียอีก” แต่เหอเซินยังคงร้องไห้ฟูมฟายต่อไป

     พระองค์ทรงส่ายพระพักตร์พลางตรัสต่อไปว่า “เหอเซินหากข้าสิ้นพระชนม์แล้ว เจ้าจะดำเนินชีวิตอย่างไรบ้าง” พอพูดถึงตรงนี้เขายิ่งร้องไห้หนักขึ้นเข้าไปอีก พระองค์ทรงยิ้ม จากนั้นจึงตรัสด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “เอกสารรัชทายาทอยู่ในใต้ตั่งข้างในห้องบรรทมของข้านะ ข้าดูแล้วบรรดาลูกข้าทั้งหมดมีแต่ หย่งเยี้ยน บุตรชายคนที่ 15 ของข้าเท่านั้นที่ควร” พอพระองค์ทรงตรัสถึงตอนนี้ เหอเซิน ก็ถลาตัวกอดรัดข้าของพระองค์ร้องไห้ ก่อนที่จะคุกเข่าพร้อมกล่าวว่า “ขอให้พระองค์มีอายุหมื่นๆปี”

     เมื่อพระองค์ทรงเห็นดังนั้นแล้ว จึงพยุงมันตัวและทรงโอบกอดมันไว้ ในที่สุดน้ำตาที่พระองค์ทรงพยายามกั้นไว้ ก็ไม่สามารถกั้นได้อยู่อีกต่อไป พระองค์ทรงทราบดีว่า เหอเซิน แม้มีพฤติกรรมนอกลู่นอกทางบ้าง อีกทั้งขุนนางและชาวบ้านต่างพากันเกลียดในตัวขุนนางกังฉินผู้นี้ ในบางครั้งพระองค์ทรงหลับหูหลับตาในพฤติกรรมของมัน แต่ในบางครั้งพระองค์ไม่สามารถอดกลั้นได้ พระองค์ทรงตักเตือนมัน ดังนั้น หากหมดสมัยของพระองค์แล้ว ตัวมันคงยากจะมีชีวิตรอด พระองค์จึงร้องไห้ด้วยความอาลัยต่อพระสหายผู้นี้ เพราะว่ามันเป็นพระสหายที่สนิทและคบมายาวนานที่สุด ทั้งสองออกประพาสท่องเที่ยวด้วยกันเป็นหลายร้อยครั้งแล้ว แต่สุดท้ายพระองค์ต้องทรงยอมรับกับความเป็นจริง พระองค์ทรงผละจากอ้อมอกของ เหอเซิน ก่อนจะเดินออกจากท้ายเรือ เพื่อจะไปหา ซ่งต้าไห่ ซึ่งนั้นเป็นภาพเสมือนกับพระองค์กำลังเสด็จไปยังลานประหาร

     เมื่อมหาโจรเห็นพระพักตร์เปื้อนคราบน้ำตาของพระองค์ ก็ยิ้มอย่างหยามเหยียด  กล่าวกับพระองค์ว่า “ไอ้หนู สั่งเสียกับบิดามารดาพอหรือยังจะได้มาชิม 10 ค้อนทะลวงไส้ของข้าดู” ไอ้ 10 ค้อนทะลวงไส้นี้เป็นวิชาค้อนที่ ซ่งต้าไห่ บัญญัติขึ้นมา จนสร้างชื่อเสียงให้เขาจนโด่งดังขึ้น ตั้งแต่เขาสู้ตัวต่อตัวกับคู่ต่อสู้เป็นต้นมา ยังไม่มีใครเคยเห็นเพลงค้อนที่ 10 ที่มีชื่อว่า มังกรคำราม เลยแม้แต่ครู่เดียว ดูเหมือนว่ามันคือตำนานที่ว่ายังไม่เคยมีใครสามารถโค่นมันลงได้ ดังนั้นหลังจากที่พระองค์ทรงรับฟังคำพูดของมหาโจรแล้ว พระองค์ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดทรงนิ่งเฉยอยู่

     ทันใดนั้นกระบี่ของพระองค์ก็ถูกชักขึ้นดึงออกมาจากฝัก ซึ่งเป็นเสียงตอบรับของพระองค์แทนวาจา บรรยากาศกลับมาทมึงขึงเครียดอีกครั้ง ทุกคนใจจดใจจ่อกับการต่อสู้ของทั้งสองอย่างมาก หมากกอดที่ลำตัวบิดาของเขา เด็กชายจ้องมองที่หลออี้อย่างเชื่อมั่น หลวงจีนเฒ่าฝูอี้ซิน กล่าวลอยๆว่า “อามิตตพุทธ” ก่อนที่ท่านจะยืนอย่างสำรวมและสงบนิ่ง ส่วนเหอเซินเขายังคงร้องไห้อยู่ที่หางเสือเรือ ไม่กล้าเข้าชมการต่อสู้ในครั้งนี้

     แต่ก่อนที่ศึกนี้จะบังเกิดขึ้น พระองค์ทรงทราบว่ากระบี่พระองค์คงไม่สามารถต้านค้อนของต้าไห่เกิน 3 ครั้ง แน่ ดังนั้นพระองค์จึงขอยืมดาบของมือปราบอีกคนหนึ่งแทน จากนั้นพระองค์ทรงสืบท้าวออกมาเผชิญหน้ากับซ่งต้าไห้

     ซ่งต้าไห่สลายคราบรอยยิ้มบนใบหน้า พร้อมยกค้อนที่หนักหลายร้อยชั่งขึ้นมา ก่อนที่มันจะใช้ท่าร่างที่รวดเร็วขยับเข้าหา มันเคลื่อนไหวได้เร็วมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าในขณะนี้มันกำลังถือค้อนที่หนักมากอยู่ในมืออยู่ เมื่อเห็นว่าหลออี้อยู่ในระยะใกล้ประชิดตัว มันได้ฟาดหัวค้อนยักษ์ลงมาอย่างรวดเร็ว รุนแรง และแม่นยำ การโจมตีที่หนักหน่วงท่าแรกนี้ เป็น 1 ใน 10 ท่าของ 10 ค้อนทะลวงไส้ ซึ่งท่าแรกมีชื่อว่า ค้อนฟ้าผ่า ซึ่งลักษณะการฟาดของค้อนเหมือนกับที่สายฟ้าที่ฟาดลงมาจากฟ้า

     จักรพรรดิเฉียนหลงในคราบของหลออี้ทราบว่าซ่งต้าไห่ผู้นี้มีจุดเด่นที่ความแม่นยำและหนักหน่วง แต่เขาไม่ราบว่าการฟาดฟันค้อนของเขาจะรวดเร็วขนาดนี้ พระองค์ทรงคิดว่านี่เพียงแค่ท่าแรก พระองค์ก็ทรงคิดไม่ถูกแล้วว่าจะรับมือกับท่านี้ยังไง หากพระองค์ทรงพาตัวถอยหลังไป ซึ่งสามารถหลบค้อนท่านี้ได้ แต่พระองค์อาจพบจังหวะ 2 จังหวะ 3 ที่ลี้ลับพิสดารต่อเนื่องก็เป็นได้ ในเวลาระยะสั้น พระองค์ทรงตัดสินใจกระทำเรื่องที่น่าเหลือเชื่อต่อสายตาผู้คนที่ชมอยู่ทุกคนคือ คือพระองค์ทรงขยับท่าร่างเข้าหาตัวขอ ซ่งต้าไห่ ก่อนที่พระองค์จะใช้ดาบฟาดฟันใส่ปลายด้ามค้อนของศัตรู วิธีรับดาบของพระองค์นี้ก็เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ หลิวจวิน ที่ชมอยู่ยังพยักหน้าชมเฉยกับการตัดสินใจที่กล้าหาญของพระองค์

     ซ่งต้าไห่ เขาดูจะตื่นเต้นกับการกระทำที่บ้าบิ่นของหลออี้จอมปลอม ดาบที่ฟาดมาของเขา ฟาดลงมากระทบปลายค้อนเขาอย่างแม่นยำทำให้มันไม่สามารถเผด็จศึกในท่าแรกได้เขาพลันเปลี่ยนใช้ท่าใหม่ที่ชื่อว่า ฤทธิ์ค้อนทะลวงไส้ โดยต่อเนื่องทันที ท่านี้เป็นท่าฟาดฟันค้อนขนาบเข้าสีข้างลำตัว คล้ายกับการตัดโคนโค่นต้นไม้ แต่จากที่หลออี้จอมปลอมเข้าต่อสู้ประชิดตัวกับมัน ทำให้มันไม่สามารถใช้ท่านี้ได้อย่างเต็มที่ พระองค์ทรงขวางดาบเข้าใส่ที่มุมคมของปลายหัวค้อน เขาคิดว่าการป้องกันในลักษะนี้เขาสามารถพลิกดาบย้อนเข้าฟาดฟันชิงเป็นฝ่ายรุกได้

     แต่แล้ว ซ่งต้าไห่พลันหัวเราะดังลั่นขึ้น “ฮ่าๆๆๆ วันนี้ถ้าเจ้ามีฝีมือเพียงนี้ วันนี้ของปีหน้าจะเป็นครบรอบวันตายของเจ้า” จากที่พระองค์เข้าใจว่ามันจากฟาดค้อนมาตรงๆ มันกับใช้หัวค้อนงัดดาบที่พาดขวางของพระองค์ขึ้น ด้วยแรงมหาศาลของมันทำให้พระองค์เสียจังหวะในทันที ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความตระหนกจากรอบข้าง

     มนุษย์กินคนต้าไห่ ก็ใช้ท่าร่างขยับกายเข้าหาหลออี้จอมปลอม ก่อนที่มันจะบิดเอวพร้อมใช้เท้าขวาถีบเข้าไปที่บริเวณท้องน้อยของคู่ต่อสู้อย่างเต็มแรง

     พระองค์ทรงรู้สึกถึงภัยคุกคามของท่าเท้าท่านี้แต่เกรงว่าจะสายเกินไปแล้ว เนื่องจากพระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์ได้เสียงจังหวะไป เขาจึงไม่สามารถนำลงมาป้องกันบริเวณท้องน้อยของเขาได้ ดังนั้น ถ้าหากพระองค์ยกขาเข้าป้อง แม้พระองค์จะทรงทราบด้วยหัวค้อนที่แรงขนาดนี้ ขาของพระองค์คงต้องหักในทันทีเป็นแน่ แต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดพระองค์ทรงตัดสินใจที่จะเกร็งกำลังทั้งหมดไปที่ท้องน้อยเพื่อลดแรงกระแทกของท่าสังหารนี้

     ตุบ ด้วยท่าเท้าที่รุนแรง พระองค์ทรงลอยลิ่วไปที่ได้หลังดุจสายว่าวขาดทันที ทันใดนั้นก็มีชายสูงวัยผู้หนึ่ง ซึงคือ หลิวจวิน เขาใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้ารับพระองค์จากด้านหลัง พร้อมถ่ายทอดพรลังหล่อเลี้ยงชีวิตให้กับพระองค์ การที่พระองค์ทรงกระทำการกล้าหาญเช่นนี้ ทำให้ หลิวจวินรู้สึกเลื่อมใสอย่างมาก เมื่อมันเห็นว่าหลออี้ต้องการความช่วยเหลือ มันจึงเข้าไปช่วยเหลือโดยทันที ซึ่งมันต้องรับท่าเท้าแทน หลออี้จอมปลอม ไปถึง 7 ถึง 8 ส่วนมันล้มลงพร้อมกระอักเลือดคำใหญ่ออกมาในทันที หากหลิวจวินไม่ใช้ตัวเข้าแลกเพื่อลดแรงปะทะในครั้งนี้ องค์ชายคนที่ สิบห้า อาจได้ขึ้นครองราชย์ก่อนกำหนดแล้วก็เป็นได้ ส่วนทางด้านหลออี้จอมปลอม จากที่พระองค์ได้รับพลังเยียวยารักษาพลังชีวิต พร้อมกับถ่ายเทความรุนแรงของท่าเท้าให้แก่องค์รักษ์เฒ่า แม้ว่าจะทำให้พระองค์นั้นทรงตัวอยู่ได้ แต่พระองค์ก็ทรงคุกเข่าและกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่งโดยทันที จากนั้นพระองค์หันหลังกลับไปทอดพระเนตรอาการของ หลิวจวิน โดยทันที ซึ่งพระองค์ทรงได้เห็นจางชิว ซึ่งมันออกมาจากห้องของท่านทูตแล้ว ตอนนี้ได้ถ่ายเทกำลังภายในให้แก่ผู้เป็นอาจารย์และยังมี หลวงจีนเฒ่าฝูอี้ซิน ซึ่งใช้ยาที่รักษาภายนอกเข้าทาบริเวณที่บวมคล้ำที่กล้ามเนื้อของหลิวจวิน ซึ่งทำให้อาการของเขาดูดีขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อพระองค์ทรงเห็นเช่นนั้นก็สามารถวางพระทัยได้ พระองค์ทรงหันกลับมาจ้องที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของมหาโจรอีกครั้ง

     มนุษย์กินคนต้าไห่ ยิ้มอย่างเยาะเย้ยพร้อมกล่าวขึ้นมาว่า “นับว่าชะตาชีวิตของเจ้ายังแข็งอยู่ ข้าสงสัยจริงๆด้วยฝีมือเพียงนี้สามารถทำ น้องเจี๋ย จบชีวิตลงได้อย่างไร” หลังจากที่มันกล่าวจบก็กลับมาทำสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง อีกทั้งยังโจมตีระลอกใหม่เข้าใส่หลออี้โดยทันที โดยที่มันคาดหวังว่าจะสามารถจบชีวิตของศัตรูคู่แค้นในท่านี้ให้ได้ จอมโจรหมุนตัวเป็นกลมๆหมุนคว้างเข้าหาพระองค์ประดุจพายุทรายหอบใหญ่ ท่านี้นี้คือท่าที่ 3 ที่เรียกว่า วายุค้อนดาวตก ซึ่งเป็นท่าที่มันจะใช้โจมตีคู่ต่อสู้ที่ยังไม่ทันระวังตั้งตัว

     แม้ว่าอาการของพระองค์จะทรงทุเลาลงแล้วบ้าง แต่พระองค์ทรงตรองดูแล้วว่า พระองค์ทรงยากจะรอดจากท่าสังหารท่านี้ บัดนี้พายุมนุษย์ได้มาอยู่ที่เบื้องหน้าของพระองค์แล้ว พระองค์ทรงก้มหลบจากค้อนหมุนได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนโถมตัวขึ้นฟาดดาบตั้งเฉียงขึ้น ดาบนี้ย่อมเหนือความหมายของโจรร้ายทำให้ต้องเปลี่ยนท่ารับดาบที่รุกพิสดารดาบนี้ ท่ามกลางการชมเชยโห่ร้องจากผู้คนรอบข้าง

     เสียงค้อนและดาบกระทบกันดัง โป๊ก ทั้งถอย ต่างถอยร่นแยกจากกันโดยทันที โดยที่มันถอยหลังไปเพียงก้าวเดียว แต่พระองค์ทรงถอยหลังกลับไป 5 ถึง 6 ก้าว ซ่งต้าไห่ มันไม่คิดว่าพระองค์จะสามารถแก้ไขป้องกันท่านี้ได้ จากนั้นมันจึงใช้ค้อนที่ 4 นาม กระสุนปืนใหญ่ เข้าโจมตี หลออี้แต่ไกล มันไม่ยอมปล่อยให้พระองค์ได้หยุดเพื่อหายใจเลย

     ท่านี้ตั้งชื่อได้เหมาะเจาะยิ่งนัก เพราะว่ามันใช้กำลังที่หัวไล่บิดพุ่งพลังผลักดันเข้าใส่ศัตรูประดุจลูกกระสุนปืนใหญ่ที่โจมตีใส่ป้อมกำแพงข้าศึก ท่านี้เป็นท่าที่รุนแรง ดันนั้นพระองค์ทรงป้องกันอย่างเต็มที่ในทุกๆครั้งที่มันเหวี่ยงค้อนพุ่งเข้าโจมตีมา

     หลังจากที่พระองค์ทรงป้องกันการโจมตีในท่านี้ พระองค์ทรงรู้ได้ทันทีว่าอาวุธนี้เป็นอาวุธที่จู่โจมระยะไกลทุกครั้ง ที่มันฟาดใส่ดุจปืนใหญ่อาการเจ็บปวดตามร่างกายจะค่อยๆกำเริบขึ้นมา ถ้าเพราะองค์ไม่สามารถแก้ไขปรับเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ประชิดตัว ในวันนี้ของปีหน้าคงเป็นวันครบการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระองค์ทรงทนเจ็บบอบช้ำร่างกายเพื่อสังเกตจุดอ่อนของอาวุธค้อนดาวตกของมหาโจรผู้นี้

     เมื่อพระองค์รับแรงค้อนของท่า กระสุนปืนใหญ่ พระองค์ทรงสังเกตเห็นว่าท่านี้อานุภาพสูงก็จริง แต่ก็กินแรงผู้ใช้มหาศาล หลังจากที่ใช้ไปหลายครั้ง ความแรงและความเร็วของค้อนก็เริ่มถดถอยช้าลงกว่าเดิมมากนัก แม้ว่าการรับค้อนแต่ละครั้งจะบั่นทอนพลังงานแรงกาย แต่ร่างกลายก็ฟื้นตัวเร็วกว่าครั้งก่อนๆ อาจเป็นเพราะพระองค์หนุ่มกว่าขุนโจรกว่าหลายสิบปี แม้พลังฝึกจะไม่เทียมเท่า แต่สังขารคนเราไม่เที่ยงแท้ เหล่าผู้ชมที่ชมดูอยู่ด้านข้างอาจเป็นห่วงแทน หลออี้จอมปลอม ว่าเขาจะยันดาบได้อีกกี่น้ำ มีเพียงชนชั้นเช่น หลิวจวิน จางชิว และหลวงจีนเฒ่าฝูอี้ซิน ที่มองออกว่าแรงของมหาโจรเริ่มโรยราแล้ว ถึงตอนนี้หมากยังคงหวาดหวั่นอดเป็นห่วงสหายผู้นี้อยู่ แต่ทว่าสายตาของมันยังเชื่อมั่นในตัวสหายผู้นี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงมันเชื่อว่าหลออี้จะต้องชนะในท้ายที่สุด

     เป็นตามที่พระองค์คาดเอาไว้ ในที่สุด มนุษย์กินคนต้าไห่ ก็เปลี่ยนท่าที่ใช้โจมตีพระองค์ มันได้งัดเพลงค้อนที่ฟาดฟันแปลกๆออกมา เหมือนกับว่า ซ่งต้าไห่ ได้คำนวณการก้าวเดินของพระองค์ทีละก้าวไว้แล้วก่อนที่เขาจะฟันค้อนไปตรงที่ว่าง เหมือนกับที่พระองค์กำลังเผชิญอยู่นั้นเข้าข่ายคำว่าจะรุกก็ใช้ที่จะถอยก็ใช่ที่ เพลงค้อนชนิดนี้มีชื่อว่า ถางป่าล่าช้าง 

     พระองค์รู้สึกเหมือนตัวพระองค์ถูก ซ่งต้าไห่ ใช้เวทมนต์บังคับร่างกายของพระองค์ไว้ เมื่อพระองค์จะขยับไปทางซ้ายมันก็ให้บังคับให้พระองค์ไปทางขวา ถ้าพระองค์จะกระโดดตัวลอยขึ้นมันก็บังคับให้พระองค์ก้มตัวลง เหมือนกับพระองค์ไม่มีทางหลบหนีด้ามค้อนของโจรร้ายผู้นี้ได้ มหาโจรฟาดฟันค้อนยิ้มไปฟาดฟันไป ส่วนหลออี้จอมปลอมได้แต่ใช้ดาบต้านค้อนถูกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น ผู้ชมรอบข้างเห็นว่านี่เป็นจุดวิกฤติยิ่งกว่าที่ตัวหลออี้ต้านทานไว้เมื่อครู่เสียอีก จางชิว ยังคงถ่ายทอดลมปราณให้แก่ หลิวจวิน ไม่มีเวลามาสนใจการต่อสู้ในครั้งนี้อีก ทั้งหมดมีแต่ หลวงจีนเฒ่าฝูอี้ซิน ผู้เดียวเท่านั้นที่ทราบถึงที่มาที่ไปของเพลงค้อนเพลงนี้ ก่อนอื่นต้องชมซ่งต้าไห่ที่คำนวณการก้าวเดินของหลออี้จอมปลอม ได้อย่างแม่นยำ การใช้เพลงดาบชนิดนี้ช่วยให้เขาได้พักเหนื่อยจาการใช้กระบวนท่าเมื่อครู่ ต่างกับองค์ฮ่องเต้ที่หลบหนีอย่างสุดแรงแล้วแต่ก็ไม่สามารถสลัดหลุดจากเพลงค้อนชุดนี้ ดังนั้นหลวงจีนเฒ่าจึงกล่าววาจาเพื่อคลายสถานการณ์ให้แก่องค์ฮ่องเต้ว่า    “ใช้ความสงบ สยบการการเคลื่อนไหว

     ซ่งต้าไห่สีหน้าของมันเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของหลวงจีนเข้าสู่โสตประสาทของมัน ทางด้านขององค์ฮ่องเต้ พระองค์ทรงได้ดำริเช่นเดียวกัน พระองค์จึงทรงสงบนิ่งไม่เคลื่อนไว้ การสงบนิ่งนี้เองกลับทำลายเพลงค้อนของมหาโจรที่บีบบังคับให้พระองค์เคลื่อนไว้พังไม่เป็นชิ้นไม่เป็นท่าทำเอาซ่งต้าไห่ ผู้ดุร้ายถึงกับชะงักค้อนไป คราวนี้ก็ถึงเวลาที่พระองค์จะได้เอาคืนบ้างแล้ว พระองค์ฟาดดาบไปที่ต้นคอของมหาโจร ซึ่งมันก็สามารถเอาค้อนต้านไว้ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็ว จากนั้นพระองค์ได้ขยับเข้าหามันด้วยท่าร่างที่ว่องไว้ พระองค์ทรงลดดาบลงแล้วพรุ่งตัวดาบหวังเสียบที่ท้องน้อยหวังเอาคืนจากมันให้ได้ ผู้ชมเมื่อได้เห็นหลออี้เปิดฉากรุกบ้างก็โห่ร้องข่มขวัญโจรร้ายเป็นการใหญ่ พระองค์ทรงเคยร่ำเรียนดาบตั้งแต่พระองค์ทรงเยาว์วัย แม้ว่าพระองค์จะไม่ใช่ยอดฝีมือในเชิงดาบ แต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่ถูกรังแกได้โดยง่าย แต่ในศึกทั้ง 2 ครั้ง ที่ผ่านมากลับต้องเผชิญกับวายร้ายผู้มีชื่อเสียงก้องแผ่นดินทั้งนั้น จึงทำให้พระองค์ต้องยอมถูกกระทำแต่ฝ่ายเดียวบ้าง แต่เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับฟังวลีจากหลวงจีนเฒ่าทำให้พระองค์สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายรุกได้เป็นผลสำเร็จ แท้ที่จริงแล้วฝีมือที่แท้จริงของพระองค์อยู่ที่วิชามวยปล้ำต่างหาก 

     พระองค์ฉวยโอกาสที่กำลังรุกคู่ต่อสู้อยู่ให้เกินประโยชน์ พระองค์ฟาดซ้ายฟันขวาตามวิชาที่ได้ศึกษามากจากสำนักมาตรฐาน ซ่งต้าไห่ ได้แต่ใช้ค้อนดาวตกรับดาบแล้วดาบเหล่าของ หลออี้จอมปลอม ผู้นี้ เมื่อจอมโจรถอยที ผู้ชมที่ยืนชมอยู่ด้านหลังก็ถอยทีเปิดทางเป็นลานให้พวกเขาทั้ง สอง ได้ต่อสู้กันอย่างเต็มที่ พระองค์ก้มตัวฟาดใส่เท้าของมหาโจม ก่อนใช้จังหวะต่อเนื่องยกดาบฟาดขึ้นหมายจะฟันให้ถูกปลายคางของมัน แต่ว่า ซ่งต้าไห่ ยกค้อนป้องกันดาบปิดชีพนี้ไว้ได้ แม้ว่าพระองค์ดูเป็นฝ่ายที่มีเปรียบแต่ก็ไม่สามารถพัวพันประชิดตัววัยร้ายผู้นี้ได้ ซ่งต้าไห่ มันดูใจเย็นมาก มันใช้ค้อนป้องดาบปิดชีพแล้วปิดชีพเล่าเหมือนกับว่าการตั้งรับนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก มันถอยหล่นอย่างเป็นระบบราวกับว่ามันได้คาดการณ์ไว้แล้วเช่นกัน ในตอนนี้ฝูงชนได้หายไปจากด้านหลังของมันแล้ว เหลือเพียงกราบเรือเท่านั้นที่แบ่งฝั่งระหว่างผืนน้ำกับตัวเรือ อีกเพียง 5 ถึง 6 ก้าวเท่านั้น ในที่สุดมันก็จะมาถึงสุดขอบเรือแล้ว เหงื่อเม็ดโป้งได้เต็มหน้าผากของมหาโจร เขาคงไม่คาดคิดว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะยากลำบากยิ่ง

     ในที่สุดส้นเท้าเขาก็กระถูกขอบด้างข้างของกราบเรือแล้ว ซ่งต้าไห่ ใช้แรงทั้งหมดที่เขามีขยับเท้ายันไปที่ขอบด้านข้างของเรือเพื่อไม่ให้มันเกิดผลัดตกลงน้ำ ก่อนจะถีบกราบเรือพุ่งเข้าใส่ หลออี้จอมปลอม โดยไม่ให้พระองค์ได้ทรงตั้งตัว ซึ่งท่าที่ 6 ของมันมีนามว่า “พลิกแผ่นดิน” แรงฟาดที่หน่วงเหนี่ยวทำให้องค์ฮ่องเต้ล้มลงกับพื้น ตามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นจากผู้ที่ชมอยู่ เขาใช้ท่าต่อไปทันทีคือ “ปฐพีเดือด” เขาใช้ค้อนทุบไปยังตัวหลออี้จอมปลอมที่ล้มตัวนอนกับพื้นอยู่ อย่างเต็มแรงและเร็วอย่างเนื่อง ทำให้พระองค์จำเป็นกลิ้งตัวหลบ ท่าสังหารนั้นจึงทุบลงใส่พื้นเรือจนพื้นบนเรือแตกปริสะท้านออกมา ในตอนนี้พระองค์ทำได้เพียงกลิ้งหลบหลีกท่าตายของมหาโจรเท่านั้น

     ก่อนที่เขาจะหาจังหวะม้วนหลังกลับไปพร้อมถอยห่างไปประมาณ 6 ถึง 7 ก้าว ซ่งต้าไห่ เขาก็ไม่รีบจู่โจมโดยทันที มันพลางถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยออกมา ตอนนี้ทั้งสอง อยู่ระหว่างการประชันหน้ากันอีกครั้ง โจรร้ายยังคงหอบหายใจ แต่ก็ยังพลางกล่าววาจาออกมาว่า “เจ้ามีฝีมืออยู่ 2 ท่า จริงๆ ข้าเชื่อแล้วว่าทำไม น้องเจี๋ยถึงตายด้วยน้ำมือเจ้า”

     พระองค์ยกดาบชี้ไปที่มหาโจรพร้อมกล่าวว่า “วาจาไร้สาระอย่าได้ก่อน ท่านยังเหลืออีก 3 เพลง จงใช้ออกมาให้หมด” ครานี้ผู้ชมที่ด้านข้างกับมาเชื่อมั่นในตัว หลออี้จอมปลอม ผู้นี้อีกครั้ง 

     วายร้ายส่งสายตาอมหิตเข้าใส่ผู้ต่อสู้พร้อมกล่าวว่า “ลองเจอกับท่าที่ 10 ค้อนทะลวงไส้ เลยละกัน” ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจข้ามท่าที่ 8 และ9 ใช่ออกท่าที่10 ที่ไม่เคยผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อน ทุกคนพากันติดตามดูว่า ค้อนทะลวงไส้ ของมหาโจรจะร้ายกาจเพียงใด พระองค์ทรงทราบดีว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ดำเนินมาจนสุดทางแล้ว หากพระองค์ไม่สามารถทำอะไรอย่าง ไม่ใช่เพียงตัวพระองค์ที่สิ้นพระชนม์ แต่ว่าเรือทั้ง 6 ลำ ก็ยากจะหลุดพ้นจากชะตากรรมเช่นกัน ทันใดนั้นพระองค์ทรงคิดได้ถึงวิธีหนึ่งมีแต่ต้องใช้ท่าที่แลกชีวิตเท่านั้น พระองค์ถึงจะรอดจากท่าค้อนทะลวงไส้นี้

     และแล้ว ซ่งต้าไห่ เขาก็รวบรวมพลังทั้งหมดโถมเข้าใส่ศัตรูผู้ฆ่าน้องร่วมสาบานผู้นี้ด้วยท่าแรงที่รวดเร็วถึงขีดสุด จากนั้นเขาพลันกระโดดพุ่งลอยตัวหมุนคว้าง โดยมีหัวค้อนเป็นส่วนที่คอยประทะอยู่ข้างหน้า ลักษณะนี้คล้ายกับการพุ่งหลาวหือว่ายิงเกาทัณฑ์ไม่มีผิด ท่านี้เป็นท่าทีรุนแรงมาก เพราะทั้งสอง ยืนอยู่ห่างกันไม่ถึง 10 ก้าว ดั้งนั้นเป็นที่ทราบได้เลยว่าองค์ฮ่องเต้ไม่สามารถหลบท่าปลิดชีพนี้พ้น 

     ขณะที่มนุษย์กินคนต้าไห่อยู่ห่างจากพระองค์ไม่ถึง 5 ก้าว พระองค์ใช้ดาบของพระองค์ฟันไปที่ส่วนหัวของค้อนอย่างเต็มแรง ด้วยความรุนแรงของท่าสังหารนี้ทำให้ดาบของพระองค์หักลงเสมอด้ามจับ ร่างกายของพระองค์ทรงสะท้านขึ้นและทรงกระอักเลือดคำโตทันที

     ส่วนมหาโจรเขาเพียงสะท้านเล็กน้อย แต่ด้วยพลังดาบที่รุนแรงทำให้แขนทั้ง 2 แขนของมันอ่อนแรงลง วิถีค้อนจึงถูกกดให้ต่ำลง เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากท้องน้อยเป็นอวัยวะสืบพันธุ์แทน ซึ่งเป็นท่าที่เลวร้ายมาก

     เมื่อเด็กชายหมากเห็นว่าหลออี้ ปราศจากอาวุธคู่กายและยังต้องเผชิญกับท่าสังหารของฝ่ายตรงข้ามอีก มันถึงกับตะโกนร้องเตือนเพื่อนของเขา ว่า “ระวัง”

     เหมือนว่าพระองค์จะทรงรู้ว่ามหาโจรมันกำลังทำอะไร พระองค์ตัดสินใจกระโดดพุ่งตัวลอยให้อยู่เหนือ ตัวของโจรร้ายหลบรอดท่าสังหารของมันได้อย่างหวุดหวิด พระองค์ทรงใช้เท้าของพระองค์รัดที่ต้นคอของศัตรูคนสำคัญผู้นี้  พร้อมทั้งใช้พระหัตถ์ของพระองค์คว้าจับที่ข้อของมันไว้ พระองค์ทรงกระตุกเท้าทั้ง 2 ข้าง ให้งัดหัวของโจรร้ายขึ้น ส่วนมือทั้ง 2 ข้างก็คู่เท้าของมันดึงเข้าหาตัว ของพระองค์ ร่างทั้งร่างของมันที่ถูกบิดงอคล้ายๆกับกุ้งถูกไม้เสียบ ร่างของมันสะท้านขึ้นโดยทันที ทำให้ร่างที่ไร้ทิศทางของมันล้มลงฟาดพื้น

     เมื่อร่างของมันกระทบถูกพื้นอย่างเต็มแรง เหมือนว่าไม้บนพื้นเรือจะหักและมีบางส่วนทิ่มแทงโจรร้ายด้วย พระองค์จึงทรงขยับพระวรกายของพระองค์แต่พระหัตถ์ของพระองค์ยังจับที่ข้อเท้าของมันอยู่ พระองค์ขยับตัวใช้ขาทั้ง 2 ข้าง รัดที่ลำตัวของมัน ก่อนที่จะเอนตัวหงายหลังในที่สุด

     เสียงที่กลางหลัง กระดูกซี่โครง รวมถึงข้อเท้า พลันหักพร้อมกันอย่างพร้อมเสียง มหาโจรตะโกนร้องเสียงสุดท้ายของชีวิตของมันดังลั่น ก่อนจะเงียบเสียงขาดใจในที่สุด หลังจากที่ร่างกายของโจรปราศจากการต่อต้านใดๆพระองค์จึงรู้ว่าการต่อสู้ที่ยาวนานกว่า 3 ถึง 4 ชั่วโมง นี้ ได้ยุติลงแล้ว โดยที่พระองค์คือผู้ที่ชนะ ด้วยความเหนื่อยล้าต่างๆนานา ทำให้พระองค์ทรงหงายลงสลบลงไปในบัดดล

     เหอเซินที่ในตอนหลังเขามายืนชมอยู่ด้วยตะโกนขึ้นว่า “ฝ่าบาท” ทุกคนนอกจากหลวงจีนเฒ่าแล้ว ต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เด็กชายผละจากบิดาของมันวิ่งเข้าไปสวมกอดพระองค์เป็นคนแรกโดยไม่สนใจว่าคนที่เขาสวมกอดจะอยู่ในฐานะใด ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้มากมาย ณ ที่แห่งนี้ หลวงจีนเฒ่าสงบสติลงและรีบเข้าไปช่วยเหลือเจ้าชีวิตที่ล้มลงหมดสติอยู่ในอ้อมกอดของเด็กชาย หลิวจวิน ที่อาการดีขึ้นแล้วรีบสั่งให้ จางชิว เข้าช่วยเหลือองค์ฮ่องเต้อีกแรงหนึ่ง เหอเซินดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เขารีบสั่งการเหล่าทหารคนอื่นๆให้คุ้มกันองค์ฝ่าบาทและคุ้มกันเหล่าโจรอย่างรอบด้านจ้าระหวั่น 

     ท่ามกลางความตื่นตระหนกของพวกโจรร้าย กุนซือป่วย  โอวหยางเซินเป้า บนเรือลำน้อยมันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าหัวหน้าโจรจะพ่ายแพ้ ทั้งยังพ่ายแพ้ให้กับองค์ฮ่องเต้อีกด้วย หลังจากที่มันควบคุมสติได้แล้ว มันจึงทำการตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้กับทั้งหมด โดยมันร้องตะโกนสั่งการให้พี่น้องโจรทั้ง 2 ข้าง ระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่ที่เรือทั้ง 6 ลำ ทันที

     ทันใดนั้นเองก็มีลูกเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งพุ่งเสียบคอหอยของ โอวหยางเซินเป้า จนปลายแหลมทะลุออกมาอีกด้านหนึ่ง เขาล้มทั้งยืนจบชีวิตลงทันที จากนั้นคบไฟของเหล่าศัตรูทั้ง 2 ฝั่งก็ค่อยๆดับไปทีละดวง 2 ดวง เหล่าโจรร้ายบางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับพรรคพวกของเขา

     เสียงโห่ร้องเข่นฆ่าศัตรูดังมาจากด้านหลังของฝ่ายศัตรู ฝ่ายโจรร้ายแตกตื่นอย่างยิ่งเมื่อพวกมันเห็นทั้งหัวหน้าและรองหัวหน้าต่างจบชีวิตกันหมดแล้ว สภาพของพวกมันจึงเหมือนกับมังกรไร้เศียรปล่อยให้ทหารของทางการที่ลอบมาด้านหลังเข่นฆ่าฟันอยู่ข้างเดียว ในที่สุดพวกมันก็แตกกระเจิงเพียงหวังหลบหนีเอาตัวรอดเท่านั้น

     จางชิวและหลวงจีนเฒ่าฝูอี้ซิน ต่างช่วยกันช่วยชีวิตเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มความสามารถ ชายหนุ่มทาบสองมือที่หลังถ่ายเทพลังให้ ส่วนหลวงจีนเฒ่าใช้ยาสมานแผนทางภายนอกให้แก่พระองค์ เด็กชายถูกหลวงจีนกันไม่ให้เข้าใกล้พระองค์ เด็กชายจึงหันไปกล่าวกับบิดาของเขา ซึ่งบิดาของเขาได้แต่กล่าววาจาปลอบใจ ทางด้านทูติฟางเกาจิ้ง เขาก็จ้องมองพระองค์ด้วยสายตาที่เป็นห่วง หลิวจวินเขานั่งสมาธิด้วยความสงบนิ่งไว้รักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขาอยู่เหอเซินยังคงวุ่นวายในการดูแลทหารหาญขับไล่เหล่าโจรร้าย

     ในที่สุดหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม พระองค์ก็ทรงลืมพระเนตรของพระองค์ขึ้น ภาพแรกที่พระองค์ทรงเห็นคือใบหน้าเปื้อนน้ำตาก็เด็กชายหมาก พระองค์ทรงยิ้มและตรัสกับมันว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว” เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็รีบคุกเข่าถวายพระพรฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ชิงผู้นี้ ในที่สุดแสงสว่างก็ขับไล่ราตรีที่ยาวนานในคืนนี้ พระองค์ยิ้มแหยๆ ก่อนกล่าวให้ทั้งหมดยืนขึ้น พระองค์ทรงแย้มสรวลด้วยความโชคดีพระองค์ พระองค์ทรงดำริว่าพระองค์อาจไม่มีชีวิตเห็นแสงอุทัยอย่างตอนนี้ได้อีกแล้ว เด็กชายวิ่งเข้าสวมกอดพระองค์และพระองค์ก็กอดเด็กชายกลับเช่นกัน ท่ามกลางความตกใจของเหอเซินและพวก พระองค์ไม่ได้ดำริถึงเลยว่าการที่พระองค์ปลอมแปลงตัวมา จะทำให้พระองค์ทรงรักเด็กชายชาวสยามผู้นี้ราวกับว่ามันเป็นบุตรชายของพระองค์เอง เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว พระองค์ทรงพระสรวลออกมาดังๆ

     หลังจากจักรพรรดิเฉียนหลงได้ปะทะกับซ่งต้าไห่แล้ว แม้พระองค์จะทรงชนะ แต่พระองค์ก็ทรงได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ดังนั้น  คณะเดินทางจำต้องหยุดเดินทางไว้ชั่วคราว ทั้งหมดหาที่จอดแวะเพื่อรักษาอาการประชวรของพระองค์ พระองค์จำเป็นต้องรักษาตัวอยู่ประมาณเกือบครึ่งปี ดังนั้นการเดินทางของเหล่าคณะเดินทางจำต้องล่าช้าออกไป

...................................................................................................................

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา